Loading AI tools
การเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทยครั้งที่ 27 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 เป็นการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทยครั้งที่ 27 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566[10] หลังจากที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรไทยชุดที่ 25 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566[11] ภายหลังการเลือกตั้งปรากฎว่าประเทศไทยไม่สามารถมีนายกรัฐมนตรีได้ โดยประธานรัฐสภากล่าวว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอาจจะมีอีกครั้งในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566[12] ซึ่งครบ 100 วันหลังเลือกตั้ง ส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่ประเทศไทยรอนายกรัฐมนตรีเป็นระยะเวลานานเป็นอันดับที่สองนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งในประเทศ[13]
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ทั้งหมด 500 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรไทย ต้องการ 251 ที่นั่งจึงเป็นฝ่ายข้างมาก | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ลงทะเบียน | 52,238,594 [3] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผู้ใช้สิทธิ | 75.71% ( 1.02 จุด) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แผนที่แสดงผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แผนที่แสดงพรรคการเมืองที่ได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อสูงสุดในแต่ละเขตเลือกตั้ง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
องค์ประกอบของสภาผู้แทนราษฎรหลังจากการเลือกตั้ง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะกรรมการการเลือกตั้งแถลงผลอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2566 ผลปรากฏว่า พรรคก้าวไกลได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด ส่วนพรรคเพื่อไทยได้ที่นั่งรองลงมา[14][15] การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มาใช้สิทธิ์มากถึงร้อยละ 75.71 ทำลายสถิติของการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ร้อยละ 75.03[16] การเลือกตั้งครั้งนี้นับเป็นการเลือกตั้งที่หาเสียงโดยพูดเรื่องเงินมากที่สุดครั้งหนึ่ง หลายพรรคเสนอจำนวนเงินเป็นตัวเลข การหาเสียงในป้ายหาเสียงมีแต่จำนวนเงิน อาทิ บำนาญผู้สูงอายุ 3,000 บาทต่อเดือน[17] และโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท สำหรับใช้จ่ายในพื้นที่ที่กำหนด[18]
หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง กองทัพได้ก่อการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เพื่อขับไล่รัฐบาลรักษาการพลเรือน คณะนายทหารที่รู้จักกันในชื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ขึ้นสู่อำนาจภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2559 คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จสิ้นและจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อรับรองร่างรัฐธรรมนูญ พวกเขาห้ามวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญและห้ามติดตามผลประชามติ นักเคลื่อนไหวต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญถูกจับกุม ควบคุมตัว และดำเนินคดีในศาลทหาร[19] ขณะที่ผู้ออกมาแสดงเจตนาคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญก็ถูกรัฐบาลทหารจับกุมและดำเนินคดีเช่นกัน[20]
ในปี พ.ศ. 2562 หลังจากเกิดความล่าช้าหลายครั้ง ในที่สุดรัฐบาลทหารก็จัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกมองว่าพลเอกประยุทธ์มีข้อได้เปรียบ เนื่องจากวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งทั้งหมดโดยรัฐบาลทหารและการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ในช่วงนาทีสุดท้าย[21][22]
พลเอกประยุทธ์เริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562[23] ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีสามารถดำรงตำแหน่งได้เพียง 8 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การสิ้นสุดวาระนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ เนื่องจากมีการตีความมากมายเกี่ยวกับการเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[24][25][26] เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2565 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำพิพากษาให้วาระการดำรงตำแหน่งของพลเอกประยุทธ์เริ่มในปี พ.ศ. 2560 ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หมายความว่าเขาอาจดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงปี พ.ศ. 2568 หากเขาได้รับเลือกจากรัฐสภาอีกครั้ง
ปลายปี พ.ศ. 2565 เกิดการแตกแยกในพรรคพลังประชารัฐระหว่างพลเอกประยุทธ์กับรองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่สนิทคือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หลังจากที่พลเอกประวิตรแสดงจุดยืนต่อพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ต่อมาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 พลเอกประยุทธ์ได้ประกาศความสนใจที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และสมัครเป็นสมาชิกแบบตลอดชีพของพรรคดังกล่าวในเดือนถัดมา มีการคาดหมายว่าเขาจะเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนเดียวของพรรครวมไทยสร้างชาติ ด้านพรรคภูมิใจไทย มีผู้ดำรงตำแหน่ง ส.ส. ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านบางส่วน รวมถึงนักการเมืองอีกจำนวนหนึ่ง ได้ลาออกจากพรรคเดิมที่ตัวเองสังกัดไปร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย เพื่อเพิ่มโอกาสชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ระบุว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 500 คนจะได้รับเลือกโดยใช้ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะลงคะแนนเสียงด้วยบัตรใบเดียว เพื่อเลือก ส.ส. 350 ที่นั่งจากเขตเลือกตั้ง และอีก 150 ที่นั่งจะเป็นการจัดสรรตามคะแนนของพรรคการเมืองทั้งประเทศ[27] หลังการเลือกตั้ง สภาผู้แทนราษฎร 500 ที่นั่ง จะลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีในการประชุมร่วมกับวุฒิสภาอีก 250 ที่นั่ง วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งโดยคสช. จะอยู่ในวาระจนถึงปี 2567 จึงคาดว่าสมาชิกวุฒิสภาจะมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งครั้งนี้เช่นกัน[28]
เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2564 ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ได้มีการลงคะแนนเสียง 472 ต่อ 33 เสียง (งดออกเสียง 187 เสียง) เพื่อกลับมาใช้การลงคะแนนระบบคู่ขนานที่เคยใช้เมื่อช่วงก่อนปี 2560 ในระบบนี้ จะมี ส.ส. 400 ที่นั่งที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต และลดจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลงเหลือ 100 ที่นั่ง จากเดิม 150 ที่นั่ง[29] ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะต้องลงคะแนนโดยใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพื่อเลือก ส.ส. แบบแบ่งเขตและพรรคการเมืองที่ตนต้องการ[29] ต่างจากระบบก่อนหน้าที่ผู้มีสิทธิ์แต่ละคนลงคะแนนเสียงเพียงครั้งเดียวเพื่อเลือก ส.ส. ทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ[30] อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยพรรคการเมืองขนาดเล็ก เนื่องจากระบบนี้จะทำให้พรรคดังกล่าวได้ที่นั่งในสภายากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายค้าน
ในช่วง พ.ศ. 2565 มีการถกเถียงว่าจะใช้สูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อแบบใดระหว่าง "สูตรหาร 100" กับ "สูตรหาร 500" ซึ่งถ้าใช้สูตรหาร 500 จะทำให้เกิดที่นั่งส่วนเกิน (Overhanging seat) แบบเดียวกับในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562 และทำให้คะแนนเสียงพึงมีของ ส.ส. 1 ที่นั่งต่ำลง ซึ่งเอื้อต่อการตีความให้พรรคเล็กได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคม 2565 มีการใช้กลยุทธ์ไม่มาประชุมจนสภาขาดองค์ประชุม ทำให้การพิจารณาแก้ไขเป็นสูตรหาร 500 ต้องตกไป และกลับไปใช้สูตรหาร 100 โดยปริยาย[31]
จากการเปลี่ยนระบบเลือกตั้งดังกล่าว ทำให้พรรคขนาดเล็กเสียเปรียบในสนามเลือกตั้ง จึงนำไปสู่การเจรจาควบรวมพรรค และจัดตั้งพันธมิตรทางการเมืองของพรรคขนาดเล็กต่าง ๆ ได้แก่ การควบรวมพรรคชาติพัฒนาและพรรคกล้าเป็นพรรคชาติพัฒนากล้า,[32] การจับมือระหว่างพรรคไทยสร้างไทยและพรรคสร้างอนาคตไทย[33][34] รวมไปถึงเกิดการย้ายพรรคของนักการเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการย้ายเข้าพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าการใช้เงินซื้อตัวผู้สมัคร ส.ส. และระบบ "บ้านใหญ่" หรือตระกูลที่มีอิทธิพลทางการเมืองในท้องถิ่นจะกลับมามีบทบาท[35]
เดือนมกราคม 2566 มีการผ่านกฎหมายเลือกตั้ง 2 ฉบับ[36] คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พ.ศ. 2566 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566[37] สาระสำคัญของ พระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดให้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน[38] มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2566 ซึ่งรัฐบาลจะยุบสภาทันทีเลยก็ได้ หรืออยู่ครบวาระซึ่งจะครบเทอมในวันที่ 24 มีนาคม 2566[39] ไม่ว่าจะวิธีการใด คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องจัดให้มีระยะเวลาสำหรับเตรียมการเลือกตั้งประมาณ 45 วัน (พิจารณารูปแบบแบ่งเขต 25 วัน, คัดสรรผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 20 วัน)[40]
หลังจากที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยปรับสัดส่วนจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตเป็น 400 เขต เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้าที่มี 350 เขต[29] เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีการส่งหนังสือด่วนถึงผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดต่าง ๆ และกรุงเทพมหานคร ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งในแต่ละพื้นที่เตรียมแบ่งเขตเลือกตั้งไว้เป็นการล่วงหน้าอย่างน้อย 3 รูปแบบ[41]
ในกุมภาพันธ์ 2566 กกต. ออกประกาศ เรื่อง จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัด กำหนดให้คำนวณจำนวนราษฎรเฉลี่ย 165,226 คนต่อ ส.ส. 1 คน โดยใช้ข้อมูลจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เป็นฐานในการคำนวณ พร้อมทั้งระบุจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่พึงมีในแต่ละพื้นที่ โดยแบ่งเป็นรายจังหวัดดังนี้[42]
พื้นที่ | จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร |
---|---|
กรุงเทพมหานคร | 33 |
นครราชสีมา | 16 |
ขอนแก่นและอุบลราชธานี | 11 |
ชลบุรี, เชียงใหม่ และบุรีรัมย์ | 10 |
นครศรีธรรมราช, ศรีสะเกษ, สงขลา และอุดรธานี | 9 |
เชียงราย, นนทบุรี, ร้อยเอ็ด, สมุทรปราการ และสุรินทร์ | 8 |
ชัยภูมิ, ปทุมธานี, สกลนคร และสุราษฎร์ธานี | 7 |
กาฬสินธุ์, นครปฐม, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์ และมหาสารคาม | 6 |
กาญจนบุรี, นราธิวาส, พระนครศรีอยุธยา, พิษณุโลก, ระยอง, ราชบุรี และสุพรรณบุรี | 5 |
กำแพงเพชร, ฉะเชิงเทรา, ตรัง, ตาก, นครพนม, ปัตตานี, ลพบุรี, ลำปาง, เลย, สมุทรสาคร, สระบุรี และสุโขทัย | 4 |
กระบี่, จันทบุรี, ชุมพร, น่าน, บึงกาฬ, ประจวบคีรีขันธ์, ปราจีนบุรี, พะเยา, พัทลุง, พิจิตร, เพชรบุรี, แพร่, ภูเก็ต, ยโสธร, ยะลา, สระแก้ว, หนองคาย, หนองบัวลำภู และอุตรดิตถ์ | 3 |
ชัยนาท, นครนายก, พังงา, มุกดาหาร, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, สตูล, อ่างทอง, อำนาจเจริญ และอุทัยธานี | 2 |
ตราด, ระนอง, สิงห์บุรี และสมุทรสงคราม | 1 |
อย่างไรก็ตาม จำนวน ส.ส. เขตที่พึงมีในแต่ละจังหวัด ที่ กกต. เคยประกาศไว้เมื่อกุมภาพันธ์ 2566 มีการนับรวมบุคคลต่างด้าวมาใช้เป็นฐานในการคำนวณ[43] ต่อมา 3 มีนาคม 2566 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่ให้นำผู้ที่ไม่ได้มีสัญชาติไทยมาร่วมเป็นฐานในการคำนวณ[44] กกต. จึงได้มีการพิจารณาแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ให้เป็นตามคำวินิจฉัยของศาล และในวันเดียวกัน ก็ออกประกาศเปลี่ยนแปลงจำนวนเขตเลือกตั้งพึงมีของแต่ละจังหวัด โดย นครศรีธรรมราช, อุดรธานี, ลพบุรี และปัตตานี มี ส.ส. เพิ่มขึ้นจังหวัดละ 1 คน ขณะที่ เชียงใหม่, เชียงราย, ตาก และสมุทรสาคร มี ส.ส. ลดลงจังหวัดละ 1 คน และค่าเฉลี่ยประชากรต่อ ส.ส. เขต 1 คนลดลงเหลือ 162,766 คน[45]
จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่พึงมีในแต่ละพื้นที่ หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 3 มีนาคม 2566 มีดังนี้[45][46]
พื้นที่ | จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร |
---|---|
กรุงเทพมหานคร | 33 |
นครราชสีมา | 16 |
ขอนแก่นและอุบลราชธานี | 11 |
ชลบุรี, เชียงใหม่, นครศรีธรรมราช, บุรีรัมย์ และ อุดรธานี | 10 |
ศรีสะเกษและสงขลา | 9 |
นนทบุรี, ร้อยเอ็ด, สมุทรปราการ และสุรินทร์ | 8 |
ชัยภูมิ, เชียงราย, ปทุมธานี, สกลนคร และสุราษฎร์ธานี | 7 |
กาฬสินธุ์, นครปฐม, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์ และมหาสารคาม | 6 |
กาญจนบุรี, นราธิวาส, ปัตตานี, พระนครศรีอยุธยา, พิษณุโลก, ระยอง, ราชบุรี, ลพบุรี และสุพรรณบุรี | 5 |
กำแพงเพชร, ฉะเชิงเทรา, ตรัง, นครพนม, ลำปาง, เลย, สระบุรี และสุโขทัย | 4 |
กระบี่, จันทบุรี, ชุมพร, ตาก, น่าน, บึงกาฬ, ประจวบคีรีขันธ์, ปราจีนบุรี, พะเยา, พัทลุง, พิจิตร, เพชรบุรี, แพร่, ภูเก็ต, ยโสธร, ยะลา, สมุทรสาคร, สระแก้ว, หนองคาย, หนองบัวลำภู และอุตรดิตถ์ | 3 |
ชัยนาท, นครนายก, พังงา, มุกดาหาร, แม่ฮ่องสอน, ลำพูน, สตูล, อ่างทอง, อำนาจเจริญ และอุทัยธานี | 2 |
ตราด, ระนอง, สิงห์บุรี และสมุทรสงคราม | 1 |
หมายเหตุ: คือ จังหวัดที่มีจำนวน ส.ส. เขต ลดลง 1 คน, คือ จังหวัดที่มีจำนวน ส.ส. เขต เพิ่มขึ้น 1 คน |
ย้ายไปพรรคก้าวไกล
ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย
ย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ
ย้ายไปพรรคไทยสร้างไทย
ย้ายไปพรรคเสรีรวมไทย
ย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ
ย้ายไปพรรคชาติไทยพัฒนา
ย้ายไปพรรคประชาธิปัตย์
ย้ายไปพรรคเพื่อชาติ
ย้ายไปพรรคเพื่อไทย
ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย
ย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ
ย้ายไปพรรคประชาธิปัตย์
ย้ายไปพรรคไทยสร้างไทย
ย้ายไปพรรคชาติพัฒนากล้า
ย้ายไปพรรครวมแผ่นดิน
ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย
ย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ
ย้ายไปพรรคเพื่อไทย
ย้ายไปพรรคก้าวไกล
ย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ
ย้ายไปพรรคชาติไทยพัฒนา
ย้ายไปพรรคชาติพัฒนากล้า
ย้ายไปพรรคเสรีรวมไทย
ย้ายไปพรรคไทยภักดี
ย้ายไปพรรคประชาชาติ
ย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ
ย้ายไปพรรคเพื่อไทย
ย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ
ย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ
ย้ายไปพรรคเพื่อไทย
ย้ายไปพรรคชาติไทยพัฒนา
ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย
ย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ
ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย
ย้ายไปพรรคประชาธิปัตย์
ย้ายไปพรรคเพื่อไทย
ย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ
ย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ
ย้ายไปพรรคไทยสร้างไทย
ย้ายไปพรรคเพื่อไทรวมพลัง
กลับมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ
ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย
ย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ
ย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ
ย้ายไปพรรคเพื่อไทย
ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย
กลับมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ
ย้ายไปพรรคชาติไทยพัฒนา
ย้ายพรรคประชาธิปัตย์
ย้ายไปพรรคเพื่อไทย
ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย
ย้ายไปพรรคประชาธิปัตย์
ย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ
ย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ
ย้ายไปพรรคเพื่อไทย
ย้ายไปพรรคเพื่อไทย
ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย
ย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ
ย้ายไปพรรคไทยสร้างไทย
ย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ
ย้ายไปพรรคประชาธิปัตย์
ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย
การเลือกตั้งครั้งนี้ใช้การลงคะแนนระบบคู่ขนาน โดยใช้บัตรเลือกตั้งจำนวนสองใบ ซึ่งหมายเลขประจำพรรคการเมืองในระบบบัญชีรายชื่อจะเป็นหมายเลขเดียวกันทั้งประเทศ ขณะที่หมายเลขของผู้สมัครในระบบแบ่งเขตจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละเขตเลือกตั้งทั้ง 400 เขต แม้จะอยู่พรรคการเมืองเดียวกันก็ตาม
การเลือกตั้งครั้งนี้มีพรรคการเมืองที่สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อทั้งหมด 67 พรรค โดยหมายเลขประจำพรรคการเมืองมาจากการจับสลากจำนวน 49 หมายเลข และถัดจากนั้นเรียงลำดับตามช่วงเวลาสมัครก่อน-หลัง ซึ่งหมายเลขของแต่ละพรรคการเมืองมีดังต่อไปนี้[47][48]
ในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 ถึง เดือนมกราคม พ.ศ. 2566 พรรคการเมืองต่าง ๆ เริ่มมีการขึ้นป้ายหาเสียงล่วงหน้า เช่น พรรคเพื่อไทย[49], พรรคประชาธิปัตย์[50], พรรครวมไทยสร้างชาติ[51] และพรรคก้าวไกล[52] เป็นต้น เวลาเดียวกันมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จำนวนหนึ่งได้ลาออกจากตำแหน่ง โดยส่วนใหญ่เป็นอดีต ส.ส. สังกัดพรรคพลังประชารัฐ[53] ในช่วงต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
ต่อมาปลายเดือนธันวาคม 2565 ผู้นำฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติโดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับความไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ตามคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา[54] ในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 นาย ธวัชชัย เทอดเผ่าไทย คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ้นจากตำแหน่งและต่อมาในวันที่ 12 มกราคม 2566 ปดิพัทธ์ สันติภาดา เปิดเผยว่าหลานของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีส่วนเกี่ยวข้องกับ "คดีทุนจีนสีเทา"[55] ในเดือนเดียวกันมีการวิเคราะห์ว่าพลเอกประยุทธ์จะประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน หลังปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์[56] บ้างก็คาดเดาว่าเขาอาจยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลี่ยงการอภิปรายทั่วไปของฝ่ายค้าน[57] ด้าน นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คาดการณ์ว่าอาจมีการยุบสภาในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม[58] ส่วน ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ว่าที่พลเอกประยุทธ์ยังไม่ยุบสภานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เกี่ยวกับความพร้อมของพรรครวมไทยสร้างชาติมากกว่า[59] ในช่วงกลางเดือนดังกล่าว หลังการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติของฝ่ายค้านในรัฐสภา พลเอกประยุทธ์ระบุว่ามีแนวโน้มจะยุบสภาในเดือนถัดจากนั้น[60]
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย วิเคราะห์ว่าหากเครือข่ายประยุทธ์ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ อาจนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[61] และต่อมา กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวว่าหากนายกรัฐมนตรีเป็นคนดี ก็ไม่ควรจำกัดวาระไว้ที่ 8 ปี[62] ด้าน ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า นั่นเป็นความเห็นส่วนตัวของกิตติศักดิ์ และต้องผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามปกติ[63]
ในเดือนมกราคม 2566 มีการเปิดตัว "เครือข่ายประชาชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งปี 2566" ซึ่งประกอบด้วยองค์การนอกภาครัฐกว่า 100 แห่ง และออกแถลงการณ์เชิญชวนประชาชนให้ร่วมกันสังเกตการณ์การเลือกตั้ง เพราะมีความกังวลในเรื่องความเป็นธรรมและความโปร่งใสของการเลือกตั้ง[64]
ในเดือนเดียวกัน ยังมีการอดอาหารประท้วงของเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีในความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษการเมืองและเรียกร้องพรรคการเมืองต่าง ๆ ให้มีนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 116[65] พรรคการเมืองฝ่ายค้านมีมติร่วมกันตามข้อเรียกร้อง 2 ข้อโดยไม่กล่าวถึงข้อเรียกร้องการปฏิรูปกฎหมายอาญา 2 มาตราดังกล่าว[66] ต่อมามีผู้ชุมนุมเดินทางไปที่พรรคเพื่อไทยเพื่อเรียกร้องให้พรรครับข้อเสนอแก้ไขกฎหมายดังกล่าวด้วย[67]
เดือนกุมภาพันธ์ 2566 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้แบ่งเขตเลือกตั้ง โดยมีการนำบุคคลต่างด้าวและผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งมาคำนวณ ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจส่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ[68] ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ได้ให้ความคิดเห็นว่า คำว่า “จำนวนราษฎรตามประกาศมหาดไทย”[69] ที่ กกต. อ้างว่ารัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้ หมายรวมถึงคนไทยและคนต่างด้าวมาคิดคำนวณสูตรแบ่งเขตเลือกตั้ง และอาจหวั่นซ้ำรอยเลือกตั้งปี 2549[70] รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และโฆษกพรรค ระบุถึงประเด็นนี้ว่า กกต. ไม่ควรนับรวมคนต่างด้าวในการคำนวณแบ่งเขตเลือกตั้ง ควรดูจากประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งเป็นหลัก[71] ต่อมา กกต. แถลงประเด็นนี้ว่า สถานะของราษฎรที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย อาจอยู่สถานะ “รอการพิสูจน์” เพื่อลำดับขั้นตอนสู่การมีสัญชาติ[72] และตอบประเด็นนี้ว่า “ราษฎร” คือบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียน หรือต่างชาติที่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมาย แต่ไม่นับกลุ่มต่างด้าว[73] ส่วน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่าวิธีการคำนวณดังกล่าวเป็นการใช้เพื่อกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร[74] และการแบ่งเขตเลือกตั้งเท่านั้น[75]วันที่ 26 กุมภาพันธ์ มีคนร้ายขับรถชน นายติรานนท์ เวียงธรรม ผู้สมัครพรรคก้าวไกล ซึ่งเสียชีวิตในอีกสามวันหลังเกิดเหตุ
3 มีนาคม 2566 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดพึงมี คำว่า "ราษฎร" ไม่ได้หมายรวมถึงผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย[76] ตามคำตัดสินดังกล่าวส่งผลให้ 8 จังหวัด มีจำนวน ส.ส.เขต เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ กกต. เคยประกาศไว้เมื่อกุมภาพันธ์ 2566[lower-alpha 5][77][46]
ในวันที่ 20 มีนาคม เพียง 3 วันก่อนการครบวาระสภา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 ตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรี [78] โดยให้เหตุผลว่าอายุสภาผู้แทนราษฎรใกล้สิ้นสุดลง และเพื่อคืนอำนาจให้แก่ประชาชน[79] อย่างไรก็ตามมีข้อวิจารณ์ว่าการยุบสภาก่อนสภาหมดวาระเพียงไม่กี่วันไม่ใช่การเร่งคืนอำนาจให้ประชาชน แต่เป็นการอาศัยเงื่อนไขตามกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้นักการเมือง และยื้อเวลาให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ช้าลง[80] และในวันรุ่งขึ้น (21 มีนาคม) คณะกรรมการการเลือกตั้งได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม[81] วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีอธิบายว่า หากยุบสภาได้ในวันที่ 20 มีนาคมก็ควรจะยุบ เพราะสภาจะหมดวาระในวันที่ 23 มีนาคม รวมถึงคณะรัฐมนตรีมีสถานะเป็นรักษาการนับตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม แต่ในทางกฎหมาย จะไม่เรียก “ครม.รักษาการ” เพราะสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตีความไว้เมื่อหลายปีก่อนแล้วว่า “ถ้าเรียกอาจจะเกิดปัญหา” จึงไม่ใช่คำนี้ในภาษาราชการ[82]
ในเดือนเมษายน 2566 โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งปรากฎว่าพรรคการเมืองได้นำประเด็นเรื่องสถาบันมาอภิปราย โดย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้อภิปรายตอนหนึ่งว่าจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับพวกชังชาติ[83] ในขณะที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ในเวทีเลือกตั้ง 66 เปลี่ยนใหม่หรือไปต่อ[84] แสดงจุดยืนแก้ไขกฎหมายความผิดต่อพระมหากษัตริย์ไทย การโจมตีเด็กและเยาวชนเริ่มมีมากขึ้นก่อนการเลือกตั้ง เช่น วันที่ 3 พฤษภาคม 2566 คมสันชัย สุขพิพัฒน์มงคล นักพากษ์การ์ตูน ได้กล่าวโจมตีบุคคลที่ไม่ยืนในโรงหนังในขณะเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี
ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2566 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้ปราศัยที่ อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรีเกี่ยวกับความผิดพลาดในวงการทหารตำรวจ อาทิ กรณี ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ บัวแย้ม คนเคยสนิท[85] ธานี อ่อนละเอียด ทำร้ายร่างกายทหารรับใช้[86] เรือหลวงสุโขทัย เหตุกราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2563 และกล่าวโจมตี ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ภายหลังปล่อยคลิปของพรรครวมไทยสร้างชาติที่มีเนื้อหาเชิงตำหนิเยาวชนอกตัญญู[87]
และก่อนการเลือกตั้ง ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับผู้สมัครดังต่อไปนี้
ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2566 ก่อนวันเลือกตั้งล่วงหน้า 2 วัน (7 พฤษภาคม) กองทัพบกเผยแพร่วิดีโอกรมดุริยางค์ทหารบกขับร้องเพลง "หนักแผ่นดิน" ซึ่งทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และต้องลบวิดีโอดังกล่าวหลังเผยแพร่ได้เพียง 2 ชั่วโมง[91][92] ในวันที่ 8 พฤษภาคม กองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ภาพพร้อมข้อความว่า "ทหารมีไว้ทำไม" ซึ่งทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน[93][94]
ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ยืนยันว่า จะไม่ก่อรัฐประหารหลังการเลือกตั้ง และสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พร้อมเชิญชวนทหารไปเลือกตั้ง[95] วันเดียวกันมีทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 4 ถูกลงโทษขัง 30 วัน เนื่องจากโพสต์หาเสียงเลือกตั้งในกลุ่มไลน์ โดยกองทัพระบุว่า เป็นการประพฤติไม่เป็นกลางทางการเมือง[96][97]
มีพรรคการเมืองจำนวน 42 พรรค เสนอชื่อบุคคลผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง จำนวนรวม 61 คน โดยมีพรรคการเมืองเสนอ 3 ชื่อ จำนวน 5 พรรค เสนอ 2 ชื่อ จำนวน 7 พรรค ที่เหลือเสนอพรรคละ 1 ชื่อ
เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้น มีพรรคการเมืองจำนวน 6 พรรคที่มีสิทธิ์ในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีต่อรัฐสภา รวมทั้งหมด 9 คน ดังรายชื่อดังต่อไปนี้
พรรคก้าวไกล | พรรคเพื่อไทย | พรรคภูมิใจไทย | ||
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ | แพทองธาร ชินวัตร | เศรษฐา ทวีสิน | ชัยเกษม นิติสิริ | อนุทิน ชาญวีรกูล |
---|---|---|---|---|
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (2562–2566) |
กรรมการมูลนิธิไทยคม (ตั้งแต่ 2550) |
ประธานอำนวยการ บมจ.แสนสิริ (2564[98]–2566) |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (2556–2557) |
รองนายกรัฐมนตรี (ตั้งแต่ 2562) |
พรรครวมไทยสร้างชาติ | พรรคพลังประชารัฐ | พรรคประชาธิปัตย์ | |
ประยุทธ์ จันทร์โอชา | พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค | ประวิตร วงษ์สุวรรณ | จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ |
---|---|---|---|
นายกรัฐมนตรี (2557–2566) |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (2551–2554) |
รองนายกรัฐมนตรี (2557–2566) |
รองนายกรัฐมนตรี (2562–2566) |
ระยะเวลาการสำรวจ | องค์กรที่สำรวจ | กลุ่มตัวอย่าง | คะแนนความนิยมพรรค (%) | คะแนนนำ (%) | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
พปชร. | พท. | ก.ก. | ปชป. | ภท. | สร. | ทสท. | รทสช. | ยังไม่ตัดสินใจ | อื่น ๆ | ||||
28 เมษายน–3 พฤษภาคม 2566 | เนชั่นโพล | 115,399 | 3.18 | 39.83 | 29.18 | 3.97 | 4.84 | 0.82 | 0.99 | 7.45 | 7.09 | 2.65 | 10.65 |
24–28 เมษายน 2566 | นิด้าโพล | 2,500 | 1.28 | 37.92 | 35.36 | 3.32 | 2.36 | 1.60 | 1.68 | 12.84 | 1.24 | 2.40 | 2.66 |
22–28 เมษายน 2566 | โพลเดลินิวส์ x มติชน | 78,583 | 2.46 | 33.65 | 50.29 | 1.05 | 0.70 | 1.01 | 1.01 | 6.05 | 0.96 | 2.82 | 16.64 |
10–20 เมษายน 2566 | สวนดุสิตโพล | 162,454 | 7.49 | 41.37 | 19.32 | 7.30 | 9.55 | 1.74 | 2.41 | 8.48 | – | 2.34 | 22.35 |
8–14 เมษายน 2566 | โพลเดลินิวส์ x มติชน | 84,076 | 1.55 | 38.89 | 32.37 | 1.83 | 3.30 | 1.63 | 1.73 | 12.84 | 2.21 | 3.65 | 6.52 |
7–12 เมษายน 2566 | เนชั่นโพล | 39,687 | 1.58 | 35.75 | 16.02 | 3.50 | 3.80 | 0.69 | 0.71 | 4.50 | 32.27 | 1.18 | 3.48 |
3–7 เมษายน 2566 | นิด้าโพล | 2,000 | 1.80 | 47.00 | 21.85 | 4.50 | 3.00 | 2.65 | 2.10 | 11.40 | 2.35 | 3.35 | 25.15 |
1–17 มีนาคม 2566 | สวนดุสิตโพล | 10,614 | 5.17 | 46.16 | 15.43 | 7.71 | 11.12 | 0.41 | 1.43 | 8.73 | — | 1.90 | 30.73 |
2–8 มีนาคม 2566 | นิด้าโพล | 2,000 | 2.30 | 49.85 | 17.15 | 4.95 | 2.55 | 2.85 | 2.60 | 12.15 | 2.35 | 3.25 | 32.70 |
17–22 ธันวาคม 2565 | นิด้าโพล | 2,000 | 4.00 | 42.95 | 16.60 | 5.35 | 5.25 | 3.40 | 3.25 | 6.95 | 8.30 | 3.95 | 26.35 |
15–21 กันยายน 2565 | นิด้าโพล | 2,500 | 5.56 | 34.44 | 13.56 | 7.56 | 2.32 | 2.56 | 3.04 | — | 24.00 | 6.96 | 20.88 |
20–23 มิถุนายน 2565 | นิด้าโพล | 2,500 | 7.00 | 36.36 | 17.88 | 6.32 | 2.56 | 3.04 | 2.96 | — | 18.68 | 5.20 | 18.48 |
10–15 มีนาคม 2565 | นิด้าโพล | 2,020 | 7.03 | 25.89 | 16.24 | 7.97 | 1.88 | 2.28 | 2.18 | — | 28.86 | 7.67 | 2.97 |
15–21 ธันวาคม 2564 | นิด้าโพล | 2,504 | 8.99 | 23.52 | 13.18 | 7.15 | 1.32 | 2.43 | 1.60 | — | 37.14 | 4.67 | 13.62 |
25–28 ตุลาคม 2564 | สวนดุสิตโพล | 1,186 | 24.61 | 32.94 | 25.21 | 6.18 | 4.28 | — | — | — | — | 6.78 | 7.73 |
20–23 กันยายน 2564 | นิด้าโพล | 2,018 | 9.51 | 22.50 | 15.11 | 7.78 | 1.14 | 2.68 | 1.93 | — | 35.68 | 2.28 | 13.18 |
11–16 มิถุนายน 2564 | นิด้าโพล | 2,515 | 10.70 | 19.48 | 14.51 | 9.54 | 2.43 | 2.90 | 2.47 | — | 32.68 | 2.82 | 13.20 |
23–26 มีนาคม 2564 | นิด้าโพล | 2,522 | 16.65 | 22.13 | 13.48 | 7.10 | 3.25 | 3.81 | — | — | 29.82 | 3.76 | 7.69 |
20–23 ธันวาคม 2563 | นิด้าโพล | 2,533 | 17.80 | 23.61 | 14.92 | 7.46 | 1.82 | 3.00 | — | — | 26.49 | 4.90 | 2.88 |
18–23 กันยายน 2563 | นิด้าโพล | 2,527 | 12.39 | 19.39 | 12.70 | 7.44 | 1.58 | 1.70 | — | — | 41.59 | 3.21 | 22.20 |
22–24 มิถุนายน 2563 | นิด้าโพล | 2,517 | 15.73 | 20.70 | 13.47 | 7.75 | 1.43 | 2.50 | — | — | 32.38 | 6.04 | 11.68 |
18–20 ธันวาคม 2562 | นิด้าโพล | 2,511 | 16.69 | 19.95 | 30.27 | 10.83 | 2.43 | 2.03 | — | — | 13.46 | 4.34 | 11.00 |
24 มีนาคม 2562 | การเลือกตั้ง 2562 | — | 23.74 | 22.16 | 17.80 | 11.13 | 10.50 | 2.32 | — | — | 1.58 | 10.77 | 1.58 |
ระยะเวลาการสำรวจ | องค์กรที่สำรวจ | กลุ่มตัวอย่าง | คะแนนนิยม (%) | คะแนนนำ (%) | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ประยุทธ์ | สุดารัตน์ | แพทองธาร | เศรษฐา | พิธา | จุรินทร์ | เสรีพิศุทธ์ | กรณ์ | อนุทิน | ยังไม่ตัดสินใจ | อื่น ๆ | |||||
28 เมษายน - 3 พฤษภาคม 2566 | เนชั่นโพล | 115,399 | 8.85 | 1.23 | 27.55 | 13.28 | 29.37 | 2.49 | 1.11 | 0.38 | 4.05 | 5.35 | 4.22 | 1.82 | |
24–28 เมษายน 2566 | นิด้าโพล | 2,500 | 14.84 | 2.48 | 29.20 | 6.76 | 35.44 | 1.80 | 1.68 | 1.32 | 1.36 | 3.00 | 2.12 | 6.24 | |
22–28 เมษายน 2566 | โพลเดลินิวส์ x มติชน | 78,583 | 6.52 | 1.04 | 19.59 | 15.54 | 49.17 | — | 0.84 | 1.74 | 0.64 | 1.18 | 3.74 | 29.58 | |
8–14 เมษายน 2566 | โพลเดลินิวส์ x มติชน | 84,076 | 13.72 | 1.90 | 23.23 | 16.69 | 29.42 | 1.08 | 2.25 | 2.94 | 1.40 | 2.97 | 3.15 | 6.19 | |
7–12 เมษายน 2566 | เนชั่นโพล เก็บถาวร 2023-04-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน | 39,687 | 8.13 | 1.67 | 33.81 | 7.45 | 16.87 | 2.59 | 1.42 | 1.09 | 2.70 | 22.58 | 1.69 | 11.23 | |
3–7 เมษายน 2566 | นิด้าโพล | 2,000 | 13.60 | 4.15 | 35.70 | 6.05 | 20.25 | 2.20 | 3.45 | 1.95 | 2.55 | 6.10 | 4.00 | 15.45 | |
ระยะเวลาการสำรวจ | องค์กรที่สำรวจ | กลุ่มตัวอย่าง | ประยุทธ์ | สุดารัตน์ | แพทองธาร | ชลน่าน | พิธา | จุรินทร์ | เสรีพิศุทธ์ | กรณ์ | อนุทิน | ยังไม่ตัดสินใจ | อื่น ๆ | คะแนนนำ | |
2–8 มีนาคม 2566 | นิด้าโพล | 2,000 | 15.65 | 5.10 | 38.20 | 1.60 | 15.75 | 2.35 | 4.45 | 1.40 | 1.55 | 9.45 | 4.50 | 22.45 | |
17–22 ธันวาคม 2565 | นิด้าโพล | 2,000 | 14.05 | 6.45 | 34.00 | 2.60 | 13.25 | 2.30 | 6.00 | 2.65 | 5.00 | 8.25 | 5.45 | 19.95 | |
15–21 กันยายน 2565 | นิด้าโพล | 2,500 | 10.12 | 9.12 | 21.60 | 2.20 | 10.56 | 1.68 | 6.28 | 2.12 | 2.40 | 24.16 | 9.76 | 2.56 | |
20–23 มิถุนายน 2565 | นิด้าโพล | 2,500 | 11.68 | 6.80 | 25.28 | 2.92 | 13.24 | 1.56 | 6.60 | 3.76 | 1.52 | 18.68 | 7.96 | 12.04 | |
10–15 มีนาคม 2565 | นิด้าโพล | 2,020 | 12.67 | 8.22 | 12.53 | 3.96 | 13.42 | 2.58 | 7.03 | 2.77 | 1.63 | 27.62 | 7.57 | 14.20 | |
15–21 ธันวาคม 2564 | นิด้าโพล | 2,504 | 16.93 | 5.51 | 10.55 | 2.24 | 10.74 | 1.84 | 4.83 | 2.63 | — | 36.54 | 8.19 | 19.61 | |
25–28 ตุลาคม 2564 | สวนดุสิตโพล | 1,186 | 21.27 | 19.35 | — | — | 28.67 | — | — | — | — | — | 30.71 | 7.40 | |
ระยะเวลาการสำรวจ | องค์กรที่สำรวจ | กลุ่มตัวอย่าง | ประยุทธ์ | สุดารัตน์ | สมพงษ์ | พิธา | จุรินทร์ | เสรีพิศุทธ์ | กรณ์ | อนุทิน | ยังไม่ตัดสินใจ | อื่น ๆ | คะแนนนำ | ||
20–23 กันยายน 2564 | นิด้าโพล | 2,018 | 17.54 | 11.15 | 2.33 | 11.05 | 1.54 | 9.07 | 2.58 | 1.24 | 32.61 | 10.89 | 15.07 | ||
11–16 มิถุนายน 2564 | นิด้าโพล | 2,515 | 19.32 | 13.64 | 0.87 | 5.45 | 1.47 | 8.71 | 3.62 | 2.35 | 37.65 | 6.92 | 18.33 | ||
23–26 มีนาคม 2564 | นิด้าโพล | 2,522 | 28.79 | 12.09 | 1.90 | 6.26 | 0.99 | 8.72 | 2.70 | 2.02 | 30.10 | 6.43 | 1.31 | ||
20–23 ธันวาคม 2563 | นิด้าโพล | 2,533 | 30.32 | 13.46 | 1.03 | 7.74 | 0.63 | 7.50 | 1.65 | 1.34 | 32.10 | 4.23 | 1.78 | ||
ระยะเวลาการสำรวจ | องค์กรที่สำรวจ | กลุ่มตัวอย่าง | ประยุทธ์ | สุดารัตน์ | สมพงษ์ | พิธา | อภิสิทธิ์ | จุรินทร์ | เสรีพิศุทธ์ | กรณ์ | อนุทิน | ยังไม่ตัดสินใจ | อื่น ๆ | คะแนนนำ | |
18–23 กันยายน 2563 | นิด้าโพล | 2,527 | 18.64 | 10.57 | 1.07 | 5.70 | — | — | 3.92 | 1.54 | 0.67 | 54.13 | 3.76 | 35.49 | |
22–24 มิถุนายน 2563 | นิด้าโพล | 2,517 | 25.47 | 8.07 | 0.99 | 3.93 | 0.95 | 0.83 | 4.57 | 1.67 | 0.44 | 44.06 | 9.02 | 18.59 | |
ระยะเวลาการสำรวจ | องค์กรที่สำรวจ | กลุ่มตัวอย่าง | ประยุทธ์ | สุดารัตน์ | สมพงษ์ | ธนาธร | อภิสิทธิ์ | จุรินทร์ | เสรีพิศุทธ์ | กรณ์ | อนุทิน | ยังไม่ตัดสินใจ | อื่น ๆ | คะแนนนำ | |
18–20 ธันวาคม 2562 | นิด้าโพล | 2,511 | 23.74 | 11.95 | 0.40 | 31.42 | 0.67 | 2.47 | 3.90 | 0.04 | 1.08 | 17.32 | 7.01 | 7.68 | |
เลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 | |||||||||||||||
12 กุมภาพันธ์ – 20 มีนาคม 2562 | กรุงเทพโพลล์ | 10,062 | 28.70 | 20.60 | — | — | 19.20 | 14.80 | — | 4.80 | — | 1.00 | 3.20 | 7.70 | 8.10 |
องค์กรที่สำรวจ/พรรค | เพื่อไทย | พลังประชารัฐ | ก้าวไกล | ประชาธิปัตย์ | ภูมิใจไทย | เสรีรวมไทย | ชาติไทยพัฒนา | ชาติพัฒนากล้า | รวมไทยสร้างชาติ | ไทยสร้างไทย |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
สวนดุสิต | 246 | 22 | 106 | 28 | 45 | 2 | 9 | 2 | 25 | 4 |
ศรีปทุม | 180–200 | 20–40 | 110–130 | 20–40 | 40–60 | 2–4 | 3–5 | 45–65 | 4–6 | |
นิด้า | 164–172 | 53–61 | 80–88 | 33–41 | 72–80 | 0–1 | 7–11 | 2–6 | 45–53 | 5–9 |
เลือกตั้ง 2562 | 136 | 116 | 81 | 53 | 51 | 10 | 10 | 3 | 0 | 0 |
การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ใช้งบประมาณแผ่นดินสูงถึง 5.9 พันล้านบาท[99] แต่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความผิดปกติและข้อผิดพลาดในการทำงานของ กกต.[99] ส่งผลให้แฮชแท็ก "#กกตมีไว้ทำไม" และ "#กกตต้องติดคุก" ขึ้นอันดับที่หนึ่งในทวิตเตอร์ พร้อมมีการล่ารายชื่อถอดถอน กกต.[100]
การเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เฝ้าระวัง โดยเกิดขึ้นแต่ในกรุงเทพมหานครที่มีการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิดเฝ้าหีบบัตรเลือกตั้งทุกจุดไว้ตลอดเวลา และจัดตั้งศูนย์ควบคุมระบบดังกล่าวขึ้นที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร พร้อมอำนวยความสะดวกให้ประชาชนดูภาพจากกล้องวงจรปิดได้ตามเวลาจริงผ่านทางลิงก์ของกรุงเทพมหานคร[101][102][103]
ในการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 เกิดปัญหาหลายประการ เช่น ระบบคิวอาร์โค้ดล่มตั้งแต่เปิดหีบ[104] เจ้าหน้าที่กรอกข้อมูลในบัตรหรือซองเลือกตั้งผิด ทำให้ประชาชนวิตกว่า จะกลายเป็นบัตรเสียหรือเป็นคะแนนที่ไม่ตรงตามเจตนา[105] เช่น ในจังหวัดนนทบุรี มีบัตรถึง 100 ใบที่เจ้าหน้าที่กรอกข้อมูลผิด[106] และไปรษณีย์ไทยแถลงว่า มีบัตรกว่า 1 หมื่นซองที่ไม่สามารถอ่านลายมือของเจ้าหน้าที่ออก จึงต้องส่งคืน กกต. ไปวินิจฉัย[107][108][109] นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่ยอมติดประกาศแนะนำพรรคการเมืองให้ครบทุกพรรค โดยมีรายงานว่า พรรคก้าวไกลหายไปมากที่สุด[106] และ กกต. ปฏิเสธที่จะรายงานผลการเลือกตั้งตามเวลาจริง[110] ทำให้สื่อมวลชนกว่า 50 องค์กรต้องร่วมมือกันรายงานผลให้แก่ประชาชนเอง[111]
กกต. สั่งให้เลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งที่ 10 เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครปฐม เนื่องจากพายุฝนทำให้การเลือกตั้งในวันเลือกตั้งทั่วไปติดขัด การเลือกตั้งใหม่มีในวันที่ 21 พฤษภาคม 2566[112] โดยพรรคก้าวไกลชนะในหน่วยเลือกตั้งดังกล่าว แต่ไม่มีผลต่อจำนวน ส.ส. ในเขตเลือกตั้งนั้น[113]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ (พฤษภาคม 2023) |
↓ | |||||||
151 | 25 | 26 | 10 | 36 | 40 | 71 | 141 |
ก้าวไกล | ปชป. | อื่น ๆ | ชพน. | รทสช. | พปชร. | ภูมิใจไทย | เพื่อไทย |
(ซ้าย) แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง, (ขวา) พรรคที่ได้คะแนนแบบบัญชีรายชื่อสูงสุดจำแนกตามเขตเลือกตั้ง
ก้าวไกล เพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ | |||||||||
พรรค | แบ่งเขต | บัญชีรายชื่อ | ที่นั่งรวม | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
คะแนนเสียง | % | ที่นั่ง | คะแนนเสียง | % | ที่นั่ง | ||||
ก้าวไกล | 9,665,433 | 25.98 |
112 | 14,438,851 | 38.48 |
39 | 151 / 500 | ||
เพื่อไทย | 9,340,082 | 25.11 |
112 | 10,962,522 | 29.22 |
29 | 141 / 500 | ||
ภูมิใจไทย | 5,133,441 | 13.80 |
68 | 1,138,202 | 3.03 |
3 | 71 / 500 | ||
พลังประชารัฐ | 4,186,441 | 11.25 |
39 | 537,625 | 1.43 |
1 | 40 / 500 | ||
รวมไทยสร้างชาติ | 3,607,575 | 9.70 |
23 | 4,766,408 | 12.70 |
13 | 36 / 500 | ||
ประชาธิปัตย์ | 2,278,857 | 6.12 |
22 | 925,349 | 2.47 |
3 | 25 / 500 | ||
ชาติไทยพัฒนา | 585,205 | 1.57 |
9 | 192,497 | 0.51 |
1 | 10 / 500 | ||
ประชาชาติ | 334,051 | 0.89 |
7 | 602,645 | 1.61 |
2 | 9 / 500 | ||
ไทยสร้างไทย | 872,893 | 2.34 |
5 | 340,178 | 0.91 |
1 | 6 / 500 | ||
ชาติพัฒนากล้า | 297,946 | 0.80 |
1 | 212,676 | 0.57 |
1 | 2 / 500 | ||
เพื่อไทรวมพลัง | 94,345 | 0.26 |
2 | 66,830 | 0.17 |
0 | 2 / 500 | ||
เสรีรวมไทย | 277,007 | 0.74 |
0 | 351,376 | 0.94 |
1 | 1 / 500 | ||
ประชาธิปไตยใหม่ | 13,583 | 0.03 |
0 | 273,428 | 0.73 |
1 | 1 / 500 | ||
ใหม่ | 1,365 | 0.00 |
0 | 249,731 | 0.67 |
1 | 1 / 500 | ||
ท้องที่ไทย | 1,202 | 0.00 |
0 | 201,411 | 0.54 |
1 | 1 / 500 | ||
เป็นธรรม | 9,653 | 0.00 |
0 | 184,817 | 0.49 |
1 | 1 / 500 | ||
พลังสังคมใหม่ | 20,353 | 0.05 |
0 | 177,8379 | 0.47 |
1 | 1 / 500 | ||
ครูไทยเพื่อประชาชน | 4,464 | 0.01 |
0 | 175,182 | 0.47 |
1 | 1 / 500 | ||
อื่น ๆ | 466,175 | 14.61 |
0 | 4,191,255 | 10.15 |
0 | 0 / 500 | ||
คะแนนสมบูรณ์ | 37,190,071 | 94.12 | 400 | 37,522,746 | 94.96 | 100 | 500 | ||
คะแนนเสีย | 1,457,899 | 3.69 | 1,509,836 | 3.82 | |||||
ไม่ประสงค์ลงคะแนน | 866,885 | 2.19 | 482,303 | 1.22 | |||||
จำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง | 39,514,973 | 75.71 | 39,514,964 | 75.71 | |||||
จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง | 52,238,594 | 100.00 | 52,238,594 | 100.00 | |||||
ที่มา: คณะกรรมการการเลือกตั้ง[114] |
จังหวัด | ที่นั่งรวม | พรรคที่ชนะ | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ก.ก. | พท. | ภท. | พปชร. | รทสช. | ปชป. | ชทพ. | ปชช | ทสท. | ชพก. | พทล. | อื่น ๆ | ||
กระบี่ | 3 | 3 | |||||||||||
กรุงเทพมหานคร | 33 | 32 | 1 | ||||||||||
กาญจนบุรี | 5 | 4 | 1 | ||||||||||
กาฬสินธุ์ | 6 | 4 | 1 | 1 | |||||||||
กำแพงเพชร | 4 | 4 | |||||||||||
ขอนแก่น | 11 | 3 | 6 | 2 | |||||||||
จันทบุรี | 3 | 3 | |||||||||||
ฉะเชิงเทรา | 4 | 1 | 2 | ||||||||||
ชลบุรี | 10 | 7 | 1 | 1 | 1 | ||||||||
ชัยนาท | 2 | 1 | 1 | ||||||||||
ชัยภูมิ | 7 | 3 | 2 | 2 | |||||||||
ตรัง | 4 | 1 | 1 | 2 | |||||||||
ชุมพร | 3 | 3 | |||||||||||
เชียงราย | 7 | 3 | 4 | ||||||||||
เชียงใหม่ | 10 | 7 | 2 | 1 | |||||||||
ตราด | 1 | 1 | |||||||||||
ตาก | 3 | 2 | 1 | ||||||||||
นครนายก | 2 | 2 | |||||||||||
นครปฐม | 6 | 2 | 1 | 3 | |||||||||
นครพนม | 4 | 2 | 2 | ||||||||||
นครราชสีมา | 16 | 3 | 12 | 1 | |||||||||
นครศรีธรรมราช | 10 | 2 | 1 | 1 | 6 | ||||||||
นครสวรรค์ | 6 | 1 | 1 | 2 | 1 | 1 | |||||||
นนทบุรี | 8 | 8 | |||||||||||
นราธิวาส | 5 | 1 | 2 | 1 | 1 | ||||||||
น่าน | 3 | 3 | |||||||||||
บึงกาฬ | 3 | 1 | 2 | ||||||||||
บุรีรัมย์ | 10 | 10 | |||||||||||
ปทุมธานี | 7 | 6 | 1 | ||||||||||
ประจวบคีรีขันธ์ | 3 | 1 | 2 | ||||||||||
ปราจีนบุรี | 3 | 1 | 2 | ||||||||||
ปัตตานี | 5 | 1 | 1 | 3 | |||||||||
พระนครศรีอยุธยา | 5 | 2 | 3 | ||||||||||
พะเยา | 3 | 3 | |||||||||||
พังงา | 2 | 1 | 1 | ||||||||||
พัทลุง | 3 | 1 | 2 | ||||||||||
พิจิตร | 3 | 3 | |||||||||||
พิษณุโลก | 5 | 2 | 2 | 1 | |||||||||
เพชรบุรี | 3 | 1 | 2 | ||||||||||
เพชรบูรณ์ | 6 | 6 | |||||||||||
แพร่ | 3 | 3 | |||||||||||
ภูเก็ต | 3 | 3 | |||||||||||
มหาสารคาม | 6 | 5 | 1 | ||||||||||
มุกดาหาร | 2 | 1 | 1 | ||||||||||
แม่ฮ่องสอน | 2 | 1 | 1 | ||||||||||
ยโสธร | 3 | 1 | 1 | 1 | |||||||||
ยะลา | 3 | 3 | |||||||||||
ร้อยเอ็ด | 8 | 5 | 1 | 1 | 1 | ||||||||
ระนอง | 1 | 1 | |||||||||||
ระยอง | 5 | 5 | |||||||||||
ราชบุรี | 5 | 3 | 2 | ||||||||||
ลพบุรี | 5 | 1 | 2 | 2 | |||||||||
ลำปาง | 4 | 3 | 1 | ||||||||||
ลำพูน | 2 | 1 | 1 | ||||||||||
เลย | 4 | 3 | 1 | ||||||||||
ศรีสะเกษ | 9 | 7 | 2 | ||||||||||
สกลนคร | 7 | 5 | 1 | 1 | |||||||||
สงขลา | 9 | 1 | 1 | 1 | 6 | ||||||||
สตูล | 2 | 2 | |||||||||||
สมุทรปราการ | 8 | 8 | |||||||||||
สมุทรสงคราม | 1 | 1 | |||||||||||
สมุทรสาคร | 3 | 3 | |||||||||||
สระแก้ว | 3 | 1 | 2 | ||||||||||
สระบุรี | 4 | 1 | 1 | 1 | 1 | ||||||||
สิงห์บุรี | 1 | 1 | |||||||||||
สุโขทัย | 4 | 4 | |||||||||||
สุพรรณบุรี | 5 | 5 | |||||||||||
สุราษฎร์ธานี | 7 | 1 | 6 | ||||||||||
สุรินทร์ | 8 | 3 | 5 | ||||||||||
หนองคาย | 3 | 2 | 1 | ||||||||||
หนองบัวลำภู | 3 | 3 | |||||||||||
อ่างทอง | 2 | 2 | |||||||||||
อำนาจเจริญ | 2 | 2 | |||||||||||
อุดรธานี | 10 | 1 | 7 | 2 | |||||||||
อุตรดิตถ์ | 3 | 3 | |||||||||||
อุทัยธานี | 2 | 2 | |||||||||||
อุบลราชธานี | 11 | 4 | 3 | 1 | 1 | 2 | |||||||
บัญชีรายชื่อ | 100 | 39 | 29 | 3 | 1 | 13 | 3 | 1 | 2 | 1 | 1 | 7 | |
รวม | 500 | 151 | 141 | 71 | 40 | 36 | 25 | 10 | 9 | 6 | 2 | 2 | 7 |
ที่มา: Thai PBS |
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลครบ 400 เขตเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ยกเว้นหน่วยเลือกตั้งที่ 10 เขต 1 จังหวัดนครปฐม ที่ประสบวาตภัยทำให้ไม่สามารถลงคะแนนได้ ซึ่ง กกต. กำหนดให้การลงคะแนนในหน่วยดังกล่าวใหม่อีกสามวันหลังจากนั้น หลังจากนั้นจึงประกาศผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ทั้งนี้ มีผู้มาใช้สิทธิ์คิดเป็น 75.71% สูงที่สุดนับตั้งแต่ กกต. จัดการเลือกตั้ง มีพรรคการเมืองที่ได้ ส.ส. จำนวน 18 พรรค ในจำนวนนี้มี 10 พรรค ได้ ส.ส. ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ, มี 1 พรรค ได้ ส.ส. เฉพาะแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง นอกนั้นได้ ส.ส. เฉพาะแบบบัญชีรายชื่อเท่านั้น[115]
พรรคก้าวไกลได้ที่นั่งในสภามากที่สุด 151 ที่นั่ง[116] มากกว่าคู่แข่งหลักคือพรรคเพื่อไทยถึง 10 ที่นั่ง นักวิเคราะห์ตีความว่านี่เป็นแผ่นดินไหวทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในความคิดเห็นของประชาชน ในขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลและนักวิเคราะห์การเมือง เรียกปรากฏการณ์ที่เกิดในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าเป็น "สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง" และ "รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่"[117] พรรคก้าวไกลทำสำเร็จเหนือความคาดหมาย เอาชนะพรรคเพื่อไทยที่ตั้งเป้าจะชนะขาดลอย ทำลายสถิติของพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคที่มี ส.ส. มากที่สุดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 (ตั้งแต่ พรรคไทยรักไทย และ พรรคพลังประชาชน)[118] ทั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านเก่า 2 พรรคหลัก คือ พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ได้ตกลงจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ 'สนับสนุนประชาธิปไตย' พร้อมกับอีก 6 พรรค คือ พรรคประชาชาติ, พรรคไทยสร้างไทย, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคเป็นธรรม, พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคเพื่อไทรวมพลัง[119] โดยมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2566[120] อย่างไรก็ตามในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยได้ขอถอนตัวออกจากการร่วมมือจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล รวมทั้งจะเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และจะไม่มีพรรคก้าวไกลเป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดยให้เหตุผลว่า พรรคก้าวไกลไม่ยอมถอยเรื่องแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทำให้พรรคบางพรรคและสมาชิกวุฒิสภาไม่โหวตสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล[121] โดยท้ายที่สุด ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยสามารถรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ 315 เสียง จากพรรคร่วมทั้งสิ้น 12 พรรค (พรรคเพื่อไทย 141 เสียงกับอีก 11 พรรค[lower-alpha 6]) ส่วนการแบ่งตำแหน่งรัฐมนตรีจะใช้เกณฑ์ 9 ที่นั่งต่อ 1 ตำแหน่งรัฐมนตรี[122]
สติธร ธนานิธิโชติ วิเคราะห์ว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้คือความพ่ายแพ้ของฝ่ายอนุรักษนิยม ส่วน รองศาตราจารย์ ดร. ประจักษ์ ก้องกีรติ อดีตรองคณบดี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าคะแนนเสียงนี้ส่งเสียงเตือนไปยังสมาชิกวุฒิสภามิให้ลงมติฝืนมติมหาชน บีบีซีไทยวิเคราะห์ว่าความพ่ายแพ้นี้เกิดจากการตัดคะแนนกันเองระหว่างพรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ, ระบบเลือกตั้งที่ไม่เอื้อต่อพรรคเกิดใหม่, ความเบื่อหน่ายต่อการบริหารประเทศของประยุทธ์ รวมถึงการหาเสียงของพรรคฝ่ายค้านเดิมที่ต้องการตัดวงจรของทหารออกจากการเมืองอย่างเด็ดขาด[123] นอกจากนี้ยังวิเคราะห์ว่า การที่พรรคเพื่อไทยพลาดเป้า "แลนด์สไลด์" นั้น เกิดจากการวางแผนที่ผิดพลาด, จุดยืนทางการเมืองที่ไม่ชัดเจน, การไม่ลงดีเบตเองของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รวมถึงการประกาศพร้อมกลับประเทศไทยของทักษิณ ชินวัตร ทำให้พรรคเพื่อไทยเสียคะแนนในพื้นที่ กทม. และหัวเมือง[124]
วาสนา นาน่วม วิเคราะห์ว่าคะแนนของพรรคก้าวไกลบางส่วนที่มาจากพลทหารและนักเรียนนายร้อย อาจสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการปฏิรูปกองทัพของบุคคลกลุ่มดังกล่าว[125]
15 มิถุนายน พ.ศ. 2566 มีเอกสารที่นำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ครั้งที่ 1 ปรากฎว่ามี ว่าที่ ส.ส.ที่ประกาศผลรับรอง 329 คน ขณะที่มี 71 เขต ที่มีเรื่องร้องคัดค้าน มีรายงานว่า เอกสารดังกล่าวอาจเป็นเอกสารสรุปของฝ่ายปฏิบัติการ แจ้งเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ที่ยังไม่ได้นำเสนอต่อที่ประชุม กกต.[126] มีทั้งสิ้น 8 พรรค โดยมีดังนี้
สีแสดง | สิ้นสภาพการเป็น สส. | |
---|---|---|
ศาลฎีการับคำร้อง และถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ | ||
อยู่ระหว่างยื่นคำร้อง | ||
ถูกยกคำร้อง |
ลำดับ | รายชื่อ สส. | เขตที่ลงเลือกตั้ง | ข้อกล่าวหา | สถานะปัจจุบัน |
---|---|---|---|---|
พรรคก้าวไกล | ||||
1 | รักชนก ศรีนอก | กรุงเทพมหานคร เขต 28 | โพสต์พาดพิงอดีตผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ในเฟซบุ๊ก เหตุจากการถูกผู้สนับสนุนพรรคดังกล่าวปล่อยข่าวเท็จ[127] |
ยังดำรงตำแหน่ง |
2 | ชริน วงศ์พันธ์เที่ยง | พระนครศรีอยุธยา เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
3 | ปดิพัทธ์ สันติภาดา | พิษณุโลก เขต 1 | ถูกตัดสิทธิทางการเมือง เป็นเวลา 10 ปี จากคดียุบพรรค | |
4 | จรัส คุ้มไข่น้ำ | ชลบุรี เขต 8 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
5 | ยอดชาย พึ่งพร | ชลบุรี เขต 9 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
6 | เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู | เชียงใหม่ เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
7 | สมชาติ เตชถาวรเจริญ | ภูเก็ต เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
พรรคไทยสร้างไทย | ||||
1 | สุภาพร สลับศรี | ยโสธร เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
2 | หรั่ง ธุระพล | อุดรธานี เขต 3 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
พรรคประชาธิปัตย์ | ||||
1 | อวยพรศรี เชาวลิต | นครศรีธรรมราช เขต 9 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
2 | สุพัชรี ธรรมเพชร | พัทลุง เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
3 | เดชอิศม์ ขาวทอง | สงขลา เขต 5 | โฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพ หรือการรื่นเริงต่างๆ | ยังดำรงตำแหน่ง (ยกคำร้อง)[128] |
พรรคพลังประชารัฐ | ||||
1 | ไผ่ ลิกค์ | กำแพงเพชร เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
2 | สะถิระ เผือกประพันธุ์ | ชลบุรี เขต 10 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
3 | อัครแสนคีรี โล่ห์วีระ | ชัยภูมิ เขต 7 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
4 | นเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ | เชียงใหม่ เขต 9 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
5 | ทวี สุระบาล | ตรัง เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
6 | ฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ | พังงา เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
7 | จักรัตน์ พั้วช่วย | เพชรบูรณ์ เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
8 | วันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ | เพชรบูรณ์ เขต 5 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
9 | อัคร ทองใจสด | เพชรบูรณ์ เขต 6 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
10 | วิริยะ ทองผา | มุกดาหาร เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
11 | รัชนี พลซื่อ | ร้อยเอ็ด เขต 3 | ทุจริตแจกเงินชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จูงใจลงคะแนนสมัย เลือกตั้งซ่อมนายก อบจ. พ.ศ. 2565[129] |
ยังดำรงตำแหน่ง[lower-alpha 7] |
12 | ชัยมงคล ไชยรบ | สกลนคร เขต 5 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
13 | ขวัญเรือน เทียนทอง | สระแก้ว เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
14 | โชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ | สิงห์บุรี เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
พรรคเพื่อไทย | ||||
1 | อัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ | กาญจนบุรี เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
2 | ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ | กาญจนบุรี เขต 4 | การขุดบ่อผิดแบบและส่อทุจริต เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล[130] |
ยังดำรงตำแหน่ง (ยกคำร้อง)[131] |
3 | ศักดิ์ชาย ตันเจริญ | ฉะเชิงเทรา เขต 3 | ใช้อาชีพพิธีกรของ คชาภา ตันเจริญ พี่ชายของตน ปราศรัยหาเสียงเอื้อประโยชน์ จูงใจคนลงคะแนนเลือกตั้ง |
ยังดำรงตำแหน่ง (ยกคำร้อง)[132] |
4 | ศิวะ พงศ์ธีระดุลย์ | ชัยภูมิ เขต 5 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
5 | ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ | นครพนม เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
6 | มนพร เจริญศรี | นครพนม เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
7 | สมเกียรติ ตันดิลกตระกูล | นครราชสีมา เขต 5 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
8 | อภิชา เลิศพชรกมล | นครราชสีมา เขต 10 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
9 | นรเสฎฐ์ ศิริโรจนกุล | นครราชสีมา เขต 12 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
10 | ไชยวัฒนา ติณรัตน์ | มหาสารคาม เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
11 | เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล | เลย เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
12 | ศรัณย์ ทิมสุวรรณ | เลย เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
13 | สมเจตน์ แสงเจริญรัตน์ | เลย เขต 4 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
14 | ธเนศ เครือรัตน์ | ศรีสะเกษ เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
15 | สุรชาติ ชาญประดิษฐ์ | ศรีสะเกษ เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
16 | วรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ | อุบลราชธานี เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
17 | กิตติ์ธัญญา วาจาดี | อุบลราชธานี เขต 4 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
18 | สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ | อุบลราชธานี เขต 7 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
19 | พัฒนา สัพโส | สกลนคร เขต 4 | โพสต์หาเสียงเกินเวลาในเฟซบุ๊ก[133] | ยังดำรงตำแหน่ง |
20 | สรวงศ์ เทียนทอง | สระแก้ว เขต 3 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
พรรคเพื่อไทรวมพลัง | ||||
1 | สมศักดิ์ บุญประชม | อุบลราชธานี เขต 10 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
พรรคภูมิใจไทย | ||||
1 | ยศวัฒน์ มาไพศาลสิน | กาญจนบุรี เขต 3 | โพสต์เข้าข่ายหาเสียงเกินเวลาในเฟซบุ๊ก | ยังดำรงตำแหน่ง (ยกคำร้อง)[134] |
2 | สัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ | ชัยภูมิ เขต 3 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
3 | เอกราช ช่างเหลา | ขอนแก่น เขต 4 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
4 | องอาจ ฉัตรชัยพลรัตน์ | ขอนแก่น เขต 11 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
5 | ษฐา ขาวขำ | นครศรีธรรมราช เขต 7 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
6 | มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล | นครศรีธรรมราช เขต 8 | การซื้อเสียง[135] | ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่[136] |
7 | สุวรรณา กุมภิโร | บึงกาฬ เขต 2 | ให้ทรัพย์สินวัด หาเสียงรื่นเริง[137] | ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่[138] |
8 | รังสิกร ทิมาตฤกะ | บุรีรัมย์ เขต 4 | การซื้อเสียง[139] | ยังดำรงตำแหน่ง |
9 | โสภณ ซารัมย์ | บุรีรัมย์ เขต 5 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
10 | ศักดิ์ ซารัมย์ | บุรีรัมย์ เขต 6 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
11 | พรชัย ศรีสุริยันโยธิน | บุรีรัมย์ เขต 7 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
12 | พิมพฤดา ตันจรารักษ์ | พระนครศรีอยุธยา เขต 3 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
13 | ประดิษฐ์ สังขจาย | พระนครศรีอยุธยา เขต 5 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
14 | อรรถพล ไตรศรี | พังงา เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
15 | ภัทรพงศ์ ภัทรประสิทธิ์ | พิจิตร เขต 1 | การซื้อเสียง | ยังดำรงตำแหน่ง (ยกคำร้อง)[140] |
16 | ฤกษ์ อยู่ดี | เพชรบุรี เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
17 | สังคม แดงโชติ | ประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
18 | ธนา กิจไพบูลย์ชัย | ศรีสะเกษ เขต 3 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
19 | อาสพลธ์ สรรณ์ไตรภพ | ศรีสะเกษ เขต 8 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
20 | สุขสมรวย วันทนียกุล | อำนาจเจริญ เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
21 | ญาณีนาถ เข็มนาค | อำนาจเจริญ เขต 2 | ทำร้ายร่างกายอดีตผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ[141] | ยังดำรงตำแหน่ง |
พรรครวมไทยสร้างชาติ | ||||
1 | พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล | นครศรีธรรมราช เขต 10 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
2 | พงษ์มนู ทองหนัก | พิษณุโลก เขต 3 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
3 | พิพิธ รัตนรักษ์ | สุราษฎร์ธานี เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
แต่ถึงกระนั้น กกต. ก็ประกาศรับรอง สส. ทั้ง 500 คนก่อน โดยได้ชี้แจงว่าจะดำเนินการพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง
หลังการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งมีการให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครดังต่อไปนี้
ลำดับ | รายชื่อ | จังหวัด | ข้อกล่าวหา | มติ กกต. | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|---|
พรรคประชาธิปัตย์ | |||||
1 | เกศกานดา อินช่วย | กรุงเทพมหานคร เขต 16 (อดีตผู้สมัคร) |
ซื้อเสียง[142] | ||
พรรคพลังประชารัฐ | |||||
2 | พรวิศิษฐ์ แจ่มใส | นครสวรรค์ เขต 5 (อดีตผู้สมัคร) |
ซื้อเสียง[143] | ||
3 | รัชนี พลซื่อ | ร้อยเอ็ด เขต 3 | ทุจริตแจกเงินชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านจูงใจลงคะแนนสมัยเลือกตั้งซ่อม นายก อบจ. พ.ศ. 2565 |
อยู่ระหว่างการยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ให้พิจารณาตัดสิทธิ์ทางการเมือง | |
พรรคภูมิใจไทย | |||||
4 | มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล | นครศรีธรรมราช เขต 8 | ซื้อเสียง | ||
5 | สมชาย ภิญโญ | นครราชสีมา เขต 6 (อดีตผู้สมัคร) |
ซื้อเสียง[144] | ||
6 | สมชาย เล่งหลัก | สงขลา เขต 9 (อดีตผู้สมัคร) |
ซื้อเสียง[145] | ศาลฎีกาพิพากษาตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี[146] | |
7 | สุวรรณา กุมภิโร | บึงกาฬ เขต 2 | ให้ทรัพย์สินวัด หาเสียงรื่นเริง | ||
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.