อดีตรองนายกรัฐมนตรีไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ชื่อเกิด ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ[1]; เกิด 11 สิงหาคม พ.ศ. 2488) ชื่อเล่น ป้อม เป็นทหารบกและนักการเมืองชาวไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้า พรรคพลังประชารัฐ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ ประธานกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เคยดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26ได้ชื่อว่าเป็น "พี่ใหญ่" ของกลุ่มแยกบูรพาพยัคฆ์และกลุ่ม 3 ป.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ | |
---|---|
![]() ประวิตรใน พ.ศ. 2561 | |
รักษาการนายกรัฐมนตรี | |
ดำรงตำแหน่ง 24 สิงหาคม พ.ศ. 2565 – 30 กันยายน พ.ศ. 2565 (1 เดือน 6 วัน) | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว |
นายกรัฐมนตรี | ประยุทธ์ จันทร์โอชา[a] |
รองนายกรัฐมนตรี | |
ดำรงตำแหน่ง 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557 – 1 กันยายน พ.ศ. 2566 (9 ปี 2 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | ประยุทธ์ จันทร์โอชา |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม | |
ดำรงตำแหน่ง 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 – 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554 (2 ปี 7 เดือน 20 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ |
ก่อนหน้า | สมชาย วงศ์สวัสดิ์ |
ถัดไป | ยุทธศักดิ์ ศศิประภา |
ดำรงตำแหน่ง 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557 – 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 (4 ปี 10 เดือน 10 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | ประยุทธ์ จันทร์โอชา |
ก่อนหน้า | ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร |
ถัดไป | ประยุทธ์ จันทร์โอชา |
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ | |
เริ่มดำรงตำแหน่ง 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 (1 ปี 8 เดือน 30 วัน) | |
หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ | |
เริ่มดำรงตำแหน่ง 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563 (4 ปี 7 เดือน 17 วัน) | |
ก่อนหน้า | อุตตม สาวนายน |
ผู้บัญชาการทหารบก | |
ดำรงตำแหน่ง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2547 – 30 กันยายน พ.ศ. 2548 (11 เดือน 29 วัน) | |
ก่อนหน้า | พลเอก ชัยสิทธิ์ ชินวัตร |
ถัดไป | พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2488 จังหวัดพระนคร ประเทศไทย |
พรรคการเมือง | พลังประชารัฐ (2562–ปัจจุบัน) |
บุพการี |
|
ญาติ |
|
ชื่อเล่น | ป้อม |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | ไทย |
สังกัด | กองทัพบกไทย |
ประจำการ | พ.ศ. 2512–2548 |
ยศ | พลเอก |
หน่วย | กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ |
บังคับบัญชา | กองทัพบก |
ผ่านศึก | สงครามเวียดนาม สงครามกลางเมืองลาว |
พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ที่จังหวัดพระนคร เป็นบุตรคนโตของ พล.ต. ประเสริฐ กับนางสายสนี วงษ์สุวรรณ มีน้องชาย 4 คน คือ
เขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียลในปี พ.ศ. 2505 จากนั้นในปี พ.ศ. 2508 ได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 และศึกษาต่อ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 17 สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2512 ในปี พ.ศ. 2521 เข้าศึกษาโรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำ ชุดที่ 56 และในปี พ.ศ. 2540 สำเร็จหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 40 ในปี พ.ศ. 2556
เขาถือได้ว่าเป็นนายทหารที่เติบโตมาจากกองทัพภาคที่ 1 ทางภาคตะวันออกมาโดยตลอด โดยสังกัดกับกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ หรือคนส่วนใหญ่ที่เรียกกันว่า "ทหารเสือราชินี" ถือได้ว่าเป็นนายทหารรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับนายทหารอดีตผู้บัญชาการทหารบก 2 นาย คือ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พล.อ. ประวิตรเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี พ.ศ. 2551 ปีต่อมาเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ประจำกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 98/2552
ปลาย พ.ศ. 2553 สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ได้ตั้งฉายาว่า "ป้อมทะลุเป้า" สืบเนื่องจากผลงานด้านความมั่นคงในการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บรรลุเป้าหมาย รวมถึงการขออนุมัติงบประมาณต่าง ๆ ที่ถูกครหา[3] ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
เขาเป็นที่ทราบกันว่าเป็น "พี่ใหญ่" ของกลุ่มทหารที่เรียกลำลองกันว่า"บูรพาพยัคฆ์" ซึ่งหมายถึงทหารที่เริ่มต้นรับราชการจาก กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระหว่างปี 2551 จนถึง 2554 กล่าวว่าตลอดอาชีพของประวิตร เขาให้คำปรึกษาแก่พล.อ. ประยุทธ์ และช่วยให้เขาได้เลื่อนขั้น
หลังจากการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นประธานที่ปรึกษา และเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา[4] เขายังเป็นประธานคณะกรรมการอีกกว่า 50 คณะ[5]
ต่อมาในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563 พรรคพลังประชารัฐ ได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยมีการแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ พล.อ. ประวิตรได้รับการเลือกเป็นหัวหน้าพรรค[6]
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2565 พล.อ. ประวิตรเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พล.อ. ประยุทธ์ยุติการปฏิบัติหน้าที่ นับเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนที่ 11 ที่ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 เกิดความขัดแย้งระหว่าง พล.อ. ประวิตร และ พล.อ. ประยุทธ์ในพรรคพลังประชารัฐ[7] ไม่นานหลังจากนั้นพรรคมีการปรับภาพลักษณ์ของ พล.อ. ประวิตรให้เป็นนายทหารประชาธิปไตย เข้าถึงได้กับทุกกลุ่ม[8] เดือนมกราคมปีถัดมา พล.อ. ประยุทธ์ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ[9] ขณะเดียวกันพล.อ. ประวิตรกล่าวว่าพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี และระบุว่าตนยังมีความสัมพันธ์อันดีกับพล.อ. ประยุทธ์ และพล.อ. อนุพงษ์ในฐานะพี่น้อง แม้จะมีความเห็นทางการเมืองที่ต่างกันก็ตาม[10]
เดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 พล.อ. ประวิตรได้พบกับภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หนึ่งในแกนนำกลุ่มราษฎร เขากล่าวกับเธอว่าจะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก[11] เดือนถัดมาเขาสมัครเป็น ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และเป็นบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทยเพียงคนเดียวของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งนี้ ในการเลือกตั้งเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน เขาได้รับเลือกเป็น ส.ส. สมัยแรก และเป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อคนเดียวของ พปชร.
ใน พ.ศ. 2554 ได้รับตำแหน่งเป็นคณะดำเนินคดี ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กรณีประเทศกัมพูชาฟ้องร้องประเทศไทย[13]
ใน พ.ศ. 2558 เขาเป็นกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี 12 คณะกรรมการ[14]
ในปี พ.ศ. 2513 พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในยศ"ร้อยตรี"ขณะนั้น ได้อาสาสมัครไปราชการสงคราม ณ สาธารณรัฐเวียดนาม ในหน่วยกองพลทหารอาสาสมัคร ในตำแหน่งผู้บังคับหมวดสื่อสาร กรมทหารราบที่ 2 กองพลทหารอาสาสมัคร[15]
การยกมือขึ้นบังแดดของพลเอกประวิตร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างรอถ่ายรูปกับคณะรัฐมนตรีใหม่ "ประยุทธ์ 1/5" เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามว่าเหตุใด นาฬิกาเรือนโตยี่ห้อริชาร์ดมิลล์ (Richard Mille) จำนวน 9 เรือน จึงไม่ปรากฏอยู่ในประเภท "ทรัพย์สินอื่น" ที่มีราคามากกว่าสองแสนบาท ในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ของพล.อ. ประวิตร เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเมื่อปี พ.ศ. 2557[16]
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากเอกสารแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของพล.อ. ประวิตร ที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557 นั้น พบว่าพล.อ. ประวิตร มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 87,373,757.62 บาท ประกอบไปด้วย
และรถฟ็อลคส์วาเกิน (Volkswagen) ครอบครองปี พ.ศ. 2543 และไม่พบว่ามีการยื่นชี้แจงในส่วนของบัญชีทรัพย์สินอื่น ๆ ที่มีมูลค่าเกิน 2 แสนบาทไว้ โดยคาดว่านาฬิกาประดับข้อมือของพล.อ. ประวิตร น่าจะเป็นยี่ห้อริชาร์ดมิลล์ (Richard Mille) รุ่น RM 029 ตัวเรือนทำด้วยแพลทินัม ส่วนสายเป็นยางอย่างดี มีจุดเด่นอยู่ตรงตัวเลขวันที่ขนาดใหญ่ สนนราคา 111,492.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3.6 ล้านบาท ขณะที่แหวนเพชรก็น่าจะอยู่ที่ราว 5 กะรัตขึ้นไป โดยมูลค่าในตลาดของเพชรเริ่มต้นที่ 4–7 ล้านบาท[17]
สื่อมวลชนได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงการที่พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่กล้าปลดพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่า เนื่องจากเขาเป็นมือประสานสิบทิศรู้จักคนในวงการนักการเมืองและทหารตำรวจอย่างกว้างขวาง[18]
เมื่อปี พ.ศ. 2559 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางไปฮาวาย ระหว่าง 29 กันยายน – 2 ตุลาคม ณ รัฐฮาวาย สหรัฐ เครื่องบิน โบอิง 747-400 โดยใช้เงิน จำนวน 20,953,800 ล้าน[19]บาท ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นตัวเลขที่สูงเกินความจำเป็น[20][21] ในปี พ.ศ. 2561 ปปช. ไม่รับไต่สวนกรณีเหมาลำฮาวาย ระบุไม่พบการกระทำใดที่ผิดราชการ จึงมีมติไม่รับไว้พิจารณา[22][23]
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567 พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขณะเดินทางไปงานเลี้ยงฉลองนักกีฬาโอลิมปิก ได้แสดงท่าทีฉุนเฉียวต่อนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่ได้ถามเกี่ยวกับการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันเดียวกัน จนตบศีรษะที่นักข่าว ต่อมา องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการคุกคามนักข่าว และเรียกร้องให้พล.อ. ประวิตรรับผิดชอบ[24] รวมทั้งสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เตรียมยื่นสอบจริยธรรมร้ายแรงแก่ พล.อ. ประวิตร[25] ต่อมา พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. และโฆษกพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าตนเตรียมนำประเด็นดังกล่าวหารือที่ประชุมในวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2567[26]
หลังพลเอก ประวิตร ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ เขาไม่มาประชุมสภาดังกล่าวเกือบ 90% โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 ถึงกันยายน 2567 เขาไม่มาประชุม 84 จาก 95 ครั้ง[27]
จากพฤติกรรมดังกล่าวรวมถึงความเกี่ยวข้องกับกรณีไร่ภูนับดาว ส่งผลให้สื่อมวลชนรัฐสภาตั้งฉายาให้เขาเป็น "ดาวดับ" ร่วมกับธิษะณา ชุณหะวัณ จากพรรคประชาชน[28]
พล.อ. ประวิตร แสดงความคิดเห็นภายหลังเหตุเรือล่มในจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. 2561 ว่า "คนจีนเป็นเป็นคนนำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา เป็นเรื่องของนักท่องเที่ยวเขา เขาทำของเขาเอง เขาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เราจะให้ไปเรียกความเชื่อมั่นได้อย่างไร" ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกประเทศ[29]
หลังเหตุการณ์โจมตีโรงแรมที่ไนโรบี พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นการโจมตีโรงแรมดุสิตดีทูในเครือดุสิตธานีโดยกลุ่มติดอาวุธ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ประวิทย์ให้สัมภาษณ์ว่า มูลเหตุหนึ่งที่ทำให้กลุ่มติดอาวุธโจมตีนั้นอาจเกิดจากการที่อาหารในโรงแรมอร่อย ส่งผลให้มีผู้ไม่พอใจในความคิดเห็นดังกล่าวทั้งในและต่างประเทศ[30]
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของประเทศไทยและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของต่างประเทศต่าง ๆ[31] ดังนี้
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.