Loading AI tools
ส่วนของกองทัพไทยภายใต้การควบคุมของกระทรวงกลาโหมและกองบัญชาการกองทัพไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กองทัพเรือไทย หรือ ราชนาวีไทย (คำย่อ: ทร., อังกฤษ: Royal Thai Navy) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการปฏิบัติการทางทหารในทะเล ลำน้ำ และพื้นที่บริเวณชายฝั่งของประเทศไทย กองทัพเรือมีจำนวนกำลังพลประจำการเป็นลำดับ 2 (รองจากกองทัพบก) ซึ่งมีเรือปฏิบัติการด้วยเรือรบกว่า 74 ลำ อากาศยานกว่า 90 เครื่อง และกำลังรบทางบกอีก 2 กองพล นับเป็นกองทัพเรือที่มีความสำคัญในลำดับต้นของภูมิภาคเอเชีย กองทัพเรือมีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด โดยเป็นหน่วยงานในสังกัดของกองบัญชาการกองทัพไทย ที่มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้บังคับบัญชา และอยู่ในสังกัดของกระทรวงกลาโหม
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
กองทัพเรือมีพื้นที่ปฏิบัติการหลักทั้งในอ่าวไทย และทะเลอันดามัน ตามแนวเขตแดนระหว่างประเทศในทะเลความยาวกว่า 1,680 ไมล์ และตามแนวชายฝั่งความยาวกว่า 1,500 ไมล์ หน่วยต่าง ๆ ในสังกัดกองทัพเรือมีลักษณะการจัดโครงสร้างหน่วยที่คล้ายกับกองทัพเรือสหรัฐอเมริกามาก โดยเฉพาะในหน่วยกำลังรบ คือ กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ (กบร. กร.) หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ (นสร. กร.) และหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (นย.)
กองทัพเรือมีหน้าที่เตรียมกำลังกองทัพเรือ การป้องกันราชอาณาจักร และดำเนินการเกี่ยวกับการใช้กำลังกองทัพเรือตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551[3] ตลอดจนหน้าที่อื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล
จากหน้าที่ดังกล่าวทำให้กองทัพเรือมีภารกิจ คือ
บทบาทของกองทัพเรือในปัจจุบัน คือ
กองทัพเรือมีกำเนิดควบคู่มากับการสร้างอาณาจักรไทยนับตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี กองทัพไทยในสมัยเดิมนั้นมีเพียงทหารเหล่าเดียวมิได้แบ่งแยกออกเป็นกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ อย่างเช่นในสมัยปัจจุบัน หากยาตราทัพไปทางบกก็เรียกว่า ทัพบก หากยาตราทัพไปทางเรือก็เรียกว่า ทัพเรือ การจัดระเบียบการปกครองบังคับบัญชากองทัพไทยในยามปกติยังไม่มีแบบแผนที่แน่นอน ในยามศึกสงครามได้ใช้ทหารทัพบกและทัพเรือรวม ๆ กันไป ในการยาตราทัพเพื่อทำศึกสงครามภายในอาณาจักรหรือนอกอาณาจักร ก็มีความจำเป็นต้องใช้เรือเป็นพาหนะในการลำเลียงทหารและเครื่องศัสตราวุธ เรือนอกจากจะสามารถลำเลียงเสบียงอาหารได้คราวละมาก ๆ แล้ว ยังสามารถลำเลียงอาวุธหนัก เช่น ปืนใหญ่ ไปได้สะดวกและรวดเร็วกว่าทางบกด้วย จึงนิยมยกทัพไปทางเรือจนสุดทางน้ำแล้วจึงยกทัพต่อไปทางบก กิจการทหารเรือดำเนินไปเช่นนี้จนถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
พ.ศ. 2394 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กิจการทหารเรือเริ่มแบ่งออกมาชัดเจน และแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ทหารเรือวังหลวง (ทหารมะรีนสำหรับเรือรบ) ขึ้นตรงกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สมุหพระกลาโหม และทหารเรือวังหน้า ขึ้นตรงกับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทหารเรือวังหน้ามีหน่วยขึ้นในสังกัด คือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสาจาม และกองทะเล (บางทีเรียกว่ากองกะลาสี) ส่วนกรมอรสุมพลมีหน่วยขึ้นในสังกัด คือ กรมเรือกลไฟ กรมอาสามอญ และกรมอาสาจาม ซึ่งทหารทั้งสองหน่วยนี้เป็นอิสระจากกัน
พ.ศ. 2408 ในสมัยต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การปกครองประเทศยังเป็นระบบจตุสดมภ์อยู่โดยมีกรมพระกลาโหมว่าการฝ่ายทหาร ในขณะนั้นกิจการฝ่ายทหารเรือแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ทหารเรือวังหน้า หรือทหารเรือฝ่ายพระราชวังบวร ขึ้นตรงกับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ) และทหารเรือวังหลวง หรือกรมอรสุมพล ขึ้นตรงกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และต่อมาในปี พ.ศ. 2412 ขึ้นตรงกับเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ สมุหพระกลาโหม
พ.ศ. 2415 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปรับปรุงหน่วยทหารในกองทัพขึ้นใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 9 หน่วย โดยในส่วนของทหารเรือวังหลวง คือ กรมทหารเรือพระที่นั่ง (เวสาตรี) และกรมอรสุมพล
พ.ศ. 2428 กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสด็จทิวงคต ทหารเรือวังหน้าได้ถูกยุบเลิกไป จึงทำให้ทหารเรือในขณะนั้นมี 2 ส่วน คือ กรมทหารเรือพระที่นั่ง ขึ้นตรงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนกรมอรสุมพล ขึ้นตรงกับเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ สมุหพระกลาโหม
8 เมษายน พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาทั่วไปในกรมทหาร (Commander-in-chief) ตามโบราณราชประเพณี เพื่อให้เกิดการประสานงานที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยทหารต่าง ๆ พร้อมกับประกาศจัดการทหาร โดยจัดตั้งกรมยุทธนาธิการขึ้น ซึ่งเป็นการรวมกองทหารบกและกองทหารเรือเอาไว้ด้วยกัน ทั้งหมด ขึ้นตรงกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร แต่ในระหว่างที่ยังทรงพระเยาว์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นผู้แทนผู้บังคับบัญชาการทั่วไปในกรมทหาร สำหรับกองทหารเรือทรงตั้ง นายพลเรือโท พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ เป็นเจ้าพนักงานใหญ่ผู้ช่วยบัญชาการทหารเรือ (Secretary to the Navy) มีหน้าที่ คือ ให้จัดการทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายข้อบังคับทหารเรือ จำนวนผู้คนในทหารเรือ การฝึกหัดทหารเรือ เรือรบหลวง และพาหนะทางเรือ
1 เมษายน พ.ศ. 2433 ได้มีการยกเลิกประกาศจัดการทหาร พ.ศ. 2430 และได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดการกรมยุทธนาธิการขึ้นแทน โดยให้เรียกกรมยุทธนาธิการใหม่ว่ากระทรวงยุทธนาธิการ (Ministry of War and Marine) แบ่งออกเป็น 2 กรม คือ กรมทหารบกและกรมทหารเรือ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายพลโท พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ (Chief Staff of the Navy) และแบ่งส่วนราชการออกเป็นกรมกลาง กองบัญชีเงิน กรมคลังพัสดุทหารเรือ กองเร่งชำระ กรมคุกทหารเรือ กรมอู่ กรมช่างกล โรงพยาบาลทหารเรือ ทหารนาวิกโยธิน เรือรบหลวงและเรือพระที่นั่งประจำการ
พ.ศ. 2435 ได้มีการจัดระเบียบการปกครองแผ่นดินใหม่ และยกเลิกการปกครองแบบจตุสดมภ์ กำหนดให้มีกระทรวงในราชการ โดยกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ปกครองบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักร เป็นผลให้กระทรวงกลาโหม ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการปกครองทางหัวเมือง คงมีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทหารอย่างเดียว จึงได้โอนกรมทหารเรือมาขึ้นกับกระทรวงกลาโหม
11 ธันวาคม พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนฐานะกรมทหารเรือเป็นกระทรวงทหารเรือ และในวันเดียวกันนั้นก็ได้ประกาศแต่งตั้งจอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกระทรวงทหารเรือกับกระทรวงทหารบกเป็นกระทรวงเดียวกัน ภายใต้นามกระทรวงกลาโหม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เป็นผลทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบกระเทือนดังกล่าวนี้ด้วย ทำให้ฐานะทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะตกต่ำ จำเป็นต้องพิจารณาตัดทอนรายจ่ายของประเทศให้น้อยลงให้สมดุลกับรายได้ เป็นผลทำให้มีการปรับปรุงการจัดระเบียบราชการใหม่ด้วย โดยแต่งตั้งให้นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร เสนาบดีกระทรวงทหารเรือเดิมเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม
พ.ศ. 2475 มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศ กองทัพเรือถูกลดฐานะเป็นเพียงกรมทหารเรือเช่นเดิม กรมต่าง ๆ ของทหารเรือลดฐานะมาเป็นกองทั้งหมด เว้นแต่กรมเสนาธิการทหารเรือเท่านั้น นอกจากนั้นส่วนราชการของทหารเรือบางส่วนซึ่งได้เอาไปรวมกับฝ่ายทหารบกก็กลับมาสังกัดอยู่ในกรมทหารเรือตามเดิม
30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อกรมทหารเรือเป็นกองทัพเรือ ให้เป็นการสอดคล้องกับการเรียกชื่อส่วนรวมของทหารบกว่ากองทัพบก และขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม โดยแบ่งส่วนราชการออกเป็น 4 ส่วน คือ กรมเสนาธิการทหารเรือ กองเรือรบ สถานีทหารเรือกรุงเทพ กรมอู่ทหารเรือ กรมสรรพาวุธทหารเรือ และกรมอุทกศาสตร์
พ.ศ. 2510 พ.ศ. 2519 และ พ.ศ. 2521 ได้มีการแบ่งส่วนราชการกองทัพเรือออกเป็น 25 หน่วย ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ส่วนราชการกองทัพเรือ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2510 พ.ศ. 2519 และ พ.ศ. 2521 นอกจากนั้นเพื่อความสะดวก ทางกองทัพเรือได้จัดกลุ่มหน่วยราชการทั้ง 25 หน่วยขึ้นเป็น 5 ส่วนราชการ คือ ส่วนบัญชาการ ส่วนกำลังรบ ส่วนยุทธบริการ ส่วนการศึกษา และส่วนกิจการพิเศษ
13 กรกฎาคม พ.ศ. 2528 ได้มีการเพิ่มกรมการขนส่งทหารเรือขึ้นในส่วนยุทธบริการ และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนนายทหารเรือเป็นสถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง
15 เมษายน พ.ศ. 2530 จัดตั้งสำนักงานตรวจบัญชีทหารเรือเพิ่มเติม
พ.ศ. 2538 ได้มีการจัดส่วนราชการใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพเรือ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2538 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2540 โดยแบ่งส่วนราชการออกเป็น 35 หน่วย และจัดเป็นกลุ่มส่วนราชการ 4 ส่วน คือ ส่วนบัญชาการ ส่วนกำลังรบ ส่วนยุทธบริการ และส่วนการศึกษา
1 เมษายน พ.ศ. 2552 ได้มีการจัดส่วนราชการใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพเรือ กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2552.[4] โดยแบ่งส่วนราชการออกเป็น 36 หน่วย และจัดเป็นกลุ่มส่วนราชการ 4 ส่วน คือ ส่วนบัญชาการ ส่วนกำลังรบ ส่วนยุทธบริการ และส่วนการศึกษาและวิจัย ทั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ คือ ในส่วนบัญชาการ ได้เปลี่ยนชื่อกรมสื่อสารทหารเรือเป็นกรมการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศทหารเรือ และสำนักงานตรวจบัญชีทหารเรือเป็นสำนักงานตรวจสอบภายในทหารเรือ รวมทั้งจัดตั้งส่วนราชการใหม่เพิ่มเติม คือ สำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ และสำนักงานพระธรรมนูญทหารเรือ ในส่วนกำลังรบ ได้ยุบกองเรือป้องกันฝั่ง และจัดตั้งส่วนราชการใหม่ คือ ทัพเรือภาคที่ 1 2 และ 3 รวมทั้งปรับลดฐานทัพเรือสงขลาและพังงาจากหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือไปเป็นหน่วยขึ้นตรงทัพเรือภาคที่ 2 และ 3 ตามลำดับ ในส่วนยุทธบริการ ได้ย้ายสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือไปอยู่ในส่วนการศึกษาและวิจัยแทน และให้กรมอุทกศาสตร์มาอยู่ในส่วนยุทธบริการ สำหรับในส่วนการศึกษาและวิจัย ได้มีการยุบสถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง
ส่วนบัญชาการ | ส่วนกำลังรบ | ส่วนยุทธบริการ | ส่วนการศึกษาและวิจัย |
|
|
|
|
กำลังพลหลัก มีดังต่อไปนี้ คือ
ยศ (ว่าที่) ร.ต.- ร.อ. อายุไม่เกิน 45 ปี
ยศ (ว่าที่) น.ต.- น.ท. อายุไม่เกิน 50 ปี
ยศ (ว่าที่) น.อ. - นายพล อายุไม่เกิน 55 ปี
เมื่อครบกำหนดช่วงอายุตามชั้นยศแล้ว จะปลดเป็น นายทหารสัญญาบัตรนอกราชการ และ นายทหารสัญญาบัตรพ้นราชการ ไปตามลำดับ
ยศ (ว่าที่) ร.ต.- ร.อ. อายุไม่เกิน 55 ปี
ยศ (ว่าที่) น.ต.- น.ท. อายุไม่เกิน 60 ปี
ยศ (ว่าที่) น.อ. - นายพล อายุไม่เกิน 65 ปี
ยศ (ว่าที่) ร.ต.- ร.อ. อายุเกิน 55 ปี
ยศ (ว่าที่) น.ต.- น.ท. อายุเกิน 60 ปี
ยศ (ว่าที่) น.อ. - นายพล อายุเกิน 65 ปี
ชื่อยศ (ไทย) | อักษรย่อ (ไทย) | ชื่อยศ (อังกฤษ) | อักษรย่อ (อังกฤษ) | ชื่อยศ (ไทย) | อักษรย่อ (ไทย) | ชื่อยศ (อังกฤษ) | อักษรย่อ (อังกฤษ) | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1. ชั้นสัญญาบัตร | 2. ชั้นประทวน | |||||||
1.1 จอมพลเรือ | - | Admiral of the Fleet | - | 2.1 พันจ่าเอก | พ.จ.อ. | Chief Petty Officer First Class | CPO1 | |
1.2 พลเรือเอก | พล.ร.อ. | Admiral | ADM | 2.2 พันจ่าโท | พ.จ.ท. | Chief Petty Officer Second Class | CPO2 | |
1.3 พลเรือโท | พล.ร.ท. | Vice Admiral | VADM | 2.3 พันจ่าตรี | พ.จ.ต. | Chief Petty Officer Third Class | CPO3 | |
1.4 พลเรือตรี | พล.ร.ต. | Rear Admiral | RADM | 2.4 จ่าเอก | จ.อ. | Petty Officer First Class | PO1 | |
1.5 นาวาเอก (พิเศษ) | น.อ. (พิเศษ) | Special Captain | SPEC CAPT | 2.5 จ่าโท | จ.ท. | Petty Officer Second Class | PO2 | |
1.6 นาวาเอก | น.อ. | Captain | CAPT | 2.6 จ่าตรี | จ.ต. | Petty Officer Third Class | PO3 | |
1.7 นาวาโท | น.ท. | Commander | CDR | 3. ทหารกองประจำการ | ||||
1.8 นาวาตรี | น.ต. | Lieutenant Commander | LCDR | 3.1 พลทหาร | พลฯ | Seaman | - | |
1.9 เรือเอก | ร.อ. | Lieutenant | LT | 4. นักเรียนทหาร | ||||
1.10 เรือโท | ร.ท. | Lieutenant Junior Grade | LT JG | 4.1 นักเรียนนายเรือ | นนร. | Naval Cadet | - | |
1.11 เรือตรี | ร.ต. | Sub Lieutenant | SUB LT | 4.2 นักเรียนจ่าทหารเรือ | นรจ. | Naval Rating Student | NRS. |
พรรคนาวิน (นว.) General Line | พรรคกลิน (กล.) Engineering Line | พรรคนาวิกโยธิน (นย.) Marine Corps | พรรคพิเศษ (พศ.) Staff (Special Corps) |
---|---|---|---|
เหล่าทหารการปืน (ป.) Gunner's Mate | เหล่าทหารไฟฟ้า (ฟ.) Electrician Corps | เหล่าทหารราบ (ร.) Infantry | เหล่าทหารสารบรรณ (สบ.) Yeoman (Administration) |
เหล่าทหารอาวุธใต้น้ำ (ด.) Torpedoman's Mate | เหล่าทหารเครื่องกล (ย.) Engine Corps | เหล่าทหารปืนใหญ่ (ป.) Artillery | เหล่าทหารพลาธิการ (พธ.) Supply Corps |
เหล่าทหารสามัญ (ส.) Quartermaster and Coxswain | เหล่าทหารช่าง (ช.) Corps of Engineer | เหล่าทหารการเงิน (กง.) Finance Corps | |
เหล่าทหารสัญญาณ (ญ.) Signal Corps | เหล่าทหารสื่อสาร (สส.) Signal Corps | เหล่าทหารพระธรรมนูญ (ธน.) Judge Advocate General's Corps | |
เหล่าทหารอุทกศาสตร์ (อศ.) Hydrographic Corps | เหล่าทหารช่างยุทธโยธา (ยย.) Civil Engineer | ||
เหล่าทหารขนส่ง (ขส.) Transportation Corps | เหล่าทหารวิทยาศาสตร์ (วศ.) Science Corps | ||
เหล่าทหารสรรพาวุธ (สพ.) Ordnance Corps | เหล่าทหารดุริยางค์ (ดย.) Band | ||
เหล่าทหารอุตุนิยมวิทยา (อ.) Meteorological Corps | เหล่าทหารแพทย์ (พ.) Medical Corps | ||
เหล่าทหารสารวัตร (สห.) Military Police Corps | |||
เหล่าทหารการข่าว (ขว.) Intelligence Corps |
ในส่วนกองบัญชาการกองทัพเรือไทย มีที่ตั้งหลักอยู่ในบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และริมชายฝั่งทะเลทั้งอ่าวไทย และทะเลอันดามัน 3 แห่ง คือ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ พื้นที่ภาคตะวันออกในจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด พื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออกในจังหวัดสงขลา และนราธิวาส และพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันตกในจังหวัดพังงา ภูเก็ต และสตูล เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของกองทัพเรือทั้งในส่วนของกองเรือยุทธการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ปฏิบัติการ
ในส่วนกองบัญชาการทัพเรือภาค มีหน้าที่จัดการและควบคุมพื้นที่ทางน้ำ สั่งการปฏิบัติการใช้กำลังรบของกองทัพเรือ มีพื้นที่รับผิดชอบ 3 แห่ง คือ ทัพเรือภาคที่ 1 อ่าวไทยตอนบน ทัพเรือภาคที่ 2 อ่าวไทยตอนล่าง และทัพเรือภาคที่ 3 ทะเลอันดามัน และมีผู้บัญชาการทัพเรือภาคชั้นยศพลเรือโท
ในส่วนฐานทัพเรือมี 4 แห่งตามพื้นที่เช่นกัน คือ ฐานทัพเรือกรุงเทพ สัตหีบ สงขลา และพังงา ตามลำดับ โดยฐานทัพเรือสัตหีบจะมีสถานะใหญ่กว่าอีก 3 แห่งที่เหลือ ขึ้นตรงต่อกองทัพเรือโดยตรง และมีผู้บัญชาการฐานทัพเรือชั้นยศพลเรือโท ส่วนฐานทัพเรือกรุงเทพ สงขลา และพังงา มีสถานะรองลงไป ขึ้นตรงต่อทัพเรือภาคที่ 1 2 และ 3 ตามลำดับ และมีผู้บัญชาการฐานทัพเรือชั้นยศพลเรือตรี
ชื่อสถานที่ | เขต/อำเภอ | จังหวัด | หน่วยงาน |
---|---|---|---|
1. พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล | |||
1.1 กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม และวังนันทอุทยาน | เขตบางกอกใหญ่และเขตบางกอกน้อย | กรุงเทพมหานคร | หลายหน่วย |
1.2 ฐานทัพเรือกรุงเทพ | เขตบางกอกน้อย | กรุงเทพมหานคร | ฐานทัพเรือกรุงเทพ |
1.2.1 ท่าเทียบเรือป้อมพระจุลจอมเกล้า | อำเภอพระสมุทรเจดีย์ | จังหวัดสมุทรปราการ | ฐานทัพเรือกรุงเทพ |
1.2.2 หอประชุมกองทัพเรือ | เขตบางกอกใหญ่ | กรุงเทพมหานคร | กิจการหอประชุมกองทัพเรือ |
1.3 ท่าเทียบเรือกองเรือลำน้ำ | เขตบางนา | กรุงเทพมหานคร | กองเรือลำน้ำ กองเรือยุทธการ |
1.4 กรมยุทธศึกษา ทหารเรือ | อำเภอพุทธมณฑล | จังหวัดนครปฐม | กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ทหารเรือ |
1.5 ท่าเทียบเรือกองเรือทุ่นระเบิด | อำเภอพระสมุทรเจดีย์ | จังหวัดสมุทรปราการ | กองเรือทุ่นระเบิด กองเรือยุทธการ |
1.6 อู่ทหารเรือธนบุรี | เขตบางกอกน้อย | กรุงเทพมหานคร | กรมอู่ทหารเรือ |
1.7 อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า | อำเภอพระสมุทรเจดีย์ | จังหวัดสมุทรปราการ | กรมอู่ทหารเรือ |
1.8 กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 13 (โครงการ) | อำเภอพระสมุทรเจดีย์ | จังหวัดสมุทรปราการ | กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง |
2. พื้นที่ภาคตะวันออก | |||
2 กองบัญชาการกองเรือยุทธการ | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | กองทัพเรือ |
2.1 กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | ทัพเรือภาคที่ 1 |
2.2 ฐานทัพเรือสัตหีบ | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | ฐานทัพเรือสัตหีบ |
2.2.1 ท่าเทียบเรือแหลมเทียน | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | ฐานทัพเรือสัตหีบ |
2.2.2 ท่าเทียบเรือน้ำลึกจุกเสม็ด | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ-กองทัพเรือ |
2.2.3 สถานีตรวจสอบและลบล้างแม่เหล็กเรือ | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | ฐานทัพเรือสัตหีบ |
2.3 ท่าเทียบเรือทุ่งโปรง | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | กรมสรรพาวุธทหารเรือ |
2.4 อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | กรมอู่ทหารเรือ |
2.5 ฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด | อำเภอแหลมงอบ | จังหวัดตราด | ทัพเรือภาคที่ 1 |
2.6 สนามบินอู่ตะเภา | อำเภอบ้านฉาง | จังหวัดระยอง | กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ |
2.7 สนามบินท่าใหม่ | อำเภอท่าใหม่ | จังหวัดจันทบุรี | หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน |
2.8 กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 11 | อำเภอบ้านฉาง | จังหวัดระยอง | กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง |
2.9 กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 12 | อำเภอศรีราชา | จังหวัดชลบุรี | กรมต่อสู้อากาศยานที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง |
2.10 กองพันรักษาฝั่งที่ 13 | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | กรมรักษาฝั่งที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง |
2.11 ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | กองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 กองพลนาวิกโยธิน |
2.12 ค่ายตากสิน | อำเภอเมืองจันทบุรี | จังหวัดจันทบุรี | กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 กองพลนาวิกโยธิน |
2.13 ค่ายกรมหลวงชุมพร | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 กองพลนาวิกโยธิน |
2.14 ค่ายมหาสุรสิงหนาท | อำเภอเมืองระยอง | จังหวัดระยอง | กองพันทหารราบที่ 7 กรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน |
2.15 กองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ กองเรือยุทธการ | อำเภอสัตหีบ | จังหวัดชลบุรี | กองเรือยกพลขึ้นบกและยุทธบริการ |
3. พื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออก | |||
3.1 กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 | อำเภอเมืองสงขลา | จังหวัดสงขลา | ทัพเรือภาคที่ 2 |
3.2 ฐานทัพเรือสงขลา | อำเภอเมืองสงขลา | จังหวัดสงขลา | ฐานทัพเรือสงขลา |
3.2.1 ท่าเทียบเรือฐานทัพเรือสงขลา | อำเภอเมืองสงขลา | จังหวัดสงขลา | ฐานทัพเรือสงขลา |
3.2.2 สนามบินทหารเรือสงขลา | อำเภอเมืองสงขลา | จังหวัดสงขลา | ฐานทัพเรือสงขลา |
3.3 สนามบินบ้านทอน | อำเภอเมืองนราธิวาส | จังหวัดนราธิวาส | หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน |
3.4 กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 21 (โครงการ) | อำเภอขนอม | จังหวัดนครศรีธรรมราช | กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง |
3.5 กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 23 (โครงการ) | อำเภอเมืองสงขลา | จังหวัดสงขลา | กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง |
3.6 กองพันรักษาฝั่งที่ 12 (โครงการ) | อำเภอเมืองสงขลา | จังหวัดสงขลา | กรมรักษาฝั่งที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง |
3.7 ค่ายกรมหลวงสงขลานครินทร์ | อำเภอเมืองสงขลา | จังหวัดสงขลา | กองพันทหารราบที่ 8 กรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน |
3.8 ค่ายจุฬาภรณ์ | อำเภอเมืองนราธิวาส | จังหวัดนราธิวาส | กองพันทหารราบที่ 9 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน |
4. พื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันตก | |||
4.1 กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 | อำเภอเมืองภูเก็ต | จังหวัดภูเก็ต | ทัพเรือภาคที่ 3 |
4.2 ฐานทัพเรือพังงา | อำเภอท้ายเหมือง | จังหวัดพังงา | ฐานทัพเรือพังงา |
4.2.1 ท่าเทียบเรือทับละมุ | อำเภอท้ายเหมือง | จังหวัดพังงา | ฐานทัพเรือพังงา |
4.2.2 สถานีเรือละงู | อำเภอละงู | จังหวัดสตูล | ฐานทัพเรือพังงา |
4.3 กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 | อำเภอท้ายเหมือง | จังหวัดพังงา | กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง |
4.4 กองพันรักษาฝั่งที่ 11 (โครงการ) | อำเภอท้ายเหมือง | จังหวัดพังงา | กรมรักษาฝั่งที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง |
5. พื้นที่อื่น ๆ | |||
5.1 สถานีเรือเชียงแสน | อำเภอเชียงแสน | จังหวัดเชียงราย | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.2 สถานีเรือเชียงของ | อำเภอเชียงของ | จังหวัดเชียงราย | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.3 สถานีเรือเชียงคาน | อำเภอเชียงคาน | จังหวัดเลย | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.4 สถานีเรือสังคม | อำเภอสังคม | จังหวัดหนองคาย | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.5 สถานีเรือหนองคาย | อำเภอเมืองหนองคาย | จังหวัดหนองคาย | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.6 สถานีเรือรัตนวาปี | อำเภอรัตนวาปี | จังหวัดหนองคาย | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.7 สถานีเรือโพนพิสัย | อำเภอโพนพิสัย | จังหวัดหนองคาย | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.8 สถานีเรือบึงกาฬ | อำเภอเมืองบึงกาฬ | จังหวัดบึงกาฬ | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.9 สถานีเรือศรีเชียงใหม่ | อำเภอศรีเชียงใหม่ | จังหวัดหนองคาย | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.10 สถานีเรือบ้านแพง | อำเภอบ้านแพง | จังหวัดนครพนม | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.11 สถานีเรือนครพนม | อำเภอเมืองนครพนม | จังหวัดนครพนม | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.12 สถานีเรือธาตุพนม | อำเภอธาตุพนม | จังหวัดนครพนม | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.13 สถานีเรือมุกดาหาร | อำเภอเมืองมุกดาหาร | จังหวัดมุกดาหาร | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.14 สถานีเรือเขมราฐ | อำเภอเขมราฐ | จังหวัดอุบลราชธานี | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.15 สถานีเรือโขงเจียม | อำเภอโขงเจียม | จังหวัดอุบลราชธานี | หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง |
5.16 ท่าเทียบเรือสถานีสมุทรศาสตร์หัวหิน | อำเภอหัวหิน | จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | กรมอุทกศาสตร์ |
5.17 สถานีเรือสมุย | อำเภอเกาะสมุย | จังหวัดสุราษฎร์ธานี |
ชื่อ | รูปภาพ | ประเทศต้นกำเนิด | ประเภท | ขนาดกระสุน | รุ่น | รายละเอียด |
---|---|---|---|---|---|---|
M1911 pistol | สหรัฐ ไทย |
ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | .45 เอซีพี | |||
M16 rifle | สหรัฐ | ปืนเล็กยาวจู่โจม | 5.56×45 มม. นาโต | A1 A2 A3 |
ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | |
M4 Carbine | สหรัฐ | ปืนเล็กสั้นจู่โจม | 5.56×45 มม. นาโต | A1 A3 |
ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | |
AR-15 | สหรัฐ | ปืนเล็กยาวจู่โจม | 5.56×45 มม. นาโต | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | ||
SIG Sauer SIG516 | สวิตเซอร์แลนด์ | ปืนเล็กสั้นจู่โจม | 5.56×45 มม. นาโต | ใช้ในหน่วยซีลไทย | ||
Heckler & Koch G36 | เยอรมนี | ปืนเล็กสั้นจู่โจม | 5.56×45 มม. นาโต | G36C G36KV |
ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน และ หน่วยซีลไทย | |
Norinco CQ | จีน | ปืนเล็กยาวจู่โจม | 5.56×45 มม. นาโต | CQ M-311 | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | |
Bushmaster M4-Type Carbine | สหรัฐ | ปืนเล็กสั้นจู่โจม | 5.56×45 มม. นาโต | M4A3 SOPMOD | ใช้ในหน่วยซีลไทย | |
Heckler & Koch UMP | เยอรมนี | ปืนกลมือ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | UMP 9 | ใช้ในหน่วยซีลไทย | |
Heckler & Koch MP5 | เยอรมนี | ปืนกลมือ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | MP5SD MP5K |
ใช้ในหน่วยซีลไทย | |
Heckler & Koch HK21 | เยอรมนี | ปืนกลเอนกประสงค์ | 5.56×45 มม. นาโต | HK23E | ใช้ในหน่วยซีลไทย | |
Heckler & Koch PSG1 | เยอรมนี | ปืนไรเฟิลซุ่มยิง | 7.62×51 มม. นาโต | MSG 90 | ใช้ในหน่วยซีลไทย | |
KAC SR-25 | สหรัฐ | ปืนไรเฟิลซุ่มยิง | 7.62×51 มม. นาโต | ใช้ในหน่วยซีลไทย | ||
Sago Defence Tikka | สหรัฐ | ปืนไรเฟิลซุ่มยิง | .223inch/.338inch | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | ||
Barrett M82 | สหรัฐ | ปืนไรเฟิลต่อต้านวัตถุ | .50 บีเอ็มจี | ใช้ในหน่วยซีลไทย | ||
Barrett M95 | สหรัฐ | ปืนไรเฟิลต่อต้านวัตถุ | .50 บีเอ็มจี | ใช้ในหน่วยซีลไทย | ||
Accuracy International AW50 | สหราชอาณาจักร | ปืนไรเฟิลต่อต้านวัตถุ | .50 บีเอ็มจี | ใช้ในหน่วยซีลไทย | ||
M249 | สหรัฐ | ปืนกลเบา | 5.56×45 มม. นาโต | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | ||
M60 | สหรัฐ | ปืนกลเอนกประสงค์ | 7.62×51 มม. นาโต | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | ||
M2 Browning | สหรัฐ | ปืนกลหนัก | 12.7 มม. | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | ||
M203 | สหรัฐ | เครื่องยิงลูกระเบิด | 40×46 มม. เอสอาร์ | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | ||
Armbrust | เยอรมนี | อาวุธต่อต้านรถถัง | 67 มม. | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | ||
M47 Dragon | สหรัฐ | ขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านรถถัง | ? | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | ||
BGM-71 TOW | สหรัฐ | ขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านรถถัง | ? | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | ||
M40 recoilless rifle | สหรัฐ | ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง | 105 มม. | M40A2 | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน | |
QW-1 Vanguard | จีน | MANPAD | ? | QW-18 | ใช้ในหน่วยนาวิกโยธิน |
ชื่อ | รูปภาพ | ประเทศต้นกำเนิด | ประเภท | จำนวน | รายละเอียด |
---|---|---|---|---|---|
Humvee | สหรัฐ | รถยนต์อเนกประสงค์ | ? | ใช้รุ่น M998, M1097A2, M997, M1025, M1045A2 และM966. | |
M151 | สหรัฐ | รถยนต์อเนกประสงค์ | ? | ใช้รุ่น M151A2, M151A2 mounting TOW, M718A1 และM825. | |
Ford | สหรัฐ | รถยนต์อเนกประสงค์ | ? | ใช้รุ่น Ford Ranger XL, XLS, XL+, XLT, FX4, Wildtrak และSWB. | |
M813 | สหรัฐ | รถบรรทุกทหาร | ? | ใช้รุ่น M54A2, M543A2. | |
M35 2-1/2 ton cargo truck | สหรัฐ | รถบรรทุกทหาร | ? | ใช้รุ่น M35A2, M50A2, M49A2 และM109A2. | |
Isuzu | ญี่ปุ่น ไทย |
รถบรรทุกทหาร | ? | ใช้รุ่น SBR, TXD 4x2, TSD 4x4, TWD 6x6, HTW, FTR 4x4. | |
AAV-7A1 | สหรัฐ | ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก | 36 | มีรุ่น: AAVP-7A1, AAVC-7A1, AAVR-7A1. | |
ZBD-05 VN-18 | จีน | ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก | 3 | ||
BTR-3E1 | ยูเครน ไทย |
ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก | 12 | ||
AWAV 8x8 | ไทย | ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก | 7 | ||
HMV-150 Commando | สหรัฐ ไทย | รถหุ้มเกราะ | 24 | ||
M151A2 mod | ไทย | รถลำเลียงพลหุ้มเกราะ | ? | ||
Phantom 380-X | ไทย | รถหุ้มเกราะ | ? | ||
Panus R600 | ไทย | รถหุ้มเกราะ | 2 (+15) |
ชื่อ | รูปภาพ | ประเทศต้นกำเนิด | ประเภท | ระยะเวลาใช้งาน | จำนวน | รายละเอียด |
Avro 504N | สหราชอาณาจักร ไทย | เครื่องบินฝึกบิน | 2472-2491 | 2 | สร้างภายในประเทศ | |
Mitsubishi A6M Zero | จักรวรรดิญี่ปุ่น | เครื่องบินขับไล่ | 2485-2488 | 1 | ||
WS-103S | จักรวรรดิญี่ปุ่น | เครื่องบินลาดตระเวน | 2478-? | 6 | ||
Nakajima E8N | จักรวรรดิญี่ปุ่น | เครื่องบินลาดตระเวน | 2481-? | 45 | ||
Aichi E13A1 | จักรวรรดิญี่ปุ่น | เครื่องบินลาดตระเวน | 2482-? | 6 | สั่งซื้อ 3 เครื่องในปี 1939 และ 3 เครื่องในปี 1941 | |
Cessna O-1G | สหรัฐ | เครื่องบินลาดตระเวน | 2511-2540 | 8 | ||
Cessna U-17B | สหรัฐ | เครื่องบินลาดตระเวน | 2517-2540 | 6 | ||
Piper L-4 | สหรัฐ | เครื่องบินลาดตระเวน | 2516-? | 2 | ||
C-47 Dakota | สหรัฐ | เครื่องบินลำเลียง | 2516-2540 | ? | ||
Grumman HU-16D | สหรัฐ | เครื่องบินค้นหาและช่วยเหลือ | 2505-? | 3 | ||
Grumman S-2 Tracker | สหรัฐ | เครื่องบินปราบเรือดำน้ำ | 2509-2542 | 12 | ||
Hawker Siddeley AV-8S Matador | สหรัฐ | เครื่องบินขับไล่ (ประจำเรือ) | 2542-2549 | 9 | เคยประจำการกับร.ล.จักรีนฤเบศร ขาดอะไหล่ในการซ่อม | |
Ling-Temco-Vought A-7E Corsair II | สหรัฐ | เครื่องบินโจมตี | 2524-2550 | 18 | ไม่สามารถทำการบินได้ | |
Bell UH-1H | สหรัฐ | เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป | 2518-? | 4 | เดิมทีเป็นฮ.ของกองทัพสาธารณรัฐเขมรที่หนีจากคอมมิวนิสจากหลังการล่มสลายของรัฐบาลลอนดอนในปีพ.ศ. 2518 | |
Bell-214ST | สหรัฐ | เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง | 2530-2553 | 6 | ||
P-3T Orion | สหรัฐ | เครื่องบินต่อต้านเรือผิวน้ำ | 2539-2557 | 3 | ||
N-24A | ออสเตรเลีย | เครื่องบินลำเลียง | 2527-2557 | 5 | ||
CL-215B | แคนาดา | เครื่องบินสะเทินน้ำสะเทินบก ดับเพลิงทางอากาศ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล | 2521-2560 | 2 |
อาวุธ | ประเทศต้นกำเนิด | ประเภท | ระยะเวลาใช้งาน | จำนวน | รายละเอียด |
Blowpipe (missile) | สหราชอาณาจักร | จรวดพื้น-สู่-อากาศ | ? | 200 | |
Sea Cat | สหราชอาณาจักร | จรวดพื้น-สู่-อากาศ | ? | 8 | |
Gabriel missile | อิสราเอล | จรวดโจมตีเรือผิวน้ำ | ? | ? |
เรือรบขนาดใหญ่ที่ประจำการในกองทัพเรือไทยจะต่อจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน สหราชอาณาจักร อิตาลี สิงคโปร์ สเปน หรือ เยอรมนี ในขณะที่เรือรบซึ่งมีขนาดเล็กหรือเป็นเรือที่ไม่ใช่เรือรบหลัก ส่วนใหญ่จะต่อจากอู่ภายในประเทศทั้งอู่ของเอกชนและอู่ของกรมอู่ทหารเรือเอง เช่น เรือตรวจการณ์ปราบเรือดำน้ำ เรือตรวจการณ์ปืน เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง เรือยกพลขึ้นบก เรือระบายพล เรือสนับสนุนการต่อต้านทุ่นระเบิด เรือน้ำมัน เรือน้ำ เรือลากจูง เรือสำรวจ เป็นต้น
อากาศยานของกองการบินทหารเรือสร้างจากต่างประเทศทั้งหมด โดยส่วนใหญ่มาจาก สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีจาก สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ บราซิล และ แคนาดา ทั้งนี้อากาศยานจำนวนประมาณเกือบครึ่งหนึ่ง เป็นอากาศยานที่ได้รับการออกแบบให้สามารถปฏิบัติการจากเรือรบผิวน้ำของกองทัพเรือได้ คือ จากเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ เรือฟริเกต เรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ หรือเรือส่งกำลังบำรุงขนาดใหญ่ ส่วนที่เหลือเป็นอากาศยานที่ต้องปฏิบัติการจากสนามบินบนฝั่ง
ดูรายละเอียดที่อากาศยานในประจำการของกองทัพเรือไทย
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.