วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เป็นสถาบันผลิตแพทย์ทหารแห่งเดียวในประเทศไทย ก่อตั้งเป็นสถาบันแพทยศาสตร์ลำดับที่ 7 ของประเทศ[1] จากกระแสพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยดำเนินงานร่วมกับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรมแพทย์ทหารบก และดำรงสถานะสถาบันสมทบของมหาวิทยาลัยมหิดล
Phramongkutklao College of Medicine | |
พระมหาพิชัยมงกุฎพร้อมรัศมี สัญลักษณ์ประจำวิทยาลัย ฯ | |
ชื่อย่อ | วพม. / PCM |
---|---|
คติพจน์ | วิชายอด วินัยเยี่ยม เปี่ยมคุณธรรม |
ประเภท | วิทยาลัยแพทยศาสตร์ สถาบันการศึกษาทางทหาร |
สถาปนา | 16 มิถุนายน พ.ศ. 2518 |
สังกัดการศึกษา | กรมแพทย์ทหารบก |
ผู้อำนวยการ | รศ.พล.ต.ดร.นพ.สุขไชย สาทถาพร |
ที่ตั้ง | |
สถาบันสมทบของ | มหาวิทยาลัยมหิดล |
สี | สีทางการ น้ำเงิน (สีขาบ) สีรอง ม่วง (สีดอกอินทนิล) |
เว็บไซต์ | pcm |
ประวัติ
ในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลได้อนุมัติจัดตั้งโรงเรียนเสนารักษ์กองทัพบกขึ้น โดยเป็นหลักสูตรแพทย์ประกาศนียบัตร ระยะเวลาศึกษา 4 ปี 6 เดือน ดำเนินการผลิตแพทย์เพื่อรับใช้กองทัพจนถึงปี พ.ศ. 2490 รวมทั้งสิ้น 4 รุ่น แล้วหยุดไปเนื่องจากขาดแคลนบุคลากรอาจารย์แพทย์และอุปกรณ์การเรียนการสอน อย่างไรก็ตามกระทรวงกลาโหมมีความตระหนักถึงภารกิจที่สำคัญของแพทย์ทหาร จึงได้หาแนวทางปฏิบัติต่างๆ เช่น การรับแพทย์ภายในประเทศเข้ารับราชการ ตลอดจนให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนเตรียมทหารเข้าศึกษาวิชาแพทย์ในมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ระหว่างปีการศึกษา 2511 ถึงปีการศึกษา 2516 แล้วก็ต้องยุติไป
วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2511 โดยกรมแพทย์ทหารบกได้เสนอเรื่องขอจัดตั้ง "โรงเรียนแพทย์ทหาร" เนื่องจากเกิดความขาดแคลนแพทย์ทหารอย่างมากในกองทัพ ทำให้มีการรื้อฟื้นแนวคิดในการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ทหารขึ้นมาอีกครั้ง และได้รับอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 แต่ต้องชะลอโครงการไว้ก่อน
โครงการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ทหารได้เริ่มขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ภายหลังจากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานกระแสพระบรมราโชวาท ในคราวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงดนตรี ณ หอประชุมราชแพทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2516 มีใจความสำคัญว่า
เดิมทางทหารมีความจำเป็นที่จะรับสมัครแพทย์ สำหรับโรงพยาบาลทหารและกิจการของทหาร เพราะว่าเวลารับสมัครแล้วไม่มีใครสมัคร และทำไมไม่มีใครสมัคร ก็เข้าใจว่า เพราะว่าการเป็นแพทย์ทหารนั้นเหนื่อย การเป็นแพทย์นี้ก็เหนื่อยอยู่แล้ว คือต้องรักษาพยาบาลคนไข้ไม่เลือก มีงานในเวลาราชการแล้ว นอกเวลาราชการก็ต้องมีงานอีก นอกจากนั้นเป็นแพทย์ทหารก็ยังมีว่า ต้องออกไปปฏิบัติงานสนาม ซึ่งอาจต้องฝ่าอันตราย คนเราที่จะต้องฝ่าอันตรายก็อาจกลัวได้ อาจเสียวว่าอาจต้องเสียชีวิต หรือจะต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อไหร่ก็ได้ นอกจากนี้เวลาเป็นแพทย์ทหาร ไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็ต้องปฏิบัติงานของตน เครื่องมือเครื่องใช้ก็อาจจะไม่ครบถ้วน ก็เกิดความรู้สึกที่ท้อใจ เพราะว่าเรียนมาแล้วมีความรู้ดี ไม่สามารถที่จะเรียนต่อ ไม่สามารถที่จะค้นคว้า ไม่สามารถที่จะมีเครื่องมือ ที่ทันสมัยที่ใหญ่โต นอกจากนั้นก็มีอื่นๆ ก็คือเงินเดือนไม่มาก ทั้งการไปดูงานเมืองนอกก็ไม่ค่อยมีนัก ฉะนั้นก็ไม่มีใครอยากเป็นแพทย์ทหาร ก็มีความจำเป็นที่จะมีแพทย์ทหารทางราชการทหาร ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในด้านวิชานี้ ซึ่งก็มีเหตุผลอยู่เมื่อมีการแสดงความไม่พอใจ หรือไม่เห็นด้วยในการนี้ก็ทำตาม คือระงับการเรียนในมหาวิทยาลัย ก็เป็นอันว่าการวุ่นวายก็ได้ผลดีคือ ได้ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ ซึ่งจุดประสงค์อันนี้ก็ไม่ต้องขอบอกว่า ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง คิดเอาเอง ครั้นมาถึงเวลาที่บอกว่าไม่มาฝากแล้ว ทางราชการทหารจะตั้งโรงเรียนแพทย์เอง คือ โรงเรียน สำหรับแพทย์ทหาร ก็เกิดโวยวายขึ้นมาใหม่โวยวายว่า ทำไมทหารต้องมีแพทย์ทหาร มีโรงเรียนแพทย์ทหารตั้งขึ้นมาใหม่ ก็ในการที่ทหารมาฝากเรียนก็มากินที่คนอื่น เมื่อกินที่คนอื่นเขาก็ต้องทำที่ที่อื่น ไม่มาเบียดเบียน ทำไมเมื่อเขาตั้งโรงเรียนแพทย์ทหารขึ้นมาจะต้องโวยวาย อันนี้ก็ต้องมีเหตุผลในสมอง ไม่ขอผ่าสมองดูว่าคิดถูกหรือไม่ถูก หรืออาจเป็นคนละคนก็ได้ หรืออาจไม่ได้ทันคิดว่าคำพูดสองอย่างนี้มันขัดกัน ฉะนั้นก็ถึงขอร้องท่านทั้งหลายว่า ถ้าจะคิดอะไรหรือจะปฏิบัติการใดๆ ก็ขอให้คิดให้รอบคอบเสียก่อน ว่าจะเอาอะไรแน่ ถ้าเอาอะไรแน่แล้วก็ปฏิบัติไปจะได้ผลดี
อันเป็นผลสำคัญยิ่งให้สภาการศึกษาวิชาทหารได้ให้ความเห็นชอบ ในการจัดตั้งวิทยาลัยแพทย์ทหารเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2516 [2]
ต่อมาเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2517 กรมแพทย์ทหารบกได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามของ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นชื่อของสถาบัน จึงขออนุมัติเปลี่ยนชื่อจาก "วิทยาลัยแพทย์ทหาร" เป็น "วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า" จนถึงปัจจุบัน
วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 ในการประชุมร่วมระหว่างกองบัญชาการทหารสูงสุด(กองบัญชาการกองทัพไทย ในปัจจุบัน)และผู้แทนสามเหล่าทัพ ได้อนุมัติให้วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เป็นหน่วยงานในความรับผิดชอบของกองทัพบก โดยให้กรมแพทย์ทหารบก มีหน้าที่รับผิดชอบโครงการผลิตนักเรียนแพทย์ทหารปีละ 32 นาย ในโครงการจัดตั้ง 10 รุ่น (รุ่นที่ 1 จบปีการศึกษา 2524 ถึงรุ่นที่ 10 จบปีการศึกษา 2534)
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2518 วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้รับอนุมัติเข้าสมทบในมหาวิทยาลัยมหิดล[3] เพื่อประสาทปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต ทำให้การก่อตั้งวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีความสมบูรณ์ กระทรวงกลาโหมจึงมีคำสั่งลงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ให้วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เป็นหน่วยขึ้นตรงกรมแพทย์ทหารบก และอนุมัติให้เปิดดำเนินการได้ จึงถือเอาวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2518 เป็นวันสถาปนาวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าใช้หลักสูตรของทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งใช้เวลาในการศึกษา 7 ปี (เตรียมแพทย์ 2 ปี ปรีคลินิก 2 ปี คลินิก 2 ปี และแพทย์ฝึกหัด 1 ปี) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ถึงปี พ.ศ. 2523 จนมีการเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิตเป็น 6 ปี (เตรียมแพทย์ 1 ปี ปรีคลินิก 2 ปี คลินิก 3 ปี) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 ถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2530 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก อนุมัติให้ผลิตนักเรียนแพทย์ทหารเพิ่มจาก 32 เป็น 65 นายต่อปี ประกอบกับในขณะนั้นรัฐบาลมีโครงการผลิตแพทย์เพิ่มให้พอกับความต้องการของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ถึงปี พ.ศ. 2544 จากนั้นชะลอโครงการประมาณ 2 ปีเนื่องจากสภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ แต่ภายหลังในปี พ.ศ. 2547 จึงกลับมารับนักเรียนแพทย์ทหารเป็น 65 นายต่อ
ในปี พ.ศ. 2548 ความขาดแคลนแพทย์และศักยภาพของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ทำให้กระทรวงสาธารณสุข ให้งบประมาณสนับสนุน รับนักเรียนแพทย์ทหารได้เป็น 100 นายต่อปี แต่เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกำลังพลของกองทัพ ไม่สามารถบรรจุแพทย์ทหารเข้ารับราชการได้ทุกนาย วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าจึงได้ทำข้อตกลงกับสถาบันพระบรมราชชนก ให้รับบัณฑิตแพทย์เข้ารับราชการในกระทรวงสาธารณสุข ทำให้เกิดนโยบายการรับบุคคลเข้าศึกษา 100 คนแบ่งเป็น นักเรียนแพทย์ทหาร และนักศึกษาแพทย์ชาย-หญิง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน
เนื่องในโอกาสที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าก่อตั้งครบ 20 ปี จึงได้ก่อสร้างอาคารเอนกประสงค์ขึ้น และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามว่า "พระมงกุฎเกล้าเวชวิทยา" นอกจากนี้ยังทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์ "มูลนิธิเพื่อวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า"[4][5] อีกด้วย
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีการพัฒนาทั้งทางด้านวิชาการและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน อาทิเช่น สนับสนุนการวิจัยให้แก่นักเรียนแพทย์ทหาร ตลอดจนอาจารย์แพทย์ทั้งชั้นปรีคลินิก และให้ทุนการศึกษาแก่ผู้มีผลการเรียนดีไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ การสนับสนุนการศึกษาต่อและดูงานต่างประเทศของอาจารย์และนักเรียนแพทย์ทหาร การก่อสร้างอาคารเอนกประสงค์ สระว่ายน้ำ อาคารหอพัก โรงประกอบเลี้ยงและซักรีด ทั้งยังหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่อให้เพียงพอต่อการเรียนการสอน และการเรียนรู้ของนักเรียนแพทย์ทหาร เป็นต้น
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้ผลิตบัณฑิตแพทย์ทหาร ซึ่งได้จัดสรรให้แก่เหล่าทัพต่างๆ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองบัญชาการกองทัพไทย รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือกำลังพล ครอบครัว ตลอดจนประชาชนที่อยู่ห่างไกล หรือพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งเป็นการบรรเทาการขาดแคลนแพทย์ในกองทัพ และในชนบทของประเทศได้เป็นอย่างดี
สัญลักษณ์ประจำวิทยาลัย
- ตราสัญลักษณ์ของวิทยาลัย
- พระมหาพิชัยมงกุฎพร้อมรัศมี หมายถึง ราชอิสริยาภรณ์ ราชาธิปไตย อันเป็นเครื่องประดับพระเศียร พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีสร้างในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสวมในพิธีพระบรมราชาภิเษก และพระราชพิธีสำคัญ
- เลข ๖ ใน วงกลมหมายถึง รัชกาลที่ ๖ แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงสร้างพระราชวังพญาไท ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้ง วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ปัจจุบัน (บางส่วน)
- รร ในวงกลมหมายถึง พระปรมาภิไธยย่อ รามรามาธิบดี ในพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
- พญานาค หมายถึง วิชาแพทย์ ที่พระวิศวามิตร์เล่าไว้ในบ่อเกิดรามเกียรติ์ว่า เทวดา และอสูร ต้องการเป็นอมตะ จึงทำพิธีกวนเกษียรสมุทร โดยใช้เขามนทรคีรีเป็นไม้กวน นำพญาวาสุกรีเป็นเชือก เป็นผลให้เกิดประถมแพทย์ ธันวันตะรี ผู้ชำนาญในอายุรเวท[6]
ผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีผู้อำนวยการมาแล้ว 25 คน ดังรายนามต่อไปนี้
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า | |
---|---|
รายนามผู้อำนวยการ | วาระการดำรงตำแหน่ง |
1. พลตรี นายแพทย์ ยง วัชระคุปต์ | พ.ศ. 2518-2520 |
2. พลตรี นายแพทย์ สอาด ประเสริฐสม | พ.ศ. 2520-2524 |
3. พลตรี นายแพทย์ สิงหา เสาวภาพ | พ.ศ. 2524-2527 |
4. พลตรี นายแพทย์ อมฤต ณ สงขลา | พ.ศ. 2527-2531 |
5. พลตรี นายแพทย์ ปัญญา อยู่ประเสริฐ | พ.ศ. 2531-2532 |
6. พลตรี นายแพทย์ ธรรมนูญ ยงใจยุทธ | พ.ศ. 2532-2535 |
7. พลตรี นายแพทย์ สุจินต์ อุบลวัตร | พ.ศ. 2535-2536 |
8. พลตรี นายแพทย์ ปรียพาส นิลอุบล | พ.ศ. 2536-2538 |
9. พลตรี นายแพทย์ จุลเทพ ธีระธาดา | พ.ศ. 2538-2540 |
10. พลตรี นายแพทย์ ประวิชช์ ตันประเสริฐ | พ.ศ. 2540-2541 |
11. พลตรี นายแพทย์ บุญเลิศ จันทราภาส | พ.ศ. 2541-2544 |
12. พลตรี นายแพทย์ อิสสระชัย จุลโมกข์ | พ.ศ. 2544-2546 |
13. พลตรี นายแพทย์ สหชาติ พิพิธกุล | พ.ศ. 2546-2549 |
14. ศาสตราจารย์คลินิก พลตรี นายแพทย์ ภานุวิชญ์ พุ่มหิรัญ | พ.ศ. 2549-2550 |
15. พลตรี นายแพทย์ กิตติพล ภัคโชตานนท์ | พ.ศ. 2550-2552 |
16. พลตรี นายแพทย์ กฤษฎา ดวงอุไร | พ.ศ. 2552-2553 |
17. พลตรี นายแพทย์ ดิตถ์ สิงหเสนี | พ.ศ. 2553-2555 |
18. รองศาสตราจารย์ พลตรี นายแพทย์ ชุมพล เปี่ยมสมบูรณ์ | พ.ศ. 2555-2557 |
19. พลตรี นายแพทย์ สาโรช เขียวขจี | พ.ศ. 2557-2558 |
20. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พลตรี นายแพทย์ ชาญณรงค์ นาคสวัสดิ์ | พ.ศ. 2558-2560 |
21. พลตรี นายแพทย์ นิมิตร สะโมทาน | พ.ศ. 2560-2562 |
22. พลตรี นายแพทย์ สุพัษชัย เมฆะสุวรรณดิษฐ์ | พ.ศ. 2562-2563 |
23. พลตรี นายแพทย์ สุรศักดิ์ ถนัดศีลธรรม | พ.ศ. 2563-2565 |
24. พลตรี นายแพทย์ ธำรงโรจน์ เต็มอุดม | พ.ศ. 2565-2567 |
25. รองศาสตราจารย์ พลตรี ดร.นายแพทย์ สุขไชย สาทถาพร | พ.ศ. 2567-ปัจจุบัน |
ผู้อำนวยการกองการศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีผู้อำนวยการกองการศึกษา มาแล้ว 22 คน ดังรายนามต่อไปนี้
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกูฎเกล้า | |
---|---|
รายนามผู้อำนวยการกองการศึกษา | วาระการดำรงตำแหน่ง |
1. พลตรี นายแพทย์ ปชา สิริวรสาร | พ.ศ. 2518-2520 |
2. พลตรี นายแพทย์ สฤษดิ์วงศ์ วงศ์ถ้วยทอง | พ.ศ. 2520-2524 |
3. พลตรี นายแพทย์ พิศาล เทพสิทธา | พ.ศ. 2524-2525 |
4. พลตรี นายแพทย์ ประเสริฐ สกุลเจริญ | พ.ศ. 2525-2527 |
5. พลตรี นายแพทย์ อโณทัย แย้มยิ้ม | พ.ศ. 2527-2530 |
6. พลตรี นายแพทย์ เชิดชัย เจียมไชยศรี | พ.ศ. 2530-2532 |
7. พลตรี นายแพทย์ ประสาท ประสงค์จรรยา | พ.ศ. 2532-2533 |
8. พลตรี นายแพทย์ ธำรงรัตน์ แก้วกาญจน์ | พ.ศ. 2533-2534 |
9. พลตรี นายแพทย์ สุปรีชา โมกขะเวส | พ.ศ. 2534-2536 |
10. พลตรี นายแพทย์ ณรงค์ รอดวรรณะ | พ.ศ. 2536-2538 |
11. พลตรี นายแพทย์ ประวิชช์ ตันประเสริฐ | พ.ศ. 2538-2540 |
12. พลตรี นายแพทย์ ชูศักดิ์ สุวรรณศิริกุล | พ.ศ. 2540-2543 |
13. ศาสตราจารย์ พลตรีหญิง แพทย์หญิง ทิพย์ ศรีไพศาล | พ.ศ. 2543-2544 |
14. พลตรี นายแพทย์ สุทธชาติ พีชผล | พ.ศ. 2544-2547 |
15. พลตรี แพทย์หญิง จิตถนอม สุวรรณเตมีย์ | พ.ศ. 2547-2550 |
16. พลตรี นายแพทย์ ธีรยุทธ ศศิประภา | พ.ศ. 2550-2552 |
17. รองศาสตราจารย์ พลตรีหญิง แพทย์หญิง ปรียาพันธ์ แสงอรุณ | พ.ศ. 2552-2556 |
18. รองศาสตราจารย์ พลตรี นายแพทย์ วิชัย ประยูรวิวัฒน์ | พ.ศ. 2556-2558 |
19. รองศาสตราจารย์ พลตรีหญิง แพทย์หญิง ประไพพิมพ์ ธีรคุปต์ | พ.ศ. 2558-2560 |
20. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พลตรีหญิง แพทย์หญิง จันทราภา ศรีสวัสดิ์ | พ.ศ. 2560-2564 |
21. ศาสตราจารย์คลินิก พลตรี นายแพทย์ ดุสิต สถาวร | พ.ศ. 2564-2566 |
22. ศาสตราจารย์ พลตรี นายแพทย์ ประเจษฎ์ เรืองกาญจนเศรษฐ์ | พ.ศ. 2566-ปัจจุบัน |
รายนามนักเรียนเก่าที่มีชื่อเสียง
- พลเอก สาโรช เขียวขจี (รุ่นที่ 2) อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก
- พันเอก ภาคย์ โลหารชุน (รุ่นที่ 23) นายแพทย์ใหญ่ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
- พันตรี สรวิชญ์ สุบุญ (รุ่นที่ 28) นักแสดงช่อง 3 เอชดี
ภาควิชา
ปัจจุบัน วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ประกอบด้วยภาควิชา 22 ภาควิชา ได้แก่
ชั้นปรีคลินิก[11]
|
ชั้นคลินิก[12]
|
การรับบุคคลเข้าศึกษา
การรับบุคคลเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฏเกล้า มีการรับสมัครผ่าน กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท) ในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง (Thai University Central Admission System: TCAS) โดยรับในรอบที่ 3 การรับตรงร่วมกัน โดย ทปอ.
โดยได้แยกการรับระหว่างชาย กับหญิงดังนี้
- ชาย 60 นาย (รวมถึงผู้ที่ต้องการรับทุนกองทัพบกจำนวน 20 นาย ซึ่งจะทำการคัดเลือกหลังจากจบการศึกษาชั้นปีที่ 1 จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว)
- หญิง 40 คน
การศึกษา
การเรียนการสอนวิชาแพทย์
แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
- ชั้นเตรียมแพทย์ (ปี 1)
- ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ตามข้อตกลงกับกระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518) ให้นิสิตเตรียมแพทย์ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าศึกษาที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นระยะเวลา 1 ปี การศึกษาจะอยู่ในความรับผิดชอบตามกฎระเบียบของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- ชั้นปรีคลินิก (ปี 2-3)
- มีการจัดการเรียนการสอน ณ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า (เดิมการเรียนการสอนใช้สถานที่สถาบันพยาธิวิทยา กรมแพทย์ทหารบก ในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า) เป็นเวลา 2ปี
- ชั้นคลินิก (ปี 4-6)
- ใช้สถานที่ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นเวลา 3 ปี
เมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้ปริญญา แพทยศาสตรบัณฑิต (พ.บ.) ของมหาวิทยาลัยมหิดล
การฝึกวิชาทหารและเวชศาสตร์ทหาร
มีการจัด "วิชาทหาร"และ "เวชศาสตร์ทหาร" ไว้ในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต ดังนี้[13]
- 1.การฝึกพื้นฐานทางการทหาร
- เป็นการฝึกวินัยทหารทั่วไป บุคคลท่ามือเปล่า บุคคลท่าอาวุธ วิชาอาวุธศึกษา วิชาแผนที่และเข็มทิศ โดยฝึกวินัยทหารทั่วไปและบุคคลท่ามือเปล่าที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ส่วนบุคคลท่าอาวุธ วิชาอาวุธศึกษา วิชาแผนที่และเข็มทิศ จะทำการฝึกที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (รร.จปร.)
- 2.ทักษะทางการแพทย์ในสนามรบ
- เป็นการสอนการจัดกำลังพลของหมวดเสนารักษ์ การปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บในสนามรบ ทบทวนการฝึกพื้นฐาน ฝึกการซุ่มโจมตีและเล็ดลอดหลบหนี โดยเรียนภาคทฤษฎีที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า และฝึกภาคสนามที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
- 3.ปฏิบัติการเพชราวุธ
- เป็นการสอนในรายวิชา "เวชปฏิบัติการยุทธ" เป็นการฝึกการจัดการบริการสายแพทย์ในระดับหน่วยและระดับกองพล ภายใต้สถานการณ์จำลองการรบต่างๆทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นเวลาติดต่อกัน72ชั่วโมง เพื่อให้นักเรียนแพทย์ทหารได้ฝึกฝนและสัมผัสกับประสบการณ์การจัดหน่วย การดูแลผู้ป่วย และการส่งกลับผู้บาดเจ็บในสนามรบ ทั้งการใช้เปลสนาม รถพยาบาล รถศัลยกรรมเคลื่อนที่ และการส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศด้วยเฮลิคอปเตอร์
- *** หลักสูตรเสริมพิเศษ
- หลักสูตรส่งทางอากาศ
- หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ทหารพลร่ม เป็นวิชาเลือกจะเรียนร่วมกับนักเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ณ โรงเรียนสงครามพิเศษ ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี การศึกษาฝึกฝนให้ นพท.และ นนร. มีความรู้และทักษะในการกระโดดร่มออกจากอากาศยาน เช่น ซี-47 ชีนุก CH-47 Chinook , เครื่องบิน ซี130
สิทธิที่จะได้รับขณะกำลังศึกษาและเมื่อจบการศึกษา
- นักเรียนแพทย์ทหาร (นพท.) มีสภาพเป็นนักเรียนทหารของกองทัพบก มีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่านักเรียนนายร้อย (นนร.) โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
- นักเรียนแพทย์ทหารชายจะได้รับการขึ้นทะเบียนกองประจำการตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร ตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 และนักเรียนแพทย์ทหารหญิงก็จะได้รับการบรรจุรับราชการตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 หากได้รับบรรจุเข้าสังกัดกองทัพ
- นักเรียนแพทย์ทหารได้รับการจัดสถานที่พัก เครื่องนอน เครื่องแต่งกาย เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง อุปกรณ์การเรียน การรักษาพยาบาล และสิทธิอื่นๆ ตามที่ทางราชการกำหนด
- นักเรียนแพทย์ทหารเข้าศึกษาโดยไม่ต้องเสียค่าลงทะเบียน และค่าหน่วยกิตใดๆ ทั้งสิ้นตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 จนจบการศึกษา ทั้งนี้ตามที่ระเบียบวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ากำหนดไว้ในแต่ละปี
- วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีทุนการศึกษาให้กับนักเรียนแพทย์ทหารที่มีผลการเรียนดี หรือที่มีปัญหาทางด้านการเงิน
- เมื่อจบการศึกษาจะได้รับพระราชทานปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยมหิดล ในกรณีสำเร็จการศึกษาและบรรจุเข้ารับราชการทหาร จะได้รับพระราชทานกระบี่พร้อมกับนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (เฉพาะเพศชาย)
- นักเรียนแพทย์ทหาร ทุนกองทัพบกจะได้รับพระราชทานยศเป็นนายทหารสัญญาบัตร (ร้อยตรี) และบรรจุเข้ารับราชการเป็นแพทย์ทหารในสังกัดกองทัพบก
- นักเรียนแพทย์ทหาร ทุนสาธารณสุข หากไม่ได้รับบรรจุเป็นแพทย์ทหารเข้าสังกัดกองทัพ จะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เช่นเดียวกับแพทย์ที่จบจากสถาบันพลเรือนอื่น ๆ
- ผู้ที่มีผลการเรียนดีตลอดหลักสูตร มีทุนกองทัพบกสนับสนุนให้ไปศึกษาต่อเพิ่มเติม ณ ต่างประเทศ
โรงพยาบาลวิทยาลัย สถาบันร่วมผลิตแพทย์ และความร่วมมือ
โรงพยาบาลวิทยาลัย | จังหวัด | สังกัด |
---|---|---|
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า | กรุงเทพมหานคร | ศูนย์อํานวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า กรมแพทย์ทหารบก กองทัพบก |
โรงพยาบาลสมทบสำหรับปฏิบัติงานชั้นคลินิกของ นพท./นศพ.วพม. ชั้นปีที่ 6 | จังหวัด | สังกัด |
---|---|---|
โรงพยาบาลอานันทมหิดล | จังหวัดลพบุรี | กรมแพทย์ทหารบก กองทัพบก |
โรงพยาบาลสกลนคร | จังหวัดสกลนคร | กระทรวงสาธารณสุข |
โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา | จังหวัดนครราชสีมา | กระทรวงสาธารณสุข |
โรงพยาบาลชลบุรี | จังหวัดชลบุรี | กระทรวงสาธารณสุข |
โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ | จังหวัดชลบุรี | กรมแพทย์ทหารเรือ กองทัพเรือ |
สถาบันที่รับเป็นพี่เลี้ยง | ที่ตั้ง | สังกัด |
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ [18] [19] | ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร | มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.