Loading AI tools
สายพันธุ์ไวรัส จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง 2 (อังกฤษ: severe acute respiratory syndrome coronavirus 2: SARS-CoV-2)[6][7] หรือชื่อที่องค์การอนามัยโลกเคยใช้คือ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (2019-nCoV)[8][9] และชื่อลำลองที่ใช้เมื่อโรคจากไวรัสนี้เริ่มระบาดว่า "ไวรัสโคโรนาอู่ฮั่น" หรือ "ไวรัสปอดอักเสบอู่ฮั่น"[10] (จีนตัวย่อ: 武汉冠状病毒; จีนตัวเต็ม: 武漢冠狀病毒) เป็นไวรัสติดต่อที่ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นสาเหตุของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปี พ.ศ. 2562–2563[11] การจัดลำดับจีโนมแสดงให้เห็นว่า เป็นไวรัสอาร์เอ็นเอชนิดสายเดี่ยว ที่มีลำดับสารพันธุกรรมเหมือนเอ็มอาร์เอ็นเอ (Positive-sense single-stranded RNA virus)[12][13][14] มีการแจ้งกรณีต้องสงสัยกรณีแรกให้องค์การอนามัยโลกทราบในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562[15] ผู้ป่วยรายแรกมีอาการเจ็บป่วยปรากฏขึ้นเมื่อสามสัปดาห์ก่อนหน้านั้น คือ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2562[16] ไวรัสได้รับการลำดับจีโนมหลังจากการทดสอบกรดนิวคลีอิกในตัวอย่างผู้ป่วยที่เป็นบวกในผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดอักเสบ ในช่วงระหว่างการระบาดของไวรัสโคโรนา พ.ศ. 2562–2563[17][18]
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง 2 (SARS-CoV-2) | |
---|---|
ภาพของวิริออน SARS-CoV-2 จากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน แสดงให้เห็นสไปก์ | |
ภาพจำลองวิริออน SARS-CoV-2 | |
การจำแนกชนิดไวรัส | |
Group: | Group IV ((+)ssRNA) |
อันดับ: | Nidovirales |
วงศ์: | Coronaviridae |
วงศ์ย่อย: | Coronavirinae |
สกุล: | Betacoronavirus |
สกุลย่อย: | Sarbecovirus[1][2][3] |
สปีชีส์: | Severe acute respiratory syndrome-related coronavirus (สายพันธุ์: Severe acute respiratory syndrome-related coronavirus 2) |
นครอู่ฮั่น ประเทศจีน จุดเริ่มต้นรายงานการแพร่ระบาด | |
ชื่อพ้อง | |
|
กรณีผู้ป่วยในช่วงแรกหลายกรณีมีความเชื่อมโยงกับตลาดขนาดใหญ่ซึ่งจำหน่ายอาหารทะเลและสัตว์ และเชื้อไวรัสนี้เชื่อว่ามีต้นกำเนิดจากสัตว์[19][20] การเปรียบเทียบลำดับทางพันธุกรรมของไวรัสนี้และตัวอย่างไวรัสอื่น ๆ ได้แสดงความคล้ายคลึงกับ SARS (79.5%)[21] และไวรัสโคโรนาในค้างคาว (96%),[21] ซึ่งทำให้ต้นกำเนิดในค้างคาวเป็นไปได้มากที่สุด[22][23]
ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 สำนักงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากทางการจีนว่ามีกรณีของโรคปอดบวมรุนแรงหลายกรณี ในนครอู่ฮั่นเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 จากสาเหตุของการติดเชื้อที่ไม่เคยถูกตรวจพบมาก่อน เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2563 มีรายงานผู้ป่วย 44 คนต่อองค์การอนามัยโลก ซึ่งประกอบด้วยผู้ป่วยหนัก 11 รายและอีก 33 รายมีอาการทรงตัว ผู้ป่วยบางรายเป็นผู้ขายหรือผู้ค้าในตลาดขายส่งปลาและอาหารทะเลหฺวาหนาน (จีน: 华南海鲜批发市场; พินอิน: Huánán hǎixiān pīfā shìchǎng) ในนครอู่ฮั่น[24] หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบได้ทำการปิดตลาดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 โฆษกขององค์การอนามัยโลก กล่าวในขณะนั้นว่ามีความเป็นไปได้ว่าแหล่งที่มาของการติดเชื้อจะพบได้ในตลาด ยังไม่พบการติดต่อจากคนสู่คน[25] การประกาศดังกล่าวดึงดูดความสนใจทั่วโลก เพราะเป็นการย้อนความทรงจำของโรคระบาดซาร์สที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของจีนในปี พ.ศ. 2545-2546 ซึ่งมีผู้ติดเชื้อในเวลานั้นมากกว่า 700 คนทั่วโลก[26]
เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2563 นักวิทยาไวรัสชาวจีน สฺวี เจี้ยนกั๋ว (จีน: 徐建国; พินอิน: Xú jiànguó) ซึ่งรับผิดชอบในการระบุชนิดไวรัสได้ประกาศว่าเชื้อโรคนั้นเป็นไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ ซึ่งเป็นผลจากการทดสอบตัวอย่างเลือดและสารคัดหลั่งในคอจากผู้ป่วย 15 ราย สิ่งนี้ได้รับการยืนยันในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากองค์การอนามัยโลก ในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2563[27][28] และในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563 ลำดับจีโนมที่สมบูรณ์ของไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ถูกบันทึกลงในฐานข้อมูล NCBI GenBank (หมายเลข GenBank MN908947)
ข้อเสนอแนะในการตั้งชื่อ เพื่อตั้งชื่อไวรัสตามนครอู่ฮั่นซึ่งเป็นสถานที่ที่ไวรัสได้รับการยืนยันครั้งแรกว่า ไวรัสโคโรนาระบบทางเดินหายใจอู่ฮั่น (WRS-CoV) ไม่ได้รับการพิจารณา เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้ที่ได้รับจากผู้เชี่ยวชาญก็คือ การร้องเรียนในอดีตเมื่อไวรัสถูกตั้งชื่อตามแต่ละประเทศหรือภูมิภาค (ตัวอย่างเช่น ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง MERS-CoV)[29] ข้อมูลไวรัสได้ถูกรวมอยู่ในฐานข้อมูลอนุกรมวิธานของ NCBI (ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับชื่อไวรัสและการจำแนกประเภท) ภายใต้ชื่อ Wuhan seafood market pneumonia virus[30]
ในช่วงที่มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง การกล่าวโดยทั่วไปถึงไวรัสมักใช้คำสามัญคือ "ไวรัสโคโรนา", "ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่" และ "ไวรัสโคโรนาอู่ฮั่น"[31][32] ในขณะที่องค์การอนามัยโลก ได้แนะนำการกำหนดชื่อของไวรัสชั่วคราวคือ "2019-nCoV" ท่ามกลางความกังวลว่าการไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการอาจนำไปสู่การใช้ชื่อที่ไม่เป็นทางการที่มีอคติ ตามแนวปฏิบัติขององค์การอนามัยโลก ฉบับปี พ.ศ. 2558[32][33] คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยอนุกรมวิธานของไวรัส (International Committee on Taxonomy of Viruses, ICTV) จะเป็นผู้แนะนำชื่ออย่างเป็นทางการที่เหมาะสมของไวรัส[31]
เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 องค์การอนามัยโลกได้ระบุชื่อของโรคที่เกิดจากไวรัสนี้ว่า "COVID-19" ซึ่งย่อมาจาก "coronavirus disease 2019" หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019[34][35]
และต่อมาในวันเดียวกัน (11 กุมภาพันธ์) คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยอนุกรมวิธานของไวรัส (ICTV) ประกาศว่าตามกฎที่มีอยู่ซึ่งคำนวณความสัมพันธ์แบบสายลำดับชั้นของไวรัสโคโรนา บนพื้นฐานของลำดับของกรดนิวคลีอิกที่เหมือนกันห้าตำแหน่ง ทำให้ความแตกต่างของสายพันธุ์ (strain) ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้จาก สายพันธุ์ไวรัสจากการระบาดของโรคซาร์สในปี พ.ศ. 2546 ไม่เพียงพอที่จะทำให้เป็นสปีชีส์ของไวรัสที่แยกจากกัน ดังนั้นคณะกรรมการจึงระบุว่า 2019-nCoV เป็นสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาที่เกี่ยวข้องกับโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS-CoV)[36]
สมมุติฐานโครงสร้างจีโนมของ SARS-CoV-2 ( Open reading frame) | |
รหัสจีโนมของ NCBI | MN908947 |
---|---|
ขนาดจีโนม | 29,903 เบส |
ปีที่ทำเสร็จ | พ.ศ. 2563 |
SARS-CoV-2 เป็นไวรัสในกลุ่มขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อ ไวรัสโคโรนา "nCoV" เป็นคำมาตรฐานที่ใช้ในการอ้างถึงไวรัสโคโรนาใหม่จนกว่าจะมีการเลือกการกำหนดที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ไวรัสโคโรนาอื่นมีความสามารถในการก่อให้เกิดความเจ็บป่วย ตั้งแต่โรคไข้หวัดธรรมดาไปจนถึงโรคที่รุนแรงมากขึ้นเช่น โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS) และ กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) แต่มีเพียงหกชนิดก่อนหน้านี้เท่านั้นที่ติดเชื้อในมนุษย์ (229E, NL63, OC43, HKU1, MERS-CoV และ SARS-CoV) ทำให้ SARS-CoV-2 เป็นชนิดที่เจ็ด[37]
การแยกจีโนมสายพันธุ์ Wuhan-Hu-1 (GenBank หมายเลข MN908947) จาก SARS-CoV-2 แสดงให้เห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันมากที่สุดกับไวรัสโคโรนาที่แยกได้จากค้างคาวจากประเทศจีน ซึ่งถูกวิเคราะห์ในปี พ.ศ. 2558 และ 2560[38]แม้กระนั้นไวรัสชนิดนี้มีความแตกต่างทางพันธุกรรมจากไวรัสโคโรนาอื่น ๆ เช่นไวรัสโคโรนาที่เกี่ยวกับกลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS)และไวรัสโคโรนาที่เกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS)[5] ไวรัสชนิดนี้เป็นสมาชิกของสกุล Beta-CoV สาย B เช่นเดียวกับ SARS-CoV[39][2] (ซึ่งเป็นสมาชิกของ ซับจีนัส Sarbecovirus[3]) จีโนมจำนวนสิบแปดตัวอย่าง[40] ของไวรัสโคโรนาใหม่ถูกแยกและรายงานรวมถึง BetaCoV/Wuhan/IVDC-HB-01/2019, BetaCoV/Wuhan/IVDC-HB-04/2020, BetaCoV/Wuhan/IVDC-HB-05/2019, BetaCoV/Wuhan/WIV04/2019 และ BetaCoV/Wuhan/IPBCAMS-WH-01/2019 ซึ่งรายงานโดยสถาบันแห่งชาติเพื่อการควบคุมและป้องกันโรคไวรัส ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (CCDC; จีน: 中国疾病预防控制中心), สถาบันชีววิทยาก่อโรค และโรงพยาบาลอู่ฮั่นจินหวินถาน (จีน: 武汉市金银潭医院)[41] ลำดับอาร์เอ็นเอ ของไวรัสชนิดนี้มีความยาวนิวคลีโอไทด์ทั้งหมด 29,903 คู่เบส ประกอบด้วย 29,410 คู่เบส กับ 265 คู่เบสและ 228 คู่เบส ที่ไม่สามารถแปลได้บริเวณปลาย 5 'และ 3' ตามลำดับ สมมุติฐานพื้นที่สร้างรหัสของไวรัสแบ่งออกเป็น 10 ส่วน ประกอบด้วย ORF1ab โพลิโปรตีนยาว 7096 เบส, ไกลโคโปรตีนส่วนเปลือก (S) ยาว 1282 เบส, โปรตีนเอนเวโลป (E) ยาว 75 เบส, ไกลโคโปรตีนเมมเบรน (M) ยาว 222 เบส, นิวคลีโอแคปซิด ฟอสโฟโปรตีน ยาว 419 เบส และยีนอีก 5 ส่วน (ORF3a, ORF6, ORF7a, ORF8 และ ORF10) ลำดับของยีนสอดคล้องกับไวรัสโรคซาร์สและไวรัสโคโรนาชนิดอื่นทั้งหมด[5] นอกจากลำดับจีโนมที่ GenBank แล้ว ลำดับจีโนมยังถูกรวบรวมโดย GISAID และการวิเคราะห์สายวิวัฒนาการจากตัวอย่างไวรัสได้รับการเผยแพร่โดย Nextstrain[42]
มีชนิดย่อยของ SARS-CoV-2 อยู่หลายพันชนิด ซึ่งสามารถจัดกลุ่มเครือบรรพบุรุษ (clade) ได้หลายกลุ่ม[43] มีการเสนอระบบการเรียกชื่อกลุ่มเครือบรรพบุรุษเหล่านี้อยู่หลายระบบ โดย Nextstrain แบ่งเอาไว้ 5 กลุ่มเครือบรรพบุรุษ (19A, 19B, 20A, 20B, และ 20C) ในขณะที่ GISAID แบ่งไว้ 7 กลุ่ม (L, O, V, S, G, GH, และ GR)[44]
ในช่วงปลายปี 2020 มีชนิดย่อยที่สำคัญและเป็นที่กล่าวถึงบ่อยครั้งดังต่อไปนี้
การถอดรหัสจีโนมของไวรัสได้นำไปสู่การทดลองสร้างแบบจำลองโปรตีนหลายอย่างเพื่อจับกับโปรตีนตัวรับ (RBD) ของโปรตีน SARS-CoV-2 สไปก์ (S) ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563 นักวิจัยชาวจีนสองคณะเชื่อว่าโปรตีนสไปก์ มีความเป็นไปได้ที่สัมพันธ์กับตัวรับ SARS (เอนไซม์ angiotensin-converting enzyme 2, ACE2) เพื่อใช้เป็นกลไกในการเข้าสู่เซลล์[47] ในวันที่ 22 มกราคม กลุ่มในประเทศจีนที่ทำงานกับไวรัสโดยสมบูรณ์ และกลุ่มในสหรัฐอเมริกาที่ทำงานกับพันธุศาสตร์ย้อนกลับ แสดงผลการทดลองให้เห็นโดยอิสระว่า ACE2 เป็นตัวรับสำหรับ SARS-CoV-2[48][49][50]
เพื่อค้นหายาที่มีศักยภาพในการรักษา เอนไซม์ C30 Endopeptidase (3CLpro) จากโพลิโปรตีน ORF1a ของไวรัสถูกนำมาสร้างแบบจำลองสำหรับการทดลองเชื่อมต่อกับยา ทีมวิจัยจาก Innophore ผลิตแบบจำลองการคำนวณสองรูปแบบโดยใช้เอนไซม์โปรตีเอสของไวรัสซาร์ส[51] และสถาบันวิทยาศาสตร์จีน (จีน: 中国科学院) ได้สร้างโครงสร้างทดลองที่ไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ของรีคอมบิแนนต์เอนไซม์โปรตีเอสของ 2019-nCoV[52] นอกจากนี้นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนยังได้จำลองโครงสร้างของเปปไทด์ที่สมบูรณ์แล้วทั้งหมดในจีโนมของ SARS-CoV-2 โดยใช้ I-TASSER[53]
การติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์ได้รับการยืนยันในมณฑลกวางตุ้งประเทศจีน ตามการแถลงของ จง หนานชาน (จีน: 钟南山) หัวหน้าคณะกรรมาธิการสาธารณสุขซึ่งได้ทำการสอบสวนการระบาด[54] พบการติดเชื้อไวรัสแม้ในช่วงระยะฟักตัว[55][56] ซึ่งต่อมาได้รับการยืนยันจากผลการศึกษา[57][58] แต่องค์การอนามัยโลกระบุว่า "การแพร่เชื้อจากผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการน่าจะไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนสำคัญของการแพร่กระจาย" ในเวลานี้[59] ไวรัสโคโรนาส่วนใหญ่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางเดินหายใจ ละอองจากอาการไอและจาม ในระยะประมาณ 6 ฟุต (1.8 ม.)[60][61] อาร์เอ็นเอของไวรัสตรวจพบในตัวอย่างอุจจาระจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อด้วย[62]
ไวรัสได้รับการประเมินค่าระดับการติดเชื้อพื้นฐาน (R0) ระหว่าง 3 ถึง 5[63] หมายความว่าโดยทั่วไปจะมีผู้ติดเชื้อ 3 ถึง 5 คนต่อสถานการณ์การติดเชื้อ กลุ่มวิจัยอื่น ๆ ได้ประมาณจำนวนค่าระดับการติดเชื้อพื้นฐานระหว่าง 1.4 และ 3.9[64][65][66][67][68] หมายความว่าเมื่อไม่ได้มีการตรวจสอบ ไวรัสจะส่งผลให้เกิดผู้ป่วยรายใหม่ 1.4 ถึง 3.9 รายต่อการติดเชื้อ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าไวรัสสามารถส่งผ่านห่วงโซ่ของคนอย่างน้อยสี่คน[69] เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดต่อไปการแพร่เชื้อจะต้องลดลงมากถึง 60% โดยมาตรการที่เหมาะสม จำนวนการเจ็บป่วยและเสียชีวิตที่พิสูจน์แล้วก่อนหน้านี้ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 2.9% (80/2744)[18][70]
มีข้อสงสัยว่าสัตว์ที่ขายเป็นอาหารนั้นจะเป็นแหล่งรังโรคหรือเป็นพาหะ เพราะผู้ติดเชื้อรายแรกที่ยืนยันเป็นคนงานในตลาดอาหารทะเลหฺวาหนาน พวกเขาจึงต้องสัมผัสกับสัตว์จำนวนมาก[2] ตลาดขายสัตว์ที่มีชีวิตเป็นอาหาร ก็ถูกตำหนิในการแพร่ระบาดของโรคซาร์สในปี พ.ศ. 2546 ตลาดเช่นนี้ถือว่าเป็นศูนย์บ่มเพาะที่สมบูรณ์แบบสำหรับเชื้อโรคที่แปลกใหม่[71] การระบาดของโรคทำให้เกิดการสั่งห้ามการค้าและการบริโภคสัตว์ป่าในประเทศจีนเป็นการชั่วคราว[72] อย่างไรก็ตามนักวิจัยบางคนตั้งข้อสังเกตว่าตลาดอาหารทะเลหฺวาหนาน อาจไม่ใช่แหล่งที่มาของการแพร่เชื้อไวรัสสู่มนุษย์[73][74]
ด้วยจำนวนที่เพียงพอของข้อมูลลำดับจีโนม เป็นไปได้ที่จะสร้างแผนภาพต้นไม้วิวัฒนาการชาติพันธุ์ของประวัติการกลายพันธุ์ของตระกูลไวรัส ในช่วง 17 ปีของการวิจัยเกี่ยวกับต้นกำเนิดของการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส พ.ศ. 2546 ไวรัสโคโรนาจากค้างคาวที่มีลักษณะคล้ายโรคซาร์สจำนวนมากได้ถูกแยกและเรียงลำดับจีโนม ไวรัสโคโรนาจากอู่ฮั่นพบว่าตกอยู่ในประเภทของ ไวรัสโคโรนาที่เกี่ยวข้องกับโรคซาร์ส ลำดับจีโนมสองลำดับจาก "ค้างคาวมงกุฎจีน (Rhinolophus sinicus)" ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2558 และ พ.ศ. 2560 แสดงความคล้ายคลึงกันถึง 80% กับ SARS-CoV-2[75][76] ลำดับจีโนมไวรัสตัวอย่างที่สาม ("RaTG13") จาก "ค้างคาวมงกุฎเทาแดง (Rhinolophus affinis)" มีความคล้ายคลึงกับของ SARS-CoV-2 ถึง 96%[77][78] สำหรับการเปรียบเทียบจำนวนของการแปรผันของไวรัสนี้ มีความคล้ายคลึงกับปริมาณการกลายพันธุ์ที่สังเกตได้จากระยะเวลานานกว่าสิบปีในเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2[79]
มีรายงานว่ากรณีผู้ป่วยมีอาการไข้ 90%[2] มีอาการอ่อนเพลียและไอแห้ง 80%[2][80] และหายใจถี่ 20% โดยหายใจลำบาก 15%[80] การถ่ายภาพรังสีเอกซ์ช่องอกได้แสดงสัญญาณในปอดทั้งสองข้าง ซึ่งสามารถนำไปสู่อาการปอดบวม ไตวาย และเสียชีวิตจากการติดเชื้อรุนแรง[81] ในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563 นาย Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกระบุว่า หนึ่งในสี่ของผู้ที่ติดเชื้อนั้นมีอาการหนัก และหลายรายที่เสียชีวิตมีอาการอื่นที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่นความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ[82] โดยทั่วไปแล้วสัญญาณชีพนั้นมีความเสถียรในเวลาที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล[80] ผลตรวจเลือดมีจำนวนเม็ดเลือดขาวโดยรวมต่ำ (leucopenia) โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ต่ำ (lymphopenia) [2]
ไวรัสสามารถตรวจพบได้โดยตรงโดยใช้ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรสแบบย้อนกลับ (RT-PCR) (จากเสมหะ สารคัดหลั่งจากหลอดลม น้ำล้างหลอดลม การเก็บสิ่งส่งตรวจป้ายโพรงจมูก) สำหรับผู้ที่สงสัยว่าเป็นโรคปอดอักเสบและอยู่ในพื้นที่เสี่ยง 14 วันก่อนการระบาดของโรค และสำหรับผู้ที่มีอาการซึ่งเคยติดต่อกับผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันแล้ว เป็นวิธีการที่แนะนำ จนกว่าจะมีการพัฒนาวิธีการตรวจจับทางอ้อม (การตรวจหาแอนติบอดี) และแนะนำให้เก็บซีรัมจากผู้ป่วยด้วย[83] (ณ วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2563)
โรคที่เกิดจากไวรัส SARS-CoV-2 ได้รับการกำหนดชื่อไว้ชั่วคราวว่า "โรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน 2019-nCoV" โดยองค์การอนามัยโลก[84] ไม่มีการรักษาที่ได้รับการยืนยันโดยมาตรฐานการวิจัยทางการแพทย์ (ในแง่ของการตรวจสอบอย่างเป็นระบบของการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มที่มีการตรวจสอบแบบพิชญพิจารณ์) ในขณะนี้ (กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563) ดังนั้นการรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการ[85] ซึ่งประกอบด้วยอาการไข้, ไอแห้ง ๆ และหายใจถี่[2][86]
ในอีกทางหนึ่งการวิจัยเชิงสำรวจในหลายแนวทาง ได้เริ่มต้นเพื่อหาวิธีการรักษาโรคที่มีศักยภาพในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563[87] ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีนเริ่มทำการทดสอบกระบวนการรักษาโรคปอดอักเสบที่มีอยู่แล้ว เพื่อพิจารณาประสิทธิภาพในการรักษาโรคปอดบวมที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา ในปลายเดือนมกราคม[88] มีการตรวจสอบประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสที่มีอยู่[89] รวมทั้งสารยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอสเช่น อินดินาเวียร์, ซาควินาเวียร์ และ โลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ก็เริ่มขึ้นในปลายเดือนมกราคมด้วยเช่นกัน[90] การทดสอบสารยับยั้งเอนไซม์อาร์เอ็นเอโพลิเมอเรส Remdesivir,[91][92][93] อินเตอร์เฟียรอน-เบตา,[93] และ สารภูมิต้านทานโมโนโคลน (mAbs) ที่ระบุไว้ได้ก่อนหน้านี้ ซึ่งการรักษาที่เป็นไปได้ก็เริ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน[94] โครงการศึกษาประสิทธิภาพของการรักษาโรคจากไวรัสตับอักเสบซี โดยใช้ Sofosbuvir ซึ่งเป็นสารยับยั้งเอนไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสซึ่งขึ้นอยู่กับอาร์เอ็นเอ ก็เริ่มขึ้นในปลายเดือนมกราคม พ.ศ. 2563[95]
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 มีรายงานจากประเทศไทยว่าประสบความสำเร็จในการรักษาผู้ป่วยรายหนึ่ง นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช จากโรงพยาบาลราชวิถี ในกรุงเทพมหานครกล่าวในระหว่างการบรรยายสรุปของกระทรวงสาธารณสุขว่า ผู้หญิงชาวจีนอายุ 71 ปีจากอู่ฮั่นมีผลทดสอบอาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาเป็นลบ 48 ชั่วโมงหลังจากแพทย์ทำการรักษาด้วยยาต้านไวรัส เอชไอวี โลปินาเวียร์ และริโทนาเวียร์ ร่วมกับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ โอเซลทามิเวียร์[96][97]
โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันเช่นโรคซาร์ส, ไข้หวัดใหญ่และโรคปอดอักเสบจากไวรัส SARS-CoV-2 สันนิษฐานว่าเป็นอันตรายถึงชีวิตเนื่องจากปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงของภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า "Cytokine storm"[98]
วัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นวัคซีนที่มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงก่อนเกิดการระบาดทั่วของโควิด-19 งานพัฒนาวัคซีนสำหรับโรคไวรัสโคโรนาต่าง ๆ รวมทั้งกลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส หรือ SARS) และโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (เมอร์ส หรือ MERS) ได้สะสมความรู้พอสมควรเกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของไวรัสโคโรนา ซึ่งได้ช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีวัคซีนโควิดต่าง ๆ เมื่อต้นปี 2020
จนถึงเดือนมกราคม 2021 มีวัคซีนแคนดิเดตซึ่งได้เข้าสู่การวิจัยเพื่อใช้รักษาแล้ว 69 ชนิด ในจำนวนนี้ 19 ชนิดกำลังทดลองในระยะที่ 1, 24 ชนิดในระยะที่ 1-2, 6 ชนิดในระยะที่ 2 และ 20 ชนิดในระยะที่ 3[99] โดยวัคซีนซึ่งทดลองในระยะที่ 3 หลายอย่างได้แสดงประสิทธิศักย์ (efficacy) ป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการถึงอัตราร้อยละ 95 จนถึงเดือนมกราคม 2021 มีวัคซีน 10 อย่างที่องค์กรควบคุมทางสาธารณสุขของรัฐอย่างน้อย 1 แห่งได้อนุมัติให้ฉีดแก่ประชาชนแล้วรวมทั้งวัคซีนอาร์เอ็นเอ 2 ชนิด (Tozinameran ของบริษัทไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคและ mRNA-1273 ของโมเดิร์นา), วัคซีนซึ่งใช้ไวรัสโควิด-19 ที่ฆ่าแล้ว 4 ชนิด (BBIBP-CorV ของไซโนฟาร์ม, BBV152 ของ Bharat Biotech, โคโรนาแว็กของไซโนแว็ก และ WIBP ของไซโนฟาร์ม), วัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นเวกเตอร์ 3 ชนิด (Gam-COVID-Vac หรือ สปุตนิก 5 ของ Gamaleya Research Institute, AZD1222 ของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด/แอสตราเซเนกา และ Ad5-nCoV ของแคนไซโนไบโอลอจิกส์) และวัคซีนเพปไทด์ 1 ชนิด (EpiVacCorona )[99]
ประเทศต่าง ๆ มีแผนแจกจำหน่ายวัคซีนโดยจัดลำดับการให้ตามกลุ่มที่เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ผู้สูงอายุ และกลุ่มที่เสี่ยงติดแล้วแพร่โรค เช่น บุคลากรทางแพทย์[100] จนถึงวันที่ 30 มกราคม 2021 องค์กรสาธารณสุขรวม ๆ กันทั่วโลกรายงานว่า ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ถึง 94.91 ล้านโดสแล้ว[101] ผู้ผลิต 3 รายซึ่งมีกำลังผลิตมากที่สุดคือ ไฟเซอร์ โมเดิร์นา และแอสตราเซเนการะบุว่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้ 5,300 ล้านโดสในปี 2021 ซึ่งสามารถให้แก่คน 3,000 ล้านคนทั่วโลกโดยแต่ละคนจะต้องได้สองโดสเพื่อให้สามารถป้องกันโรค[102] แต่จนถึงเดือนธันวาคม ประเทศต่าง ๆ ก็ได้สั่งวัคซีนล่วงหน้าเกิน 10,000 ล้านโดสแล้ว[102] โดยครึ่งหนึ่งเป็นประเทศรายได้สูงแม้จะมีประชากรเพียงร้อยละ 14 ของโลก[103] เพราะความต้องการวัคซีนสูงเยี่ยงนี้ในช่วงปี 2020-21[103] ประชาชนของประเทศกำลังพัฒนาที่จัดว่ามีรายได้น้อยอาจไม่ได้รับวัคซีนจากผู้ผลิตเหล่านี้จนถึงปี 2023 หรือ 2024 จึงทำให้โปรแกรมโคแว็กซ์จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้ส่งวัคซีนได้ทั่วถึงกันทั่วโลก[102][103]
การติดเชื้อในมนุษย์ครั้งแรกที่ทราบกันอยู่ในช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562[104][73] จุดเริ่มต้นการระบาดของโรคที่เป็นที่ทราบเพียงแห่งเดียวถูกโยงไปยังตลาดอาหารทะเลหฺวาหนาน ในนครอู่ฮั่นประเทศจีนในช่วงกลางเดือนธันวาคม ซึ่งอาจเรื่มจากสัตว์ที่ติดเชื้อเพียงตัวเดียว[73] ในเวลาต่อมาไวรัสดังกล่าวแพร่กระจายไปยังทุกจังหวัดของประเทศจีน และมากกว่ายี่สิบประเทศในเอเชีย, ยุโรป, อเมริกาเหนือ และโอเชียเนีย[105] การแพร่กระจายจากคนสู่คนได้รับการยืนยันในประเทศจีน,[106][107] เยอรมนี,[108] ไทย,[109] เวียดนาม, ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา[110]
เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563 การระบาดของไวรัส SARS-CoV-2 ได้รับการกำหนดให้เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพระดับโลกโดยองค์การอนามัยโลก (WHO)[111][112][113] จนถึงปัจจุบันประมาณหนึ่งในห้าของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยอยู่ในภาวะวิกฤต [114] เกือบทุกกรณีนอกประเทศจีนเกิดขึ้นกับคนที่เดินทางจากนครอู่ฮั่น หรือติดต่อสัมผัสกับคนที่เดินทางจากพื้นที่โดยตรง[115][116]
อัตราการเสียชีวิตและอัตราการเจ็บป่วยโดยรวมเนื่องจากการติดเชื้อจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เนื่องจากอัตราการตายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในระหว่างการระบาดของโรคในปัจจุบัน และเนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยและผู้ที่ไม่มีอาการซึ่งไม่ได้รับการวินิจฉัยนั้นไม่ชัดเจน[117][118] อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยเบื้องต้นประเมินว่าอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 2-3% ของผู้ติดเชื้อ[119][120] และองค์การอนามัยโลกได้เสนอว่าอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 3%[121] จำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัส ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 (02:00 UTC) มีทั้งหมด 362 ราย[105][122]
จากข้อมูลของทางการจีนในวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2563 มีการบันทึกยืนยันผู้ป่วยจากไวรัสมีจำนวน 40 ราย และในวันเดียวกันหนึ่งในผู้ป่วยชายอายุ 61 ปีได้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัส[123] กรณีแรกนอกประเทศจีนเป็นที่ทราบกันในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563 โดยเป็นผู้ป่วยหญิงชาวจีนวัย 61 ปีในกรุงเทพฯ ที่มีประวัติเดินทางเข้าสู่นครอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563[124][125] ผู้ป่วยชายอายุ 69 ปีเสียชีวิตเป็นรายที่สอง เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563 และจำนวนผู้ป่วยนอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นเป็นสามรายในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563 (สองรายในประเทศไทย หนึ่งรายในประเทศญี่ปุ่น)[126] จากที่มีการยืนยันผู้ป่วยหลายกรณีในต่างประเทศ นักวิทยาการระบาดสรุปว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในอู่ฮั่นจะต้องสูงกว่าจำนวนผู้ป่วยที่ยืนยันอย่างเป็นทางการ 41 ราย ผู้เชี่ยวชาญประเมินจำนวนผู้ติดเชื้อในอู่ฮั่นประมาณ 1,700 คนในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2563[127]
ในขั้นแรกสุด มาตรการรักษาความปลอดภัยถูกดำเนินการที่ท่าอากาศยานในสิงคโปร์และฮ่องกง ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากนครอู่ฮั่นจะถูกตรวจสอบ โดยเฉพาะสำหรับผู้มีอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นและสอบถามเกี่ยวกับอาการของโรคปอดอักเสบ ท่าอากาศยานหลายแห่งในประเทศไทย เกาหลีใต้ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ได้ออกมาตรการที่คล้ายคลึงกันตามมา และตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2563 การควบคุมเช่นเดียวกันจะมีผลบังคับใช้ที่ท่าอากาศยานหลักสามแห่งของสหรัฐ คือท่าอากาศยานนานาชาติซานฟรานซิสโก (SFO), ท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส (LAX) และท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี ในนิวยอร์ก (JFK)[128]
เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2563 ทางการจีนรายงานว่ามีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีผู้ป่วยใหม่ 139 คนในวันที่ 18-19 มกราคม พ.ศ. 2563 บางรายอยู่นอกนครอู่ฮั่น คือในเชินเจิ้นและปักกิ่ง มีรายงานผู้เสียชีวิตจากไวรัสอีกหนึ่งราย และการรายงานผู้ป่วยรายแรกจากเกาหลีใต้[129] ทางการจีนยืนยันว่าการติดเชื้อนั้นสามารถเกิดจากคนสู่คน[130] ในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563 การติดเชื้อ 2019-nCoV ครั้งแรกนอกเอเชียได้รับการวินิจฉัยในชาวอเมริกันที่เดินทางกลับจากอู่ฮั่นมายังสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563 ในนครซีแอตเทิล[131]
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มีการประชุมคณะกรรมการฉุกเฉินเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2563 เพื่อชี้แจงว่าการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้ชี้แจงไว้ในตอนแรก การดำเนินการต่อไปจะต้องมีการหารือกันอีกครั้งในวันที่ 23 มกราคม[132]
ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563 การเชื่อมต่อรถไฟและเที่ยวบินทั้งหมดจากอู่ฮั่น เมืองที่มีประชากรประมาณ 9 ล้านคน รวมถึงการเชื่อมต่อรถบัส รถไฟใต้ดิน และเรือข้ามฟาก ชาวอู่ฮั่นได้รับคำสั่งไม่ให้ออกจากเมือง ห้องสมุดพิพิธภัณฑ์และโรงละครยกเลิกกิจกรรมและการแสดง อู่ฮั่นเป็นศูนย์ประสานงานสำหรับมาตรการในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค ณ จุดนี้มีการยืนยันการติดเชื้อ 500 ครั้งอย่างเป็นทางการและมีผู้เสียชีวิต 17 ราย (ทั้งหมดในหวู่ฮั่นและหูเป่ย์) นักระบาดวิทยาประเมินว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 คนในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2563[133]
รายงานจากหนังสือพิมพ์ "ไชนาเดลี่" ในอู่ฮั่นถนนสายหลักจะถูกปิดกั้นในวันพฤหัสบดี มีมาตรการสวมหน้ากากป้องกันในที่สาธารณะ ทุกคนที่ไม่สวมหน้ากากในโรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และสวนสาธารณะจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าในพื้นที่
เมืองหวงกัง (จีน: 黄冈) ซึ่งมีประชากร 7.5 ล้านคน อยู่ทางตะวันออกของอู่ฮั่นประมาณ 70 กม. ก็ถูกตัดขาดจากระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งแต่เที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563 ตามเวลาท้องถิ่น (UTC+8) โรงภาพยนตร์ทั้งหมด ร้านอินเทอร์เน็ต และตลาดกลางของเมืองนี้ถูกปิด ผลกระทบที่คล้ายคลึงกันกำลังเกิดขึ้นในเมืองเอ้อโจว (จีน: 鄂州) ที่อยู่ใกล้เคียงหลังจากสถานีรถไฟหลักถูกปิดในวันที่ 23 มกราคม ประชาชนรวมทั้งหมดเกือบ 20 ล้านคนได้รับผลกระทบจากข้อจำกัด ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์เฉพาะในขอบเขตของประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน[134]
ในปักกิ่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม มีการประกาศให้การเฉลิมฉลองตรุษจีนในช่วงสุดสัปดาห์ และงานประเพณีแบบดั้งเดิมในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ถูกยกเลิกเป็นเวลาสองสัปดาห์หลังจากปีใหม่ และสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งถูกปิด
หลังจากที่ผู้ป่วยเป็นรายที่สองได้รับการยืนยันในเขตปกครองพิเศษมาเก๊าของจีน การเฉลิมฉลองวันปีใหม่ระหว่างวันที่ 25 มกราคมถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ก็ถูกยกเลิกเช่นกัน
จีนใช้มาตรการกักกันโดยไม่ปรึกษากับองค์การอนามัยโลก ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก Tedros Adhanom Ghebreyesus เห็นด้วยกับการดำเนินการเพราะ "มวลชนที่มาสะสมรวมตัวกันเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่กระจาย" เขาสัญญาว่าจะให้คำแนะนำในการเดินทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อสิ้นสุดการพิจารณาของคณะกรรมการฉุกเฉินในเจนีวาในเย็นวันพฤหัสบดี
หลังจากเมืองเอ้อโจว รถไฟก็ได้หยุดดำเนินการในเมืองเซียนเถา (จีน: 仙桃), ชื่อปี้ (จีน: 赤壁) และลี่ชวน (จีน: 利川)[135]
ตำแหน่งของนครอู่ฮั่น ประเทศจีน จุดศูนย์กลางของการระบาด | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
วันที่ | 1 ธันวาคม พ.ศ. 2562 – ปัจจุบัน (4 ปี 8 เดือน 3 สัปดาห์ 6 วัน) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ที่ตั้ง | ต้นกำเนิด: อู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน
|
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.