Loading AI tools
นครและเขตบริหารพิเศษของประเทศจีน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฮ่องกง[9] หรือ เซียงก่าง[9] (อังกฤษ: Hong Kong; จีน: 香港) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (อังกฤษ: Hong Kong Special Administrative Region of the People's Republic of China) เป็นเขตปกครองตนเองริมฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีนอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกในทางภูมิศาสตร์ มีสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงและทะเลจีนใต้โอบรอบ ด้วยเนื้อที่ 1,104 ตารางกิโลเมตร และประชากรกว่า 7.5 ล้านคน ถือเป็นเขตปกครองที่มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่ง โดยอัตราความหนาแน่นประชากรสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก ฮ่องกงยังเป็นหนึ่งในเขตปกครองตนเองที่พัฒนามากที่สุดในโลก[10]
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน 中華人民共和國香港特別行政區 | |
---|---|
ที่ตั้งของฮ่องกงในประเทศจีน | |
ภาษาราชการ | |
จีนกวางตุ้ง[2] | |
อักษรทางการ[3] | อังกฤษ จีนดั้งเดิม |
กลุ่มชาติพันธุ์ |
|
ศาสนา |
|
การปกครอง | ระบบฝ่ายบริหารที่ได้รับมอบอำนาจปกครองภายในสาธารณรัฐสังคมนิยม |
จอห์น ลี | |
• หัวหน้าฝ่ายยุติธรรม | แอนดรูว์ ชึง |
สภานิติบัญญัติ | สภานิติบัญญัติฮ่องกง |
เขตบริหารพิเศษในสาธารณรัฐประชาชนจีน | |
26 มกราคม 1841 | |
29 สิงหาคม 1842 | |
18 ตุลาคม 1860 | |
• การขยายอนุสัญญาดินแดนฮ่องกง | 1 กรกฎาคม 1898 |
• การยึดครองของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น | 25 ธันวาคม 1941 ถึง 30 สิงหาคม 1945 |
19 ธันวาคม 1984 | |
• การรับมอบอธิปไตยจากสหราชอาณาจักร | 1 กรกฎาคม 1997 |
พื้นที่ | |
• รวม | 1,104 ตารางกิโลเมตร (426 ตารางไมล์) (179th) |
4.58 (50 km2; 19 sq mi)[5] | |
ประชากร | |
• 2557 ประมาณ | 7,234,800[6] (100th) |
6,544[4] ต่อตารางกิโลเมตร (16,948.9 ต่อตารางไมล์) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2560 (ประมาณ) |
• รวม | $ 453.019 พันล้าน |
• ต่อหัว | $ 61,015 |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2560 (ประมาณ) |
• รวม | $ 334.104 พันล้าน |
• ต่อหัว | $ 44,999 |
จีนี (2559) | 53.9[7] สูง |
เอชดีไอ (2562) | 0.949[8] สูงมาก · 4 |
สกุลเงิน | ดอลล่าร์ฮ่องกง (HK$) (HKD) |
เขตเวลา | UTC+8 |
UTC+8 | |
ขับรถด้าน | ซ้าย |
รหัสโทรศัพท์ | +852 |
รหัส ISO 3166 | HK |
โดเมนบนสุด | .hk .香港 |
ฮ่องกง | |||||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาจีน | 香港 | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ยฺหวิดเพ็ง | Hoeng1gong2 | ||||||||||||||||||||||||||||||
เยลกวางตุ้ง | Hēunggóng | ||||||||||||||||||||||||||||||
ฮั่นยฺหวี่พินอิน | Xiānggǎng | ||||||||||||||||||||||||||||||
ความหมายตามตัวอักษร | ท่าเรือที่หอมหวน | ||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||
เขตบริหารพิเศษฮ่องกง | |||||||||||||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 香港特別行政區 (หรือ 香港特區) | ||||||||||||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 香港特别行政区 (หรือ 香港特区) | ||||||||||||||||||||||||||||||
ยฺหวิดเพ็ง | Hoeng1gong2 Dak6bit6Hang4zing3 Keoi1 (or Hoeng1gong2Dak6keoi1) | ||||||||||||||||||||||||||||||
ฮั่นยฺหวี่พินอิน | Xiānggǎng Tèbié Xíngzhèngqū (or Xiānggǎng Tèqū) | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
ประวัติศาสตร์ของฮ่องกงเริ่มต้นจากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร (ฮ่องกงของบริเตน) หลังจากจีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่น เกาะฮ่องกง และดินแดนตอนปลายคาบสมุทรเกาลูนตกเป็นอาณานิคมใน ค.ศ. 1842 และ 1860 ตามลำดับ อาณานิคมขยายไปถึงคาบสมุทรเกาลูนหลังสงครามฝิ่นครั้งที่สอง และขยายออกไปอีกเมื่อสหราชอาณาจักรทำสัญญาเช่าดินแดนเป็นเวลา 99 ปีใน ค.ศ. 1898 ฮ่องกงของบริเตนถูกยึดครองโดยจักรวรรดิญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ. 1941 ถึง 1945 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนจะกลับมามีสถานะเดิมอีกครั้งหลังการยอมจำนนของญี่ปุ่น[11] ต่อมา สหราชอาณาจักรทำสัญญาส่งมอบดินแดนทั้งหมดคืนให้แก่ประเทศจีนใน ค.ศ. 1997[12] และมีสถานะเป็นหนึ่งในสองเขตบริหารพิเศษของจีน (อีกแห่งคือมาเก๊า) แต่จีนได้รับรองให้ฮ่องกงสามารถรักษาระบอบการปกครองและเศรษฐกิจที่แยกจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ได้ โดยอยู่ภายใต้หลักการของ "หนึ่งประเทศ สองระบบ"[13] เดิมทีฮ่องกงเป็นเพียงหมู่บ้านเกษตรกรและชาวประมง แต่ความเจริญได้เข้ามาสู่เกาะอย่างรวดเร็วและได้พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการค้าและการเดินเรือที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก[14] ฮ่องกงกลายเป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชียที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษ 1950 และแม้จะไม่มีสถานะเป็นประเทศ[15] แต่ในปัจจุบันฮ่องกงเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 9 และผู้นำเข้ารายใหญ่อันดับ 8 ของโลก
ฮ่องกงบริหารเศรษฐกิจแบบผสมโดยเน้นระบบทุนนิยมซึ่งมีการเก็บภาษีต่ำและมีระบบการค้าเสรี รายได้หลักมาจากภาคบริการและการส่งออก มีสกุลเงินคือดอลลาร์ฮ่องกง[16] ซึ่งเป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายมากเป็นอันดับ 9 ของโลก ฮ่องกงมีจำนวนมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากเป็นอันดับ 7 ของโลก[17] และเป็นอันดับสองในเอเชีย และยังมีจำนวนประชากรผู้มีรายได้สูงมากที่สุดในโลก[18] แม้ว่าฮ่องกงจะมีรายได้ต่อหัวของประชากรสูง แต่ยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงเช่นกัน โดยมีความเท่าเทียมกันของรายได้ต่ำ และประสบปัญหาค่าครองชีพสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก ฮ่องกงยังมีจำนวนตึกระฟ้ามากที่สุดในโลก[19] และมีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่แพงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก[20][21][22]
ฮ่องกงเป็นเขตปกครองตนเองที่พัฒนาแล้วอย่างสูง โดยอยู่ในอันดับ 4 จากการจัดอันดับดัชนีการพัฒนามนุษย์ และเป็นประเทศหรือเขตปกครองตนเองเพียงแห่งเดียวในเอเชียที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ประชากรฮ่องกงยังมีอัตราการคาดหมายคงชีพสูง[23] และจากการมีประชากรอาศัยอย่างหนาแน่น ทำให้ฮ่องกงพัฒนาระบบเครือข่ายการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีอัตราการใช้บริการขนส่งสาธารณะสูงถึง 90% ฮ่องกงยังอยู่ในอันดับสูงของโลกในการจัดอันดับด้านความสามารถการแข่งขันทางการเงิน[24] ฮ่องกงมีส่วนร่วมในองค์การการค้าโลก, ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก, คณะกรรมการโอลิมปิกสากล และหน่วยงานของสหประชาชาติหลายแห่ง
มีการบันทึกว่าชื่อของเกาะฮ่องกงมีการเขียนเป็นอักษรละตินครั้งแรกว่า "He-Ong-Kong" ใน ค.ศ. 1780[25] แต่เดิมหมายถึงปากน้ำเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างท่าเรือแอเบอร์ดีนและชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกง แอเบอร์ดีนเป็นจุดเริ่มต้นการติดต่อระหว่างกะลาสีชาวอังกฤษและชาวประมงท้องถิ่น แม้จะไม่ทราบที่มาของชื่ออักษรละตินดังกล่าว แต่เชื่อกันว่าเป็นการออกเสียงตามภาษาจีนกวางตุ้ง hēung góng
ชื่อนี้มีความหมายตามตัวอักษรว่า "ท่าเรือที่หอมหวาน" และ "ท่าเรือที่เต็มไปด้วยเครื่องหอม" โดยความหมายของคำว่า "หอมหวาน และ กลิ่นหอม" ที่ปรากฏในชื่อ[26] อาจหมายถึงรสหวานของน้ำจืดที่ไหลผ่านท่าเรือซึ่งมาจากแม่น้ำจูหรืออาจเป็นกลิ่นจากโรงงานเครื่องหอมที่เรียงรายตามแนวชายฝั่งทางเหนือของเกาลูน เครื่องหอมและไม้หอมทั้งหมดถูกเก็บไว้ใกล้ท่าเรือแอเบอร์ดีนเป็นจำนวนมากเพื่อส่งออกก่อนที่อ่าววิกทอเรียจะได้รับการพัฒนา เซอร์จอห์น เดวิส (ผู้ว่าการอาณานิคมคนที่สอง) เสนอแนวคิดในสมมติฐานของชื่อเกาะอีกหนึ่งประการ โดยเดวิสกล่าวว่าชื่อนี้อาจมาจากคำว่า "Hoong-keang" ซึ่งหมายถึง "กระแสน้ำสีแดง" เนื่องจากสีของดินที่น้ำตกบนเกาะไหลผ่าน[27]
ชื่อ Hong Kong ในปัจจุบันเริ่มมีการใช้ใน ค.ศ. 1810 โดยในช่วงแรกนิยมเขียนติดกันเป็น Hongkong กระทั่ง ค.ศ. 1926 รัฐบาลประกาศให้เขียนเป็นสองคำแยกจากกัน จึงมีการใช้คำว่า Honk Kong อย่างเป็นทางการมานับแต่นั้น แต่บริษัทต่าง ๆ ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงอาณาณิคมยังนิยมใช้ชื่อ Hongkong อยู่ เช่น Hongkong Land, Hongkong Electric Company, Hongkong and Shanghai Hotels และ Hongkong and Shanghai Banking Corporation (HSBC)[28] แต่ในปัจจุบันแทบไม่พบเห็นการเขียนติดกันแล้ว
"ฮ่องกง" เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านประมงเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอซินอัน เมืองเซินเจิ้น ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษากวางตุ้ง ซึ่งมาจากภาษาจีนกลาง ว่า "เซียงกั่ง" ความหมายก็ไม่เหมือนใคร หมายความว่า "ท่าเรือหอม" มีความเป็นมา สืบเนื่องมาแต่ครั้งที่กวางตุ้ง เป็นแหล่งปลูกไม้หอมชนิดหนึ่ง ส่งขายเป็นสินค้าออก โดยที่ต้องมาขนถ่ายสินค้ากัน ที่ท่าเรือน้ำลึกตอนใต้สุดของแผ่นดินจีน ด้วยภูมิประเทศของฮ่องกงเอง ที่เป็นเมืองท่าน้ำลึก เหมาะแก่การจอดเรือสินค้าขนาดใหญ่ จึงทำให้ฮ่องกงกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโลก[29]
เมื่อราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีเรือของกองทัพเรือสหราชอาณาจักร นำโดยกัปตัน ชาร์ลส์ อีเลียต (อังกฤษ: Charles Elliot) แล่นผ่านน่านน้ำระหว่าง แหลมเกาลูนและเกาะแห่งหนึ่งที่ร่ำลือกันว่า เป็นที่หลบลมพายุของพวกโจรสลัด กัปตันอีเลียต เกิดได้กลิ่นหอมชนิดหนึ่ง จึงจอดเรือและขึ้นฝั่ง ส่งล่ามลงไปสอบถาม ได้ความว่าเป็นท่าเรือหอม ใช้ขนถ่ายไม้หอม กัปตันรับทราบด้วยความประทับใจ
เมื่อกัปตันอีเลียตเดินทางกลับสู่สหราชอาณาจักรและได้รับการแต่งตั้งให้ไปประจำการฝ่ายการพาณิชย์ของสหราชอาณาจักรในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งขณะนั้นเอง ประเทศสหราชอาณาจักรซึ่งปกครองโดยพระนางวิกตอเรีย กำลังต้องการอาณานิคมในแถบทะเลจีนใต้ เพื่อใช้เป็นที่จัดส่งสินค้า หรือฝิ่นนั่นเอง และประจวบเหมาะพอดีกับที่ฝ่ายสหราชอาณาจักรและจีน กำลังมีปัญหาเรื่องการค้าฝิ่นในแถบกวางตุ้งของจีน จนทำให้เกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ขึ้นใน ค.ศ. 1839 กัปตันอีเลียตจึงตัดสินใจยกพลขึ้นบกที่ท่าเรือกลิ่นหอม และประกาศให้ดินแดนแถบนั้นเป็นของสหราชอาณาจักร ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1841 หลังจากจีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่น ปลายศตวรรษที่ 19 เกาะฮ่องกง และดินแดนตอนปลายคาบสมุทรเกาลูน จึงตกเป็นอาณานิคมใน ค.ศ. 1842 และ 1860 ตามลำดับ
ว่ากันว่ามีเหตุการณ์ที่น่าขัน และสร้างความขายหน้าให้กับพระราชินีวิกตอเรียยิ่งนัก ที่กองทหารสหราชอาณาจักรเข้ายึดเกาะที่มีแต่หินโสโครก หาประโยชน์ไม่ได้เลย กัปตันอีเลียตจึงถูกลงโทษด้วยการส่งไปเป็นกงสุลสหราชอาณาจักรประจำรัฐเท็กซัสแทน ต่อมาภายหลัง ตั้งแต่นั้น จีนและสหราชอาณาจักรกระทบกระทั่งกันเรื่องการค้าฝิ่นเรื่อยมา เกิดสงครามฝิ่นถึงสองครั้ง หลังสงครามฝิ่นครั้งที่สองนี่เอง สหราชอาณาจักรได้บีบบังคับให้จีนทำสัญญาใน ค.ศ. 1898 สหราชอาณาจักรได้ทำสัญญา ‘เช่าซื้อ’ พื้นที่ทางตอนใต้ของลำน้ำเซินเจิ้น ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า ‘เขตดินแดนใหม่’ (เขตนิวเทร์ริทอรีส์) รวมทั้งเกาะรอบข้าง ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กว่าเมื่อครั้งสหราชอาณาจักรเข้ายึดครองในสมัยสงครามฝิ่นเกือบสิบเท่า.
ผู้สำเร็จราชการคนแรกที่มาประจำยังเกาะฮ่องกง เฮนรี จอห์น เทมเพิล ไวเคานต์พาลเมอร์สตันที่ 3 เคยขนานนามเกาะแห่งนี้ไว้ว่า "หินไร้ค่า" แต่สหราชอาณาจักรได้ช่วยวางรากฐานการศึกษา การปกครอง และผังเมืองให้ฮ่องกงเป็นอย่างดี เพียงชั่วพริบตาเดียว ฮ่องกงได้กลับกลายเป็นศูนย์กลางพาณิชย์และยังเป็นประตูเปิดสู่ประเทศจีน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองฮ่องกงของบริเตนต้องเผชิญภาวะสงคราม[30] กองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นได้โจมตีบริเวณเกาะฮ่องกงซึ่งนำไปสู่ยุทธการที่ฮ่องกงในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ในช่วงเช้าวันเดียวกับการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์[31] หลังจากการสู้รบอย่างดุเดือดถึง 18 วัน ผู้ว่าการฮ่องกงของอังกฤษได้ประกาศยอมแพ้ต่อจักรวรรดิญี่ปุ่น และฮ่องกงต้องตกอยู่ภายใต้การยึดครองซึ่งกินเวลาเกือบสี่ปีซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ฮ่องกง[32] ญี่ปุ่นปกครองฮ่องกงด้วยกฎอัยการศึกตามคำสั่งของรัฐบาลทหารนำโดย พลเอก เร็นสุเกะ อิโซไก[33] มีการออกกฎหมายที่เข้มงวดและกดขี่ประชาชนฮ่องกง[34] รวมถึงมีการทารุณกรรมต่อชาวจีนและฮ่องกงรวมถึงการข่มขืนสตรี[35] และการประหารชีวิตชาวฮ่องกงกว่า 10,000 ราย ทั้งยังมีการปฏิรูปการศึกษาโดยการบังคับให้เรียนภาษาญี่ปุ่น และสั่งห้ามการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาจีนกวางตุ้ง
จุดสิ้นสุดของการยึดครองดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการยอมจำนนของญี่ปุ่นต่อฝ่ายสัมพันธมิตร นำไปสู่การยอมคืนเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1945 จากนั้น เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและประชากรเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงกลายเป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชียที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษ 1950 ด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลอาณานิคมจึงเริ่มปฏิรูปเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ โครงการบ้านจัดสรรสำหรับประชาชน สำนักงานคณะกรรมการอิสระต่อต้านการทุจริต และรถไฟขนส่งมวลชน ล้วนจัดตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษหลังสงครามเพื่อให้มีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น รวมถึงรณรงค์ด้านความซื่อสัตย์สุจริตในราชการ และพัฒนาการขนส่งเอ็มทีอาร์ (สายรถไฟฟ้า) ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น[36] แม้ว่าความสามารถในการแข่งขันของอาณาเขตในด้านการผลิตจะค่อย ๆ ลดลงเนื่องจากต้นทุนแรงงานและทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เปลี่ยนไปใช้เศรษฐกิจแบบบริการ ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ฮ่องกงได้จัดตั้งตัวเองเป็นศูนย์กลางทางการเงินและศูนย์กลางการขนส่งระดับโลก[37]
สหราชอาณาจักรเช่าฮ่องกงเป็นเวลา 99 ปี โดยกำหนดวันหมดสัญญาไว้วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1997 โดยได้ทำพิธีส่งคืนเกาะฮ่องกง ให้แก่จีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ทั้งนี้เคยมีการเจรจาระหว่างสหราชอาณาจักรโดย นางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับ นายเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำฝ่ายจีน เพื่อเจรจาขอเช่าเกาะฮ่องกงต่อแต่ได้รับการปฏิเสธ และในปีเดียวกันนั้น วันที่ 26 กันยายน ผู้นำทั้งสองจึงเปิดเจรจาอีกครั้งและลงนามในสัญญา โดยมีสาระสำคัญว่า สหราชอาณาจักรจะยอมส่งมอบคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีน และจีนได้ให้สัญญาว่าจะยอมให้ฮ่องกง อยู่ในฐานะ "เขตปกครองตนเอง" ต่อไปได้อีก 50 ปี (สิ้นสุดในปี พ.ศ.2590)
โดยมีนายต่งเจียนหวา เป็นผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกงซึ่งเป็นชาวจีนคนแรกหลังการส่งมอบอำนาจอธิปไตยเหนือฮ่องกงจากสหราชอาณาจักรไปยังประเทศจีน ทั้งนี้จีนได้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้รัฐบาลปักกิ่งรับผิดชอบด้านกิจการต่างประเทศ การทหาร และความมั่งคงเท่านั้น ส่วนการบริหารยังคงให้อิสระแก่ชาวฮ่องกงเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามด้วยทำเลอันเหมาะสม เกาะฮ่องกงก็ยังมีบทบาทสำคัญยิ่งในศตวรรษที่ 21 ในฐานะเมืองท่าการค้าระหว่างประเทศ ฐานที่ตั้งสำคัญของผู้ผลิต และศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ภายหลังสหราชอาณาจักรส่งมอบฮ่องกงคืนแก่จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงต้องเผชิญวิกฤติการเงินอย่างรุนแรง รัฐบาลจำเป็นต้องใช้ทุนสำรองจำนวนมากเพื่อรักษาค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย[38] และได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการระบาดทั่วของไข้หวัดนก ตามมาด้วยการระบาดของโรคซาร์ใน ค.ศ. 2002–04 ซึ่งในช่วงเวลานั้นนั้นถือว่าฮ่องกงประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์[39]
นับตั้งแต่ ค.ศ. 1997 เป็นต้นมา รัฐบาลมีอุดมการณ์แน่วแน่ในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในสังคมภายใต้หลักการ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ทว่าการตัดสินใจของรัฐบาลกลางในการดำเนินการคัดกรองผู้ได้รับการเสนอชื่อล่วงหน้าก่อนที่จะอนุญาตให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารระดับสูงได้ก่อให้เกิดการประท้วงหลายครั้งใน ค.ศ. 2014 ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "การปฏิวัติร่ม"[40] ความคลาดเคลื่อนในการลงทะเบียนการเลือกตั้งและการตัดสิทธิ์สมาชิกสภานิติบัญญัติที่ได้รับการเลือกตั้งหลังการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ ค.ศ. 2016 และการบังคับใช้กฎหมายระดับชาติในสถานีรถไฟความเร็วสูงเกาลูนตะวันตกทำให้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้นในแง่การรักษาเอกราชของภูมิภาค[41]
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 ได้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์[42] เพื่อตอบสนองต่อร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่อนุญาตให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังไต้หวัน ในขณะที่ผู้ประท้วงโต้แย้งว่าอาชญากรอาจถูกส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังจีนแผ่นดินใหญ่แทน โดยผู้นำการประท้วงอ้างว่าได้มีประชนในฮ่องกงมากกว่าสามล้านคนเข้าร่วมการประท้วง
ฮ่องกงอยู่บนชายฝั่งทางตอนใต้ของจีนห่างจากมาเก๊าไปทางตะวันออก 60 กม. (37 ไมล์) ทางด้านตะวันออกของปากแม่น้ำจู ล้อมรอบด้วยทะเลจีนใต้ทุกด้านยกเว้นทางเหนือซึ่งอยู่ติดกับเมืองเซินเจิ้นริมฝั่งแม่น้ำ Sham Chun พื้นที่ 1,110.18 ตารางกิโลเมตร (428.64 ตารางไมล์)[43] ประกอบด้วยเกาะฮ่องกง คาบสมุทรเกาลูน เขตดินแดนใหม่ เกาะลันเตา และเกาะอื่น ๆ อีกกว่า 200 เกาะ จากพื้นที่ทั้งหมด 1,073 ตารางกิโลเมตร[44] (414 ตารางไมล์) เป็นที่ดิน และ 35 ตารางไมล์ (14 ตารางไมล์) เป็นน้ำ จุดที่สูงที่สุดของอาณาเขตคือยอดเขาไท่โม่ชานซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 957 เมตร (3,140 ฟุต)[45] การพัฒนาเมืองกระจุกตัวอยู่ที่คาบสมุทรเกาลูน เกาะฮ่องกง และในเมืองใหม่ ๆ ทั่วดินแดนใหม่ ส่วนใหญ่สร้างขึ้นบนที่ดิน 70 รางกิโลเมตร (27 ตารางไมล์) (6% ของที่ดินทั้งหมดหรือประมาณ 25% ของพื้นที่พัฒนาแล้วในอาณาเขต)[46]
ภูมิประเทศที่ยังไม่พัฒนาเป็นเนินเขาถึงภูเขา มีที่ราบน้อยมาก และส่วนใหญ่ประกอบด้วยทุ่งหญ้า ป่าไม้ ไม้พุ่ม หรือพื้นที่เกษตรกรรม ประมาณ 40% ของพื้นที่ที่เหลือเป็นสวนสาธารณะและเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ ฮ่องกงมีระบบนิเวศที่หลากหลาย มีพืชมากกว่า 3,000 สายพันธุ์บนเกาะนี้ (300 สายพันธุ์มีถิ่นกำเนิดในฮ่องกง)[47] และแมลง นก รวมถึงสัตว์น้ำหลายพันชนิดเนืองจากอยู่ติดแหล่งน้ำขนาดใหญ่[48]
ฤดูร้อนอากาศร้อนชื้น มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 26-30 องศาเซลเซียส ฤดูหนาวอากาศเย็นสบายและแห้ง น้อยครั้งที่จะมีอุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายนฝนตกชุกและมีลมแรง ฤดูร้อนมักเกิดลมมรสุม
ข้อมูลภูมิอากาศของฮ่องกง | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 26.9 (80.4) |
28.3 (82.9) |
30.1 (86.2) |
33.4 (92.1) |
35.5 (95.9) |
35.6 (96.1) |
35.7 (96.3) |
36.1 (97) |
35.2 (95.4) |
34.3 (93.7) |
31.8 (89.2) |
28.7 (83.7) |
36.1 (97) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 18.6 (65.5) |
18.9 (66) |
21.4 (70.5) |
25.0 (77) |
28.4 (83.1) |
30.2 (86.4) |
31.4 (88.5) |
31.1 (88) |
30.1 (86.2) |
27.8 (82) |
24.1 (75.4) |
20.2 (68.4) |
25.6 (78.1) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 16.3 (61.3) |
16.8 (62.2) |
19.1 (66.4) |
22.6 (72.7) |
25.9 (78.6) |
27.9 (82.2) |
28.8 (83.8) |
28.6 (83.5) |
27.7 (81.9) |
25.5 (77.9) |
21.8 (71.2) |
17.9 (64.2) |
23.24 (73.84) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 14.5 (58.1) |
15.0 (59) |
17.2 (63) |
20.8 (69.4) |
24.1 (75.4) |
26.2 (79.2) |
26.8 (80.2) |
26.6 (79.9) |
25.8 (78.4) |
23.7 (74.7) |
19.8 (67.6) |
15.9 (60.6) |
21.4 (70.5) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 0.0 (32) |
2.4 (36.3) |
4.8 (40.6) |
9.9 (49.8) |
15.4 (59.7) |
19.2 (66.6) |
21.7 (71.1) |
21.6 (70.9) |
18.4 (65.1) |
13.5 (56.3) |
6.5 (43.7) |
4.3 (39.7) |
0.0 (32) |
ปริมาณฝน มม (นิ้ว) | 24.7 (0.972) |
54.4 (2.142) |
82.2 (3.236) |
174.7 (6.878) |
304.7 (11.996) |
456.1 (17.957) |
376.5 (14.823) |
432.2 (17.016) |
327.6 (12.898) |
100.9 (3.972) |
37.6 (1.48) |
26.8 (1.055) |
2,398.4 (94.425) |
ความชื้นร้อยละ | 74 | 80 | 82 | 83 | 83 | 82 | 81 | 81 | 78 | 73 | 71 | 69 | 78.0 |
วันที่มีฝนตกโดยเฉลี่ย (≥ 0.1 mm) | 5.37 | 9.07 | 10.90 | 12.00 | 14.67 | 19.07 | 17.60 | 16.93 | 14.67 | 7.43 | 5.47 | 4.47 | 137.65 |
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด | 143.0 | 94.2 | 90.8 | 101.7 | 140.4 | 146.1 | 212.0 | 188.9 | 172.3 | 193.9 | 180.1 | 172.2 | 1,835.6 |
แหล่งที่มา: Hong Kong Observatory (normals 1981–2010, extremes 1884–1939 and 1947–present)[49][50] |
ฮ่องกงเป็นเขตบริหารพิเศษที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง รัฐบาลจีนใช้นโยบาย "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ปกครองฮ่องกง ตามกฎหมายพื้นฐานที่ใช้ปกครองและบริหารฮ่องกงที่สภาประชาชนจีนอนุมัติและประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1990 ให้สิทธิฮ่องกงในการปกครองตนเองอย่างอิสระ สามารถดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การเงิน การพาณิชย์ ฯลฯ ได้ตามระบบเสรี รัฐบาลจีนได้กำหนดให้ฮ่องกงสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรีต่อไปได้อีกเป็นเวลา 50 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 จนไปถึง 30 มิถุนายน ค.ศ. 2047[54][55]
การบริหารของรัฐบาลแบ่งออกเป็น:
ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลและดำรงตำแหน่งสูงสุดได้สองวาระไม่เกินห้าปี โดยมีคณะมนตรีรัฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำหน้าที่แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงซึ่งได้รับเสนอชื่อโดยคณะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของฮ่องกง ซึ่งประกอบด้วยผู้นำธุรกิจ ชุมชน และรัฐบาลจำนวน 1,200 คน[57]
สภานิติบัญญัติมีสมาชิก 70 คน แต่ละคนมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี[58] จำนวน 35 คนจะได้รับเลือกโดยตรงจากเขตเลือกตั้งทางภูมิศาสตร์ 30 คนได้รับเลือกจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จำกัดซึ่งเป็นตัวแทนของภาคเศรษฐกิจหรือกลุ่มผลประโยชน์พิเศษ และสมาชิกที่เหลืออีก 5 คนได้รับการเสนอชื่อจากสมาชิกสภาเขต
ฮ่องกงมีพรรคการเมือง 22 พรรค ซึ่งพรรคเหล่านี้มีการแบ่งแยกตามอุดมการณ์ออกเป็นสามกลุ่มหลักได้แก่[59] กลุ่มสนับสนุนค่ายปักกิ่ง (รัฐบาลปัจจุบัน) กลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตย และกลุ่มท้องถิ่น พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่มีสถานะทางการเมืองอย่างเป็นทางการในฮ่องกง และสมาชิกของพรรคไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งในท้องถิ่น[60] ฮ่องกงเป็นตัวแทนในสภาประชาชนแห่งชาติโดยผู้แทน 36 คนที่ได้รับการคัดเลือกผ่านวิทยาลัยการเลือกตั้งและผู้แทน 203 คนในการประชุมปรึกษาหารือทางการเมืองของประชาชนจีนซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลกลาง
โดยทั่วไปแล้วกฎหมายภายในประเทศของจีนไม่มีผลบังคับใช้ในภูมิภาคนี้ และฮ่องกงจะถือว่าเป็นเขตอำนาจศาลที่แยกจากกัน[61] ระบบตุลาการตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายจารีตประเพณี สืบสานประเพณีทางกฎหมายที่จัดตั้งขึ้นระหว่างการปกครองของอังกฤษ ศาลท้องถิ่นอาจอ้างถึงแบบอย่างที่กำหนดไว้ในกฎหมายอังกฤษและนิติศาสตร์ในต่างประเทศ[62] อย่างไรก็ตาม กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในจีนแผ่นดินใหญ่มีผลบังคับใช้กับกรณีที่สำนักงานปกป้องความมั่นคงแห่งชาติใช้สอบสวนคดี การตีความและแก้ไขอำนาจเหนือกฎหมายพื้นฐานและเขตอำนาจศาลเหนือการกระทำของรัฐอยู่ที่ผู้มีอำนาจส่วนกลาง ทำให้ศาลระดับภูมิภาคในท้ายที่สุดอยู่ใต้บังคับบัญชาของระบบกฎหมายแพ่งสังคมนิยมของแผ่นดินใหญ่ การตัดสินใจของคณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติมีผลเหนือกระบวนการยุติธรรมในอาณาเขต[63] นอกจากนี้ ในสถานการณ์ที่คณะกรรมการประจำประกาศภาวะฉุกเฉินในฮ่องกง สภาแห่งรัฐอาจบังคับใช้กฎหมายระดับชาติควบคุมสถานการณ์
ผู้เดินทางระหว่างฮ่องกง, จีน และมาเก๊าทุกคนต้องผ่านด่านควบคุมชายแดนโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ[64] พลเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ไม่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ในฮ่องกงและอยู่ภายใต้การควบคุมการเข้าเมือง นโยบายการเงินสาธารณะได้รับการจัดการแยกต่างหากจากรัฐบาลแห่งชาติ
อาณาเขตแบ่งออกเป็น 18 เขต แต่ละเขตเป็นตัวแทนของสภาเขต และมีส่วนช่วยในการแนะนำรัฐบาลในประเด็นการแก้ปัญหาท้องถิ่น เช่น การจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ การบำรุงรักษาโปรแกรมชุมชน การส่งเสริมวัฒนธรรม และนโยบายสิ่งแวดล้อม มีที่นั่งสภาเขตทั้งหมด 479 ที่นั่ง[65] โดย 452 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีประธานคณะกรรมการชนบทซึ่งเป็นตัวแทนของหมู่บ้านและปริมณฑลรอบนอก
รัฐบาลกลางและกระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบด้านการทูต ฮ่องกงมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในองค์การการค้าโลก ฟอรัมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก คณะกรรมการโอลิมปิกสากล และหน่วยงานของสหประชาชาติหลายแห่ง รัฐบาลระดับภูมิภาคมีสำนักงานการค้าในจีนแผ่นดินใหญ่และประเทศอื่น ๆ การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของฮ่องกงโดยรัฐบาลกลางในกรุงปักกิ่งในเดือนมิถุนายน 2020 ส่งผลให้มีการระงับสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนแบบทวิภาคีโดยสหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟินแลนด์ และไอร์แลนด์[66] สหรัฐอเมริกายุติการปฏิบัติพิเศษทางเศรษฐกิจและการค้าของฮ่องกงในเดือนกรกฎาคม 2020 เนื่องจากไม่สามารถแยกฮ่องกงว่าเป็นหน่วยงานที่แยกจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อีกต่อไป[67]
ฮ่องกงอยู่ภายใต้การปกครองผสมที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมด[68] สมาชิกสภานิติบัญญัติซึ่งมาจากการเลือกตั้งตามเขตเลือกตั้งที่ประกอบด้วยกลุ่มอาชีพและกลุ่มข้าราชการเฉพาะไม่ใช่ประชาชนทั่วไป การจัดการเลือกตั้งรับประกันว่าเสียงข้างมากในฝ่ายนิติบัญญัติจะได้รับการสนับสนุนตั้งแต่การโอนอำนาจอธิปไตย ในทำนองเดียวกัน ผู้บริหารระดับสูงได้รับเลือกจากนักการเมืองที่ตั้งขึ้นและสมาชิกองค์กรของคณะกรรมการการเลือกตั้งมากกว่าที่จะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง แม้ว่าการออกเสียงลงคะแนนสากลสำหรับผู้บริหารระดับสูงและการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติทั้งหมดจะเป็นเป้าหมายที่กำหนดไว้ในมาตรา 45 และ 68 ของกฎหมายขั้นพื้นฐาน สภานิติบัญญัติได้รับการเลือกตั้งโดยตรงเพียงบางส่วนเท่านั้น และผู้บริหารยังคงได้รับการเสนอชื่อโดยหน่วยงานที่ไม่เป็นตัวแทนอยู่ รัฐบาลได้รับการร้องเรียนหลายครั้งให้มีการปฏิรูประบบดังกล่าว[69][70]
ชนกลุ่มน้อยและชาติพันธุ์อื่น ๆ (ยกเว้นกลุ่มชาติพันธุ์ในยุโรป) มีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยในการบริหารงานของรัฐบาล[71] และมักประสบกับการเลือกปฏิบัติในด้านที่อยู่อาศัย การศึกษา และการจ้างงาน[72] การสมัครงานและการใช้บริการสาธารณะมักมีข้อกำหนดด้านภาษา และทรัพยากรการศึกษาภาษายังคงไม่เพียงพอสำหรับผู้ศึกษาภาษาจีน[73] ผู้ช่วยแม่บ้านชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีจากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ได้รับการคุ้มครองเพียงเล็กน้อยภายใต้กฎหมายระดับภูมิภาค แม้ว่าจะอาศัยและทำงานในฮ่องกง แต่คนงานเหล่านี้ไม่ถือว่ามีฐานะเป็นบุคคลและไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในดินแดน การค้ามนุษย์และการขดขี่ทางเพศในฮ่องกงยังคงเป็นปัญหา[74][75] ผู้หญิงและเด็กหญิงชาวฮ่องกงและชาวต่างชาติถูกบังคับให้ค้าประเวณีในซ่องโสเภณี บ้าน และธุรกิจต่าง ๆ ในเมือง[76][77]
ปฏิญญาร่วมรับรองกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงเป็นเวลา 50 ปีหลังจากการโอนอำนาจอธิปไตย ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าฮ่องกงจะถูกปกครองอย่างไรหลัง ค.ศ. 2047[78] และบทบาทของรัฐบาลกลางในการกำหนดระบบการปกครองในอนาคตของดินแดนแห่งนี้เป็นหัวข้อของการอภิปรายและการแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองถึงปัจจุบัน ระบบการเมืองและตุลาการของฮ่องกงอาจรวมเข้ากับระบบของจีนในขณะนั้น หรืออาจบริหารอาณาเขตต่อไปแยกกัน[79] อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีการประท้วงครั้งใหญ่ในปี 2020 คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ (National People's Congress) ได้ผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกงที่เป็นประเด็นถกเถียง[80] และได้จัดตั้งสำนักงานเพื่อการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติซึ่งเป็นสำนักงานสืบสวนภายใต้อำนาจของรัฐบาลกลางซึ่งได้รับการยกเว้นจากเขตอำนาจศาล สหราชอาณาจักรถือว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นการละเมิดปฏิญญาร่วมอย่างร้ายแรง[81] ในเดือนตุลาคม 2020 ตำรวจฮ่องกงจับกุมนักการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตย 7 คน ฐานทะเลาะวิวาทกับนักการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาลจีนในเดือนพฤษภาคม พวกเขาถูกตั้งข้อหาดูหมิ่นและก่อกวนการทำหน้าที่สมาชิกสภา[82]
ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่การโอนอำนาจอธิปไตย เนื่องจากประชากรสูงอายุในภูมิภาคนี้ค่อย ๆ เพิ่มจำนวน แม้ว่ารายได้เฉลี่ยของครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2016 แต่ช่องว่างทางรายได้ยังคงสูง ฮ่องกงมีจำนวนมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุด โดยคิดเป็นอัตราหนึ่งต่อ 109,657 คน[83] แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามลดความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้น
ฮ่องกงมีเศรษฐกิจบริการแบบผสมผสานแบบเน้นทุนนิยม โดยมีการเก็บภาษีต่ำ มีการแทรกแซงตลาดของรัฐบาลเพียงเล็กน้อย เศรษฐกิจของฮ่องกงอยู่ในอันดับต้น ๆ ของดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจของมูลนิธิเฮอริเทจตั้งแต่ปี 1995 ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก โดยมีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ 30.4 ล้านล้านเหรียญฮ่องกง (3.87 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) ณ เดือนธันวาคม 2018[84]
ฮ่องกงเป็นองค์กรการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 10 ในการส่งออกและนำเข้า (2017) โดยซื้อขายสินค้าที่มีมูลค่ามากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ กว่าครึ่งของปริมาณการขนส่งสินค้าประกอบด้วยการถ่ายลำ (สินค้าที่เดินทางผ่านฮ่องกง) ผลิตภัณฑ์จากจีนแผ่นดินใหญ่มีสัดส่วนประมาณ 40% ที่ตั้งของเมืองอนุญาตให้สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ซึ่งรวมถึงท่าเรือที่พลุกพล่านที่สุดอันดับเจ็ดของโลก และมีท่าอากาศยานที่พลุกพล่านที่สุดสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของอาณาเขตคือจีนแผ่นดินใหญ่และสหรัฐอเมริกา คู่ค้าสำคัญในกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฮ่องกงยังเป็นตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราใหญ่อันดับ 7 และเป็นตลาดค้าทองคำขนาดใหญ่หนึ่งในสี่ของโลก นอกจากนี้ ฮ่องกงยังเป็นเขตการส่งออกสินค้าทั่วโลก อาทิ เสื้อผ้าสำเร็จรูป นาฬิกา ของเล่น เกมคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุตสาหกรรมขนาดเบาอีกหลายชนิด[85][86][87]
ฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมทางทะเลที่ไหลจากชายฝั่งจีนผ่านคลองสุเอซไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน[88] ซึ่งมีเส้นทางรถไฟไปยังยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก[89][90] ฮ่องกงมีที่ดินทำกินน้อยและมีทรัพยากรธรรมชาติน้อย ต้องนำเข้าอาหารและวัตถุดิบส่วนใหญ่ อาหารฮ่องกงมากกว่า 90% ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ รวมทั้งเนื้อสัตว์และข้าวเกือบทั้งหมดรวมทั้งจากประเทศไทย[91] กิจกรรมทางการเกษตรคือ 0.1% ของจีดีพีและประกอบด้วยการปลูกพืชและพันธุ์ไม้ดอก[92]
ระหว่างปี 1961 ถึง 1997 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของฮ่องกงเพิ่มขึ้น 180 เท่า และจีดีพีต่อหัวเพิ่มขึ้น 87 เท่า[93][94] จีดีพีฮ่องกงเทียบกับจีนแผ่นดินใหญ่สูงสุดที่ 27% ในปี 1993 ลดลงเหลือน้อยกว่า 3% ในปี 2017 เนื่องจากจีนแผ่นดินใหญ่พัฒนาการเปิดเสรีเศรษฐกิจ การบูรณาการทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานกับจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่การเปิดเสรีตลาดบนแผ่นดินใหญ่ในปี 1978 นับตั้งแต่เริ่มให้บริการรถไฟข้ามพรมแดนอีกครั้งในปี 1979 ทางเชื่อมทางรถไฟและถนนจำนวนมากได้รับการปรับปรุงและสร้าง อำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ ข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นได้กำหนดนโยบายการค้าเสรีระหว่างสองพื้นที่อย่างเป็นทางการ โดยแต่ละเขตอำนาจให้คำมั่นว่าจะขจัดอุปสรรคที่เหลืออยู่ในการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน
รัฐบาลอาณานิคมมีนโยบายอุตสาหกรรมเพียงเล็กน้อยและแทบไม่มีการควบคุมการค้า ภายใต้หลักคำสอนของ "การไม่แทรกแซงภาคธุรกิจ" การบริหารประเทศหลังสิ้นสุดสงครามจงใจหลีกเลี่ยงการจัดสรรทรัพยากรโดยตรง การแทรกแซงอย่างแข็งขันถือว่าเป็นอันตรายต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่เศรษฐกิจเปลี่ยนไปเป็นพื้นฐานการบริการในช่วงทศวรรษ 1980 รัฐบาลอาณานิคมในช่วงปลายได้แนะนำนโยบายการแทรกแซง การบริหารหลังการส่งมอบยังคงดำเนินต่อไปและขยายโครงการเหล่านี้ รวมถึงการค้ำประกันการส่งออก, โครงการบำเหน็จบำนาญภาคบังคับ, ค่าแรงขั้นต่ำ, กฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติ และผู้สนับสนุนการจำนองของรัฐ[95]
การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในฮ่องกงสามารถทำได้โดยเสรี เงินดอลลาร์ฮ่องกง (Hong Kong Dollar) เป็นสกุลเงินที่สามารถแลกเปลี่ยนกับเงินตราต่างประเทศได้ อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันทางการฮ่องกงได้กำหนดให้เงินดอลลาร์ฮ่องกงมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Rate) กับเงินดอลลาร์สหรัฐ (แต่เพิ่มสูง/ต่ำกว่าอัตราที่กำหนดได้เล็กน้อย) อัตราแลกเปลี่ยนในเดือนมกราคม ค.ศ. 2022 คือ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 7.79 ดอลลาร์ฮ่องกง[96] 1หยวนจีน เท่ากับ 1.22ดอลลาร์ฮ่องกง และ 1 ปอนด์สเตอร์ลิงก์ เท่ากับ 10.45ดอลลาร์ฮ่องกง (อัตราซื้อขายโดยเฉลี่ย) ธนบัตรของฮ่องกงพิมพ์โดยธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ธนาคารเอชเอสบีซี และธนาคารแห่งประเทศจีน
ฮ่องกงเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งตึกสูงระฟ้า อาคารทันสมัย ตลาดขายของพื้นเมือง ตลาดขายของเก่า วัดวาอาราม หรือแม้แต่แปลงปลูกผัก จากความหลากหลายเหล่านี้จึงทำใหฮ่องกงมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถพบกับสิ่งที่น่าสนใจและหลากหลาย โดยเราสามารถแบ่งเขตท่องเที่ยวสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลัก ๆ ออกเป็น 3 เขต คือ เกาะฮ่องกง ฝั่งเกาลูน เขตนิวเทอร์ริทอรี่ส์ และหมู่เกาะต่าง ๆ
เขตเซ็นทรัลเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของฮ่องกง เป็นที่ตั้งของบริษัทธุรกิจชั้นนำของเอเชีย ธนาคารนานาชาติ สำนักงานใหญ่ของรัฐบาล และอาคารศาลสูงสุด พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยตึกสูงระฟ้า ที่เป็นอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าอันทันสมัย ตลอดจนโรงแรมระดับ 5 ดาว อาคารที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่ในย่านเซ็นทรัลนี้ ได้แก่ อาคาร Bank of China Tower ออกแบบโดย I.M. Pei และ อาคาร HongKong Bank ออกแบบโดย Sir Norman Foster ท่ามกลางความทันสมันเหล่านี้ยังมีถนนแบบขั้นบันไดอันเก่าแก่ ซึ่งได้รับการบันทึกว่าเป็นทางเลื่อนต่อเนื่องที่ยาวที่สุดในโลก และนอกจากนี้เรายังสามารถพบเห็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่นเขียวขจีแทรกตัวอยู่ทั่วไป นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายังเขตเซ็นทรัลได้โดยรถไฟใต้ดิน ลงสถานี Central หรือ สถานี Hongkong
ฮ่องกงมีชื่อเสียงในด้านการเป็นแหล่งชอปปิ้ง โดยย่านที่มีชื่อเสียง เช่น ถนนนาธาน (จิมซ้าโจ๋ย) ย่านเซ็นทรัล เป็นต้น แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น สวนสนุก ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท สวนสนุกโอเชียนปาร์ค วิกตอเรียพีค พระใหญ่วัดโปลิน(พระไวโรจนพุทธะ) วัดหวังต้าเซียน อ่าวน้ำตื้น Repulse Bay นอกจากนั้นยังมีการแสดง Symphony of lights ซึ่งเป็นมัลติมีเดียโชว์ที่ติดตั้งถาวรใหญ่ที่สุดในโลก
ฮ่องกงดำเนินนโยบายการค้าเสรีและเป็นเมืองท่าเสรี การดำเนินการค้าแบบเสรีมาตั้งแต่เดิมจนถึงปัจจุบันติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ทำให้ฮ่องกงมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศมากเป็นอันดับที่ 9 ของโลก รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์และการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ ฮ่องกงยังเป็นส่วนหนึ่งของขุมพลังทางเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำซูเจียง หรือแม่น้ำเพิร์ล อันเปรียบเสมือนประตูการค้าเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน
ในปัจจุบันฮ่องกงเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก โดยใช้ชื่อในฐานะสมาชิกขององค์การการค้าโลกว่า "Hong Kong, China" ซึ่งเป็นสมาชิกแยกต่างหากจากจีน นอกจากนั้น ฮ่องกงยังเป็นสมาชิกในองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ด้วย คือ APEC, PECC, ADB, WCO, ESCAP รวมทั้งเป็นผู้สังเกตการณ์ใน OECD ด้วย
จากการดำเนินนโยบายการค้าแบบเสรีและเป็นเมืองท่าเสรี ฮ่องกงจึงไม่มีการจัดเก็บภาษีศุลกากรในการนำเข้าและส่งออก แต่มีการเก็บภาษีสรรพสามิต (Excise Duty) สินค้า 3 หมวด คือ สินค้าเครื่องดึ่มผสมแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ ใบยาสูบ และหมวดผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิง
ฮ่องกงเป็นเมืองที่มีการพัฒนาด้านเครือข่ายการคมนาคมขนส่งสูงทั้งของรัฐ และเอกชน การเดินทางในแต่ละวันของชาวฮ่องกง 90% เป็นการใช้ขนส่งสาธารณะ และทำให้ฮ่องกงเป็นเมืองหนึ่งที่มีขนส่งสาธารณะครอบคลุมและมีประสิทธิภาพเมืองหนึ่งของโลก เพื่อความสะดวกสบายจึงมีบัตรเงินสดอ็อคโทปัส เป็นบัตรที่ไว้ใช้จ่ายค่าโดยสารรถไฟ รถราง รถบัส เรือข้ามฟาก และยังสามารถใช้ได้ที่ร้านสะดวกซื้อกับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเช่นกัน
The Peak Tram ซึ่งเป็นระบบขนส่งสาธารณะระบบแรกของฮ่องกง ให้บริการรถรางไฟฟ้าระหว่างเซ็นทรัลและวิกตอเรียพีคตั้งแต่ ค.ศ. 1888[97] เขตภาคกลางและตะวันตกมีระบบบันไดเลื่อนและทางเท้าที่กว้างขวาง รวมถึงบันไดเลื่อนและทางเดินกลาง (ระบบบันไดเลื่อนกลางแจ้งที่ยาวที่สุดในโลก) Hong Kong Tramways ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของเกาะฮ่องกง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (MTR) เป็นเครือข่ายรถไฟโดยสารที่ครอบคลุม เชื่อมต่อสถานีรถไฟใต้ดิน 93 แห่งทั่วอาณาเขต ด้วยจำนวนผู้โดยสารมากกว่าห้าล้านคนต่อวัน ระบบให้บริการ 41% ของผู้โดยสารระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดในเมือง และมีอัตราตรงเวลา 99.9%[98] บริการรถไฟข้ามพรมแดนไปยังเซินเจิ้นให้บริการโดยรถไฟสายตะวันออก และรถไฟระหว่างเมืองระยะไกลไปยังกวางโจว เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่งดำเนินการจากสถานีฮุงฮอม มีบริการเชื่อมต่อระบบรถไฟความเร็วสูงแห่งชาติที่สถานีรถไฟเกาลูนตะวันตก[99]
ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงเป็นสนามบินหลักของอาณาเขต สายการบินกว่า 100 แห่งให้บริการเที่ยวบินจากสนามบิน รวมทั้งคาเธ่ย์แปซิฟิค, ฮ่องกงแอร์ไลน์[100] และสายการบินต้นทุนต่ำฮ่องกงเอ็กซเพรส และสายการบินขนส่งสินค้าแอร์ฮ่องกง เป็นสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดอันดับที่ 8 ของโลกในแง่จำนวนผู้โดยสาร และรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศมากที่สุดในโลก
อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มีให้บริการอย่างแพร่หลาย โดย 92.6% ของครัวเรือนสามารถเข้าถึงการเชื่อมต่อ[101] การเชื่อมต่อผ่านโครงสร้างพื้นฐานไฟเบอร์ออปติกเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ทำให้มีความเร็วในการเชื่อมต่อเฉลี่ยในภูมิภาคสูงถึง 21.9 Mbit/s (เร็วที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลก) การใช้โทรศัพท์มือถือแพร่หลายเช่นกัน[102] โดยฮ่องกงมีการลงทะเบียนโทรศัพท์มือถือมากกว่า 18 ล้านบัญชี มากกว่าสองเท่าของจำนวนประชากรทั้งหมด
จากการพัฒนาพื้นที่ปกครองอย่างรวดเร็วหลังสิ้นสุดการยึดครองของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลก กอปรกับการได้รับวัฒนธรรมและความเจริญทางเทคโนโลยีของสหราชอาณาจักรทำให้ฮ่องกงพัฒนาขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่เป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชียในทศวรรษ 1950 ฮ่องกงมีชื่อเสียงในด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เครื่อใช้ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยีชีวภาพ และการแพทย์ของฮ่องกงยังได้รับการยกย่องว่ามีมาตรฐานระดับโลก[103] พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฮ่องกงมีชื่อเสียงจากการจัดนิทรรศการนานาชาติมากกว่า 500 งาน รวมถึงการแสดงหุ่นยนต์และความเป็นจริงเสมือน
ใน ค.ศ. 2006 วงการแพทย์ของฮ่องกงสร้างชื่อเสียงจากการค้นพบวิธีการห้ามเลือดได้ในชั่วพริบตา[104] จากการรายงานการวิจัยในวารสาร Nanomedicine (การแพทย์นาโน) ซึ่งเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตระบุว่านักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮ่องกงและสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ของสหรัฐฯ กำลังค้นคว้าวิธีใหม่ในการห้ามเลือดระหว่างการผ่าตัดด้วยของเหลวเทคโนโลยีชั้นสูงที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ ซึ่งยังช่วยร่นระยะเวลาการผ่าตัดได้อย่างมาก นอกจากนี้ นับตั้งแต่เกิดการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา ทีมแพทย์ฮ่องกงยังมีส่วนสำคัญในการร่วมวิจัยและพัฒนาประสิทธิภาพวัคซีนไฟเซอร์[105]
ฮ่องกงผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่จากผู้ผลิตท้องถิ่น[106] พลังงานส่วนใหญ่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดย 46% มาจากถ่านหินและ 47% มาจากปิโตรเลียม ส่วนที่เหลือมาจากการนำเข้าอื่น ๆ รวมถึงพลังงานนิวเคลียร์ที่ผลิตในจีนแผ่นดินใหญ่ แหล่งพลังงานหมุนเวียนมีพลังงานเพียงเล็กน้อยที่สร้างขึ้นได้เอง แหล่งพลังงานลมขนาดเล็กได้รับการพัฒนาเล็กน้อย และบ้านส่วนตัวและอาคารสาธารณะจำนวนเล็กน้อยได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์
จากการมีความหนาแน่นของประชากรสูง แต่มีแหล่งน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้ประชากรฮ่องกงประสบปัญหาการเข้าถึงแหล่งน้ำ และมีปริมาณน้ำฝนไม่เพียงพอในบางปี แม่น้ำตงเจียงในกวางตุ้งเป็นแหล่งจ่ายน้ำ 70% ในเขตเมืองฮ่องกง ห้องน้ำสาธารณะบางแห่งจะใช้น้ำทะเลซึ่งช่วยลดปริมาณการใช้น้ำจืด[107]
การศึกษาในฮ่องกงยึดระบบตามแบบของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะระบบการศึกษาภาษาอังกฤษภาคบังคับ[108] เด็ก ๆ จะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนตั้งแต่อายุ 6 ขวบจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา โดยทั่วไปแล้วเมื่ออายุ 18 ปี เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษา นักเรียนทุกคนทำการสอบและได้รับรางวัลประกาศนียบัตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาแห่งฮ่องกงเมื่อสำเร็จหลักสูตร ผู้อยู่อาศัยอายุ 15 ปีขึ้นไป 81% สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 66% จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 32% เข้าร่วมโปรแกรมระดับอุดมศึกษาและ 24% ได้รับปริญญาตรีหรือสูงกว่า การศึกษาภาคบังคับมีส่วนทำให้อัตราการรู้หนังสือของผู้ใหญ่สูงถึง 95.7% แต่ยังต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เนื่องจากการไหลเข้าของผู้ลี้ภัยจากจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงยุคอาณานิคมหลังสงคราม ประชากรสูงอายุส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษาเนื่องจากภาวะสงครามและความยากจน[109]
โรงเรียนแบ่งออกเป็นสามประเภท: โรงเรียนของรัฐที่ดำเนินการโดยรัฐบาล, โรงเรียนที่ได้รับเงินอุดหนุน รวมทั้งโรงเรียนสงเคราะห์และให้ทุนจากรัฐบาล และโรงเรียนเอกชนซึ่งมักจะดำเนินการโดยองค์กรทางศาสนาและที่รับสมัครตามคุณธรรมทางวิชาการ โรงเรียนเหล่านี้อยู่ภายใต้แนวทางหลักสูตรตามที่สำนักการศึกษากำหนด โรงเรียนเอกชนที่ได้รับเงินอุดหนุนภายใต้โครงการเงินช่วยเหลือโดยตรง โรงเรียนนานาชาติอยู่นอกระบบนี้ซึ่งบริหารโดยเอกชน และอาจเลือกใช้หลักสูตรที่แตกต่างกันและสอนโดยใช้ภาษาอื่น[110]
รัฐบาลรักษานโยบายของ "การสอนภาษาแม่" โรงเรียนส่วนใหญ่ใช้ภาษาจีนกวางตุ้งเป็นสื่อกลางในการสอน โดยมีการศึกษาข้อเขียนทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้เป็นสื่อการสอนในการศึกษานอกโรงเรียนนานาชาติ ได้แก่ ภาษาอังกฤษและภาษาจีนกลางมาตรฐาน (ผู่ทงฮฺว่า) โรงเรียนมัธยมศึกษาเน้นย้ำ "การรู้หนังสือสองภาษาและสามภาษา" ซึ่งสนับสนุนให้มีการศึกษาภาษาพูดภาษาจีนกลางเพิ่มมากขึ้น[111]
ฮ่องกงมีมหาวิทยาลัย 11 แห่ง มหาวิทยาลัยฮ่องกง (The University of Hong Kong) ก่อตั้งขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของเมืองในช่วงยุคอาณานิคมตอนต้นใน ค.ศ. 1911[112] Chinese University of HongKong เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยสาธารณะ ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1963 โดยกฎบัตรที่ได้รับจากสภานิติบัญญัติแห่งฮ่องกง เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของฮ่องกง เป็นหนึ่งในสามสถาบันด้านการวิจัยที่ดีที่สุดของเอเชียร่วมกับ Hong Kong University of Science and Technology และ City University of Hong Kong
ความคาดหมายคงชีพเฉลี่ยในฮ่องกงอยู่ที่ 82.2 ปีสำหรับผู้ชายและ 87.6 ปีสำหรับผู้หญิงในปี 2018 ซึ่งสูงเป็นอันดับหกของโลก[113] มะเร็ง โรคปอดบวม โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และอุบัติเหตุเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ระบบสาธารณสุขถ้วนหน้าได้รับทุนจากรายได้ภาษีทั่วไป และค่ารักษาพยาบาลได้รับการสนับสนุนอย่างสูง โดยเฉลี่ยแล้ว 95% ของค่ารักษาพยาบาลได้รับการคุ้มครองโดยรัฐบาล[114]
ฮ่องกงมีจำนวนประชากรกว่า 6.99 ล้านคน ในปี 2549 ความหนาแน่นของประชากร 6,300 คนต่อตารางกิโลเมตร ประชากรส่วนมากป็นชาวฮ่องกง มีร้อยละ 3 เป็นชาวต่างชาติ อาทิ สหราชอาณาจักร ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อเมริกัน ฯลฯ
หนังสือเดินทางมีอายุใช้งานอย่างน้อย 1 เดือน นักท่องเที่ยวหลายสัญชาติจากหลายประเทศไม่ต้องขอวีซ่าตั้งแต่ 7 วัน ถึง 180 วัน ขึ้นอยู่กับสัญชาติ (สำหรับคนไทยอยู่ในฮ่องกงได้โดยไม่ต้องขอวีซ่านาน 1 เดือน)
ในบรรดาประชากรที่นับถือศาสนา "คำสอนสามประการ" ตามประเพณีของจีน ศาสนาพุทธ ลัทธิขงจื๊อ และลัทธิเต๋า มีผู้นับถือมากที่สุด (20%) รองลงมาคือคริสต์ศาสนา (12%) และอิสลาม (4%) ผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ รวมทั้งศาสนาซิกข์ ศาสนาฮินดู และศาสนายิว มีไม่มากนัก
ภาษากวางตุ้งซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่มีการพูดตั้งแต่มณฑลกวางตุ้งของจีนเรื่อยมาจนถึงฮ่องกงได้กลายมาเป็นภาษาทางการของฮ่องกง[116] ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นของภาษาของเจ้าอาณานิคมก็ยังคงเป็นภาษาทางการร่วมซึ่งถูกใช้พูดมากกว่า 38 เปอร์เซ็นของประชากร ก็เป็นภาษาที่ใช้แพร่หลาย[117] ส่วนภาษาจีนท้องถิ่นอื่นเช่นแต้จิ๋ว หรือจีนแคะ ฯลฯ ก็มีไม่น้อยเช่นกัน และตั้งแต่ฮ่องกงกลับสู่ใต้การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ การใช้ภาษาจีนกลางในการติดต่อก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากการเข้ามาของชาวจีนแผ่นดินใหญ่และการติดต่อค้าขายระหว่างกัน ถึงแม้ว่าการใช้อักษรจีนนั้นยังนิยมใช้อักษรจีนตัวเต็มอยู่ก็ตาม นอกจากนั้นทางรัฐบาลฮ่องกงได้มีโครงการ "สองแบบอักษร สามภาษา" เพื่อสนับสนุนให้ชาวฮ่องกงใช้ภาษาทั้ง 3 ภาษาร่วมกัน คือภาษากวางตุ้ง จีนกลาง และอังกฤษ
ฮ่องกงมีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกมาหลายศตวรรษ จากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร และเป็นหนึ่งในเขตบริหารพิเศษของจีน ค่านิยมแบบจีนดั้งเดิมที่เน้นเรื่องครอบครัวและการศึกษาผสมผสานกับอุดมคติของตะวันตกเป็นที่ปฏิบัติกันอย่างแพร่หลาย[118] รวมทั้งเสรีภาพทางเศรษฐกิจและหลักนิติธรรม แม้ว่าประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อชาติจีน แต่ฮ่องกงได้พัฒนาเอกลักษณ์ที่แตกต่างออกไป อาณาเขตแยกออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านการปกครองสหราชอาณาจักรที่ยาวนานและมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป วัฒนธรรมกระแสหลักมาจากผู้อพยพที่มาจากส่วนต่าง ๆ ของจีน สิ่งนี้ได้รับอิทธิพลจากการศึกษาแบบอังกฤษ ระบบการเมืองที่แยกจากกัน และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของดินแดนในปลายศตวรรษที่ 20[119]
ผู้อพยพส่วนใหญ่ในยุคนั้นหนีความยากจนและสงคราม สะท้อนให้เห็นทัศนคติที่แพร่หลายต่อความมั่งคั่ง ชาวฮ่องกงมักจะเชื่อมโยงภาพพจน์และการตัดสินใจเข้ากับผลประโยชน์ทางวัตถุ ความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยในอัตลักษณ์ท้องถิ่นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังการส่งมอบ ประชากรส่วนใหญ่ (52%) ระบุว่าเป็น "ชาวฮ่องกง" ในขณะที่ 11% อธิบายว่าตนเองเป็น "ชาวจีน" ประชากรที่เหลืออ้างว่ามีอัตลักษณ์ผสม 23% เป็น "ชาวฮ่องกงในจีน" และ 12% เป็น "ชาวจีนในฮ่องกง"[120]
ชาวฮ่องกงมีคตินิยมแบบชาวจีนดั้งเดิม ในการเคารพให้เกียรติผู้สูงอายุและการบูชาบรรพบุรุษ และมีคตินิยมในการนิยมการมีบุตรชายเพื่อเป็นเกียรติแก่ตระกูล[121] โดยทั่วไปสังคมฮ่องกงมีระบบครอบครัวเดี่ยว
อาหารในฮ่องกงมีพื้นฐานมาจากอาหารกวางตุ้งเป็นหลัก แม้ว่าดินแดนแห่งนี้จะได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศและต้นกำเนิดที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัยก็ตาม ข้าวเป็นอาหารหลัก และมักจะเสิร์ฟแบบธรรมดาร่วมกับอาหารอื่น ๆ โดยเน้นความสดของวัตถุดิบ สัตว์ปีกและอาหารทะเลมักขายสดในตลาดสด และมีการปรุงอย่างรวดเร็ว[123] โดยทั่วไปชาวฮ่องกงทานอาหารห้ามื้อทุกวัน: อาหารเช้า กลางวัน น้ำชายามบ่าย อาหารเย็น และซิ่วเย้ (อาหารมื้อดึก) ติ่มซำเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร เป็นประเพณีการรับประทานอาหารนอกบ้านกับครอบครัวและเพื่อนฝูง อาหารจานเด็ด ได้แก่ โจ๊ก ชาซิ่วเป่า ซิวยุก ทาร์ตไข่ และพุดดิ้งมะม่วง อาหารตะวันตกแบบท้องถิ่นมีให้บริการที่ cha chaan teng (คาเฟ่สไตล์ฮ่องกง) รายการเมนู cha chaan teng ทั่วไป ได้แก่ ซุปมักกะโรนี เฟรนช์โทสต์ทอด และชานมสไตล์ฮ่องกง
แม้จะมีพื้นที่ขนาดเล็ก แต่ฮ่องกงยังนิยมการเล่นกีฬาและกิจกรรมด้านสันทนาการมากมาย เมืองนี้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาสำคัญ ๆ มากมาย รวมทั้งกีฬาภูมิภาคเอเชียตะวันออก 2009, กีฬาขี่ม้าในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 และจัดแข่งขันรายการพิเศษพรีเมียร์ลีกเอเชีย โดยเชิญสโมสรจากอังกฤษมาร่วมแข่งขัน เช่นลิเวอร์พูล งานวิ่งฮ่องกงมาราธอนได้รับความนิยมในไปทั่วทวีปเอเชีย และเป็นหนึ่งในงานที่มีผู้เข่าร่วมสูงที่สุด
ฮ่องกงมีทีมกีฬาเป็นของตนเองและแยกจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ในการแข่งขันรายการนานาชาติ[124] ฮ่องกงเข้าร่วมในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนหลายสมัย และส่งนักกีฬาเข้าร่วมในหลายชนิดกีฬา และได้รับเหรียญรางวัล 4 เหรียญถึงปัจจุบัน[125]
หนังสือพิมพ์ในฮ่องกงส่วนใหญ่เขียนเป็นภาษาจีน แต่ก็มีหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษจากสองถึงสามบริษัทเช่นกัน หนังสือพิมพ์เจ้าสำคัญได้แก่ South China Morning Post มีการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ภาษาจีนหลายฉบับทุกวัน ที่โดดเด่นที่สุดคือหมิงเปาและโอเรียนทัลเดลินิวส์ สิ่งพิมพ์ในท้องถิ่นมักเกี่ยวข้องกับการเมือง รัฐบาลกลางมีสื่อสิ่งพิมพ์ของตัวเองได้แก่ Ta Kung Pao และ Wen Wei Po[126] สิ่งพิมพ์นานาชาติหลายแห่งมีการดำเนินการและได้รับความนิยมในฮ่องกง รวมทั้งเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล, ไฟแนนเชียล ไทมส์, ยูเอสเอทูเดย์ รวมถึงโยะมิอุริชิมบุง (讀賣新聞/読売新聞) และ เดอะ นิคเคอิ สองบริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น (日本経済新聞)[127]
ผู้แพร่ภาพกระจายเสียงโทรทัศน์ฟรีสามแห่งดำเนินการในฮ่องกง TVB ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรทัศน์ที่โดดเด่นของฮ่องกง มีส่วนแบ่งผู้ชม 80%[128] บริการเพย์ทีวีที่ดำเนินการโดยเคเบิลทีวีฮ่องกงและ PCCW นำเสนอช่องเพิ่มเติมหลายร้อยช่องและรองรับผู้ชมที่หลากหลาย[129] RTHK เป็นสถานีกระจายเสียงสาธารณะ ให้บริการช่องวิทยุเจ็ดช่องและช่องรายการโทรทัศน์สามช่อง[130] ผู้แพร่ภาพกระจายเสียงที่ไม่ใช่บริษัทในประเทศสิบรายการออกอากาศสำหรับประชากรต่างชาติในอาณาเขต[131] การเข้าถึงสื่อและข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับของจีนแผ่นดินใหญ่ รวมถึง Great Firewall
เพลง แคนโตป็อป เป็นแนวเพลงกวางตุ้งยอดนิยมที่ปรากฏในฮ่องกงในช่วงทศวรรษ 1970 วิวัฒนาการมาจากเพลงสไตล์เซี่ยงไฮ้ และยังได้รับอิทธิพลจากอุปรากรกวางตุ้งและป๊อปตะวันตกอีกด้วย[132] สื่อท้องถิ่นนำเสนอและให้การสนับสนุนเพลงของศิลปินชื่อดังเช่น แซม ฮุย, เหมย ยั่นฟาง, เลสลี จาง และ ถาน หย่งหลิน ในช่วงทศวรรษที่ 1980 การส่งออกภาพยนตร์และรายการโชว์ของแคนโตป็อปได้ออกสู่สายตาผู้ชมทั่วโลก ความนิยมของแนวเพลงดังกล่าวถึงจุดสูงสุดในปี 1990[133]
ดนตรีคลาสสิกของตะวันตกมีประวัติยาวนานในฮ่องกงและยังคงเป็นส่วนใหญ่ของการศึกษาดนตรีในท้องถิ่น[134] วง Hong Kong Philharmonic Orchestra ซึ่งได้รับทุนจากสาธารณชนซึ่งเป็นวงซิมโฟนีออร์เคสตรามืออาชีพที่เก่าแก่ที่สุดของดินแดนแห่งนี้ มักเป็นเจ้าภาพนักดนตรีและวาทยกรจากต่างประเทศ วงดุริยางค์จีนฮ่องกงประกอบด้วยเครื่องดนตรีจีนคลาสสิก เป็นวงดนตรีจีนชั้นนำและมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมดนตรีดั้งเดิมในชุมชน[135]
ฮ่องกงพัฒนาอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ จนกลายเป็นศูนย์กลางการสร้างภาพยนตร์ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 เนื่องจากกระแสของผู้สร้างภาพยนตร์เซี่ยงไฮ้อพยพไปยังดินแดนแห่งนี้ และอิทธิพลจากชีวประวัติของทหารผ่านศึกที่เพิ่มขึ้นจากการทำสงครามมีส่วนช่วยสร้างอุตสาหกรรมบันเทิงของอาณานิคมแห่งนี้ในทศวรรษต่อมา[136] ในช่วงทศวรรษ 1960 ฮ่องกงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ชมจากต่างประเทศผ่านภาพยนตร์เช่น The World of Suzie Wong เมื่อภาพยนตร์ของ บรูซ ลี The Way of the Dragon ออกฉายในปี 1972 ก็ปลุกกระแสความนิยมด้านภาพยนตร์ไปทั่วภูมิภาค
ในช่วงทศวรรษ 1980 ภาพยนตร์เช่น A Better Tomorrow, As Tears Go By และ Zu Warriors จาก Magic Mountain ได้ขยายความสนใจไปทั่วโลกนอกเหนือจากภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้ ภาพยนตร์นักเลงในท้องถิ่น ละครโรแมนติก และจินตนาการเหนือธรรมชาติซึ่งกลายเป็นที่นิยม[137]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.