จังหวัดน่าน
จังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
น่าน (ไทยถิ่นเหนือ: ᨶᩣ᩠᩵ᨶ) เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของภาคเหนือ เป็นที่ตั้งของเมืองที่สำคัญในอดีต เช่น เวียงวรนคร (เมืองพลัว) เวียงศีรษะเกษ (เมืองงั่ว) เวียงภูเพียงแช่แห้ง อีกทั้งยังเป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำน่าน
จังหวัดน่าน | |
---|---|
การถอดเสียงอักษรโรมัน | |
• อักษรโรมัน | Changwat Nan |
ตามเข็มนาฬิกาจากบนซ้าย:
| |
คำขวัญ: แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง | |
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดน่านเน้นสีแดง | |
ประเทศ | ไทย |
การปกครอง | |
• ผู้ว่าราชการ | ชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่[1] (ตั้งแต่ พ.ศ. 2566) |
พื้นที่[2] | |
• ทั้งหมด | 11,472.072 ตร.กม. (4,429.392 ตร.ไมล์) |
อันดับพื้นที่ | อันดับที่ 13 |
ประชากร | |
• ทั้งหมด | 472,722 คน |
• อันดับ | อันดับที่ 57 |
• ความหนาแน่น | 41.20 คน/ตร.กม. (106.7 คน/ตร.ไมล์) |
• อันดับความหนาแน่น | อันดับที่ 75 |
รหัส ISO 3166 | TH-55 |
ชื่อไทยอื่น ๆ |
|
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด | |
• ต้นไม้ | กำลังเสือโคร่ง |
• ดอกไม้ | เสี้ยวดอกขาว |
• สัตว์น้ำ | ปลาปากหนวด |
ศาลากลางจังหวัด | |
• ที่ตั้ง | ภายในศูนย์ราชการจังหวัดน่าน เลขที่ 102 หมู่ที่ 11 ถนนน่าน-พะเยา ตำบลไชยสถาน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน 55000 |
• โทรศัพท์ | 0 5471 0341 |
• โทรสาร | 0 5471 0341 |
เว็บไซต์ | http://www.nan.go.th/ |
จังหวัดน่าน | |
ชื่อภาษาไทย | |
---|---|
อักษรไทย | น่าน |
อักษรโรมัน | Nan |
ชื่อคำเมือง | |
อักษรธรรมล้านนา | ᨶᩣ᩠᩵ᨶ |
อักษรไทย | น๋าน |
มีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ยาวนาน มีชื่อเรียกในพงศาวดารว่า นันทบุรี เมืองน่านในอดีตเป็นนครรัฐเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18 บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำน่านและแม่น้ำสาขาในหุบเขาทางตะวันออกของภาคเหนือ
ประวัติศาสตร์เมืองน่านเริ่มปรากฏขึ้นราว พ.ศ. 1825 ภายใต้การนำของพญาภูคาและนางพญาจำปาผู้เป็นชายา ซึ่งทั้งสองเป็นชาวเมืองเงินยาง ได้เป็นแกนนำพาผู้คนอพยพมาตั้งศูนย์การปกครองอยู่ที่เมืองล่าง ต่อมาเพี้ยนเป็นเมืองย่าง (เชื่อกันว่าคือบริเวณริมฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำย่างบริเวณตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว เลยไปถึงลำน้ำบั่ว ใกล้ทิวเขาดอยภูคาในเขตบ้านเสี้ยว บ้านทุ่งฆ้อง บ้านลอมกลาง ตำบลยม อำเภอท่าวังผา) เพราะปรากฏร่องรอยชุมชนในสภาพที่เป็นคูน้ำ คันดิน และกำแพงเมืองซ้อนกันอยู่ เห็นชัดเจนที่สุดคือบริเวณข้างพระธาตุจอมพริกบ้านเสี้ยวมีกำแพงเมืองปรากฏอยู่ซึ่งเป็นปราการทิศใต้ และป้อมปราการทิศเหนือลักษณะที่ปรากฏเป็นสันกำแพงดินบนยอดดอยม่อนหลวง บ้านลอมกลาง เป็นกำแพงเมืองสูงถึง 3 ชั้น ในแต่ละชั้นกว้าง 3 เมตร สูง 5 เมตร ขนานไปกับยอดดอยม่อนหลวง ต่อมาพระยาภูคา ได้ขยายอาณาเขตปกครองของตนออกไปให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยส่งราชบุตรบุญธรรม 2 คนไปสร้างเมืองใหม่ โดยขุนนุ่นผู้พี่ไปสร้างเมืองจันทบุรี (เมืองพระบาง) และขุนฟองผู้น้องสร้างเมืองวรนครหรือเมืองปัว
ภายหลังขุนฟองถึงแก่พิราลัย เจ้าเก้าเถื่อนราชบุตรจึงได้ขึ้นครองเมืองปัวแทน ด้านพญาภูคาครองเมืองย่างมานานและมีอายุมากขึ้น มีความประสงค์จะให้เจ้าเก้าเถื่อนผู้หลานมาครองเมืองย่างแทน จึงให้เสนาอำมาตย์ไปเชิญ เจ้าเก้าเถื่อนเกรงใจปู่จึงยอมไปอยู่เมืองย่างและมอบให้ชายาคือนางพญาแม่ท้าวคำปินดูแลรักษาเมืองปัวแทน เมื่อพญาภูคาถึงแก่พิราลัย เจ้าเก้าเถื่อนจึงครองเมืองย่างแทน ในช่วงที่เมืองปัวว่างจากผู้นำ เนื่องจากเจ้าเก้าเถื่อนไปครองเมืองย่างแทนปู่นั้น พญางำเมืองเจ้าผู้ครองเมืองพะเยา จึงได้ขยายอิทธิพลเข้าครอบครองบ้านเมืองในเขตเมืองน่านทั้งหมด นางพญาแม่เท้าคำปินพร้อมด้วยบุตรในครรภ์ได้หลบหนีไปอยู่บ้านห้วยแร้ง จนคลอดได้บุตรชายชื่อว่าเจ้าขุนใส เติบใหญ่ได้เป็นขุนนางรับใช้พญางำเมืองจนเป็นที่โปรดปราน พญางำเมืองจึงสถาปนาให้เป็นเจ้าขุนใสยศ ครองเมืองปราด ภายหลังมีกำลังพลมากขึ้นจึงยกทัพมาต่อสู้จนหลุดพ้นจากอำนาจเมืองพะเยา และได้รับการสถาปนาเป็นพญาผานอง ขึ้นครองเมืองปัวอย่างอิสระระหว่างปี 1865-1894 รวม 30 ปีจึงพิราลัย
ในสมัยของพญาการเมือง (กรานเมือง) โอรสของพญาผานอง เมืองปัวได้มีการขยายตัวมากขึ้น ตลอดจนมีความสัมพันธ์กับเมืองสุโขทัยอย่างใกล้ชิด พงศาวดารเมืองน่านกล่าวถึงพญาการเมืองว่า ได้รับเชิญจากเจ้าเมืองสุโขทัย (พระมหาธรรมราชาลิไท) ไปร่วมสร้างวัดหลวงอภัย (วัดอัมพวนาราม) ขากลับเจ้าเมืองสุโขทัย ได้พระราชทานพระธาตุ 7 องค์ พระพิมพ์ทองคำ 20 องค์ พระพิมพ์เงิน 20 องค์ ให้กับพญาการเมืองมาบูชา ณ เมืองปัว ด้วยพญาการเมืองได้ปรึกษาพระมหาเถรธรรมบาลจึงได้ก่อสร้างพระธาตุแช่แห้งขึ้นที่บนภูเพียงแช่แห้ง พร้อมทั้งได้อพยพผู้คนจากเมืองปัวลงมาสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณพระธาตุแช่แห้ง เรียกว่า ภูเพียงแช่แห้งในปี พ.ศ. 1902 โดยมีพระธาตุแช่แห้งเป็นศูนย์กลางเมือง หลังจากพญาการเมืองถึงแก่พิราลัย โอรสคือพญาผากองขึ้นครองแทน อยู่มาเกิดปัญหาความแห้งแล้ง จึงย้ายเมืองมาสร้างใหม่ที่ริมแม่น้ำน่านด้านตะวันตกบริเวณบ้านห้วยไค้ คือบริเวณที่ตั้งของจังหวัดน่านในปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 1911[7]
ในสมัยเจ้าปู่เข่งครองเมืองระหว่างปี พ.ศ. 1950-1960 ได้สร้างวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร วัดพระธาตุเขาน้อย วัดพญาภู แต่สร้างไม่ทันเสร็จก็ถึงแก่พิราลัยเสียก่อน พญางั่วฬารผาสุมผู้เป็นหลานได้สร้างต่อจนแล้วเสร็จและได้สร้างพระพุทธรูปทองคำปางลีลา ปัจจุบันคือ พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี ประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
ในปี พ.ศ. 1993 พระเจ้าติโลกราชกษัตริย์นครเชียงใหม่ มีความประสงค์จะครอบครองเมืองน่านและแหล่งเกลือบ่อมาง (เขตตำบลบ่อเกลือใต้ อำเภอบ่อเกลือปัจจุบัน) ที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์และหาได้ยากทางภาคเหนือ จึงได้จัดกองทัพเข้ายึดเมืองน่าน พญาอินต๊ะแก่นท้าวไม่อาจต้านทานได้จึงอพยพหนีไปอาศัยอยู่ที่เมืองเชลียง (ศรีสัชนาลัย) เมืองน่านจึงถูกผนวกเข้าไว้ในอาณาจักรล้านนาตั้งแต่นั้นมา
ตลอดระยะเวลาเกือบ 100 ปีที่เมืองน่านอยู่ในครอบครองของอาณาจักรล้านนา ได้ค่อย ๆ ซึมซับเอาศิลปวัฒนธรรมของล้านนามาไว้ในวิถีชีวิต โดยเฉพาะการรับเอาศิลปกรรมทางด้านศาสนา ปรากฏศิลปกรรมแบบล้านนาเข้ามาแทนที่ศิลปกรรมแบบสุโขทัยอย่างชัดเจน เช่น เจดีย์วัดพระธาตุแช่แห้ง เจดีย์วัดสวนตาล (มวลสารจากวัดสวนตาลใช้ทำพระสมเด็จจิตรลดา) เจดีย์วัดพระธาตุช้างค้ำ แม้จะเหลือส่วนฐานที่มีช้างล้อมรอบซึ่งเป็นลักษณะศิลปะแบบสุโขทัยอยู่ แต่ส่วนองค์เจดีย์ขึ้นไปถึงส่วนยอดเปลี่ยนเป็นศิลปกรรมแบบล้านนาไปจนหมดสิ้น ในระหว่างปี พ.ศ. 2103-2328 เมืองน่านได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอยู่หลายครั้งและต้องเป็นเมืองร้างไร้ผู้คนถึง 2 ครา คือ ครั้งแรก ปี พ.ศ. 2247-2249 ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2321-2344
ปี พ.ศ. 2331 เจ้าอัตถวรปัญโญ ได้ลงมาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เพื่อขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมา หลังจากขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน เจ้าอัตถวรปัญโญก็ยังมิได้เข้าไปอยู่ในตัวเมืองน่านเสียทีเดียวเนื่องจากตัวเมืองน่านยังรกร้างอยู่ จึงได้ย้ายไปอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ คือ บ้านตึ๊ดบุญเรือง เมืองงั้ว (ปัจจุบัน คือ บริเวณอำเภอนาน้อย) เมืองพ้อ (ปัจจุบัน คือ บริเวณอำเภอเวียงสา) จนกระทั่งหลังจากได้บูรณะซ่อมแซมตัวเมืองน่านพร้อมทั้งได้ขอพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงกลับเข้ามาอยู่ในตัวเมืองน่านในปี พ.ศ. 2344 ในยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นครน่านมีฐานะเป็นหัวเมืองประเทศราช เจ้าผู้ครองนครน่านในชั้นหลังทุกองค์ต่างปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความเที่ยงธรรม มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ได้ช่วยราชการบ้านเมืองสำคัญหลายครั้งหลายคราด้วยกัน นอกจากนี้เจ้าผู้ครองนครน่านต่างได้อุปถัมภ์ค้ำจุนและทำนุบำรุงกิจการพระพุทธศาสนาในนครน่านและหัวเมืองขึ้นต่างๆ เป็นสำคัญ ได้สร้างธรรมนิทานชาดก การจารพระไตรปิฎกลงในคัมภีร์ใบลาน นับเป็นคัมภีร์ได้ 335 คัมภีร์นับเป็นผูกได้ 2,606 ผูก ได้นำไปมอบให้เมืองต่างๆ เช่น นครลำปาง นครลำพูน นครเชียงใหม่ นครแพร่ และนครหลวงพระบาง
ในปี พ.ศ. 2446 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน เลื่อนยศฐานันดรศักดิ์ขึ้นเป็น พระเจ้านครเมืองน่าน มีพระนามปรากฏตามสุพรรณปัฏว่า “พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงศาธิบดี สุจริตจารีราชานุภาวรักษ์ วิบุลยศักดิ์กิตติไพศาล ภูบาลบพิตร์ สถิตย์ณนันทราชวงษ์ พระเจ้านครเมืองน่าน” นับเป็นพระเจ้านครน่านองค์แรกและองค์เดียวในประวัติศาสตร์น่าน ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าน่าน พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 63 ได้โปรดให้สร้างหอคำ (คุ้มหลวง) ขึ้นแทนหลังเดิมซึ่งสร้างในสมัยของ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 และด้านหน้าหอคำมีข่วงไว้ทำหน้าที่คล้ายสนามหลวง สำหรับจัดงานพิธีต่างๆ ตลอดจนเป็นที่จัดขบวนทัพออกสู้ศึก จัดขบวนนำเสด็จ หรือขบวนรับแขกบ้านแขกเมืองสำคัญ และในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2474 เมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 ถึงแก่พิราลัย ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครน่าน ก็ถูกยุบเลิกตั้งแต่นั้นมา ส่วนหอคำได้ใช้เป็นศาลากลางจังหวัดน่าน จนปี พ.ศ. 2511 จังหวัดน่านได้มอบหอคำให้กรมศิลปากร ใช้เป็นสถานที่จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่านจนกระทั่งปัจจุบัน
ในยุคประชาธิปไตย จังหวัดน่านยังมีตำนานการเป็นแหล่งกบดานของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยเฉพาะที่อำเภอทุ่งช้าง ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอีกแห่งหนึ่ง โดยมีอนุสรณ์สถานวีรกรรมทุ่งช้างเป็นพยานช่วยเตือนความจำให้แก่ชนรุ่นหลัง
จังหวัดน่าน ตั้งอยู่บริเวณเส้นรุ้งที่ 18 องศา 46 ลิปดา 30 ฟิลิปดาเหนือ เส้นแวงที่ 18 องศา 46 ลิปดา 44 ฟิลิปดาตะวันออก ระดับความสูงของพื้นที่อยู่สูง 2,112 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง มีสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาซึ่งวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ มีพื้นที่ 11,472.076 ตารางกิโลเมตร หรือ 7,170,045 ไร่ โดยเฉพาะบริเวณชายแดนด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ ประมาณ 668 กิโลเมตร มีภูเข้ ในเขตอำเภอบ่อเกลือ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัด คือมีความสูงถึง 2,079 เมตร[8] และมีดอยภูคา ในเขตอำเภอปัว เป็นยอดเขาที่สำคัญของจังหวัด มีความสูง 1,980 เมตร ส่วนพื้นที่ราบจะอยู่บริเวณตอนกลางของจังหวัด และตามลุ่มน้ำต่าง ๆ แหล่งน้ำที่สำคัญของจังหวัดคือแม่น้ำน่าน ซึ่งมีต้นกำเนิดทางตอนเหนือของจังหวัด แล้วไหลลงไปยังเขื่อนสิริกิติ์ในจังหวัดอุตรดิตถ์ และบรรจบกับแม่น้ำปิงที่จังหวัดนครสวรรค์เป็นแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้ยังมีลำน้ำสาขาต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ลำน้ำสา ลำน้ำว้า ลำน้ำสมุน ลำน้ำปัว ลำน้ำยาว ลำน้ำย่าง ลำน้ำแหง เป็นต้น มีพื้นที่กว้างใหญ่ พื้นที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน ทั้งยังมีประชากรหลายชาติพันธุ์ นับว่าเป็นดินแดนของความหลากหลายอีกแห่งหนึ่งของประเทศ
ลักษณะพื้นที่
จังหวัดน่าน มีทิวเขาหลวงพระบางและทิวเขาผีปันน้ำ ซึ่งเป็นทิวเขาหินแกรนิต ที่มีความสูง 600 - 1,200 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ทอดผ่านทั่วจังหวัด คิดเป็นพื้นที่ประมาณร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด
พื้นที่ของจังหวัดน่านโดยทั่วไป มีสภาพพื้นที่เป็นลูกคลื่น ลอนชันเกิน 30 องศา ประมาณร้อยละ 85 ของพื้นที่จังหวัด ส่วนลูกคลื่นลอนลาด ตามลุ่มน้ำ จะเป็นที่ราบแคบๆ ระหว่างหุบเขาตามแนวยาวของลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำสา ลุ่มน้ำว้า ลุ่มน้ำปัว ลุ่มน้ำย่าง และลุ่มน้ำกอน
จังหวัดน่าน มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 7,170,045 ไร่ หรือ 11,472.07 ตารางกิโลเมตร จำแนกได้ ดังนี้
มีลักษณะอากาศแบบทุ่งหญ้าเมืองร้อนแบบ 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว โดยมีความแตกต่างของฤดูอย่างชัดเจน
จังหวัดน่านมีด่านเข้าออกกับประเทศลาวหลายแห่งด้วยกัน เช่น จุดผ่านแดนถาวรสากลห้วยโก๋น-น้ำเงิน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ, จุดผ่อนปรนบ้านใหม่ชายแดน อำเภอสองแคว และจุดผ่อนปรนบ้านห้วยสะแตง อำเภอทุ่งช้าง
จังหวัดน่าน มีจำนวนอุทยานแห่งชาติ 7 แห่ง, วนอุทยาน 1 แห่ง, เขตห้ามล่าสัตว์ป่า 1 แห่ง และสวนรุกขชาติ 2 แห่ง ได้แก่
จังหวัดน่าน แบ่งการปกครองออกเป็น 15 อำเภอ 99 ตำบล 893 หมู่บ้าน ได้แก่
เลข | ชื่ออำเภอ | ตำบล | หมู่บ้าน | จำนวนประชากร (2566) |
พื้นที่ทั้งหมด (ตร.กม.) |
แผนที่แต่ละอำเภอ | ||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ภาษาไทย | ตัวเมือง | ภาษาอังกฤษ | ||||||
1. | เมืองน่าน | Mueang Nan | 11 | 109 | 82,060 | 813.126 | ||
2. | แม่จริม | Mae Charim | 5 | 38 | 16,348 | 998.152 | ||
3. | บ้านหลวง | Ban Luang | 4 | 26 | 11,302 | 338.210 | ||
4. | นาน้อย | Na Noi | 7 | 69 | 31,812 | 1,408.122 | ||
5. | ปัว | Pua | 12 | 107 | 64,259 | 657.363 | ||
6. | ท่าวังผา | Tha Wang Pha | 10 | 91 | 50,495 | 702.204 | ||
7. | เวียงสา | Wiang Sa | 17 | 128 | 69,581 | 1,894.893 | ||
8. | ทุ่งช้าง | Thung Chang | 4 | 40 | 18,935 | 760.811 | ||
9. | เชียงกลาง | Chiang Klang | 6 | 60 | 27,097 | 277.115 | ||
10. | นาหมื่น | Na Muen | 4 | 48 | 14,256 | 785.608 | ||
11. | สันติสุข | Santi Suk | 3 | 31 | 15,681 | 416.837 | ||
12. | บ่อเกลือ | Bo Kluea | 4 | 38 | 15,316 | 848.341 | ||
13. | สองแคว | Song Khwae | 3 | 25 | 12,466 | 544.364 | ||
14. | ภูเพียง | Phu Phiang | 7 | 61 | 35,929 | 508.236 | ||
15. | เฉลิมพระเกียรติ | Chaloem Phra Kiat | 2 | 22 | 9,832 | 518.690 | ||
รวม | 99 | 893 | 472,722[10] | 11,472.072 | - |
จังหวัดน่าน มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 99 แห่ง ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง (องค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน), เทศบาลเมือง 1 แห่ง (เทศบาลเมืองน่าน), เทศบาลตำบล 18 แห่ง, และองค์การบริหารส่วนตำบล 80 แห่ง ได้แก่
ลำดับ | รายนาม | ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง |
---|---|---|
1 | พระยาพิชัยชาญฤทธิ์ | พ.ศ. 2433-2435 |
2 | พระยาสุนทรนุรักษ์ | พ.ศ. 2435-2437 |
3 | หลวงชาญภูเบศร์ (สวัสดิ์ ภูมิรัตน์) | พ.ศ. 2437-2439 |
4 | จมื่นมหาดเล็ก (เรือง ภูมิรัตน์) | พ.ศ. 2439-2444 |
5 | พระยาบรมบาทบำรุง | พ.ศ. 2444-2449 |
6 | พระยาอุไทยมนตรี (พร จารุจินดา) | พ.ศ. 2449-2450 |
7 | พระยาอมรฤทธิ์ธำรง (ฉี่ บุนนาค) | พ.ศ. 2450-2451 |
8 | พระอาทรธนพัฒน์ (เจิม จารุจินดา) | พ.ศ. 2451-2454 |
9 | พระอารีราชการัณย์ (หม่อมราชวงศ์ปาน นพวงศ์) | พ.ศ. 2454-2467 |
10 | พระยาวรวิไชยวุฒิกรณ์ (เลื่อน สนธิรัตน์) | พ.ศ. 2467-2470 |
11 | พระยาอนุบาลพายัพกิจ (ปุ่น อาสนจินดา) | พ.ศ. 2470-2471 |
12 | พระยากรุงศรีสวัสดิ์การ (จำรัส สวัสดิ์-ชูโต) | พ.ศ. 2471-2476 |
13 | พระเกษตรสรรพกิจ (นุ่ม วรรณโกมล) | พ.ศ. 2476-2480 |
14 | พระบริหารทัณฑนิติ (ประเสริฐ เศวตกนิษฐ์) | พ.ศ. 2480-2482 |
15 | พระชาติตระการ (หม่อมราชวงศ์จิตร คเนจร) | พ.ศ. 2482-2482 |
16 | หลวงทรงประศาสน์ (ทองคำ นวลทรง) | พ.ศ. 2482-2488 |
17 | ขุนระดับคดี (ปัญญา รมยานนท์) | พ.ศ. 2488-2488 |
18 | ขุนอักษรสารสิทธิ์ (พินิจ อักษรสารสิทธิ์) | พ.ศ. 2488-2489 |
19 | ขุนวิศิษฐ์อุดรการ (กรี วิศิษฐ์อุดรการ) | พ.ศ. 2489-2490 |
20 | นายชลอ จารุจินดา | พ.ศ. 2490-2490 |
21 | นายนวล มีชำนาญ | พ.ศ. 2490-2496 |
22 | นายมานิต ปุรณพรรค์ | พ.ศ. 2496-2500 |
23 | หลวงอนุมัติราชกิจ (อั๋น อนุมัติราชกิจ) | พ.ศ. 2500-2503 |
24 | นายวิชาญ บรรณโศภิษฐ์ | พ.ศ. 2503-2510 |
25 | นายชิต ทองประยูร | พ.ศ. 2510-2511 |
26 | พลตำรวจตรี ศรีศักดิ์ ธรรมรักษ์ | พ.ศ. 2511-2514 |
27 | นายสุกิจ จุลละนันทน์ | พ.ศ. 2514-2517 |
28 | นายสวัสดิ์ ประไพพานิช | พ.ศ. 2517-2518 |
29 | นายโชดก วีรธรรมพูลสวัสดิ | พ.ศ. 2518-2520 |
30 | นายสายสิทธิ พรแก้ว | พ.ศ. 2520-2521 |
31 | พันโท นายแพทย์ อุดม เพ็ชรศิริ | พ.ศ. 2521-2523 |
32 | นายชัยวัฒน์ หุตะเจริญ | พ.ศ. 2523-2526 |
33 | นายประกอบ แพทยกุล | พ.ศ. 2526-2528 |
34 | นายเฉลิม พรหมเลิศ | พ.ศ. 2528-2530 |
35 | นายกาจ รักษ์มณี | พ.ศ. 2530-2532 |
36 | พันตรี ปรีดา นิสัยเจริญ | พ.ศ. 2532-2533 |
37 | นายอำนวย ยอดเพชร | พ.ศ. 2533-2535 |
38 | นายจิโรจน์ โชติพันธุ์ | พ.ศ. 2535-2536 |
39 | นายประวิทย์ สีห์โสภณ | พ.ศ. 2536-2537 |
40 | นายสุจริต นันทมนตรี | พ.ศ. 2537-2539 |
41 | นายจเด็จ อินสว่าง | พ.ศ. 2539-2541 |
42 | นายเชิดพงษ์ อุทัยสาง | พ.ศ. 2541-2541 |
43 | ร้อยตำรวจตรี ธนะพงษ์ จักกะพาก | พ.ศ. 2541-2545 |
44 | นายสุวัฒน์ โชคสุวัฒนสกุล | พ.ศ. 2545-2548 |
45 | นายปริญญา ปานทอง | พ.ศ. 2548-2550 |
46 | นายสมพงษ์ อนุยุทธพงศ์ | พ.ศ. 2550-2551 |
47 | นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต | พ.ศ. 2551-2552 |
48 | นายวีรวิทย์ วิวัฒนวณิช | พ.ศ. 2552-2553 |
49 | นายเสนีย์ จิตตเกษม | พ.ศ. 2553-2554 |
50 | นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ | พ.ศ. 2554-2555 |
51 | นายชุมพร แสงมณี | พ.ศ. 2555-2556 |
52 | นายอุกริช พึ่งโสภา | พ.ศ. 2556-2558 |
53 | นายสุวัฒน์ พรมสุวรรณ | พ.ศ. 2558-2559 |
54 | นายไพศาล วิมลรัตน์ | พ.ศ. 2559-2561 |
55 | นายวรกิตติ ศรีทิพากร | พ.ศ. 2561-2563 |
56 | นายนิพันธ์ บุญหลวง | พ.ศ. 2563-2564 |
57 | นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต | พ.ศ. 2564-2566 |
58 | นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ | พ.ศ. 2566-ปัจจุบัน |
จังหวัดน่าน แบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกเป็น 3 เขต (สำหรับการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566)[14] และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือก 3 คน จากทั้งหมด 400 คนทั่วประเทศในสภาผู้แทนราษฎรไทย
รายนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ปี พ.ศ. 2566
ประชากรในจังหวัดน่านมีอยู่อย่างเบาบางเป็นอันดับ 3 ของประเทศ (ประมาณ 41 คนต่อตารางกิโลเมตร)[ต้องการอ้างอิง] กระจัดกระจายไปตามสภาพทางภูมิศาสตร์ แบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่
นอกจากนี้ในบริเวณที่สูงตามไหล่เขายังเป็นชุมชนของชนกลุ่มน้อยที่เรียกกันว่า "ชาวเขา" ได้แก่ ชาวม้ง, เมี่ยน, ลัวะหรือถิ่น, ขมุ รวมถึงชาวตองเหลืองหรือมาบลี ที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ตำบลแม่ขะนิง อำเภอเวียงสา
ผู้คนในจังหวัดน่านจึงมีภาษาพูดที่หลากหลายด้วยเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยถิ่นเหนือหรือคำเมืองสำเนียงน่าน[ต้องการอ้างอิง]
เนื่องด้วยภูมิศาสตร์ของจังหวัดน่านมีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดอื่น ๆ ไม่มาก และเป็นจังหวัดชายแดนติดกับประเทศลาว ดังนั้นการเดินทางมาจังหวัดน่านจึงมีเส้นทางที่จำกัด ไม่มีทางรถไฟ แต่ก็มีท่าอากาศยานน่านนคร รวมทั้งมีถนนสายหลักที่ตัดผ่านตลอดความยาวตั้งแต่เหนือลงมาและมีสภาพผิวถนนที่ดี สามารถใช้งานได้ตลอดปี
เครือข่ายถนนในจังหวัดประกอบด้วยแนวถนนในแนวเหนือ-ใต้ และแนวตะวันตก-ตะวันออก มีถนนลาดยางจากตัวจังหวัดไปยังอำเภอต่าง ๆ และจังหวัดใกล้เคียง ทางหลวงแผ่นดินที่สำคัญ ได้แก่
[บริษัทผู้ให้บริการ]
[เส้นทาง]
[รถโดยสารระหว่างประเทศ]
จังหวัดน่านไม่มีเส้นทางรถไฟผ่าน แต่สามารถเดินทางมาลงที่สถานีรถไฟเด่นชัย อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ แล้วเดินทางด้วยถนนระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 มายังตัวจังหวัดได้
มีท่าอากาศยานน่านนครซึ่งเป็นสนามบินพาณิชย์ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของตัวเมืองห่างประมาณ 3 กิโลเมตร มีเที่ยวบินระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มายัง ท่าอากาศยานน่านนคร สูงสุด 20 เที่ยวบินไปกลับต่อวัน
จังหวัดน่านอาจไม่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยว[ต้องการอ้างอิง] แต่ความจริงแล้ว ที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้สนใจได้ท่องเที่ยวมากมายไม่รู้จบ ทั้งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี แหล่งอารยธรรมโบราณ โดยที่เพิ่งค้นพบในเขตอำเภอเมืองน่าน ส่วนโบราณสถานโดยเฉพาะวัดเก่าแก่มีให้เห็นแทบทุกอำเภอ ได้แก่ วัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดด้าน วัดภูมินทร์ หอคำ วัดหนองบัว วัดบุญยืน ซึ่งล้วนแต่มีอายุนับร้อย ๆ ปี มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามทั้งสิ้น
สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติก็มีความหลากหลาย เช่น เส้นทางชมธรรมชาติหมู่บ้านมณีพฤกษ์ ในอำเภอทุ่งช้าง อุทยานแห่งชาติหลายแห่ง และเสาดินที่อำเภอนาน้อย บ่อเกลือโบราณในอำเภอบ่อเกลือ หรือการล่องแก่งน้ำว้าที่มีทัศนียภาพสวยงามตลอดเส้นทาง เป็นต้น
สำหรับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดน่าน สามารถท่องเที่ยวได้ทั่วทุกอำเภอ ด้วยมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีงานบุญประเพณีที่สำคัญ เช่น งานแข่งเรือ งานไหว้พระธาตุ ส่วนผู้ที่ชื่นชอบศิลปะการแสดงก็สามารถชมการแสดงนาฏศิลป์ที่งดงาม รวมทั้งดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ดนตรีวงปี่จุ้ม จ๊อยซอ ฟ้อนแง้น เป็นต้น
จังหวัดน่าน มีอุทยานแห่งชาติ 7 แห่ง, วนอุทยาน 1 แห่ง, เขตห้ามล่าสัตว์ป่า 1 แห่ง และสวนรุกขชาติ 2 แห่ง ได้แก่
อุทยานแห่งชาติ
วนอุทยาน
เขตห้ามล่าสัตว์ป่า
สวนรุกขชาติ
|
|
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.