สตาร์บัคส์ (อังกฤษ: Starbucks) เป็นร้านกาแฟจากอเมริกาในเมืองซีแอตเทิลในรัฐวอชิงตัน ในปี ค.ศ. 1971 โดย กอร์ดอน โบว์เกอร์, เจอร์รี บัลด์วิน และเซฟ ซีเกิล โดยช่วงแรกใช้โลโก้เป็นรูปไซเรน 2 หาง ก่อตั้งในฐานะร้านขายเมล็ดกาแฟคั่ว ต่อมาปี 1982 สตาร์บัคส์มีสาขา 5 สาขา และโฮเวิร์ด ชูลทส์ได้เข้ามาร่วมงานด้วย โดยดูแลด้านการตลาดและค้าปลีก ซึ่งเขาเป็นผู้แนะนำให้สตาร์บัคส์เปิดเป็นบาร์กาแฟ แต่หลายคนก็ไม่เชื่อในวิสัยทัศน์ของเขา ต่อมาชูลทส์ได้ลาออกจากบริษัท ไปเปิดบาร์กาแฟของตนเองชื่อ อิล จิออร์เนล และจำหน่ายกาแฟของสตาร์บัคส์ ในปี 1987 สตาร์บัคส์ประสบปัญหายุ่งยากจากการไม่สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้ ปี ค.ศ. 1988 อิล จิออร์เนลจึงซื้อกิจการด้านค้าปลีกไว้พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น สตาร์บัคส์ คอร์ปอเรชัน และจ้างนักบริหารมืออาชีพเข้ามาดูแล ปี 1992 สตาร์บัคส์ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ และในปี 1996 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกนอกอเมริกาเหนือที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมากกว่า 1 ใน 3 ของร้านสตาร์บัคส์ทั้งหมดอยู่ในต่างประเทศ[4] โดยเฉลี่ยแล้วสตาร์บัคส์เปิดสาขาใหม่เพิ่มวันละ 2 สาขาระหว่างปี 1987 และ 2007[5] บริษัทได้เริ่ม Caffe Starbucks เป็นระบบบริการออนไลน์โดยอาศัยเครือข่ายของ เอโอแอล[ต้องการอ้างอิง]
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ประเภท | บริษัท |
---|---|
ISIN | US8552441094 |
อุตสาหกรรม | ร้านกาแฟ |
ก่อตั้ง | 31 มีนาคม 1971 ตลาดไพก์เพลซ, เอลลิออตเบย์, ซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา |
ผู้ก่อตั้ง |
|
สำนักงานใหญ่ | 2401 อูทาห์อเวนิวเซาธ์, ซีแอทเทิล, รัฐวอชิงตัน , สหรัฐอเมริกา |
จำนวนที่ตั้ง | 27,984 สาขา[1] (พ.ศ. 2561) |
พื้นที่ให้บริการ | ทั่วโลก |
บุคลากรหลัก |
|
ผลิตภัณฑ์ |
|
รายได้ | 22.387 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ [2] (ค.ศ. 2017) |
รายได้จากการดำเนินงาน | 4.135 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[2] (ค.ศ. 201) |
รายได้สุทธิ | 2.885 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค.ศ. 2017) |
สินทรัพย์ | 14.366 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[2] (ค.ศ. 2017) |
ส่วนของผู้ถือหุ้น | 5.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[2] (ค.ศ. 2017) |
พนักงาน | 238,000 คน[3] (ค.ศ. 2016) |
บริษัทในเครือ |
|
เว็บไซต์ | www |
สัญลักษณ์ของสตาร์บัคส์ครั้งแรกนั้นเป็นรูปนางเงือก ซึ่งเป็น นางเงือกไซเรนสองหาง (Norse Siren) ในเทพนิยายปรัมปรา เพื่อให้นึกถึงการผจญภัยในทะเล และปรับเปลี่ยนหลายครั้งและล่าสุดคือ ค.ศ. 2011 ในวาระการเฉลิมฉลองครบ 40 ปีของการดำเนินธุรกิจ[6]
ปัจจุบันสตาร์บัคส์ มีสาขากว่า 27,984 สาขาทั้งในสหรัฐฯและในอีก 73 ประเทศ ในปีค.ศ. 2018 ประเทศไทยมีจำนวนสาขาทั้งหมด 336 สาขา[1] อดีตประธานบริหาร โฮเวิร์ด ชูลทส์ (Howard Schultz)ประกาศลาออกเมื่อเดือนเมษายน 2017 ผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริหารปัจจุบันคือ เควิน จอห์นสัน (Kevin Johnson)[7]
ประวัติ
ก่อตั้ง
สตาร์บัคส์สาขาแรกก่อตั้งขึ้นในซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1971[8] โดย 3 ผู้ก่อตั้งที่ได้รู้จักกันในสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก[9] คือ เจอร์รี บัลด์วิน ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ, เซฟ ซีเกิล อาจารย์สอนประวัติศาสตร์ และ กอร์ดอน โบว์เกอร์ นักเขียน โดยพวกเขามีแรงบันดาลในที่จะขายเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง และอุปกรณ์คั่วกาแฟโดย อัลเฟรด พีท หลังจากที่ได้สอนพวกเขาเกี่ยวกับการคั่วเมล็ดกาแฟ[10] บริษัทได้นำชื่อจากหนังสือโมบิดิก คือ สตาร์บัค (Starbuck) หลังจากคิดค้นมาหลายชื่อเช่น "คาร์โกเฮาส์" (Cargo House) และ "พีควด" (Pequod)[11] โบว์เกอร์ได้ปรึกษากับเทอร์รี เฮกเลอร์ ซึ่งเขากล่าวว่าตัวอักษร "st" นั้นดูแข็งแรง ผู้ก่อตั้งจึงรวมหัวกันคิดชื่อที่ขึ้นต้นด้วย "st" ซึ่งได้มีคนหนึ่งนำแผนที่เหมืองเก่าของเทือกเขาแคสเคด และเห็นชื่อเมืองในเหมืองที่ชื่อว่า "สตาร์โบ" (Starbo) และโบว์เกอร์ก็ได้ยกตัวละคร "สตาร์บัค" (Starbuck) และกล่าวว่า โมบิดิก ไม่ได้มีบทเด่นสำหรับสตาร์บัคส์ และชื่อนี้ฟังดูตรงกับความต้องการของเรา[12]
สตาร์บัคส์สโตร์สาขาแรกตั้งขึ้นในซีแอทเทิล ที่ 2000 เวสต์เทิร์นอเวนิล ตั้งแต่ ค.ศ. 1971–1976 และสาขานี้ได้ย้ายไปยัง 1912 ไพก์เพลซ และไม่ได้มีการย้ายอีก[13] ในช่วงนั้น ทางบริษัทได้จำหน่ายเพียงเมล็ดกาแฟคั่วเท่านั้น ยังไม่ได้จำหน่ายกาแฟสำเร็จรูป[14] ซึ่งกาแฟสำเร็จรูปที่อยู่ในร้านเป็นเพียงแก้วทดลองซึ่งแจกฟรีให้กับลูกค้า โดยปีแรกพวกเขาได้ซื้อเมล็ดกาแฟจากพีท หลังจากนั้นจึงเริ่มซื้อจากชาวสวนโดยตรง
ขยายตัว
ในปี ค.ศ. 1984 เจ้าของบริษัทสตาร์บัคส์ นำโดยเจอร์รี บัลด์วิน ได้ทำการซื้อ พีทส์[15] ซึ่งในช่วงยุค 80 ยอดขายของกาแฟในสหรัฐอเมริกาค่อนข้างซบเซา แต่ยอดขายของกาแฟชนิดพิเศษกลับเพิ่มขึ้น 10% ของตลาดในปี ค.ศ. 1989 เทียบกับปี ค.ศ. 1983 ที่ 3%[16] ในปี ค.ศ. 1986 บริษัทได้เปิดร้านแล้วถึง 6 สาขาในซีแอทเทิล[16]โดยมีสาขาหนึ่งเริ่มทดลองขายกาแฟเอสเปรสโซ[17]
ต่อมาในปี ค.ศ. 1987 ผู้บริหารได้ตัดสินใจขายสาขาของสตาร์บัคส์ให้กับผู้จัดการสาขา[18] โฮเวิร์ด ชูลซ์ ได้ปรับปรุงร้านกาแฟ อิลจีออร์นาเลคอฟฟี ของเขาเป็นสตาร์บัคส์ และเริ่มต้นที่จะขยายสาขาออกไป ต่อมาในปีเดียวกัน สตาร์บัคส์ได้ขยายสาขาไปยังนอกซีแอทเทิลสาขาแรก ที่สถานีวอเตอร์ฟรอนต์ ที่แวนคูเวอร์ ใน รัฐบริติชโคลัมเบีย และ ชิคาโก ในรัฐอิลลินอย[19] ในปี ค.ศ. 1989 ได้มีร้านถึง 46 สาขาทั้งในเขตนอร์ธเวสต์และมิดเวสต์ อีกทั้งสตาร์บัคส์ยังได้ขายกาแฟไปถึง 2,000,000 ปอนด์ (907,185 กิโลกรัม)[16]
และถึงเวลาที่จะทำการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชน บนตลาดหุ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1992 ซึ่งในขณะนั้นมีร้านถึง 140 สาขา และรายได้ 73.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 1987 โดยบริษัทมีมูลค่าทางการตลาด 271 ล้านดอลลาร์สหรัฐในตอนนั้น โดยหุ้น 12% ของบริษัทได้ถูกขายและเพิ่มขึ้นประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มตามร้านค้าที่เพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในสองปีถัดมา[20] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1992 สตาร์บัคส์ได้มีมูลค่ามากขึ้น 70% และมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เท่าจากปีก่อน[14]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2013 มากกว่า 10% ของการซื้อสินค้าในร้านมาจากอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือผ่านแอปพลิเคชันสตาร์บัคส์[21] โดยบริษัทได้ทำโปรโมชัน "ทวีตอะคอฟฟี" (Tweet-a-Coffee) เพื่อส่งเสริมการซื้อผ่านโทรศัพท์มือถือในเดือนตุลาม ค.ศ. 2013 ในโอกาสนี้ โปรโมชันที่ใช้ทวิตเตอร์ ซึ่งลูกค้ามีโอกาสได้รับบัตรของขวัญมูลค่า 5 ดอลลาร์ สำหรับเพื่อนที่เมนชัน "@tweetacoffee" และเพื่อนที่แท็กในทวีต โดยคีย์โฮลได้ตรวจสอบเกี่ยวกับแคมเปญนี้ โดยวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ได้รายงานว่า มี 27,000 คนเข้าร่วมแคมเปญนี้ และมียอดซื้อถึง 180,000 ดอลลาร์สหรัฐในวันเดียวกัน[22][23]
ตลาดใหม่
สาขาแรกของสตาร์บัคส์ที่ตั้งอยู่นอกอเมริกาเหนือตั้งอยู่ที่ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1996[24] ต่อมาได้เข้าทำตลาดในสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 1998 ด้วยมูลค่า 83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[25] ด้วยร้าน 56 สาขา และปรับปรุงร้านภายใต้ชื่อ สตาร์บัคส์ ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2002 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในลาตินอเมริกา ที่เม็กซิโกซิตี ซึ่งในขณะนี้มีมากกว่า 500 สาขาในประเทศเม็กซิโก อีกทั้งยังมีแผนที่จะขยายเป็น 850 สาขาใน ค.ศ. 2018[26]
ในปี ค.ศ. 1999 สตาร์บัคส์ได้ทดลองตลาดใหม่ด้วยการเปิดร้านอาหารในซานฟรานซิสโกเบย์ ซึ่งร้านมีชื่อว่า "เซอร์คาเดีย" (Circadia)[27] ซึ่งอนาคตจะมีการเปลี่ยนเป็นสตาร์บัคส์ คาเฟ่
ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2002 สตาร์บัคส์ได้ก่อตั้งบริษัทค้าขายกาแฟในโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อซื้อเมล็ดกาแฟเขียว ซึ่งธุรกิจอื่น เช่น ร้านกาแฟ ยังคงจัดการจากซีแอทเทิลโดยตรง[28]
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2003 สตาร์บัคส์ได้ซื้อ ซีแอทเทิลส์เบสต์คอฟฟี และ ทอร์เรฟาซีโอเน อีตาเลีย จาก เอเอฟซีเอนเตอร์ไพรซ์ ด้วยมูลค่า 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้มีร้านสตาร์บัคส์เพิ่ม 150 สาขา แต่ตามรายงานของซีแอทเทิลโพสต์-อินเทลิเจนเซอร์ กล่าวว่าทำให้ธุรกิจค้าส่งมีสัญญาณที่ดีขึ้น[29] ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 ดายดริชคอฟฟี ได้ยืนยันที่จะขายบริษัทและร้านค้าทั้งหมดให้กับสตาร์บัคส์ รวมถึงสาขาของร้านคอฟฟีพีเพิล ในรัฐออริกอนด้วย ทำให้ต่อมาได้เปลี่ยนร้านทั้งหมดเป็นสตาร์บัคส์ ยกเว้นร้านคอฟฟีพีเพิลในสนามบินนานาชาติพอร์ตแลนด์[30]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2003 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในอเมริกาใต้ ตั้งอยู่ในลิมา ประเทศเปรู[31]
ในปี ค.ศ. 2007 บริษัทได้ทำการเปิดสาขาแรกในประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็น 10 ปีหลังจากได้จดทะเบียนการค้าที่นี่[32]
ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 พวกเขาได้ซื้อบริษัทผู้ผลิตเครื่องคั่วกาแฟ และได้ทดสอบการทำกาแฟสดที่ร้านสตาร์บัคส์ในซีแอทเทิล, แคลิฟอร์เนีย, นิวยอร์ก และบอสตัน[33]
ต้นปี ค.ศ. 2008 สตาร์บัคส์ได้เปิดเว็บไซต์คอมมูนิตี "มายสตาร์บัคส์ไอเดีย" เพื่อเก็บข้อสงสัยและความคิดเห็นจากลูกค้า ซึ่งผู้ใช้สามารถให้ความคิดเห็นและโหวตได้ ซึ่งให้บริการโดย เซลส์ฟอร์ซดอตคอม[34]
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 ได้มีการเปิดตัวบัตรสตาร์บัคส์ (เปลี่ยนจากบัตรของขวัญ) ซึ่งนำเสนอการใช้วายฟายฟรีภายในร้าน, การไม่คิดค่านมถั่วเหลืองและไซรัป รวมไปถึงกาแฟ, กาแฟเย็น และชา สามารถเติมฟรีได้[35] ต่อมาในปี ค.ศ. 2009 สตาร์บัคส์ได้เริ่มทดสอบแอปพลิเคชันบนมือถือของบัตรสตาร์บัคส์ ซึ่งจะเก็บมูลค่าของบัตรเพื่อนำมาซื้อสินค้าภายในร้าน[36] สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2011
ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้ทำการยื่นซื้อ ทีวานา ในราคา 620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[37] และข้อเสนอได้เสร็จสิ้นในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2012[38]
ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในโฮจิมินห์ซิตี ประเทศเวียดนาม[39][40][41] และประกาศว่าจะเปิดสาขาในประเทศโคลอมเบีย ในปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ในการประชุมที่โบโกตา ซึ่งประธานบริษัทได้กล่าวว่า "สตาร์บัคส์เคารพและชื่นชอบประเพณีของกาแฟในโคลอมเบีย"[42]
เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในวิลเลียมส์เบิร์ก ในบรูกลิน ซึ่งสาขานี้เป็นหนึ่งใน 30 สาขาของสตาร์บัคส์ที่วางขายเบียร์และไวน์.[43]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2014 ได้มีการเปิดเผยว่าสตาร์บัคส์จะได้หุ้นอีก 60.5% ในร้านสตาร์บัคส์ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งยังไม่ได้เป็นเจ้าของ ที่ราคา 913.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[44]
เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้ยืนยันที่จะเปิดสาขาใน ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นสาขาในประเทศที่ 16 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยร้านแรกจะตั้งที่พนมเปญ ในปลายปี ค.ศ. 2015[45]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 สตาร์บัคส์ได้ยืนยันที่จะทำตลาดในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่ 24 ในทวีปยุโรป โดยจะเปิดสาขาแรกในมิลาน ภายในปี ค.ศ. 2017[46] ในเดือนสิงหาคม ฟลักซ์พอร์ต บริษัทสตาร์ตอัป ได้เปิดตัว "ชี" (Qi) ซึ่งเป็นแท่นชาร์จแบตเตอรี โดยเลือกที่จะใช้ในร้านที่ประเทศเยอรมนี[47]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2016 สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวซีรีส์ "อัปสแตนเดอร์" (Upstanders) ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากชาวอเมริกันเกี่ยวกับความเมตตา, ความเป็นพลเมือง และความสุภาพ ซีรีส์จะมีทั้งแบบพอดแคสต์, คำพูด และวิดีโอ โดยจะออกอากาศทางแอปพลิเคชันสตาร์บัคส์, ออนไลน์ และดิจิทัลเน็ตเวิร์กของร้าน[48]
การบริหารกิจการ
โฮเวิร์ด ชูลซ์ ประธานบริษัทได้กล่าวถึงการเติบโตที่ต่อเนื่องของกิจการตามวัฒนธรรมองค์กร[49]
ชูลซ์ ได้ขึ้นมารับตำแหน่งประธานกรรมการจนถึงปี ค.ศ. 2000[50] โอริน ซี. สมิธ ได้เป็นประธานต่อจากชูลซ์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 จนถึง ค.ศ. 2005
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 ชูลซ์ ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งหลังจาก 8 ปีผ่านไป โดยรับตำแหน่งแทน จิม ดอนัลด์ ประธานคนก่อนหน้า ซึ่งรับตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 และลาออกในปี ค.ศ. 2007 เนื่องจากยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง ชูลซ์ มีเป้าหมายที่จะกู้คืนสตาร์บัคส์ด้วยการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยนักวิเคราะห์การตลาดเชื่อว่า ชูลซ์ จะต้องกำหนดวิธีการที่จะรับมือต้นทุนที่สูงขึ้นและราคาของสินค้าที่ลดลง ซึ่งต้องแข่งขันกับร้านอาหารจานด่วนที่มีราคาถูกอย่างแมคโดนัลด์ และ ดังกิ้นโดนัท ทำให้สตาร์บัคส์ตัดสินใจที่จะยกเลิกแซนด์วิชอุ่นร้อน ซึ่งเป็นเมนูอาหารเช้าที่เคยมีแผนจะเปิดตัวทั่วประเทศในปี ค.ศ. 2008 โดยตั้งเป้าที่จะมีจุดมุ่งหมายทางด้านการขายกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาก็นำมาขายอีกครั้งเนื่องจากมีข้อร้องเรียนจำนวนมากและยังคงอยู่ในสายการผลิต[51]
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2015 ทรอย อัลสเตด ผู้บริหารเชิงปฏิบัติการของสตาร์บัคส์ ได้ตัดสินใจที่จะลาออกเนื่องจากปัญหาสุขภาพ[50] ต่อมา เควิน จอห์นสัน จึงก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารเชิงปฏิบัติการแทนอัลสเตด[52]
ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้ทำการจ้างผู้บริหารทางด้านเทคโนโลยีคนแรก โดย แกร์รี มาร์ติน-ฟลิกกินเกอร์ เข้ามารับตำแหน่งเพื่อที่จะพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี[53]
การดำเนินการหลักในการควบคุมคุณภาพของสตาร์บัคส์คือการติดต่อกับชาวสวนที่จะรักษาเมล็ดกาแฟ, การคั่วเมล็ดกาแฟ และการจัดการกระจายสินค้าไปยังสาขาของสตาร์บัคส์ นอกจากนี้สตาร์บัคส์และชาวสวนจะต้องตกลงราคาในการขายเมล็ดกาแฟร่วมกัน[54][55]
สินค้า
ในปี ค.ศ. 1994 สตาร์บัคส์ได้ซื้อ เดอะคอฟฟีคอนเนคชัน เพื่อที่จะได้สิทธิในการใช้, ผลิต, ทำการตลาด และ ขายเครื่องดื่มแฟรปปูชิโน[56] โดยเครื่องดื่มได้ถูกเปิดตัวภายใต้ชื่อของสตาร์บัคส์ในปี ค.ศ. 1995 โดยในปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้ประกาศว่ายอดขายแฟรปปูชิโนขายไปแล้วมากกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[56]
บริษัทได้เริ่มผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพใน ค.ศ. 2008 ซึ่งรวมไปถึงเครื่องดื่มในรูปแบบโลว์แคลลอรีและไม่มีน้ำตาล โดยจะใช้นมพร่องมันเนยแทนนมปกติ และสามารถเพิ่มความหวานได้ด้วยสิ่งที่ให้ความหวานจากธรรมชาติ (เช่น น้ำตาลทราย, น้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง), สารให้ความหวาน (เช่น สวีตแอนด์โลว์, สเปลนดา, อีควอล).[57][58] สตาร์บัคส์ได้เลิกขายผลิตภัณฑ์จากนมวัวที่ถูกเลี้ยงด้วย rBGH ในปี ค.ศ. 2007[59]
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2009 บริษัทได้ยืนยันที่จะปรับปรุงเมนูใหม่ อีกทั้งยังขายสลัดและเบเกอรีโดยไม่ใช้ไซรัปที่มีฟรักโทสสูงหรือการใช้ส่วนผสมเทียม[60] การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คาดว่าจะดึงดูดลูกค้าที่รักสุขภาพ โดยไม่เพิ่มต้นทุนและราคา[60]
สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวกาแฟสำเร็จรูป มีชื่อว่า "VIA Ready Brew" ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 โดยเปิดตัวครั้งแรกในนิวยอร์ก อีกทั้งยังทดลองขายในซีแอทเทิล, ชิคาโก และลอนดอน โดย เวีย 2 รสชาติแรกคือ อิตาเลียนโรสต์ และ โคลอมเบีย ซึ่งทั้ง 2 รสชาติเลิกวางขายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 โดยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาจะมีการทำโปรโมชัน บลายด์เทสต์ (Blind taste) เพื่อที่จะให้ลูกค้าทดลองชิมกาแฟเพียงลิ้มรสอย่างเดียว[61]
สตาร์บัคส์เริ่มขายเบียร์ และ ไวน์ ในบางสาขาที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 2010 ต่อมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2012 มีการขายเบียร์และไวน์ใน 7 สาขา[62]
ในปี ค.ศ. 2011 สตาร์บัคส์เปิดตัวขนาดแก้วใหม่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด เรียกว่า "เทรนตา" (Trenta) โดยมีขนาด 31 ออนซ์[63] ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้เปิดตัว "เวริสโม" (Verismo) เครื่องทำกาแฟขนาดเล็ก ซึ่งมีที่ใส่นมสำหรับการทำลาตเทด้วย[64]
ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011 สตาร์บัคส์ได้ทำการประกาศว่าได้ซื้ออีโวลูชันเฟรช บริษัทน้ำผลไม้ ด้วยมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแผนที่จะทำการขายน้ำผลไม้ในช่วงกลางปี ค.ศ. 2012 เพื่อตีตลาดแข่งกับ จัมบา โดยสาขาแรกที่วางขายน้ำผลไม้คือสาขาในซานเบอร์นาร์ดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย และวางแผนที่จะวางขายในซานฟรานซิสโกซึ่งได้วางขายในช่วงต้นปี ค.ศ. 2013[65]
ในปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้เริ่มขายเครื่องดื่มสำเร็จรูปแบบเย็นที่มีสารสกัดจากเมล็ดกาแฟอาราบิกา ซึ่งเครื่องดื่มจะมีรสชาติของผลไม้และจะมีคาเฟอีน ผสมอยู่ด้วย แต่โฆษณาว่าผสมกาแฟ ซึ่งกระบวนการสกัดมาจากการนำเมล็ดกาแฟลงไปแช่ในน้ำ[66]
ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2013 สตาร์บัคส์ได้เริ่มที่จะเผยแพร่จำนวนแคลลอรีของเครื่องดื่มและอาหารที่สตาร์บัคส์ทุกสาขาในสหรัฐอเมริกา[67]
ใน ค.ศ. 2014 สตาร์บัคส์เริ่มผลิตโซดา โดยมีชื่อว่า "ฟิซซิโอ" (Fizzio)[68]
ในปี ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้เริ่มวางขายกะทิ ซึ่งเป็นทางเลือกในการปรุงเครื่องดื่มจากนมและถั่วเหลือง[69]
ชื่อ | ขนาด | หมายเหตุ |
---|---|---|
เดมิ (Demi) | 3 ออนซ์ (89 มิลลิลิตร) | ขนาดเล็กที่สุด ขนาดเท่าช็อคของเอสเปรสโซ |
ช็อต (Short) | 8 ออนซ์ (240 มิลลิลิตร) | ขนาดเล็กกว่า 2 ขนาดมาตรฐาน |
มินิ (Mini)[70] | 10 ออนซ์ (300 มิลลิลิตร) | ขนาดเล็กกว่า 3 ขนาดแฟรปปูชิโนปกติ ซึ่งจะเป็นขนาดของเครื่องดื่มแคลลอรีต่ำ |
ทอล (Tall) | 12 ออนซ์ (350 มิลลิลิตร) | ใหญ่กว่า 2 ขนาดมาตรฐาน |
แกรนเด (Grande) | 16 ออนซ์ (470 มิลลิลิตร) | มีความหมายว่า "ใหญ่" ในภาษาอิตาลี |
เวนติ (Venti) | 20 ออนซ์ (590 มิลลิลิตร) 24 ออนซ์ (710 มิลลิลิตร) |
มีความหมายว่า "ยี่สิบ" ในภาษาอิตาลี |
เทรนตา (Trenta) | 31 ออนซ์ (920 มิลลิลิตร) | มีความหมายว่า "สามสิบ" ในภาษาอิตาลี |
ชา
สตาร์บัคส์ได้เริ่มทำการตลาดชาในปี ค.ศ. 1999 หลังจากซื้อ "ทาโซ" (Tazo) ด้วยมูลค่าทางการตลาด 8.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[71][72] ปลายปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้ซื้อ ทีวานา ด้วยราคา 620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[38][73] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ไม่มีความตั้งใจในการที่จะขยายตลาดของร้านค้าทีวานา แม้ว่าจะเคยวางแผนที่จะวางตลาดในสาขาในห้างสรรพสินค้า[72] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้เริ่มที่จะวางขายทีวานาในสาขาของสตาร์บัคส์ ทั้งเครื่องดื่มสำเร็จรูปและในแบบขายปลีก[74]
คุณภาพของกาแฟ
เควิน น็อก ซึ่งดูแลและควบคุมคุณภาพของโดนัท ในร้านสตาร์บัคส์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 จนถึง 1993 ได้เขียนบนบล็อกของเขาในปี ค.ศ. 2010 ว่า จอร์จ โฮเวลล์นักตรวจสอบคุณภาพกาแฟ ผู้ก่อตั้งคัพออฟเอกเซเลนซ์ ซึ่งได้วิตกเมื่อสตาร์บัคส์ได้ขายกาแฟคั่วสีดำ ในปี ค.ศ. 1990[33][75] โดยได้เปิดเผยกับนิวยอร์กไทมส์ ในปี ค.ศ. 2008 โฮเวลล์ได้ระบุว่าการคั่วเมล็ดกาแฟเข้มสีดำของสตาร์บัคส์ ไม่ได้ทำให้กาแฟมีรสเข้มขึ้น แต่ทำลายความแตกต่างของรสชาติจากกาแฟปกติ[33] คอนซูเมอร์รีพอตส์ ฉบับเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007 ได้จัดอันดับกาแฟของสตาร์บัคส์ไว้ต่ำกว่ากาแฟพรีเมียมของแมคโดนัลด์ โดยให้ความเห็นว่า "รสเข้มแต่มีความขมพอที่จะทำให้น้ำตาไหลได้"[76] ตามรายงานของไทม์ ในปี ค.ศ. 2010 มีการวิจารณ์จำนวนมากว่ากาแฟของสตาร์บัคส์คั่วนานเกินไป[77]
แม้ว่าการชงกาแฟสดจะมีในทุกสาขาของสตาร์บัคส์ แต่บริษัทไม่ได้มีการโฆษณามากนัก เพราะมีวิธีการที่ยุ่งยากและมีผลกำไรที่ต่ำกว่าเอสเปรสโซปกติ[78]
สินค้าอื่น
ในปี ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้เปิดตัว สตาร์บัคส์ เวริสโม ซึ่งเป็นเครื่องทำกาแฟขนาดเล็กที่สามารถทำเอสเปรสโซและช็อกโกแลตจากเครื่องได้ โดยตัวเครื่องใช้ระบบ K-Fee และมีถ้วยชนกาแฟที่มีถ้วยเดียว[79] ในการวิจารณ์ของคอนซูเมอร์รีพอตส์ต่อรุ่น 580 นั้นได้ทดสอบและระบุไว้ว่า "การล้างถ้วยทุกครั้งไม่ใช่ความสะดวกสบายของการทำกาแฟในเวลาที่ต้องการหลาย ๆ ถ้วย ส่วนรุ่นอื่น ๆ ยังมีตัวเลือกเพิ่มเติมที่จะสามารถปรับระดับความเข้มได้ แต่เวริสโมมีเพียงปุ่มทำกาแฟ, เอสเปรสโซ และ ลาทเต ไม่มีปุ่มที่จะปรับระดับความเข้ม เหมือนสตาร์บัคส์ต้องการที่จะจำกัดในการใช้แบรนด์ของพวกเขา ซึ่งมีเพียง 8 รูปแบบในการใช้นมสำหรับการทำลาทเต"[80]
สาขา
บริษัทมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยมีพนักงาน 3,501 คน (ข้อมูลในเดือนมกราคม ค.ศ. 2015)[81]
สาขาปัจจุบัน
ในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2022 สตาร์บัคส์เปิดสาขาใน 70 ประเทศและดินแดนปกครองตนเอง[1][82]
ร้านค้าอิสระ
อย่างไรก็ตาม สตาร์บัคส์ ยังมีร้านค้าที่ตั้งอยู่อย่างอิสระกับร้านค้าอื่น คือ อาโฮลด์เดลไฮซ์, บานส์แอนด์โนเบิล, ทาร์เก็ต, ทอมทัมบ์ ในปี ค.ศ. 2015 มีสาขาอิสระถึง 4,962 สาขา[88]
จำนวนสาขา
ในปี ค.ศ. 2008 สตาร์บัคส์ได้ขยายสาขาเพิ่มในอาร์เจนตินา, เบลเยียม, บราซิล, บัลแกเรีย, สาธารณรัฐเช็ก และ โปรตุเกส[19]
อีกทั้งยังขยายสาขาไปยังสแกนดิเนเวียที่ประเทศโปแลนด์ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 อีกทั้งขยายสาขาในยูเทรกต์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ ท่าอากาศยานสต็อกโฮล์ม-อาร์ลันดา ที่ประเทศสวีเดน ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน[90]
ในปี ค.ศ. 2010 ได้ขยายสาขาไปยังตลาดใหม่ ซึ่งในเดือนพฤษภาคม โรงแรมเซาเทิร์นซัน ในประเทศแอฟริกาใต้ได้ประกาศว่าพวกเขาได้เซ็นสัญญากับสตาร์บัคส์ในการเปิดร้านขายกาแฟในโรงแรมเซาเทิร์นซันและโรงแรมซองกาซัน ซึ่งมีทำให้สตาร์บัคส์สามารถเปิดร้านได้ทันในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้[91] ต่อมาในเดือนมิถุนายน สตาร์บัคส์ได้เปิดร้านแรกในบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี และในเดือนพฤศจิกายน ได้เปิดสาขาในอเมริกากลาง ตั้งอยู่ในซานซัลวาดอร์ เมืองหลวงของประเทศเอลซัลวาดอร์[92]
ต่อมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2010 สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวสาขาแรกที่ตั้งอยู่บนทะเล โดยความร่วมมือกับรอยัลแคริบเบียนอินเตอร์เนชันแนล ซึ่งได้เปิดร้านบนเรือเอ็มเอส อัลลัวร์ออฟเดอะซีส์ ซึ่งเป็นเรือลำใหญ่อันดับสองของบริษัท และเรือใหญ่ลำดับสองของโลก[93]
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 สตาร์บัคส์ และ ทาทาคอฟฟี ผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดของเอเชีย ได้วางแผนเป็พันธมิตรเชิงกุลยุทธ์ร่วมกันเพื่อที่จะเปิดสาขาในประเทศอินเดีย โดยใช้แหล่งวัตถุดิบของเมล็ดกาแฟจากทาทาคอฟฟีในเมืองโคดากู[94] แม้จะเคยล้มเหลวในปี ค.ศ. 2007[95] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้เปิดเผยถึงหุ้นส่วนกับทาทาคอฟฟี ซึ่งถือหุ้นร่วมกัน 50:50 โดยใช้ชื่อว่า ทาทาสตาร์บัคส์ ซึ่งจะใช้ชื่อนี้สำหรับการทำการค้าในประเทศอินเดียเท่านั้น[96] โดยสาขาแรกเปิดที่เมืองมุมไบ ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2012.[97][98][99]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 สตาร์บัคส์ได้เริ่มทำการขายกาแฟในประเทศนอร์เวย์โดยใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น โดยสาขาแรกเปิดในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ที่ ท่าอากาศยานออสโล การ์เดอร์มอน ต่อมาในเดือนตุลาคม สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาในปักกิ่ง ประเทศจีน ที่ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ภายในเทอร์มินัลที่ 3 (ผู้โดยสารขาออกต่างประเทศ) ทำให้สาขานี้เป็นสาขาที่ 500 ในประเทศจีน, เป็นสาขาที่ 7 ในสนามบิน โดยมีแผนที่จะขยายสาขาในประเทศจีนเป็น 1,500 สาขา ภายในปี ค.ศ. 2015[100] ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาใหม่ในประเทศฟินแลนด์ ที่ท่าอากาศยานเฮลซิงกิ ในเมืองวันดา[101]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 สตาร์บัคส์ได้วางแผนที่จะขยายเป็น 1,000 สาขาในสหรัฐอเมริกาภายในระยะเวลา 5 ปี[102] ในเดือนเดียวกันนั้นได้มีการเปิดสาขาของสตาร์บัคส์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ภายในมหาวิทยาลัยอาลาบามาส์ เฟอร์กูสัน[103]
ในปี ค.ศ. 2013 สตาร์บัคส์ได้จับมือกับซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติเดนมาร์ก ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเปิดสาขาแรกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ในเมืองออลบอร์ และ ออร์ฮูส[104]
สตาร์บัคส์ได้ประกาศว่าจะเปิดสาขาในประเทศโบลิเวียในปี ค.ศ. 2014 ตั้งอยู่ในเมืองซันตาครุซเดลาเซียรา และสาขาแรกในประเทศปานามาในปี ค.ศ. 2015[105]
ในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาใน ดิสนีส์แอนิมอลคิงดอม ที่ดิสคัฟเวอรีไอส์แลนด์ โดยสวนสนุกนี้ไม่อนุญาตให้ใช้หลอดพลาสติกเนื่องจากอาจจะเป็นอันตรายต่อสัตว์ ทำให้สาขานี้จึงใช้หลอดพิเศษสำหรับเครื่องดื่มเย็น[106] ทำให้สาขานี้เป็นสาขาที่ 6 ของสตาร์บัคส์ที่เปิดภายในวอลต์ดิสนีย์เวิลด์รีสอร์ต[107]
บิล สลีธ รองประธานด้านดีไซน์ของสตาร์บัคส์ ได้เห็นถึงความต้องการที่จะสร้างความแปลกใหม่ของร้าน โดยเขากล่าวว่า "ลูกค้าไม่ต้องการที่จะเดินเข้ามาในร้านที่ดาวน์ทาวน์ของซีแอทเทิล, เดินเข้าไปในร้านชานเมืองของซีแอทเทิล และมาที่ซานโฮเซ แล้วเห็นร้านเหมือน ๆ กัน" และได้กล่าวต่อว่า "ลูกค้าได้พูดว่า ‘ทุกที่ที่ฉันไปมีเหมือนกันหมด’ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี เราต้องการที่จะทำร้านให้แตกต่างกัน" ในการจัดการตกแต่งร้านของสตาร์บัคส์ จะพยายามทำให้แบรนด์มีเอกพจน์ แต่การตกแต่งจะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นนั้น[108]
สตาร์บัคส์เปิดร้านแรกบนเกาะ ในต้นปี ค.ศ. 2015 ที่ย่านธุรกิจของท่าเรือเซนต์ปีเตอร์ ในเกิร์นซีย์[109]
ต่อมาในวันที่ 10 กันยายน สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาแรกในประเทศอาเซอร์ไบจาน ที่ห้างสรรพสินค้าพอร์ตบากู
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 โฮเวิร์ด ชูลซ์ ประธานกรรมการบริษัท ได้ยืนยันอย่างเป็นส่วนตัวว่าจะเปิดสาขาในประเทศโคลอมเบีย โดยสาขาแรกจะเปิดในปี ค.ศ. 2014 ที่โบโกตา และขยายอีก 50 ร้านในเมืองใหญ่ของประเทศภายใน 5 ปี ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลประเทศโคลอมเบียกับองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา สำหรับการเสริมสร้างวัฒนธรรมการปลูกกาแฟในท้องถิ่นและแบ่งปันมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าให้กับคนทั่วโลก โดยสตาร์บัคส์ได้ร่วมหุ้นกับอัลซี และ กรูโปนูเตรซา สำหรับวัตถุดิบในประเทศ หลังจากสร้างศูนย์ส่งเสริมเกษตรกรในเมืองมานีซาเลส[110]
ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2015 สตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาในอัลมาเตอ ประเทศคาซัคสถาน โดยวันต่อมาก็ได้เปิดเพิ่มอีก 1 สาขา[111]
สตาร์บัคส์สาขาแรกในประเทศสโลวาเกียเปิดในอูพาร์ก ตั้งอยู่ในบราติสลาวา ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2016[112][113] อีกทั้งยังยืนยันที่จะเพิ่มอีก 2 สาขาในบราติสลาวาภายในช่วงปลายปี ค.ศ. 2016
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ชูลซ์ ได้ประกาศว่าจะเปิดสาขาในประเทศอิตาลี โดยจะเปิดสาขาแรกในมิลาน ภายในปี ค.ศ. 2017[114]
สาขาในอดีต
ในปี ค.ศ. 2003 หลังจากที่ต่อสู้ในการแข่งขันกับร้านกาแฟท้องถิ่นอย่างยาวนาน สตาร์บัคส์ได้ปิด 6 สาขาใน ประเทศอิสราเอล โดยระบุว่า "มีความท้าทายในการดำเนินงานมากเกินไป" และ "มีความยากลำบากทางสภาพแวดล้อมของธุรกิจ"[115][116]
สตาร์บัคส์ในพระราชวังต้องห้าม ในปักกิ่ง ได้ปิดตัวลงเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2007 ซ฿่งเป็นที่ถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องในความเหมาะสมตั้งแต่เปิดร้านใน ค.ศ. 2000 ซึ่งผู้ประท้วงได้อ้างว่าการที่มีร้านค้าอเมริกันมาตั้งในพระราชวังต้องห้ามเป็นการ "เหยียบย่ำวัฒนธรรมจีน"[117][118]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 บริษัทได้ยืนยันที่จะปิด 600 สาขาที่มีประสิทธิภาพต่ำ และลดการขยายสาขาในสหรัฐอเมริกาเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตไม่แน่นอน[119][120] ในวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 สตาร์บัคส์ได้ตัดแรงงานที่ไม่ได้อยู่ในร้านค้าอีก 600 ตำแหน่ง เพื่อสร้างแบรนด์ให้มีกำไรมากขึ้น ซึ่งการตัดแรงงานทำให้พนักงาน 550 คนยังว่างงานหลังจากถูกปลดออกจากงาน[121] ซึ่งการกระทำครั้งนี้ทำให้ระยะของการขยายตัวและเติบโตของบริษัทได้สิ้นสุดลง นับตั้งแต่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางยุค 90
อีกทั้งสตาร์บัคส์ยังประกาศออกมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 ในเรื่องของการปิด 61 จาก 84 สาขาในประเทศออสเตรเลีย ในเดือนถัดไป[122] โดย นิก ไวลส์ นักวิเคราะห์สถิติการจัดการของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ได้กล่าวว่า "สตาร์บัคส์ไม่เข้าถึงวัฒนธรรมร้านกาแฟในออสเตรเลีย"[123] ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 สตาร์บัคส์ได้ยืนยันว่าบริษัทได้ขาดทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศออสเตรเลีย และขายร้านค้าที่ยังคงเหลือให้กับวีเธอส์กรุป[124]
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 สตาร์บัคส์ได้ประกาศปิดร้านค้า 300 ร้าน และปลดพนักงานอีก 7,000 ตำแหน่ง ซึ่ง ชูลซ์ ได้กล่าวว่าเขาได้รับการพิจารณาจากบอร์ดให้ลดเงินเดือนของเขาด้วย[125] ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 จนถึง เดือนมกราคม ค.ศ. 2009 สตาร์บัคส์ได้ปลดพนักงานในสหรัฐอเมริกาถึง 18,400 ตำแหน่ง และปิดร้านค้าทั่วโลก 977 ร้าน[126]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2009 อาโฮลด์ได้ประกาศปิดและปรับปรุงร้านสตาร์บัคส์ 43 แห่งในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่มีการปิดร้านทั้งหมด ซึ่งพวกเขายังมีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 5 ร้านภายในปี ค.ศ. 2009[127][128]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 บริษัทได้ประกาศที่จะปิดร้านค้าในทวีปยุโรปที่ขาดทุนทันที[129]
สตาร์บัคส์ในประเทศไทย
สตาร์บัคส์เปิดสาขาแรกในไทยที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ชิดลม เมื่อปี พ.ศ. 2541[130] สาขาไดรฟ์-ทรูแห่งแรกที่ศูนย์การค้าพอร์โต ชิโน จังหวัดสมุทรสาคร ในปี พ.ศ. 2555[131] สาขารีเสิร์ฟ เอ็กซ์พีเรียนซ์ แห่งแรกที่ศูนย์การค้าเกษร ในปี พ.ศ. 2558[132] ซึ่งต่อมาได้ขยายไปยังศูนย์การค้าอื่น ๆ เช่น สยามสแควร์วัน[133], เซ็นทรัลเวิลด์[134]
ในปี พ.ศ. 2562 สตาร์บัคส์ได้ขายสิทธิ์การบริหารให้แก่บริษัท คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ รีเทล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างแม็กซิม แคนเทอเรอร์ จากฮ่องกง กับเอฟแอนด์เอ็น รีเทล คอนเนคชัน ในเครือไทยเบฟเวอเรจ[135] และอีกสองปีต่อมาสตาร์บัคส์ได้เปิดสาขาเรือธงที่ไอคอนสยาม ซึ่งเป็นสาขาใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ภายในสาขาดังกล่าวเป็นแห่งแรกในไทย[136] ซึ่งต่อมาได้ขยายไปยังสาขาเอ็มสเฟียร์ รีเสิร์ฟ[137], รีเสิร์ฟ ถนนนิมมานเหมินท์ นครเชียงใหม่[138] และเดอะ สตอรีส์ แอท วัน แบงค็อก[139] ตามลำดับ
จากข้อมูลในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 สตาร์บัคส์ในประเทศไทยมีทั้งหมด 517 สาขา โดยสาขาเดอะ สตอรีส์ แอท วัน แบงค็อก เป็นสาขาแรกในไทยที่มีจุดเทเครื่องดื่มเหลือทิ้งเพื่อให้ง่ายต่อการรีไซเคิล[140] สตาร์บัคส์ประเทศไทยตั้งเป้าจะเปิดให้ครบ 800 สาขา ภายในปี พ.ศ. 2573[141]
การโฆษณา
โลโก้
ในปี 2006 วาเลอรี่ โอเนล โฆษกหญิงของสตาร์บัคส์กล่าวว่าโลก้ของบริษัทนั้นเป็นภาพนางเงือกสองหางหรือ ไซเลน (siren) ที่เป็นที่รู้จักในตำนานกรีก[142] โลโก้ได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยมา ในเวอร์ชันแรกนั้น[143] ไซเลนมีลักษณะเปลือยอกและเห็นหางทั้งสองได้อย่างชัดเจน[144] ภาพนั้นมีลักษณะหยาบและคล้ายกับเมลูซีน (melusine)[145] บริษัทกล่าวว่าภาพนี้นำมาจากภาพพิมพ์แกะไม้ของชาวนอร์ส แม้ว่านักวิชาการจะแย้งว่านำมาจาก แม่พิมพ์ไม้ของ J.E. Cirlot ในหนังสือ Dictionary of Symbols ในศตวรรษที่ 15[146][147]
ในเวอร์ชันที่สองที่ใช้ในช่วงปี 1987-1992 หน้าอกของเธอถูกปิดด้วยผมแต่สะดือยังสามารถมองเห็นได้[148] หางปลาบางส่วนได้ถูกตัดออกและสีหลักถูกเปลี่ยนจากสีน้ำตาลมาเป็นสีเขียว เหมือนสีมหาวิทยาลัยของผู้ก่อตั้งทั้งสาม มหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก[149][150] ในเวอร์ชันที่สามที่ใช้ระหว่างปี 1992 ถึง 2011 ทั้งสะดือและหน้าอกของเธอไม่สามารถมองเห็นเลย มีเพียงร่องรอยของหางปลาเท่านั้น
ดูเพิ่ม
- เดอะคอฟฟีบีนแอนด์ทีลีฟ
- แบล็ค ไอวอรี่ คอฟฟี่
- คาเฟ่ อเมซอน
- อินทนิลคอฟฟี
- คอฟฟีเวิลด์
- แบล็คแคนยอนคอฟฟี
- ทรูคอฟฟี
- ชาวดอยคอฟฟี
- คอฟฟีทูเดย์
- ไร่ช่อลดาคอฟฟี
- บ้านใร่กาแฟ
- ฮอลลิสคอฟฟี
- เมซโซ่คอฟฟี
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.