ประเทศบราซิล
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บราซิล (อังกฤษ: Brazil; โปรตุเกส: Brasil, สำเนียงบราซิล: [bɾaˈziw] ( ฟังเสียง)) หรือชื่อทางการว่า สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล (อังกฤษ: Federal Republic of Brazil; โปรตุเกส: )[11] เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดทั้งในทวีปอเมริกาใต้และภูมิภาคลาตินอเมริกา ด้วยเนื้อที่ 8.5 ล้านตารางกิโลเมตร (3,300,000 ตารางไมล์)[12] และประชากรกว่า 211 ล้านคน จึงเป็นประเทศที่มีพื้นที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 และมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 7 ของโลก โดยมีเมืองหลวงคือกรุงบราซิเลีย ส่วนเมืองที่มีประชากรมากที่สุดคือนครเซาเปาลู สหพันธ์บราซิลประกอบขึ้นจากการรวมตัวกันของรัฐ 26 รัฐและเขตเมืองหลวงสหพันธ์ เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกและประเทศเดียวในทวีปอเมริกาที่ใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาราชการ[13][14] นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์มากที่สุดประเทศหนึ่งจากการย้ายถิ่นเข้ามาของผู้คนจากทั่วโลกมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ[15]
สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล | |
---|---|
ที่ตั้งของ ประเทศบราซิล (เขียว) ในทวีปอเมริกาใต้ (เทา) | |
เมืองหลวง | บราซิเลีย 15°47′S 47°52′W |
เมืองใหญ่สุด | เซาเปาลู 23°33′S 46°38′W |
ภาษาราชการ และภาษาประจำชาติ | โปรตุเกส[2] |
กลุ่มชาติพันธุ์ | |
ศาสนา |
|
การปกครอง | สหพันธ์สาธารณรัฐระบบประธานาธิบดี |
• ประธานาธิบดี | ลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา |
• รองประธานาธิบดี | เจอราลโด อัลก์มิน |
• ประธาน สภาผู้แทนราษฎร | อาร์ตูร์ ไลร่า |
• ประธาน วุฒิสภาสหพันธ์ | โฮดรีกู ปาเชกู |
• ประธาน ศาลสูงสุดสหพันธ์ | โรซา เวเบอร์ |
สภานิติบัญญัติ | รัฐสภาแห่งชาติ |
• สภาสูง | วุฒิสภาสหพันธ์ |
• สภาล่าง | สภาผู้แทนราษฎร |
เอกราช | |
• ประกาศ | 7 กันยายน ค.ศ. 1822 |
• ได้รับการรับรอง | 29 สิงหาคม ค.ศ. 1825 |
• สาธารณรัฐ | 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1889 |
• รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน | 5 ตุลาคม ค.ศ. 1988 |
พื้นที่ | |
• รวม | 8,515,767 ตารางกิโลเมตร (3,287,956 ตารางไมล์) (อันดับที่ 5) |
0.65 | |
ประชากร | |
• ค.ศ. 2022 ประมาณ | 217,240,060[7] (อันดับที่ 7) |
25 ต่อตารางกิโลเมตร (64.7 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 193) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | ค.ศ. 2022 (ประมาณ) |
• รวม | 3.680 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 9) |
• ต่อหัว | 17,208 ดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 88) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | ค.ศ. 2022 (ประมาณ) |
• รวม | 1.833 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 12) |
• ต่อหัว | 8,570 ดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 104) |
จีนี (ค.ศ. 2019) | 53.4[9] สูง · อันดับที่ 10 |
เอชดีไอ (ค.ศ. 2021) | 0.754[10] สูง · อันดับที่ 87 |
สกุลเงิน | เรอัล (R$) (BRL) |
เขตเวลา | UTC−2 ถึง −5 (เวลาในประเทศบราซิล) |
รูปแบบวันที่ | วว/ดด/ปปปป (ค.ศ.) |
ไฟบ้าน | 220 โวลต์, 60 เฮิรตซ์ และ 127 โวลต์, 60 เฮิรตซ์ |
ขับรถด้าน | ขวามือ |
รหัสโทรศัพท์ | +55 |
โดเมนบนสุด | .br |
บราซิลมีพื้นที่จรดมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันออก โดยมีแนวชายฝั่งยาว 7,491 กิโลเมตร (4,655 ไมล์)[16] มีพรมแดนติดกับทุกประเทศในอเมริกาใต้ยกเว้นเอกวาดอร์และชิลี และครอบคลุมพื้นที่ร้อยละ 47.3 ของทวีป[17] ลุ่มน้ำแอมะซอนในบราซิลเป็นที่ตั้งของป่าฝนเขตร้อนอันกว้างใหญ่ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของพืชและสัตว์ป่านานาชนิด ระบบนิเวศที่หลากหลาย และทรัพยากรธรรมชาติที่กว้างขวางครอบคลุมพื้นที่คุ้มครองหลายแห่ง[16] มรดกทางสิ่งแวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์ดังกล่าวทำให้บราซิลเป็นหนึ่งในสิบเจ็ดประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่งและอยู่ในความสนใจจากทั่วโลก เนื่องจากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมผ่านกระบวนการอย่างการทำลายป่าได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปัญหาระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น
บราซิลเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าชนหลายเผ่าก่อนที่เปดรู อัลวารึช กาบรัล นักสำรวจชาวโปรตุเกสจะมาขึ้นฝั่งใน ค.ศ. 1500 และอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่นี้ในนามจักรวรรดิโปรตุเกส บราซิลมีฐานะเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสเรื่อยมาจนกระทั่ง ค.ศ. 1808 เมื่อเมืองหลวงของจักรวรรดิย้ายจากลิสบอนมายังรีโอเดจาเนโร ใน ค.ศ. 1815 อาณานิคมบราซิลได้รับการยกฐานะเป็นราชอาณาจักรเมื่อมีการจัดตั้งสหราชอาณาจักรโปรตุเกส บราซิล และแอลการ์ฟ บราซิลได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1822 ด้วยการก่อตั้งจักรวรรดิบราซิลซึ่งเป็นรัฐเดี่ยวที่มีการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและระบบรัฐสภา การให้สัตยาบันรัฐธรรมนูญฉบับแรกใน ค.ศ. 1824 นำไปสู่การก่อตั้งสภานิติบัญญัติระบบสองสภา บราซิลกลายเป็นสาธารณรัฐระบบประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1889 หลังรัฐประหารโดยทหาร คณะทหารเข้ายึดอำนาจใน ค.ศ. 1964 และปกครองประเทศจนถึง ค.ศ. 1985 เมื่ออำนาจการปกครองกลับสู่รัฐบาลพลเรือนอีกครั้ง รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของบราซิลซึ่งตราขึ้นใน ค.ศ. 1988 กำหนดให้ประเทศเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตย[18] เนื่องจากความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศ บราซิลจึงอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลกในแง่จำนวนแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก[19]
บราซิลจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงโดยธนาคารโลก[20] และในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่[21] โดยมีส่วนแบ่งความมั่งคั่งสุทธิมากที่สุดในอเมริกาใต้ ถือเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่[22] โดยมีขนาดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศใหญ่เป็นอันดับที่ 12 ของโลกตามราคาตลาด และอันดับที่ 8 ของโลกตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ[23][24] เป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก โดยเป็นผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา[25] นอกจากนี้ยังเป็นประเทศอำนาจนำภูมิภาคและประเทศอำนาจปานกลาง[26][27][28] และจัดว่ามีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่[29][30][31][32] อย่างไรก็ตาม ประเทศนี้ยังคงมีการทุจริตในตำแหน่งหน้าที่ อาชญากรรม และความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมในระดับสูง บราซิลเป็นสมาชิกก่อตั้งของสหประชาชาติ, กลุ่ม 20, บริกส์, ตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง, องค์การนานารัฐอเมริกา, องค์การรัฐไอบีโร-อเมริกา และประชาคมประเทศผู้ใช้ภาษาโปรตุเกส
ภาคเหนือ กินพื้นที่ร้อยละ 42 ของทั้งประเทศหรือใหญ่กว่ายุโรปตะวันตกทั้งหมด เป็นเขตลุ่มน้ำแอมะซอนซึ่งเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณน้ำจึด 1 ใน 5 ของโลก รวมทั้งเป็นเขตป่าดิบชื้นที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วย
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภูมิภาคที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของทั้ง 5 ภูมิภาคของบราซิล (คิดเป็นร้อยละ 18) ประกอบด้วย 7 รัฐ มีพื้นที่ติดชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก มีทั้งเขตลุ่มแม่น้ำที่สามารถทำการเพาะปลูกพืชเขตร้อน และเขตที่ราบสูงที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเล มีเมืองใหญ่หลายเมือง ได้แก่ ซัลวาดอร์และเรซีฟี
ภาคตะวันตกตอนกลาง เป็นที่ราบสูงเฉลี่ย 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล กินพื้นที่ร้อยละ 22 ของประเทศต่อจากเขตแอมะซอนไปทางใต้ เป็นเขตป่าไม้ชุกชุม เป็นพี้นที่เพาะปลูกและทำปศุสัตว์ บางแห่งเป็นพื่นที่แห้งแล้งกันดาร
ภาคตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่เพียงร้อยละ 11 ของประเทศ แต่เป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่ที่สุด 3 เมืองของบราซิล คือ รีโอเดจาเนโร เซาเปาลู และเบลูโอรีซองชี และเป็นที่อยู่ของประชากรร้อยละ 45 ของทั้งประเทศ เป็นพื้นที่ชายฝั่ง หาดทราย และที่ราบสูง
ภาคใต้ มีพื้นที่น้อยที่สุด มีอากาศใกล้เคียงกับยุโรป มีหิมะตกบางพื้นที่ในฤดูหนาว เป็นที่ตั้งรกรากของชาวยุโรปที่ไปตั้งถิ่นฐานในบราซิลในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะจากอิตาลี เยอรมนี โปแลนด์ และรัสเซีย และอยู่อาศัยเรื่อยมาจนปัจจุบัน ถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ ผลิตผลสำคัญ ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าว รวมทั้งเป็นเขตปศุสัตว์ที่สำคัญของประเทศด้วย
เดิมทีทวีปอเมริกาใต้ ชนเผ่าพื้นเมืองคือพวกอินเดียแดงเผ่าต่าง ๆ ต่อมาชาวยุโรปได้เข้ามายึดครองบริเวณนี้ โดยชาวโปรตุเกสได้ยึดครองบริเวณประเทศบราซิล ส่วนบริเวณประเทศอื่น ๆ ในทวีปนี้ถูกยึดครองโดยชาวสเปน เหตุเพราะในต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ชาวยุโรปได้เข้ามาในทวีปนี้ด้วยเข้าใจว่าทวีปนี้มีแร่ต่าง ๆ เช่น น้ำมัน ทองคำ เงินและอื่น ๆ แล้วชาวยุโรปได้ใช้กำลังกองทัพเข้าควบคุมบังคับชาวพื้นเมืองให้ทำงานในไร่นาและในเหมืองของตน ต่อมาหญิงชาวพื้นเมืองจำนวนมากได้แต่งงานกับชาวยุโรปทำให้มีลูกเลือดผสมจำนวนมาก ซึ่งเรียกว่า เมสติโซ ปัจจุบันมีสายเลือดผสมนี้เป็นชนส่วนใหญ่ในทวีป และได้รับภาษา วัฒนธรรมจากทวีปยุโรป รวมทั้งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกด้วย
ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งทั้งประมุขของรัฐและหัวหน้าคณะรัฐบาล และเป็นผู้แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ทั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งในคราวเดียว ด้วยวิธีการลงคะแนนเสียงระบบคะแนนนิยม วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคม 2014 หากจำเป็นจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง (runoff election) ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2014
ระบบ 2 สภา (Bicameral National Congress หรือ Congresso Nacional) ประกอบด้วย (1) Federal Senate หรือ Senado Federal จำนวน 81 ที่นั่ง สมาชิก 3 คนมาจากรัฐแต่ละรัฐ ระบบเสียงข้างมาก วาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี โดยจะมีการเลือกตั้งหนึ่งในสาม และสองในสามของสมาชิกทุก ๆ 4 ปี สลับกัน และ (2) Chamber of Deputies หรือ Camera dos Deputados จำนวน 513 ที่นั่ง สมาชิกมาจากการเลือกตั้งในระบบสัดส่วน (proportional representation) วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี
ฝ่ายตุลาการ มีศาลสูงสุดแห่งชาติ (Supreme Federal Tribunal) โดยที่ผู้พิพากษาทั้ง 11 คน มาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและรับรองโดยวุฒิสภา มีวาระดำรงตำแหน่งตลอดชีพ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว จะเกษียณอายุเหมือนลูกจ้างภาครัฐทั่วไปที่อายุ 70 ปี
สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลกับราชอาณาจักรไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2502 บราซิลมีสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย ณ กรุงเทพมหานคร และสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำจังหวัดภูเก็ต และไทยมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย[33]
ประเทศบราซิลเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทยในลาตินอเมริกา รองจากเม็กซิโก ไทยและบราซิลต่างเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ซึ่งกันและกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และลาตินอเมริกา
ในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวชาวบราซิลเดินทางมาประเทศไทย จำนวน 83,827 คน[34] โดยถือเป็นอันดับ 1 ของจำนวนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคลาตินอเมริกาในประเทศไทย
ประเทศบราซิลแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 26 รัฐ (estado) และเฟเดอรัลดิสตริกต์ (Distrito Federal) (เป็นที่ตั้งของกรุงบราซิเลีย เมืองหลวง) ได้แก่
รัฐต่าง ๆ และเฟเดอรัลดิสตริกต์ของบราซิลนั้น ถูกแบ่งออกเป็น 5 ภูมิภาค โดยสถาบันภูมิศาสตร์และสถิติบราซิล (IBGE) คือ
มีข้อสงสัยว่าบทความนี้อาจละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ระบุไม่ได้ชัดเจนเพราะขาดแหล่งที่มา หรืออ้างถึงสิ่งพิมพ์ที่ยังตรวจสอบไม่ได้ หากแสดงได้ว่าบทความนี้ละเมิดลิขสิทธิ์ ให้แทนป้ายนี้ด้วย {{ละเมิดลิขสิทธิ์}} หากคุณมั่นใจว่าบทความนี้ไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ ให้แสดงหลักฐานในหน้าอภิปราย โปรดอย่านำป้ายนี้ออกก่อนมีข้อสรุป |
มีการเสนอว่า บทความนี้หรือส่วนนี้ควรแยกเป็นบทความใหม่ชื่อ เศรษฐกิจบราซิล (อภิปราย) |
บราซิลเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกทั้งในแง่จำนวนประชากรและอาณาเขต เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปละตินอเมริกาและมีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นดินส่วนใหญ่ของทวีป บราซิลใช้ระบบปกครองแบบสหพันธรัฐ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 26 รัฐและเขตนครหลวง 1 เขต โดยแต่ละรัฐจะมีรัฐบาลท้องถิ่นที่บริหารปกครองแบบอิสระ สามารถแบ่งรัฐเหล่านี้ออกได้เป็น 5 ภูมิภาค (ที่มีความสำคัญเชิงวัฒนธรรมและสถิติ) กล่าวโดยรวมได้ว่าบราซิลเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหลายด้าน ทั้งในแง่ทรัพยากรธรรมชาติและพันธุ์ไม้ที่มีมากมายมหาศาล ชาติพันธุ์หลากวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ การใช้อำนาจอย่างนุ่มนวลทางการเมือง และชนชั้นกลางที่กำลังรุ่งเรือง
เศรษฐกิจของบราซิลประกอบไปด้วยภาคส่วนเกษตรกรรม เหมืองแร่ การผลิต และการบริการขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนาอย่างสูง ตลอดจนชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ถือได้ว่าบราซิลเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในทวีปอเมริกาใต้ทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมือง โดยมีการขยายอำนาจกว้างขวางขึ้นในตลาดโลกผ่านผู้เล่นสำคัญระดับโลก (บริษัทข้ามชาติ) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 เศรษฐกิจระดับมหภาคได้ค่อย ๆ ทวีความมั่นคงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศและลดระดับหนี้โดยแปลงหนี้ให้เป็นตราสารหนี้สกุลเงินจริงและตราสารหนี้ในประเทศ
จนกระทั่งปี ค.ศ. 2008 บราซิลได้ผงาดขึ้นเป็นประเทศเจ้าหนี้สุทธิและได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเหมาะสมแก่การลงทุนจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 2 แห่ง ทว่าหลังจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในปี ค.ศ. 2007-2008 วิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกได้โถมกระหน่ำบราซิลในช่วงปี ค.ศ. 2008 อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจจะทรุดตัวเล็กน้อยจากผลกระทบนี้ แต่บราซิลสามารถหลบเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้จากมาตรการจูงใจภาครัฐและเงินลงทุนมหาศาล หลังจากที่อุปสงค์สินค้าโภคภัณฑ์ส่งออกของบราซิลลดลงและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ระหว่างประเทศตกต่ำ สินเชื่อจากภายนอกเริ่มหายากขึ้น ทั้งนี้ในช่วงปี ค.ศ. 2010 ความมั่นใจของผู้บริโภคและนักลงทุนเริ่มฟื้นตัวและการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมไต่ระดับสูงถึง 7.5% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากสำหรับบราซิล ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั่วโลกหันมาจับตามองและนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักชี้ว่าบราซิลจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจใหม่ แม้การคาดการณ์นี้จะมีข้อยืนยันว่าเป็นจริงในอีกหลายปีต่อมา แต่อำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศได้ชะลอตัวและมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมแตะอยู่ที่ราว 1% ในปัจจุบัน
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การเติบโตลดลงคือภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลจึงต้องหันมาใช้มาตรการผ่อนการตึงตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการดังกล่าวและภาวะเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ทรุดตัวทำให้การเติบโตของประเทศช้าลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการว่างงานอยู่ในระดับต่ำลงเป็นประวัติการณ์และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ซึ่งโดยมากอยู่ในระดับสูงกลับลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี บราซิลสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้โดยใช้อัตราดอกเบี้ยสูง ทว่ากลับส่งผลเสียต่อธุรกิจในประเทศ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ค่าเงินลอยตัวซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตเมื่อเทียบกับตลาดทั่วโลก รัฐบาลได้เข้ามาแทรกแซงตลาดเงินตราระหว่างประเทศและขึ้นภาษีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศบางส่วน
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการปกครองของประเทศในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาได้ผลักดันให้บราซิลเติบโตและเป็นที่จับตามองของประชาคมทั่วโลก มีเสียงชื่นชมนวัตกรรมที่ช่วยเหลือและสนับสนุนประชากรผู้ยากไร้ ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งได้นำไปใช้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมเกษตรและเชื้อเพลิงชีวภาพยังกลายมาเป็นโมเดลระหว่างประเทศ ฐานผู้บริโภคที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้ดึงดูดบริษัทและนักลงทุนมากมายมายังบราซิล ดังจะเห็นได้จากจำนวนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าราว 64-66 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.92-1.98 ล้านล้านบาท ) ต่อปีตั้งแต่ ค.ศ. 2011
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจบราซิลเริ่มชะลอตัวในปี ค.ศ. 2014 และคาดว่าจะยังคงชะลอตัวต่อไปในปี ค.ศ. 2015 จากการปรับตัวทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังจะนำมาใช้ (เช่น มาตรการขึ้นราคาน้ำมัน) แม้สถานการณ์นี้จะทำให้บริษัทลงทุนต่างประเทศเริ่มหมดความสนใจ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังคงอัดฉีดเงินทุนและขยายโรงงานหรือจัดทำโครงการใหม่ ๆ เพื่อป้อนให้กับฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ต่อไป การชะลอตัวทางเศรษฐกิจนี้ไม่ควรนำมาซึ่งมาตรการคุ้มครองการค้า เนื่องจากมีระบบการคุ้มครองการค้าระดับสูงมากพออยู่แล้ว โดยเฉพาะในภาคการส่งออกอุตสาหกรรม นอกจากนี้ แรงกดดันจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและธุรกิจในการลดอุปสรรคด้านภาษีอากรจากวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมตัวกลาง รวมทั้งการลงนามข้อตกลงการค้าเสรีใหม่ ยังสื่อให้เห็นว่ารัฐบาลมีแนวโน้มที่จะวางนโยบายการค้าไปในทิศทางดังกล่าว
อุตสาหกรรมหลักของประเทศบราซิลประกอบไปด้วยการผลิตอลูมิเนียม ซีเมนต์ เชื้อเพลิง เครื่องจักร กระดาษ พลาสติกและเหล็ก อุตสาหกรรมอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคประกอบด้วยการผลิตอุปกรณ์ทำความสะอาด การผลิตและสุขอนามัยอาหาร การผลิตยาและสิ่งทอ อุตสาหกรรมสินค้าคงทนประกอบด้วยการผลิตเครื่องใช้ในครัวเรือนและยานพาหนะ บริการด้านการเงินประกอบด้วยอุตสาหกรรมบริการเงินทุน นอกจากนี้ บราซิลยังเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่หลากหลายรายใหญ่ของโลก อาทิ กล้วย กาแฟ ข้าวโพด หัวน้ำส้มเข้มข้น ข้าว ถั่วเหลือง แอลกอฮอล์และอ้อย
ในแง่อื่นนอกเหนือจากเศรษฐกิจ บราซิลเป็นประเทศที่เติบโตในเชิงการเมืองและมีความโดดเด่นท่ามกลางประชาคมนานาชาติในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมายได้ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนต่างชาติและอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้ทรัพยากรสูง โดยเฉพาะในประเทศอินเดียและจีนที่มีฐานประชากรขนาดใหญ่ที่กำลังเติบโต นอกจากนี้ บราซิลยังมีบทบาทสำคัญในการเวทีโต้วาทีและการเจรจาระหว่างประเทศ โดยมากจะรับหน้าที่เป็นผู้นำหรือตัวแทนของประเทศกำลังพัฒนา อาทิ การอภิปรายด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ การยื่นมือเข้าช่วยเหลือฟื้นฟูประเทศเฮติหลังประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 2010 การเข้าร่วมหารือกลุ่มประเทศ BRIC และเป็นผู้นำประเทศกลุ่มจี 20 ในการเจรจาการค้าพหุภาคีรอบโดฮา (Doha Round) โดยองค์การการค้าโลก การดำเนินการนี้ได้สร้างความสนใจจากประชาคมโลกในเชิงความสามารถทางเศรษฐกิจและการเมืองที่กำลังรุ่งเรืองของบราซิล ไม่เพียงเท่านั้น การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2014 และงานแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่จะมีขึ้นในปี ค.ศ. 2016 ยังกระตุ้นความสนใจจากชาวต่างชาติ ทั้งในวงการสื่อและนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป
บราซิลเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยหลายภูมิภาคที่มีแง่มุมและความแตกต่างเชิงวัฒนธรรมที่เด่นชัดจนในบางครั้งทำให้ยากต่อการสรุปลักษณะทั่วไป ส่วนในแง่ธุรกิจ บริษัทส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่มีสำนักงานในเมืองเซาเปาลู หากกล่าวในแง่วัฒนธรรมแล้ว ถือว่าบราซิลมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่อนข้างสูง มีการผสมผสานรากเหง้าในแบบยุโรปและเอเชียเข้าด้วยกันเนื่องจากมีผู้อพยพไหลบ่าเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ความหลากหลายด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม และลักษณะนิสัยส่งผลให้ชาวบราซิลเป็นชาติพันธุ์ที่มีความซับซ้อนและมีวิถีชีวิตในแบบของตนเอง ชาวต่างชาติควรทำความเข้าใจว่าแม้ว่าชาวบราซิลจะมีนิสัยที่เป็นกันเองและให้การต้อนรับอย่างมาก แต่การอาศัยอยู่ในบราซิลอาจทำให้ตนตกใจเมื่อพบเห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม จึงขอแนะนำให้พนักงานต่างชาติโดยเฉพาะในระดับผู้จัดการหรือผู้อำนวยการเข้าเรียนรู้วัฒนธรรมบราซิลและวิธีบรรเทาความสับสนที่อาจเกิดขึ้น ในแง่การปฏิบัติงาน ผู้บริหารระดับสูงควรทำความเข้าใจและทำความคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบบราซิลเพื่อรับการสนับสนุนและแรงบันดาลใจจากพนักงานของตน
นโยบายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ
ในช่วง 3 ทศวรรษก่อนทศวรรษที่ 1980 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิลสูงถึงร้อยละ 7.3 แต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ได้เกิดวิกฤตการณ์เสถียรภาพทางการเงิน โดยมีปัญหาเงินเฟ้อและขาดดุลการชำระเงิน รัฐบาลจึงดำเนินมาตรการต่าง ๆ ในชื่อ Real Plan เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยสร้างวินัยการเงิน ปล่อยค่าเงินลอยตัว และลดภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงทบทวนนโยบายการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าซึ่งดำเนินมาตรการมากว่า 35 ปีและทำให้เศรษฐกิจมีลักษณะปิดและปกป้องตัวเอง
โดยในช่วงทศวรรษที่ 1990 บราซิลหันมาใช้นโยบายเปิดเศรษฐกิจ และได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 และในเวลาต่อมา รัฐบาลของประธานาธิบดี Lula ได้แสดงเจตจำนงในการใช้หนี้ต่างประเทศทำให้ลดลงจากร้อยละ 58.7 ของ GDP ในปี 2546 เหลือร้อยละ 51.6 ในปี 2548 และในปี 2552 หนี้ต่างประเทศของบราซิลลดเหลือร้อยละ 11.6 ของ GDP นอกจากนี้ การตัดสินใจให้กู้เงินจำนวน 14 พันล้านเหรียญสหรัฐแก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศในปลายปี 2552 แสดงถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของบราซิลเป็นอย่างมาก และในปี 2554 บราซิลคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการขยายตัวของ GDP ประมาณร้อยละ 8
ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุม G20 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่สาธารณรัฐเกาหลี ประธานาธิบดีบราซิลได้วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างรุนแรง ว่าเป็นชนวนก่อให้เกิดสงครามเงินตรา (Currency War) ทั่วโลก และจะทำให้เศรษฐกิจของโลกล้มละลายหากทุกประเทศลดค่าเงินของตนเพื่อความได้เปรียบในการส่งออก
บราซิลมีเป้าหมายจะลงทุนด้านพลังงานมูลค่าประมาณ 644 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างปี ค.ศ. 2011 – 2020 โดยจะลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (434 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภาคการผลิตไฟฟ้า (149 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และเชื้อเพลิงชีวภาพ (61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งหากการลงทุนเป็นไปตามเป้าหมายภายในปี ค.ศ. 2020 พลังงานทดแทนจะมีสัดส่วนเป็น ร้อยละ 46.3 (ปัจจุบันพลังงานทดแทนมีสัดส่วน ร้อยละ 44.8) และปิโตเลียมจะมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 31.8 (ปัจจุบันปิโตรเลียมมีสัดส่วนร้อยละ 38.5) ของโครงสร้างพลังงานของประเทศ
ปัจจุบัน บราซิลมีบทบาทสำคัญในการสร้างอุปสงค์ของพลังงานทดแทนในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเพื่อการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและเอทานอลในหลายโอกาส
วิกฤตการณ์น้ำมันในปี 2516 ประกอบกับราคาน้ำตาลตกต่ำ ทำให้รัฐบาลบราซิลประกาศโครงการ “Pro-Alcool” หรือ “Program Nacional do Alcool” (National Alcohol Program) ขึ้นในปี 2518 ส่งเสริมการใช้เอทานอลที่ผลิตจากอ้อยเป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ โดยรัฐบาลบราซิล และธนาคารโลกได้ให้เงินสนับสนุนทั้งในการขยายพื้นที่การ ปลูกอ้อย และการสร้างโรงกลั่นเอทานอล
ในระยะแรก บราซิลใช้เอทานอลผสมในน้ำมัน (anhydrous ethanol) ในอัตราส่วนร้อยละ 13 - 20 (E13 – E20) ต่อมาในปี 2523 บราซิลเริ่มทดลองใช้เอทานอล ร้อยละ 100 (E100 - hydrous ethanol) แต่โดยที่รถยนต์ยังเป็นแบบที่ผลิตเพื่อใช้กับน้ำมัน จึงทำให้การทำงานของเครื่องยนต์ไม่ได้ ประสิทธิภาพเต็มที่ รัฐบาลบราซิลจึงเริ่มส่งเสริมการผลิตรถยนต์ที่ออกแบบพิเศษ สามารถใช้ได้กับทั้งเอทานอล และกับน้ำมันเชื้อเพลิง (Flexible-fuel vehicle หรือ Flex-Fuel) และตั้งแต่ปี 2546 ก็เริ่มมีการผลิตรถยนต์ Flex-Fuel เพื่อการค้า ซึ่งใช้ได้กับ E100 และ E18 – E25 ทั้งนี้ รถยนต์ Flex-Fuel ได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับ โดยในปี 2547 ปริมาณการผลิตรถยนต์ Flex-Fuel มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 17 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด และในปี 2554 มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 83 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในบราซิล
ในการเยือนบราซิลของอดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ระหว่าง 15 – 16 มิถุนายน 2547 ไทยและบราซิลได้หารือความร่วมมือด้านเอทานอล นับจากนั้นไทยและบราซิลได้ แลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานทดแทนของบราซิลและชาติอื่น ๆ เข้าร่วมการประชุม FEALAC Inter-regional Workshop on Clean Fuels and Vehicle Technologies: the Role of Science and Innovation เมื่อ 28 – 29 มิถุนายน 2549 ที่กรุงเทพฯ ช่วยให้เกิดเครื่อข่ายระหว่างผู้เชี่ยวชาญ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยี
เมื่อปี 2553 บราซิลผลิตเอทานอลเป็นปริมาณ 27 พันล้านลิตร คิดเป็นร้อยละ 26 ของปริมาณที่ผลิตได้ในโลก เป็นรองเพียงสหรัฐฯ ซึ่งผลิตเป็นปริมาณ 50 พันล้านลิตรในปีเดียวกัน บราซิลและสหรัฐฯ สามารถผลิตเอทานอลได้กว่าร้อยละ 70 ของเอทานอลที่จำหน่ายทั่วโลก โดยสหรัฐฯ ผลิตเอทานอลจากข้าวโพด ในขณะที่บราซิลผลิตจากอ้อย ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพจึงทำให้สามารถผลิตเอทานอลได้ในราคาที่ถูกกว่าการใช้วัตถุดิบประเภทอื่น อย่างไรก็ดี การผลิตเอทานอลจากอ้อยยังไม่เสถียรเพราะเมื่อราคาน้ำตาลในตลาดโลกสูงขึ้น เกษตรกรก็จะหันไปให้ความสำคัญกับการผลิตน้ำตาลเป็นหลัก
ศาสนาในบราซิล (2014 Census) | ||||
---|---|---|---|---|
ศาสนา | เปอร์เซนต์ (%) | |||
โรมันคาทอลิก | 79.6% | |||
โปรเตสแตนต์ | 9.2% | |||
ไม่นับถือศาสนา | 8.0% | |||
ลัทธิผี | 2.0% | |||
อื่น ๆ | 3.2% |
โรมันคาทอลิก 73.6% โปรเตสแตนท์ 15.4% Spiritualist 1.3% Bantu/Voodoo 0.3% อื่นๆ 1.8% ไม่สามารถระบุได้ 0.2% ไม่นับถือศาสนา 7.4%
วัฒนธรรมของประชากรบราซิลจะต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ความรักดนตรีจะฝังอยู่ในสายเลือดของชาวบราซิลเลียนมานาน เพราะพวกเขาจะรักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ดนตรีจึงมีวิวัฒนาการเรื่อย ๆ บราซิล จะรับเอาวัฒนธรรมของแอฟริกาเอาไว้มาก ลักษณะการร้องรำทำเพลงและจังหวะกลองเป็นเครื่องดนตรีหลัก การเต้นรำและเสียงดนตรีจึงเป็นศิลปะที่โดดเด่นที่สุดของบราซิล ชาวบราซิลเป็นคนเปิดเผย เป็นมิตรกับคนง่าย รักสนุก ลักษณะเด่นที่เป็นธรรมชาติคือเวลาพูดจะเคลื่อนไหวร่างกายไปด้วย ภาษาท่าทาง บางครั้งใช้แทนคำพูดได้ เช่น เมื่อยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น หมายถึงตกลงหรือขอบคุณ และอาจเป็นคำพูดที่ทักทายเมื่อพบกับ
แซมบา (Samba) เป็นดนตรีที่มีลักษณะผสมผสาน กันจากชน 3 ทวีป ที่มาอยู่ในบราซิล คือการร้องเพลงแบบโบเลโร ของสเปน จังหวะกลองของแอฟริกาและการเต้นรำจะเป็นแบบชาวลาตินอเมริกา ซึ่งรวม 3 อย่างเข้าด้วยกันแล้วจะสนุกสนานทั้งคนเต้นและคนฟัง ซึ่งดนตรีแซมบา เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมสูงสุด
บอซานอวา (Bossanova) เป็นจังหวะดนตรีที่มีวิวัฒนาการมาจากแซมบา นอกจากแซมบาและบอซานอวา ยังมีดนตรีที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน คือ แรมบาดา (Lambada) จังหวะดนตรีจะสนุกสนามด้วยจังหวะกลองของชาวแคริบเบียน
บราซิลมีเทศกาลที่น่าสนใจและยิ่งใหญ่ 2 งานด้วยกัน งานแรกคืองานคาร์นิวัลที่รีโอเดจาเนโร จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ งานที่สองคืองานคาร์นิวัลที่บาเยีย จัดขึ้นหลังเทศกาลคริสต์มาส ช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.