Loading AI tools
พรรคการเมืองไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พรรคเพื่อไทย (ย่อ: พท.) เป็นพรรคการเมืองไทยที่ก่อตั้งโดยทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยพรรคเพื่อไทยมีบทบาททางการเมืองแทนที่พรรคพลังประชาชนซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 หลังพบว่ากรรมการบริหารพรรคมีความผิดฐานทุจริตการเลือกตั้ง โดยที่พรรคพลังประชาชนก็ได้เข้ามีบทบาททางการเมืองแทนที่พรรคเดิมของทักษิณ คือพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 เนื่องจากละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง[12][13]
พรรคเพื่อไทยถูกจัดตั้งเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550 มี บัณจงศักดิ์ วงศ์รัตนวรรณ และโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ เป็นหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคคนแรก มีที่ทำการพรรคแห่งแรกอยู่ที่ 111/1 อาคารนวสร ถนนพระราม 3 แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม[14] โดยพรรคเพื่อไทยในช่วงแรกเป็นพรรคที่ได้รับการจดทะเบียนไว้เผื่อจะมีอุบัติเหตุทางการเมือง เช่น การยุบพรรคพลังประชาชน เป็นต้น ซึ่งพรรคเพื่อไทยในช่วงแรกถูกจัดว่าเป็น "พรรคสำรอง" ต่อมาพรรคเพื่อไทยได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3/2551 เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551 มีมติให้สุชาติ ธาดาธำรงเวช ซึ่งเป็นแกนนำพรรคพลังประชาชนที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรคดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค พร้อมกับคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จำนวน 13 คน และยังได้ทำการเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์พรรครวมถึงย้ายที่ทำการพรรคมาอยู่ที่ 626 ซอยจินดาถวิล ถนนพระราม 4 แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก[15] ก่อนที่ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 นายสุชาติจะได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคที่เหลือต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ภายหลัง คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551 สมาชิกพรรคพลังประชาชนส่วนมากได้ย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยจึงจัดประชุมใหญ่ครั้งที่ 4/2551 ขึ้น โดยมีวาระสำคัญในการลงมติเลือกหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีการเสนอชื่อ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนใหม่เพียงชื่อเดียว
ต่อมา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกจับตามองในช่วงแรกว่าจะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ถัดจากยงยุทธนั้น ทว่าเธอดำรงตำแหน่งกรรมการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแทน ซึ่งไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค โดยมีการวิเคราะห์จากนักวิชาการและสื่อมวลชนว่า เพื่อป้องกันการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ภายหลังจากที่ยงยุทธลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ได้มีการคัดเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่ โดยมีการเสนอชื่อ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ซึ่งผู้เสนอชื่อคือ พันเอก อภิวันท์ วิริยะชัย โดยจารุพงศ์ได้รับการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในที่สุด[16]
ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีของสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2551 พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อ พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน แข่งกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ โดย ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ กล่าวว่า การที่พรรคเสนอชื่อดังกล่าว เชื่อว่าจะสามารถดึงพรรคการเมืองอื่น ๆ รวมถึง สส.กลุ่มต่าง ๆ เข้าร่วมกับพรรคจัดตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจากเห็นว่าขณะนี้การเมืองในประเทศที่มีปัญหา หากพรรคการเมืองใหญ่ 2 ขั้ว มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เป็นหัวหน้ารัฐบาลก็จะเกิดความขัดแย้งได้อีก แต่หากได้นายกรัฐมนตรีเป็นคนจากพรรคขนาดกลาง อาจจะทำให้เกิดความสงบสุข[17]
ผลปรากฏว่าอภิสิทธิ์ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียง 235 ต่อ 198 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง[18]
พรรคเพื่อไทยมีมติยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ยังมีมติเสนอชื่อ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน สส.พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีแทน[19] โดยรัฐมนตรีที่ถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีและถอดถอน 5 คนคือ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เพราะพบประเด็นการบริหารที่ผิดพลาดและทุจริตประพฤติมิชอบ[20]
และในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พ.ศ. 2553 มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สส.สัดส่วนของพรรคได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ ขณะเดียวกันที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ตัดสินใจไม่ร่วมอภิปราย อ้างว่าอยากให้มิ่งขวัญได้ทำหน้าที่ได้เต็มที่ และในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 158 กำหนดไว้ว่า ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ต้องเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปด้วย จึงเท่ากับว่าเขามีโอกาสที่จะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แม้จะเป็นเพียงในขั้นตอนของกฎหมายก็ตาม[21] แต่ก็ไม่ได้ถูกเสนอชื่อในการเลือกตั้งครั้งที่เกิดขึ้นในปีถัดมา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยได้ประกาศเปิดตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1[22] และเป็นผู้ได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี
และผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงทั้งหมด 15,744,190 เสียง ทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 265 คน เกินกึ่งหนึ่งของสภา จึงได้เป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล รวมจำนวน 6 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย, พรรคชาติไทยพัฒนา, พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน, พรรคพลังชล, พรรคมหาชน[23] , และ พรรคประชาธิปไตยใหม่ และชัยชนะครั้งนี้ ส่งผลให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงแห่งประเทศไทยคนแรกในประวัติศาสตร์
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 พรรคเพื่อไทยได้ส่งยิ่งลักษณ์เป็นผู้ได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรค ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 อีกครั้ง แทนที่ข่าวลือว่าจะส่ง พงศ์เทพ เทพกาญจนา พร้อมกับนำสมาชิกอดีตพรรคไทยรักไทย และ พรรคพลังประชาชน ซึ่งพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย เช่น สมชาย วงศ์สวัสดิ์, ภูมิธรรม เวชยชัย, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นต้น[24] นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกจากกลุ่มมัชฌิมาที่ย้ายจากพรรคภูมิใจไทยกลับมาอยู่พรรค และพร้อมจะลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย เช่น สมศักดิ์ เทพสุทิน[25]
แต่การเลือกตั้งเป็นโมฆะจากการชุมนุมของ กปปส. และนำมาซึ่งรัฐประหารในปีเดียวกัน
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 พรรคเพื่อไทยประกาศรายชื่อผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคทั้งหมด 3 คน ได้แก่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, ชัชชาติ สิทธิพันธุ์, และ ชัยเกษม นิติสิริ
หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศการเลือกตั้ง โดยใช้รูปแบบบัตรใบเดียว และเปลี่ยนสูตรคำนวณจากแบบเดิมที่เคยใช้กันมา ซึ่งจะมีผลให้พรรคใหญ่ได้จำนวน สส.น้อยลง พรรคเพื่อไทยจึงตัดสินใจใช้ยุทธการแตกแบงค์พัน กล่าวคือ สมาชิกพรรคเพื่อไทยบางส่วนย้ายไปจัดตั้งพรรคไทยรักษาชาติ โดยมี ปรีชาพล พงษ์พานิช อดีต สส.ขอนแก่น ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และนักการเมืองที่ย้ายมา ล้วนเป็นระดับแกนนำของพรรคเพื่อไทย ด้วยกติกาการเลือกตั้งที่ไม่เอื้อประโยชน์ให้พรรคขนาดใหญ่อย่างเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติจึงมีหน้าที่เก็บคะแนนเขตที่เพื่อไทยแพ้เลือกตั้ง เพื่อนำคะแนนดิบไปแลกจำนวน สส.แบบบัญชีรายชื่อ[26] แต่จากการเสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ให้เป็นผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักษาชาติ จึงทำให้พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบลง
และผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครไปเพียง 250 เขต จากทั้งหมด 350 เขต ได้คะแนนเสียงทั้งหมด 7,881,006 เสียง ทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 136 คน ซึ่งล้วนเป็น สส. แบบแบ่งเขต และไม่มี สส.แบบบัญชีรายชื่อแม้แต่รายเดียว แต่ถึงอย่างนั้น พรรคเพื่อไทยก็ยังคงรักษาตำแหน่งพรรคอันดับหนึ่งไว้ได้[27] และได้รวมเสียงสมาชิกสภากับ พรรคอนาคตใหม่, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคประชาชาติ, พรรคเศรษฐกิจใหม่, พรรคเพื่อชาติ และ พรรคพลังปวงชนไทย
และเนื่องจากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และพรรคร่วมได้เคยประกาศจุดยืนไว้ว่า จะส่งผู้ได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่ง สส. เท่านั้น เพื่อรักษาจุดยืนในวิถีประชาธิปไตย และตอบโต้วิธีการของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งส่ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ถูกเสนอชื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ลงสมัคร สส. ในนามของพรรค แต่เพราะผู้ได้รับเสนอชื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยจาก 2 ใน 3 คนที่ได้ลงสมัครเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อนั้น ไม่มีคะแนนบัญชีรายชื่อในพรรค ทำให้ไม่สามารถเสนอชื่อตามที่คาดหวังไว้ได้ จึงทำให้พรรคร่วมทั้ง 7 พรรคมีมติเสนอชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคและผู้ถูกเสนอชื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคอนาคตใหม่แทน [28] แต่ทว่าคนแนนเสียงของพรรคร่วมฝั่งประชาธิปไตย แพ้คะแนนเสียงของประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งพ่วงคะแนนจากสมาชิกวุฒิสภาอย่างขาดลอย ด้วยคะแนน 244 ต่อ 500 คะแนน
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประกาศตัวลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในนามอิสระ โดยได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยตัดสินใจจะไม่ส่งผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไปตัดคะแนนกัน อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคในขณะนั้น พยายามผลักดันให้ส่งผู้สมัคร[29]
วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2563 มีรายงานว่า มีสมาชิกคนสำคัญของพรรคประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคหลายคน เช่น สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563 มีนักวิชาการวิเคราะห์ว่าสะท้อนภาพลักษณ์ไม่มีเอกภาพในพรรคเพื่อไทย อาจเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อเตรียมรับการเลือกตั้งท้องถิ่นในช่วงปลายปีเดียวกัน[30]
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 สุดารัตน์ลาออกจากพรรคเพื่อไทย โดยระบุเหตุผล 3 ประการ ได้แก่ 1. ความไม่ชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร 2. มีการตั้งกรรมการและอนุกรรมการโดยกีดกันทีมของเธอ และ 3. การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ที่ไม่อนุญาตให้เธอลงพื้นที่ช่วยหาเสียง[31] ต่อมาเธอแยกไปตั้งพรรคไทยสร้างไทย
ต่อมาในวันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ระหว่างการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งในงานมีการแสดงวิสัยทัศน์ของแกนนำพรรค ตลอดจนมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมและการเดินแฟชั่นผ้าไหมพื้นบ้านโดยตัวแทนสมาชิกพรรค และงานในวันนั้นมีการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางออนไลน์ สมพงษ์ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคกลางที่ประชุมทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ พร้อมกับได้มีการเปิดตัวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กของทักษิณ เป็นประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรค และเปิดตัวสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นผู้อำนวยการพรรค ก่อนจะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือก ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน รองหัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ส่วนตำแหน่งเลขาธิการพรรคยังเป็นของประเสริฐ จันทรรวงทอง[32] โดยในปีเดียวกันนั้นพรรคยังประกาศจุดยืนแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112[33]
วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565 พรรคเพื่อไทยเปิดตัวโครงการ ครอบครัวเพื่อไทย โดยแต่งตั้งแพทองธาร ชินวัตร เป็น หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยนิยามว่า "ครอบครัวเพื่อไทย" เป็นแนวคิดที่พรรคต้องการแก้ปัญหาการปิดกั้นโอกาสการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน นอกจากนี้ยังกระตุ้นผู้สนับสนุนพรรคให้เลือกพรรคเพื่อไทยจนชนะขาดลอย (landslide) ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า[34] ทั้งนี้แพทองธารยังไม่รับว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ แต่ยอมรับว่าทักษิณเป็นที่ปรึกษามาโดยตลอด[35] ในปีเดียวกัน ยังมีข่าวผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลโต้คารมกันในเรื่องของอุดมการณ์รวมถึงการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้านชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุว่า "สรุปตรงไปตรงมา พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย มีขีดจำกัดเพราะสู้ไปกราบไป พรรคอนาคตใหม่จึงต้องอุบัติขึ้นมา"[36] ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและบิดาของแพทองธาร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้ความเห็นว่า แนวทางของพรรคเพื่อไทยเป็นประชาธิปไตยที่เหมาะสม ส่วนถ้าใครชอบแบบ "เอ็กซ์ตรีม" ให้เลือกพรรคก้าวไกล[37]
นอกจากนี้มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ หลังร่วมมือกันไม่เข้าร่วมประชุมจนส่งผลให้สูตรคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อแบบ "สูตรหาร 500" ต้องตกไป และกลับไปใช้สูตรหาร 100 โดยปริยาย[38] ในเรื่องนี้นักการเมืองพรรคเพื่อไทยบางคนกล่าวหาพรรคก้าวไกลที่ไม่ใช่วิธีการไม่เข้าร่วมประชุมเช่นกันว่าต้องการสูตรหาร 500[39][40] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 หัวหน้าพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ปิดช่องจับมือกับพรรคพลังประชารัฐตั้งรัฐบาล หากยอมรับเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ 1. มีอุดมการณ์เช่นเดียวกัน 2. ไม่เลือกพรรคที่สนับสนุนเผด็จการ ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี และ 3. การทำงานร่วมกัน โดยการเอานโยบายมาสอดประสานเป็นนโยบายรัฐบาล[41]
ในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ. 2566 เพื่อแก้ไขข้อบังคับพรรค พร้อมกับรับทราบการลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคของ ทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ เหรัญญิกพรรค และนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรค เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2566[42]
ในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงทั้งหมด 10,962,522 เสียง ทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 141 คน แบบแบ่งเขต 112 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 29 คน อยู่ในอันดับ 2 ของการเลือกตั้ง รองจากพรรคก้าวไกลที่ได้คะแนนเสียง 14,438,851 เสียง มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 151 คน และเป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ที่พรรคไม่สามารถชนะคะแนนมาเป็นลำดับที่หนึ่งของการเลือกตั้งได้ ทั้งนี้ ภายหลังการเลือกตั้ง แกนนำพรรคได้ประกาศจุดยืนสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นพรรคอับดับ 1 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยได้เข้าร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจของพรรคก้าวไกล พร้อมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมที่ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้ 3 พรรค และพรรคที่ได้รับเลือกตั้งใหม่อีก 3 พรรค[43]
21 กรกฎาคม พรรคก้าวไกลประกาศมอบสิทธิ์ให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน หลังจากที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว และรัฐสภามีมติห้ามเสนอชื่อพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำในสมัยประชุมเดียวกัน โดยเลขาธิการพรรคก้าวไกล ชัยธวัช ตุลาธน กล่าวว่ามีองคาพยพของกลุ่มการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ[44] ต่อมาพรรคเพื่อไทยได้เสนอชื่อ เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี[45] และยกเลิกบันทึกความเข้าใจในการจัดตั้งรัฐบาลที่พรรคก้าวไกลทำขึ้น[46]
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พรรคเพื่อไทยประกาศจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคภูมิใจไทย[47] จากนั้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม มีพรรคที่เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทยเพิ่มอีก 5 พรรค ประกอบด้วย พรรคประชาชาติ, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคเพื่อไทรวมพลัง, พรรคพลังสังคมใหม่, และ พรรคท้องที่ไทย[48] จากนั้นมีพรรคที่ประกาศร่วมรัฐบาลเพื่อไทยเพิ่มคือ พรรคชาติพัฒนากล้า[49], พรรคชาติไทยพัฒนา[50], พรรครวมไทยสร้างชาติ[51] และพรรคพลังประชารัฐ ทำให้พรรคเพื่อไทยสามารถรวมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สนับสนุนพรรคเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ 314 คน[52]
ในวันที่ 22 สิงหาคม เศรษฐาได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยได้ 482 คะแนน จากจำนวนสมาชิกที่มาลงคะแนนทั้งหมด 728 คน[53] พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แทนที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา[54][55] โดยมีพิธีรับสนองพระบรมราชโองการในช่วงเย็นของวันถัดมา ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย[56] ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี[57] โดยมีสมาชิกจากพรรคเพื่อไทยมากที่สุด คือ 17 คน 20 ที่นั่ง ซึ่งรวมถึงเศรษฐาที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พรรคเพื่อไทยได้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรค เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่แทนที่ชลน่าน ศรีแก้ว ที่ประกาศลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อคำพูดที่ตนหาเสียงไว้ โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า แพทองธาร ชินวัตร จะเป็นหัวหน้าพรรค ส่วนเลขาธิการพรรคจะเป็นของสรวงศ์ เทียนทอง บุตรชายของเสนาะ เทียนทอง และโฆษกพรรคเป็นของ ดนุพร ปุณณกันต์[58] และที่ประชุมมีมติเลือก แพทองธาร, สรวงศ์ และดนุพร ให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวตามกระแสข่าว[59]
ต่อมาในวันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2567 พรรคเพื่อไทยได้ย้ายที่ทำการพรรคมาอยู่ที่อาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 เป็นการชั่วคราว ก่อนจะย้ายไปใช้อาคารบีบีดี ซึ่งเคยเป็นสำนักงานของสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวีเป็นที่ทำการพรรคโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุง พรรคให้เหตุผลว่าเพื่อเลี่ยงการจราจรติดขัด[60][61] สองวันถัดมาหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยมีมติให้การสนับสนุนแพทองธาร หัวหน้าพรรค ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ในการลงมติที่มีขึ้นในวันถัดมา[62][63] ซึ่งครอบครัวชินวัตรรับฟังความต้องการของ สส. พรรคเพื่อไทย และยินยอมให้พรรคเสนอชื่อเธอ[64]
มติที่ประชุมของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เห็นชอบให้แพทองธารดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31[65] พิธีรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งเธอเป็นนายกรัฐมนตรีมีขึ้นสองวันถัดจากนั้นที่อาคารวอยซ์สเปซ[66]
ลำดับ | รูป | ชื่อ | เริ่มวาระ | สิ้นสุดวาระ |
1 | บัณจงศักดิ์ วงศ์รัตนวรรณ | 20 กันยายน พ.ศ. 2550 | 20 กันยายน พ.ศ. 2551 | |
2 | สุชาติ ธาดาธำรงเวช | 21 กันยายน พ.ศ. 2551 | 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 | |
3 | ยงยุทธ วิชัยดิษฐ | 7 ธันวาคม พ.ศ. 2551 | 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | |
- | วิโรจน์ เปาอินทร์ (รักษาการ) | 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | |
4 | จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ | 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557[67] | |
- | วิโรจน์ เปาอินทร์ (รักษาการ) | 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557 | 28 ตุลาคม พ.ศ. 2561 | |
5 | วิโรจน์ เปาอินทร์ | 28 ตุลาคม พ.ศ. 2561[68] | 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562[69] | |
- | ปลอดประสพ สุรัสวดี (รักษาการ) | 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562[70] | 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 | |
6 | สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ | 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562[71] | 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564 | |
7 | ชลน่าน ศรีแก้ว | 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564[72] | 30 สิงหาคม พ.ศ. 2566 | |
- | ชูศักดิ์ ศิรินิล (รักษาการ) | 30 สิงหาคม พ.ศ. 2566[73] | 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 | |
8 | แพทองธาร ชินวัตร | 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 | ปัจจุบัน | |
ลำดับ | รูป | รายนาม | เริ่มวาระ | สิ้นสุดวาระ |
1 | โอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ | 20 กันยายน พ.ศ. 2550 | 20 กันยายน พ.ศ. 2551 | |
2 | สุณีย์ เหลืองวิจิตร | 21 กันยายน พ.ศ. 2551 | 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 | |
7 ธันวาคม พ.ศ. 2551 | 14 กันยายน พ.ศ. 2553 | |||
3 | สุพล ฟองงาม | 15 กันยายน พ.ศ. 2553 | 20 เมษายน พ.ศ. 2554 | |
4 | จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ | 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 | 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555 | |
5 | ภูมิธรรม เวชยชัย | 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555[74] | 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 | |
6 | อนุดิษฐ์ นาครทรรพ | 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2562[75] | 26 กันยายน พ.ศ. 2563[76] | |
7 | ประเสริฐ จันทรรวงทอง | 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 | 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 | |
8 | สรวงศ์ เทียนทอง | 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 | ปัจจุบัน | |
| ||
หัวหน้าพรรค | ||
แพทองธาร ชินวัตร | ||
รองหัวหน้าพรรค | ||
ชูศักดิ์ ศิรินิล | จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ | โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย |
จิราพร สินธุไพร | พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ | เผ่าภูมิ โรจนสกุล |
เลขาธิการพรรค | ||
สรวงศ์ เทียนทอง | ||
รองเลขาธิการพรรค | ||
ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ | ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ | ศรัณย์ ทิมสุวรรณ |
เหรัญญิกพรรค | นายทะเบียนสมาชิกพรรค | โฆษกพรรค |
ทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ | ณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช | ดนุพร ปุณณกันต์ |
กรรมการบริหารพรรค | ||
ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ | วรวงศ์ วรปัญญา | พชร จันทรรวงทอง |
นิกร โสมกลาง | ธิติวัฐ อดิศรพันธ์กุล | จเด็ศ จันทรา |
พลนชชา จักรเพ็ชร | ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ | สรัสนันท์ อรรณนพพร |
ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้ง สามารถกวาดที่นั่ง สส. 265 คน ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปกว่า 100 คน พร้อมกับคว้าคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งและสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 พรรคได้รับเลือกตั้งจำนวน 136 ที่นั่ง มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร แต่มิได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยได้เสนอแพทองธาร ชินวัตร บุตรคนสุดท้องของทักษิณ ชินวัตร[78], เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการของ บมจ.แสนสิริ[79] และชัยเกษม นิติสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม[80] เป็นบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทยของพรรค โดยก่อนหน้านี้พรรคมีการทาบทาม สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ซึ่งก่อตั้งโดยทักษิณ ให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคด้วย แต่สมชัยให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 ว่ายังไม่สนใจงานการเมือง[81] กระทั่งวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2566 ทางพรรคเพื่อไทยได้เปิดตัวบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทยของพรรคทั้ง 3 คนดังกล่าวอย่างเป็นทางการ[82] ทั้งนี้มีเพียงชัยเกษมเท่านั้นที่ลงสมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ[83]
การเลือกตั้ง | จำนวนที่นั่ง | คะแนนเสียงทั้งหมด | สัดส่วนคะแนนเสียง | ที่นั่งเปลี่ยน | สถานภาพพรรค | ผู้นำเลือกตั้ง |
---|---|---|---|---|---|---|
2554 | 265 / 500 |
15,752,470 | 48.41% | 265 | แกนนำจัดตั้งรัฐบาล | ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร |
2557 | การเลือกตั้งเป็นโมฆะ | |||||
2562 | 136 / 500 |
7,881,006 | 22.16% | 129 | ฝ่ายค้าน | สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ |
2566 | 141 / 500 |
10,962,522 | 27.74% | 5 | แกนนำจัดตั้งรัฐบาล | แพทองธาร ชินวัตร |
เขตเลือกตั้ง | วันเลือกตั้ง | ผู้สมัครรับเลือกตั้ง | คะแนนเสียงทั้งหมด | สัดส่วนคะแนนเสียง | ผลการเลือกตั้ง |
---|---|---|---|---|---|
ร้อยเอ็ด เขต 3 | 26 เมษายน พ.ศ. 2552 | นิรันดร์ นาเมืองรักษ์ | 47,762 | 39.36% | พ่ายแพ้ |
สกลนคร เขต 3 | 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552 | อนุรักษ์ บุญศล | 83,348 | 63.83% | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
ศรีสะเกษ เขต 1 | 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552 | สุรชาติ ชาญประดิษฐ์ | 124,327 | 61.93% | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
สุราษฎร์ธานี เขต 1 | 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552 | สมพล วิชัยดิษฐ | 24,601 | 16.78% | พ่ายแพ้ |
กรุงเทพมหานคร เขต 6 | 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 | ก่อแก้ว พิกุลทอง | 81,776 | 45.32% | พ่ายแพ้ |
สุราษฎร์ธานี เขต 1 | 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553 | วรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ | 22,404 | 13.09% | พ่ายแพ้ |
กรุงเทพมหานคร เขต 2 | 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553 | พงษ์พิสุทธิ์ จินตโสภณ | 30,506 | 29.48% | พ่ายแพ้ |
ขอนแก่น เขต 2 | ปรีชาพล พงษ์พานิช | 143,007 | 79.74% | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง | |
สุรินทร์ เขต 3 | ปทิดา ตันติรัตนานนท์ | 75,147 | 41.92% | พ่ายแพ้ | |
พระนครศรีอยุธยา เขต 1 | องอาจ วชิรพงศ์ | 78,497 | 45.23% | พ่ายแพ้ | |
นครราชสีมา เขต 6 | อภิชา เลิศพชรกมล | 63,487 | 42.37% | พ่ายแพ้ | |
ปทุมธานี เขต 5 | 21 เมษายน พ.ศ. 2555 | สมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ | 24,255 | 45.98% | พ่ายแพ้ |
เชียงใหม่ เขต 3 | 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555 | เกษม นิมมลรัตน์ | 72,385 | 78.27% | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
ลำพูน เขต 2 | 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555 | รังสรรค์ มณีรัตน์ | 72,778 | 60.47% | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
ลพบุรี เขต 4 | 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 | พหล วรปัญญา | 49,146 | 56.13% | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
เชียงใหม่ เขต 3 | 21 เมษายน พ.ศ. 2556 | เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ | 67,101 | 73.01% | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
กรุงเทพมหานคร เขต 12 | 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556 | ยุรนันท์ ภมรมนตรี | 30,624 | 47.51% | พ่ายแพ้ |
ขอนแก่น เขต 7 | 22 ธันวาคม พ.ศ. 2562 | ธนิก มาสีพิทักษ์ | 38,010 | 48.38% | พ่ายแพ้ |
กำแพงเพชร เขต 2 | 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 | กัมพล ปัญกุล | 37,989 | 44.81% | พ่ายแพ้ |
สมุทรปราการ เขต 5 | 9 สิงหาคม พ.ศ. 2563 | สลิลทิพย์ สุขวัฒน์ | 21,540 | 22.05% | พ่ายแพ้ |
กรุงเทพมหานคร เขต 9 | 30 มกราคม พ.ศ. 2565 | สุรชาติ เทียนทอง | 29,416 | 34.81% | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
พิษณุโลก เขต 1 | 15 กันยายน พ.ศ. 2567 | จเด็ศ จันทรา | 37,209 | 54.84% | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2552 พรรคเพื่อไทยมีมติส่ง ยุรนันท์ ภมรมนตรี ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยยุรนันท์ได้รับหมายเลข 10[84][85] สำหรับผลการเลือกตั้ง ยุรนันท์ได้รับ 611,669 คะแนน เป็นอันดับที่ 2[86]
ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2556 พรรคเพื่อไทยมีมติส่ง พงศพัศ พงษ์เจริญ ลงสมัครชิงตำแหน่ง โดยในการเลือกตั้ง พงศพัศได้รับหมายเลข 9 สำหรับผลการเลือกตั้ง พงศพัศได้รับ 1,077,899 คะแนน เป็นอันดับที่ 2
ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2565 พรรคเพื่อไทยมีมติไม่ส่งผู้สมัครในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่า ขณะนี้เสมือนมีตัวแทนฝ่ายประชาธิปไตยที่อาสาสมัครลงแข่งขันผู้ว่าฯ กทม. อยู่แล้ว (สื่อถึง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยเมื่อปี พ.ศ. 2562 ซึ่งลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะนักการเมืองอิสระ) หากพรรคส่งผู้สมัครในนามพรรคจะทำให้เป็นการตัดคะแนนกันเอง จึงตัดสินใจไม่ส่งตัวแทน แต่ยังคงส่งผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) ในนามพรรคทั้ง 50 เขตเช่นเดิม เพื่อทำงานร่วมกับชัชชาติ[87]
การเลือกตั้ง | ผู้สมัคร | คะแนนเสียงทั้งหมด | สัดส่วนคะแนนเสียง | ผลการเลือกตั้ง |
---|---|---|---|---|
2552 | ยุรนันท์ ภมรมนตรี | 611,669 | 29.72% | พ่ายแพ้ |
2556 | พงศพัศ พงษ์เจริญ | 1,077,899 | 40.97% | พ่ายแพ้ |
2565 | ไม่ส่งผู้สมัคร (สนับสนุน ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ลงสมัครในฐานะนักการเมืองอิสระแทน) |
การเลือกตั้ง | จำนวนที่นั่ง | คะแนนเสียงทั้งหมด | สัดส่วนคะแนนเสียง | ที่นั่งเปลี่ยน | ผลการเลือกตั้ง |
---|---|---|---|---|---|
2553 | 14 / 61 |
14 | เสียงข้างน้อย | ||
2565 | 21 / 50 |
620,009 | 26.77% | 7 | เสียงข้างมากร่วมกับพรรคก้าวไกล |
การเลือกตั้ง | จำนวนที่นั่ง | คะแนนเสียงทั้งหมด | สัดส่วนคะแนนเสียง | ที่นั่งเปลี่ยน | ผลการเลือกตั้ง |
---|---|---|---|---|---|
2553 | 65 / 361 |
65 | เสียงข้างน้อย | ||
ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในประเทศไทย พ.ศ. 2563 พรรคเพื่อไทย ส่งผู้สมัครในนามของพรรคอย่างเป็นทางการ 25 จังหวัด ได้รับเลือกตั้งทั้งหมด 9 จังหวัด[88]
ภายหลังมีการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดกาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ทำให้ตอนนี้มีนายกฯ อบจ.สังกัดพรรคเพื่อไทยรวมทั้งสิ้น 11 คน
3 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค เปิดตัวผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในนามของพรรค 9 คน โดยมี 4 คนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนี้ และหนึ่งในผู้สมัครของพรรคนั้น คือ อัครา พรหมเผ่า น้องชายของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งปัจจุบันกำลังดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา[89]
จังหวัด | นาม | หมายเหตุ | ปี พ.ศ. | ผลการเลือกตั้ง |
---|---|---|---|---|
กาฬสินธุ์ | เฉลิมขวัญ หล่อตระกูล | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
พ.ศ. 2565 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง[90] | |||
ชัยภูมิ | สุชีพ เศวตกมล | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
เชียงราย | สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช | ภรรยา ยงยุทธ ติยะไพรัช | พ.ศ. 2555 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
บุศริณธญ์ วรพัฒนานันน์ | อดีต สว.เชียงราย | พ.ศ. 2557 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง | |
วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ | อดีต สส.เชียงราย | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
เชียงใหม่ | พิชัย เลิศพงศ์อดิศร | อดีต สว.เชียงใหม่ | พ.ศ. 2563 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
นครนายก | สิทธิชัย กิตติธเนศวร | อดีต สส.นครนายก | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ |
นครปฐม | วินัย วิจิตรโสภณ | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
นครพนม | สมชอบ นิติพจน์ | นายก อบจ.นครพนม 2 สมัย | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ |
อนุชิต หงษาดี | อดีตนายก อบต.โพนสวรรค์ | พ.ศ. 2568 | ||
น่าน | นพรัตน์ ถาวงศ์ | พ.ศ. 2563 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง | |
ปทุมธานี | ชาญ พวงเพ็ชร์ | อดีตนายก อบจ.ปทุมธานี 3 สมัย | มิถุนายน 2567 | ใบเหลือง () |
กันยายน 2567 | พ่ายแพ้ | |||
ประจวบคีรีขันธ์ | วิชิต ปลั่งศรีสกุล | อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ |
ปราจีนบุรี | เกียรติกร พากเพียรศิลป์ | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
พะเยา | อัครา พรหมเผ่า | อดีตนายก อบจ.พะเยา | (ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง) | |
ธวัช สุทธวงค์ | อดีตรองนายก อบจ.พะเยา | พ.ศ. 2567 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง | |
แพร่ | อนุวัธ วงศ์วรรณ | นายก อบจ.แพร่ 3 สมัย | พ.ศ. 2563 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
พ.ศ. 2568 | ||||
มหาสารคาม | ศรีเมือง เจริญศิริ | อดีต สว.มหาสารคาม | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ |
พลพัฒน์ จรัสเสถียร | น้องชาย ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร | พ.ศ. 2568 | ||
มุกดาหาร | จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ | อดีต สว.มุกดาหาร | พ.ศ. 2563 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
ยโสธร | วิเชียร สมวงศ์ | พ.ศ. 2563 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง | |
พ.ศ. 2567 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง | |||
ร้อยเอ็ด | เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ | อดีต สส.ร้อยเอ็ด | พ.ศ. 2565 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง[91] |
ระยอง | เกรียงไกร กิ่งทอง | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
ลำปาง | ตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร | นายก อบจ.ลำปาง | พ.ศ. 2563 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
พ.ศ. 2568 | ||||
ลำพูน | อนุสรณ์ วงศ์วรรณ | นายก อบจ.ลำพูน | พ.ศ. 2563 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
พ.ศ. 2568 | ||||
สมุทรสงคราม | ธนวุฒิ โมทย์วารีศรี | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
สมุทรสาคร | เชาวรินทร์ ชาญสายชล | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
สิงห์บุรี | สุรสาล ผาสุข | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
สุโขทัย | มนู พุกประเสริฐ | นายก อบจ.สุโขทัย 2 สมัย | พ.ศ. 2567 | |
สุพรรณบุรี | พลตรี เทียมศักดิ์ สุขานุยุทธ | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
หนองคาย | ธนพล ไลละวิทย์มงคล | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
หนองบัวลำภู | วิชัย สามิตร | พ.ศ. 2563 | พ่ายแพ้ | |
อุดรธานี | ประสพ บุษราคัม | อดีต สส.อุดรธานี | (ถอนตัว ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ)[92] | |
วิเชียร ขาวขำ | อดีต สส.อุดรธานี | พ.ศ. 2555 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง | |
พ.ศ. 2563 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง | |||
ศราวุธ เพชรพนมพร | อดีต สส.อุดรธานี 4 สมัย | พ.ศ. 2567 | ||
อุบลราชธานี | กานต์ กัลป์ตินันท์ | น้องชาย เกรียง กัลป์ตินันท์ | พ.ศ. 2563 | สำเร็จ ได้รับเลือกตั้ง |
พ.ศ. 2567 | ||||
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556 พรรคได้เปิด "สถาบันเยาวชนเพื่อไทย" โดยแต่งตั้งให้ ณหทัย ทิวไผ่งาม เป็นผู้อำนวยการสถาบัน[93] ต่อมาได้มีการจัดตั้งกลุ่มเพื่อไทยพลัส (เพื่อไทยPLUS+) โดยถูกวางกลุ่มคนรุ่นใหม่เพื่อสร้างพื้นที่การเมืองของคนรุ่นใหม่ สู้กับอดีตพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเปลี่ยนมาเป็นพรรคก้าวไกลในภายหลัง โดยจัดกิจกรรมทางการเมืองเป็นระยะ อาทิ จัดเสวนาเพื่อไทยพลัสยุคใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม โครงการเพื่อไทยยุคใหม่แข็งแกร่งเข้าถึงประชาชน โครงการอีสปอร์ตที่จะนำเสนอทิศทางในประเทศไทย และรายการเพื่อไทยพลัสออนไลน์ เสนอบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
กระทั่งในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 มีการยุติกลุ่มเพื่อไทยพลัส และมีกลุ่มใหม่เข้ามาแทนที่ คือ “คณะทำงานเยาวชนและคนรุ่นใหม่” เพื่อเป็นที่รวมตัวของคนรุ่นใหม่ในพรรค และอดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ โดยมี จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน โครงสร้างการทำงานจะขึ้นตรง และรับคำสั่งจากคณะกรรมการบริหารพรรค[94]
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2563 มีการจัดตั้งกลุ่มการเมือง "CARE คิดเคลื่อนไทย" ที่วางแผนที่จะแยกตัวออกมาจากพรรคเพื่อไทย เพื่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยมี 7 สมาชิกเริ่มต้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นนักการเมืองที่เคยทำงานร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในยุคของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร มาแล้วทั้งสิ้น[95] ประกอบด้วย
โดยสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ให้สัมภาษณ์ถึงการขับเคลื่อนกลุ่มแคร์ หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการว่า การทำงานของกลุ่มไม่ใช่ลักษณะแบบพรรคการเมือง โดยจะเน้นเรื่องประชาสังคมที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม แต่การขับเคลื่อนสังคมที่ผ่านมาจะเน้นประเด็นเฉพาะเรื่อง มองว่าจุดอ่อนการทำงานแบบเดิมคือ ไม่สามารถเห็นภาพรวม ทำให้ข้อเสนอต่างๆ ไม่รอบด้าน แต่การทำงานของกลุ่มแคร์ จะคิดในองค์รวม โดยไม่จำกัดแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่คิดทุกเรื่องที่เป็นองค์ประกอบของสังคม ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การกระจายอำนาจ การลดความเหลื่อมล้ำ จะไม่ใช่แค่คิดแล้วเสนอ แต่ต้องขับเคลื่อน ใช้เครือข่ายมาเชื่อมโยงการขับเคลื่อนเกื้อหนุนการทำงานกัน ไม่มีลำดับชั้น ทุกคนต้องมาฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และต้องครอบคลุมเครือข่ายทั้งประเทศ
การดำเนินการของกลุ่มแคร์นั้น นอกจากจะใช้โซเชียลมีเดียแล้ว ยังมีการใช้ระบบถ่ายทอดสดผ่านยูทูปและคลับเฮาส์ โดยมีแขกรับเชิญคนสำคัญอย่างอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร มาร่วมรายการอยู่บ่อยครั้ง
ภายหลังการเปิดตัวได้มีการวิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทย ซึ่งดำเนินโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ลักษณะว่าไม่ใช่พรรคที่เป็นความหวังของประชาชนอีกแล้ว ทั้งยังจะเป็นพรรคต่ำร้อย[96]
แต่ภายหลังจากที่มีการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 กลุ่ม CARE ได้รับเชิญให้กลับมาร่วมทำงานกับพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง[97]
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565 พรรคเพื่อไทยเปิดตัวโครงการ “ครอบครัวเพื่อไทย : บ้านหลังใหญ่หัวใจเดิม” ซึ่งเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่พรรคเพื่อไทยออกแบบมาเพื่อลดข้อกำหนดทางกฎหมาย ให้ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองได้อย่างแท้จริง มีการเปิดรับให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกครอบครัวเพื่อไทยได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และต้องการให้สมาชิกครอบครัวเพื่อไทยที่ได้กระจัดกระจายไปก่อนหน้านี้ได้กลับมารวมตัวกัน โดยมอบหมายให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย[98]
ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2565 มีการจัดงาน “ครอบครัวเพื่อไทย ต้อนรับ ‘เขา’ กลับบ้าน” เพื่อต้อนรับณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลับมาเป็นร่วมงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย โดยณัฐวุฒิเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เพื่อเป็นบุคลากรหลักในการทำกิจกรรมที่จัดขึ้นในนามครอบครัวเพื่อไทย[99] จากนั้นเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยแต่งตั้งเศรษฐา ทวีสิน เป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยให้มีอำนาจหน้าที่ ให้คำปรึกษาแก่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย คณะทำงานของพรรคที่รับผิดชอบโครงการดังกล่าว และดำเนินการอื่นใดตามที่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยมอบหมาย[100]
หลังจากพรรคเพื่อไทยนำพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าร่วมรัฐบาล ณัฐวุฒิได้ประกาศยุติบทบาทผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566[101]
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งหรือเกี่ยวข้องกับ |
ชนวนเหตุ
|
พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง
|
องค์กร กลุ่มบุคคล ที่เกี่ยวข้อง
|
การเมืองไทย • ประวัติศาสตร์ไทย |
วรชัย เหมะ และ นิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับ นปช. เป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... (ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ) ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติวาระแรกในเดือนสิงหาคม 2556[102] ต่อมาในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ได้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งมีบุคคลสำคัญ เช่น ถาวร เสนเนียม, สนธิ บุญยรัตนกลิน, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นต้น[103]
ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมาธิการพิจารณา 35 คน ซึ่งจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวกลับมายังสภาฯ เพื่อพิจารณาในวาระสองและสาม คณะกรรมาธิการส่งร่างกฎหมายที่ได้รับการทบทวนแล้วเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2556[104] ร่างกฎหมายดังกล่าวเปลี่ยนจากเดิมที่จะนิรโทษกรรมให้เฉพาะแก่ผู้ชุมนุม ไม่รวมถึงแกนนำการชุมนุม และผู้สั่งการ ซึ่งรวมถึงผู้นำรัฐบาลและทหาร เป็น "นิรโทษกรรมเหมาเข่ง" ซึ่งรวมการนิรโทษกรรมให้ทั้งแกนนำการชุมนุม และผู้สั่งการด้วย ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2547 ถึง 2556 ความผิดที่จะได้รับนิรโทษกรรมนี้รวมข้อกล่าวหาฉ้อราษฎร์บังหลวงของทักษิณ ตลอดจนข้อกล่าวหาฆ่าคนของอภิสิทธิ์และสุเทพด้วย ต่อมา เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 นาย นิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภาได้มีมติไม่รับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้อย่างเป็นเอกฉันท์ 141 เสียง ส่งผลให้ร่างพระราชบัญญัตินี้ถูกยับยั้งไว้ 180 วัน[105]
พรรคเพื่อไทยมีมติขับ สส.ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค 2 ราย[106] ได้แก่
6 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต นวัธ เตาะเจริญสุข สส.ขอนแก่นในขณะนั้น ข้อหาจ้างวานฆ่านายสุชาติ โคตรทุม อดีตปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น เมื่อปี พ.ศ. 2556 ก่อนจะลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตในเวลาต่อมา ส่งผลให้สมาชิกภาพ สส. ของนวัธสิ้นสุดทันที[107] และมีการจัดเลือกตั้งซ่อมในเวลาต่อมา
4 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กคนหนึ่งได้แสดงตนออกมาว่า ตนเคยถูกมนัสนันท์ หลีนวรัตน์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการใน คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรไทย (รัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร)และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปทุมธานี ทำร้ายร่างกายเมื่อปี พ.ศ. 2549 จนเป็นผู้ป่วยติดเตียงเป็นเวลา 2 ปี และมีแผลเป็นบริเวณกะโหลกที่ยุบตัวจนถึงปัจจุบัน[108] นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2565 มนัสนันท์ก็มีคดีทำร้ายร่างกายภรรยาพนักงานขับรถเทศบาลตำบลธัญบุรี จนกระดูกแขนแตก โดยผู้เสียหายแจ้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น มีเพียงแค่โทรศัพท์มาขอโทษเท่านั้น[109] ในเวลาต่อมา มนัสนันท์ได้ออกมาชี้แจง และยอมรับว่าตนได้กระทำจริง โดยคดีแรกได้รับโทษจากสถานพินิจจนครบกำหนดแล้ว ส่วนคดีที่สองชี้แจงว่าเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งตนเองไม่มีเจตนาทำร้ายหญิงผู้เสียหาย หลังเกิดเหตุได้ยอมรับผิดและชดใช้ค่าเสียหาย รวมไปถึงศาลได้มีคำพิพากษาให้รอการลงโทษ และคดีถึงที่สุดแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ยังได้กล่าวอีกว่า ประเด็นของตนได้มีการเผยแพร่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องของการหวังผลทางการเมือง เพื่อต้องการทำลายคะแนนนิยมของตนหรือไม่ ซึ่งข่าวที่กล่าวมาข้างต้นทำให้พรรคเพื่อไทยถูกตั้งคำถามว่า มีมาตรฐานคัดผู้สมัครอย่างไร ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคในขณะนั้น ออกมาแถลงว่า เข้าใจในความรู้สึกของคู่กรณี แต่เรื่องผู้สมัครของพรรคได้โพสต์แสดงความรับผิดชอบ ความรู้สึก ขอโทษในเหตุการณ์ที่ผ่านมา เรื่องนี้ตนคิดว่าประชาชนให้อภัย ขณะที่เป็น สจ.ก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จนพรรคได้คัดเลือกให้เป็นผู้สมัคร ฉะนั้นพรรคมั่นใจว่าเรื่องดังกล่าวไม่กระทบการเลือกตั้ง[110]
15 มิถุนายน พ.ศ. 2566 มีเอกสารที่นำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ครั้งที่ 1 ปรากฏว่ามี ว่าที่ สส.ที่ประกาศผลรับรอง 329 คน ขณะที่มี 71 เขต ที่มีเรื่องร้องคัดค้าน มีรายงานว่า เอกสารดังกล่าวอาจเป็นเอกสารสรุปของฝ่ายปฏิบัติการ แจ้งเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ที่ยังไม่ได้นำเสนอต่อที่ประชุม กกต.[111] โดยพรรคเพื่อไทยถูกร้องคัดค้านทั้งสิ้น 20 คน ซึ่งถือเป็นอันดับสองรองลงมาจากพรรคภูมิใจไทย โดยมีดังนี้
ลำดับ | รายชื่อ สส. | เขตที่ลงเลือกตั้ง | ข้อกล่าวหา | สถานะปัจจุบัน |
---|---|---|---|---|
1 | อัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ | กาญจนบุรี เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
2 | ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ | กาญจนบุรี เขต 4 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
3 | ศักดิ์ชาย ตันเจริญ | ฉะเชิงเทรา เขต 3 | ใช้อาชีพพิธีกรของ คชาภา ตันเจริญ พี่ชายของตน ปราศรัยหาเสียงเอื้อประโยชน์ จูงใจคนลงคะแนนเลือกตั้ง |
ยังดำรงตำแหน่ง (ยกคำร้อง)[112] |
4 | ศิวะ พงศ์ธีระดุลย์ | ชัยภูมิ เขต 5 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
5 | ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ | นครพนม เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
6 | มนพร เจริญศรี | นครพนม เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
7 | สมเกียรติ ตันดิลกตระกูล | นครราชสีมา เขต 5 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
8 | อภิชา เลิศพชรกมล | นครราชสีมา เขต 10 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
9 | นรเสฎฐ์ ศิริโรจนกุล | นครราชสีมา เขต 12 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
10 | ไชยวัฒนา ติณรัตน์ | มหาสารคาม เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
11 | เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล | เลย เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
12 | ศรัณย์ ทิมสุวรรณ | เลย เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
13 | สมเจตน์ แสงเจริญรัตน์ | เลย เขต 4 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
14 | ธเนศ เครือรัตน์ | ศรีสะเกษ เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
15 | สุรชาติ ชาญประดิษฐ์ | ศรีสะเกษ เขต 2 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
16 | วรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ | อุบลราชธานี เขต 1 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
17 | กิตติ์ธัญญา วาจาดี | อุบลราชธานี เขต 4 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
18 | สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ | อุบลราชธานี เขต 7 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
19 | พัฒนา สัพโส | สกลนคร เขต 4 | โพสต์หาเสียงเกินเวลาในเฟซบุ๊ก[113] | ยังดำรงตำแหน่ง |
20 | สรวงศ์ เทียนทอง | สระแก้ว เขต 3 | ยังดำรงตำแหน่ง | |
แต่ถึงกระนั้น กกต. ก็ประกาศรับรอง สส. ทั้ง 500 คนก่อน โดยได้ชี้แจงว่าจะดำเนินการพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทยพร้อมกับพรรคการเมืองอีก 10 พรรคจำนวน 314 เสียงได้แถลงข่าวร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลที่รัฐสภา พร้อมเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคต่อรัฐสภาในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 ในวันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566[114] ซึ่งในพรรคการเมืองที่ร่วมจัดตั้งนี้ นอกจากจะมีพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคที่ถูกวิจารณ์การเรื่องควบคุมสถานการณ์การระบาดทั่วของโควิด-19 ในระดับที่ไม่เป็นที่พอใจ และเคยถูกพรรคเพื่อไทยโจมตีด้วยการจัดแคมเปญ "ไล่หนูตีงูเห่า" ในภาคอีสานตอนล่าง โดยเฉพาะจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565[115] แล้ว ยังมีพรรคพลังประชารัฐกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งถูกมองว่าเป็นพรรคสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่กระทำการรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทยในขณะนั้นอีกด้วย
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้มีแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยติดเทรนด์ในเอ็กซ์ เช่น #เพื่อไทยตระบัดสัตย์ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการจัดตั้งรัฐบาลดังกล่าว[116] และ #ชลน่านลาออกกี่โมง เพื่อเรียกร้องให้นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว ลาออกจากหัวหน้าพรรคหลังจากเคยประกาศเมื่อตอนหาเสียงว่าจะลาออกหากจับมือกับพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ[117] ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ที่นิยมชมชอบพรรคเพื่อไทยและสมาชิก นปช. จำนวนหนึ่ง ออกมาเทของ[118] และทำลายของสะสมที่เกี่ยวข้องกับ นปช.[119] และมีการประท้วงจากกลุ่มผู้ชุมนุมทะลุวังที่หน้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย โดยการสาดเลือดหมู จุดไฟเผาหุ่น[120]
นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคเพื่อไทยยกเลิกบันทึกความเข้าใจจัดตั้งรัฐบาลที่ทำร่วมกับพรรคก้าวไกล แล้วนำพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลแทน ได้ทยอยยุติการร่วมงานทางการเมืองกับพรรค ดังนี้
ต่อมาเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 16.00 น. นายแพทย์ชลน่าน ได้แถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อแสดงความรับผิดชอบตามที่เคยประกาศไว้ ส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคที่เหลือพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ยังรักษาการคณะกรรมการบริหารพรรคต่อไป ยกเว้นหัวหน้าพรรค ที่คณะกรรมการบริหารพรรคได้มีมติแต่งตั้งให้ รองศาสตราจารย์ ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค ขึ้นรักษาการหัวหน้าพรรคแทน[73] และกรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการพ้นจากตำแหน่งหลังจากการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566
แม้จะมีความขัดแย้งร่วมกันมานับยี่สิบปี ตั้งแต่การเป็นคู่ตรงข้ามกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร สมัยพรรคไทยรักไทย และยังคงมีความขัดแย้งร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็นการคว่ำบาตรการเลือกตั้งสองหน (พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2557), การตั้ง กปปส. เพื่อขับไล่รัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนเป็นต้นเหตุให้เกิดการรัฐประหาร พ.ศ. 2557 เป็นต้น
แต่หลังจากการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 มีสัญญาณจาก สส.ในพรรคบางกลุ่ม ที่มีความประสงค์จะร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เริ่มตั้งแต่การลงมติเห็นชอบให้ เศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้มติพรรคจะให้งดออกเสียง
วันที่ 28 สิงหาคม สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางไปยังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์เพื่อส่งหนังสือเทียบเชิญพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการ โดยให้เหตุผลว่ามีอุดมการณ์ร่วมกัน [124] เดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความขัดแย้งใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความรักความเข้าใจและการให้อภัยกับพรรคเพื่อไทย ส่วนการพูดคุยกับผู้สนับสนุนของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีที่แล้วกับวันนี้ สถานการณ์ทางการเมืองไม่เหมือนกัน ปัญหาของประเทศก็ไม่เหมือนกัน รวมถึงแนวคิดในการพัฒนาประเทศก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ทั้งสองพรรคเข้ากันได้และเดินหน้าไปด้วยกันถือเป็นสิ่งที่ดีงาม[125]
นอกจากนี้ยังมีอดีตแกนนำ นปช. ให้การสนับสนุนวาระดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น วรชัย เหมะ ที่ให้สัมภาษณ์ว่า ตนมองว่าเป็นความจำเป็น เพราะด้วยเงื่อนไขสถานการณ์และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะให้คนตั้งรัฐบาลทำอย่างไร ถึงจะบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ในยุคของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สลายม็อบคนเสื้อแดง แต่ตนมองว่านายอภิสิทธิ์ไม่ได้อยู่พรรคประชาธิปัตย์แล้ว และพรรคในวันนี้เป็นคนรุ่นใหม่ผลัดใบ เป็นคนละกลุ่มกับแกนนำรุ่นเก่า อีกทั้ง เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคในปัจจุบัน ไม่มีส่วนร่วมในการสลายม็อบคนเสื้อแดง แม้จะมีความรู้สึกถึงการสลายม็อบ 99 ศพ รวมถึงความเจ็บปวดของคนเสื้อแดง แต่เราต้องแยกคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ และต้องเห็นใจรัฐบาล ที่ต้องเพิ่มเสียงเพื่อความมั่นคง[126] และยังมี ก่อแก้ว พิกุลทอง ที่แสดงความเห็นด้วย[127]
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับอดีต สส.ของพรรค เช่น ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีต สส.เชียงใหม่ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งปัจจุบันย้ายไปสังกัดพรรคประชาชน แสดงความคิดเห็นผ่านทวิตเตอร์ว่า "ปี 53 ที่ตายนั่นเค้าคือ มนุษย์ นะคะ"[128] รวมถึงยังมีการวิพากษ์วิจารณ์จากอดีตประธานและแกนนำ นปช. ที่เป็นฝ่ายคัดค้านถึง 3 คน เช่น นพ.เหวง โตจิราการ, ธิดา ถาวรเศรษฐ และ จตุพร พรหมพันธุ์
จากการที่เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรียกรักษาการรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 ที่เหลืออยู่หลังการถอดถอนเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันเดียวกัน[129] รวมถึงแกนนำจากพรรคการเมืองหลักของฝ่ายรัฐบาลที่มีสมาชิกพรรคเป็นรัฐมนตรี ซึ่งมีจำนวน 6 พรรค คือ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคประชาชาติ เข้าพบที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อประชุมเรื่องการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในการลงมติในอีกสองวันถัดมา[130] ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรคการเมืองเหล่านี้ถูกทักษิณครอบงำ
เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2567 นพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 เข้ายื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อพิจารณาส่งเรื่องต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองจำนวน 6 พรรคดังกล่าว โดยระบุว่า การเดินทางเข้าพบทักษิณของแกนนำทั้ง 6 พรรค เป็นการยินยอมให้ทักษิณซึ่งเป็นบุคคลนอกพรรคครอบงำการดำเนินงานของพรรค ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 21, 28, 29 และมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3)[131]
พรรคเพื่อไทยเคยมีสมาชิกพรรคที่ลาออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ หรือย้ายไปเป็นกรรมการบริหารพรรค โดยมีดังนี้
พรรคการเมืองที่แยกจากเพื่อไทย เพื่อแก้ยุทธศาสตร์การเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 มีดังนี้[132]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.