ประเทศอินเดีย
ประเทศในทวีปเอเชีย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ประเทศในทวีปเอเชีย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อินเดีย (อังกฤษ: India) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐอินเดีย (อังกฤษ: Republic of India, ฮินดี: भारत गणराज्य, ภารตคณราชย) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียใต้ กินพื้นที่ส่วนใหญ่ในอนุทวีปอินเดีย เป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่1ของโลก และยังเป็นประเทศประชาธิปไตยใหญ่ที่สุดในโลกและมีประชากรมากที่สุดในโลก (ประมาณ 1,400 ล้านคน)[24][25][26] มีอาณาเขตทางทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทางตะวันออกติดพม่า ทางตะวันตกเฉียงใต้จรดมหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดศรีลังกา ล้อมรอบบังกลาเทศทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก และยังมีเขตแดนทางทะเลต่อเนื่องกับน่านน้ำไทย พม่า และอินโดนีเซีย และด้วยพื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร อินเดียจึงเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก[27] มีเมืองหลวงคือนิวเดลี
สาธารณรัฐอินเดีย Bhārat Gaṇarājya (ดูชื่อท้องถิ่น) | |
---|---|
พื้นที่ที่ควบคุมแสดงในสีเขียวเข้ม ส่วนบริเวณที่อ้างสิทธิ์แต่มิได้ควบคุมแสดงในสีเขียวอ่อน | |
เมืองหลวง | นิวเดลี 28°36′50″N 77°12′30″E |
เมืองใหญ่สุด | |
ภาษาราชการ | |
ไม่มี[8][9][10] | |
ภาษาแม่ | 447 ภาษา[c] |
ศาสนา (2024) | |
เดมะนิม | ชาวอินเดีย |
การปกครอง | สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ ระบอบรัฐสภาแบบสหพันธรัฐ |
เทราปที มุรมู | |
• รองประธานาธิบดี | ชัคดีป ธังคาร์ |
นเรนทระ โมที | |
• ผู้พิพากษาสูงสุด | ธนัญชยะ วาย. จันทรจูฑ[15] |
• ประธานโลกสภา | โอม พิรลา |
สภานิติบัญญัติ | รัฐสภา |
• สภาสูง | ราชยสภา |
• สภาล่าง | โลกสภา |
เป็นเอกราช | |
15 สิงหาคม ค.ศ. 1947 | |
26 มกราคม ค.ศ. 1950 | |
พื้นที่ | |
• รวม | 3,287,263[2] ตารางกิโลเมตร (1,269,219 ตารางไมล์)[d] (อันดับที่ 7) |
9.6 | |
ประชากร | |
• 2022 ประมาณ | 1,375,586,000[16] (อันดับที่ 2) |
• สำมะโนประชากร ค.ศ. 2011 | 1,210,854,977[17][18] (อันดับที่ 2) |
427.2 ต่อตารางกิโลเมตร (1,106.4 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 19) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | ค.ศ. 2022 (ประมาณ) |
• รวม | 11.665 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[19] (อันดับที่ 3) |
• ต่อหัว | 8,293 ดอลลาร์สหรัฐ[19] (128) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | ค.ศ. 2022 (ประมาณ) |
• รวม | 3.469 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[19] (อันดับที่ 5) |
• ต่อหัว | 2,466 ดอลลาร์สหรัฐ[19] (อันดับที่ 142) |
จีนี (ค.ศ. 2011) | 35.7[20][21] ปานกลาง · อันดับที่ 98 |
เอชดีไอ (ค.ศ. 2021) | 0.633[22] ปานกลาง · อันดับที่ 132 |
สกุลเงิน | รูปีอินเดีย (₹) (INR) |
เขตเวลา | UTC+05:30 (เวลามาตรฐานอินเดีย) |
ไม่สังเกตเวลาออมแสง | |
รูปแบบวันที่ |
|
ไฟบ้าน | 230 โวลต์–50 เฮิร์ซ |
ขับรถด้าน | ซ้าย[23] |
รหัสโทรศัพท์ | +91 |
รหัส ISO 3166 | IN |
โดเมนบนสุด | .in (อื่น ๆ) |
มนุษย์ยุคใหม่เริ่มเข้ามาตั้งรกรากในอนุทวีปอินเดียเมื่อประมาณ 55,000 ปีที่แล้ว[28] โดยเลี้ยงชีพด้วยการทำเกษตรกรรมและล่าสัตว์ และอนุทวีปอินเดียถือเป็นบริเวณที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากที่สุดรองจากทวีปแอฟริกา[29] ผู้คนเริ่มรวมตัวกันเป็นสังคมเมื่อ 9,000 ปีที่แล้วบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ ประมาณ 1,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช ภาษาสันสกฤตโบราณซึ่งเป็นตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม ได้แพร่กระจายไปยังอินเดียจากแถบตะวันตกเฉียงเหนือ[30] และประมาณ 400 ปี ก่อนคริสต์ศักราช อิทธิพลของศาสนาฮินดูได้ก่อให้เกิดระบบชนชั้นวรรณะในอินเดีย ตามมาด้วยการแพร่หลายของศาสนาพุทธและศาสนาเชน การรวมกลุ่มทางการเมืองก่อให้เกิดราชวงศ์โมริยะและจักรวรรดิคุปตะซึ่งตั้งอยู่ในลุ่มน้ำคงคา ในยุคนั้นเพศชายมีบทบาทหลักในการพัฒนาประเทศ แต่สตรีเพศยังคงถูกจำกัดเสรีภาพในสังคม[31] วิถีชีวิตในสังคมของประชากรในอินเดียตอนใต้ยังได้ขยายอิทธิพลไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งวัฒนธรรมทางศาสนาและภาษาตระกูลดราวิเดียน[32]
ในยุคกลางตอนต้น ศาสนาคริสต์, อิสลาม, ยูดายห์ และซาราธุสตรา ได้รับอิทธิพลมาจากชายฝั่งทางใต้และตะวันตกของอินเดีย กองทัพมุสลิมจากเอเชียกลางเข้ายึดที่ราบทางเหนือของอินเดียและได้ก่อตั้งรัฐสุลต่านเดลี และผนวกอินเดียตอนเหนือเข้าสู่เครือข่ายสากลของอิสลามยุคกลาง ในศตวรรษที่ 15 จักรวรรดิวิชัยนครได้สร้างวัฒนธรรมฮินดูผสมผสานขึ้นในอินเดียตอนใต้ ศาสนาซิกข์ได้ถือกำเนิดขึ้นในรัฐปัญจาบ ต่อมาใน ค.ศ. 1526 จักรวรรดิโมกุลได้ปกครองประเทศเป็นเวลากว่าสองศตวรรษ และทิ้งมรดกทางสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าเอาไว้ถึงปัจจุบัน[33][34] ต่อมา การปกครองของบริษัทในอินเดียโดยสหราชอาณาจักรได้เข้ามามีบทบาทหลัก ส่งผลให้อินเดียกลายเป็นประเทศอาณานิคมที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ระดับโลกแต่ยังคงรักษาอำนาจอธิปไตยของตนไว้ การปกครองของบริติชราชเริ่มต้นใน ค.ศ. 1858 และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาประเทศเข้าสู่ยุคใหม่[35] โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการศึกษาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ต่อมา ขบวนการชาตินิยมได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีอุดมการณ์ในการต่อต้านการปกครองของต่างชาติ[36] ซึ่งนำไปสู่การยุติการปกครองของสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1947 จักรวรรดิบริติชอินเดียนถูกแบ่งออกเป็นสองอาณาจักรอิสระได้แก่ อาณาจักรฮินดูที่ส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย และปากีสถานซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมท่ามกลางการอพยพของประชากรจำนวนมากซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในทวีปเอเชีย[37][38]
อินเดียเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐมาตั้งแต่ ค.ศ. 1950 ปกครองด้วยระบบรัฐสภาแบบประชาธิปไตย เป็นสังคมพหุนิยมซึ่งประกอบไปด้วยความหลากหลายทางภาษาและเชื้อชาติ ประชากรของอินเดียเพิ่มขึ้นจาก 361 ล้านคนใน ค.ศ. 1951 เป็น 1.2 พันล้านใน ค.ศ. 2011[39] ในช่วงเวลาเดียวกัน รายได้ต่อหัวของประชากรได้เพิ่มขึ้นจาก 64 ดอลลาร์ เป็น 1,498 ดอลลาร์ต่อปี และอัตราการรู้หนังสือเพิ่มขึ้นจาก 16.6% เป็น 74% จากการเป็นประเทศที่ยากจนใน ค.ศ. 1951 อินเดียได้กลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นศูนย์กลางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากการมีกลุ่มชนชั้นกลางที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในประเทศ[40] อินเดียยังมีโครงการอวกาศซึ่งรวมถึงภารกิจนอกโลกทั้งที่วางแผนไว้และสำเร็จแล้วหลายภารกิจ[41][42][43] และยังมีชื่อเสียงในด้านวงการบันเทิง รวมทั้งคำสอนทางจิตวิญญาณและศาสนาของอินเดียได้มีบทบาทต่อวัฒนธรรมโลก[44] อินเดียได้ลดอัตราความยากจนลงอย่างมาก แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมที่เพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบัน[45] อินเดียมีค่าใช้จ่ายด้านการทหารสูง และมีปัญหาข้อพิพาทบริเวณแคชเมียร์กับปากีสถานและจีนมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 ปัญหาหลักในปัจจุบันของอินเดีย ได้แก่ ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ, ภาวะทุพโภชนาการในเด็ก และระดับมลพิษทางอากาศที่เพิ่มสูงขึ้น[46] อินเดียยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์โดยพื้นที่ป่าไม้คิดเป็นเนื้อที่กว่า 21.7% ของประเทศ[47] และมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด[48]
อ้างอิงจากพจนานุกรมภาษาอังกฤษของอ็อกซ์ฟอร์ด (ฉบับที่สาม ปี 2009) ชื่อประเทศ "อินเดีย" มาจากภาษาละติน India ซึ่งหมายถึงภูมิภาคเอเชียใต้และภูมิภาคอื่น ๆ ทางตะวันออก และบางหลักฐานยังชี้ให้เห็นว่าคำนี้มีที่มาจากภาษากรีกคอยนี Ἰνδία; และภาษากรีกโบราณ Ἰνδός ซึ่งใช้เรียกบริเวณตะวันออกของอาณาจักร และยังหมายถึง "ชาวสินธุ" ซึ่งเป็นการกล่าวถึงผู้คนบริเวณอนุทวีปอินเดียที่เข้ามาตั้งรกรากบริเวณแม่น้ำสินธุ[49][50]
นอกจากนี้ยังมีการใช้คำว่า Hindustan ซึ่งเป็นภาษาเปอร์เซียกลาง เพื่อใช้เรียกประเทศอินเดียซึ่งเริ่มมีการใช้ในสมัยจักรวรรดิโมกุล โดยคำว่า Hindustan มีความหมายหลากหลาย แต่นักภาษาศาสตร์สากลได้นิยามว่าหมายถึงภูมิภาคทั้งหมดที่ครอบคลุมบริเวณอินเดียตอนเหนือและประเทศปากีสถานในปัจจุบัน แต่ในบางครั้งคำนี้สามารถสื่อถึงแผ่นดินอินเดียทั้งประเทศได้เช่นกัน[51][52]
ประเทศอินเดียเกิดขึ้นบนอนุทวีปอินเดีย (Indian subcontinent) ซึ่งตั้งอยู่บนบริเวณแผ่นเปลือกโลกอินเดีย (Indian tectonic plate) ซึ่งในอดีตนั้นเคยเชื่อมอยู่กับแผ่นออสเตรเลีย[53] การรวมตัวทางภูมิศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศอินเดียนั้นเกิดขึ้นราว 75 ล้านปีก่อน เมื่ออนุทวีปอินเดียซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของมหาทวีปแห่งตอนใต้[54] คือ มหาทวีปกอนด์วานา (Gondwana) ได้เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านที่บริเวณมหาสมุทรอินเดียซึ่งในขณะนั้นยังไม่เกิดขึ้น โดยกินเวลารวมทั้งหมดประมาณ 55 ล้านปี หลังจากนั้นอนุทวีปอินเดียนได้ชนเข้ากับแผ่นทวีปยูเรเชีย อันเป็นที่มาของการเกิดเทือกเขาที่มีความสูงที่สุดในโลก คือ เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งอยู่บริเวณภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ตอนใต้ของเทือกเขาซึ่งเคยเป็นท้องทะเลอันกว้างขวางได้ค่อย ๆ กลายมาเป็นผืนดินราบลุ่มแม่น้ำอันกว้างใหญ่ ทำให้เกิดเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ-คงคา (Indo-Gangetic Plain) ทางภาคตะวันตกนั้นติดกับทะเลทรายธาร์ ซึ่งถูกกั้นกลางด้วยทิวเขาอะราวัลลี[55]
อนุทวีปอินเดียนั้นได้คงอยู่จนกลายมาเป็นคาบสมุทรอินเดียในปัจจุบัน[56] ซึ่งจัดเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดทางธรณีวิทยา และยังเป็นบริเวณที่มีความคงที่ทางภูมิศาสตร์ที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดีย โดยกินพื้นที่กว้างขวางจรดเทือกเขาสัทปุระ (Satpura) ทางตอนใต้ และเทือกเขาผิงอ ในภาคกลางของอินเดีย โดยมีลักษณะคู่ขนานกันไปจรดชายฝั่งทะเลอาหรับในรัฐคุชราตทางทิศตะวันตก และที่ราบสูงโชตนาคปุระ (Chota Nagpur Plateau) ที่เต็มไปด้วยแร่รัตนชาติในรัฐฌาร์ขัณฑ์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนทิศใต้นั้นประกอบด้วยแผ่นดินคาบสมุทรบนที่ราบสูงเดกกัน (Deccan Plateau) ซึ่งถูกขนาบโดยเทือกเขาริมทะเลทั้งสองฝั่งที่เรียกว่า เทือกเขากัทส์ทิศตะวันตก และตะวันออก(Western and Eastern Ghats) ในบริเวณนี้จะพบหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย ซึ่งมีอายุถึง 1 พันล้านปี
ชายฝั่งของอินเดียนั้นมีระยะทางประมาณ 7,517 กิโลเมตร (4,700 ไมล์) แบ่งเป็นระยะทางบนคาบสมุทรอินเดีย 5,423 กิโลเมตร (3,400 ไมล์) และ 2,094 กิโลเมตร (1,300 ไมล์) ในหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์และลักษทวีป จากแผนที่ทะเลของอินเดียนั้น ชายฝั่งบนแผ่นดินใหญ่ของอินเดียประกอบด้วยหาดทรายถึง 43% กรวดและหิน 11% รวมถึงหน้าผา และ 46% เป็นดินเลนและโคลน
แม่น้ำในอินเดียแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภทคือ แม่น้ำจากเทือกเขาเอเวอเรส แม่น้ำคาบสมุทรเดคคาน แม่น้ำชายฝั่ง และแม่น้ำในดินแดนภายในแม่น้ำหิมาลัย ปกติจะเกิดจากน้ำที่ละลายมาจากหิมะ ในภาคเหนือของอินเดีย ดังนั้น แม่น้ำเหล่านี้จะมีน้ำไหลเต็มที่อยู่ตลอดเวลา และมีความลาดชันค่อนข้างต่ำ ในฤดูมรสุมเมื่อฝนตกมาก แม่น้ำเหล่านี้จะรับน้ำไว้ได้ไม่หมด จึงทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่อยู่เสมอ ส่วนแม่น้ำในคาบสมุทรเดคคาน โดยปกติได้น้ำจากน้ำฝน ดังนั้นปริมาณน้ำในแม่น้ำดังกล่าว จึงมักจะมากน้อยไม่แน่นอน อีกทั้งมีความลาดชันลดหลั่นลง จึงรับน้ำได้มาก และช่วยระบายน้ำในฤดูมรสุมอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำย่อย ๆ ซึ่งไม่มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำทั้งสองประเภทดังกล่าว และอยู่ตามชายฝั่งโดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก จะมีเส้นทางสั้น ๆ และมีขนาดแคบ จึงรับน้ำได้ในปริมาณจำกัด สำหรับแม่น้ำในดินแดนภายใน เป็นลำน้ำเล็ก ๆ ไม่มีทางออกทะเล ปลายทางของแม่น้ำหากไม่ไหลลงแอ่งน้ำ ทะเลสาบ ก็จะเหือดแห้งไปในทะเลทรายธาร์
ระบบแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียคือ แม่น้ำคงคา (Ganges) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำสาขาในระบบแม่น้ำคงคาคือ แม่น้ำยมนา แม่น้ำกากรา แม่น้ำกันดัค และแม่น้ำโคสิ บริเวณผืนดินที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาจัดได้ว่ามีความอุดมสมบูรณ์ และกว้างใหญ่ที่สุด โดยเป็นบริเวณกว้างถึงหนึ่งในสี่ของประเทศ นอกจากนั้นยังมีแม่น้ำพรหมบุตร ซึ่งมีความสำคัญรองลงมา มีสาขามากมาย ซึ่งไหลผ่านพื้นที่ส่วนใหญ่ของอินเดีย โดยไปสุดที่อ่าวเบงกอลเช่นเดียวกับแม่น้ำคงคา[57]
ส่วนลุ่มน้ำของระบบแม่น้ำอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ รองลงมาได้แก่ ลุ่มแม่น้ำโคธาวารีนาเลีย (Godavari) ในเขตที่ราบสูงเดคคาน ระบบน้ำตาปี (Tapi) ในภาคเหนือ และระบบน้ำเพนเนอร์ (Penner) ในภาคใต้ การที่อินเดียถูกแวดล้อมด้วยพรมแดนธรรมชาติรอบด้าน คือมีทั้งภูเขาและฝั่งทะเลเป็นพรมแดน ได้แยกอินเดียออกจากส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชีย ทำให้อินเดียตั้งอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อวิถีชีวิตของชาวอินเดีย ทำให้ชาวอินเดียมีอารยธรรมและวัฒนธรรมที่มีลักษณะของตนเองโดยเฉพาะ และในโอกาสเดียวกัน พรมแดนธรรมชาติดังกล่าว ช่วยให้สามารถรักษาวัฒนธรรมของตนให้สืบเนื่องตลอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน
สภาพอากาศของอินเดียนั้นได้รับอิทธิพลจากสองแหล่งใหญ่ ๆ คือเทือกเขาหิมาลัย และทะเลทรายธาร์ ทำให้มีทั้งฤดูร้อนอันอบอุ่น และฤดูหนาวที่มีมรสุม เทือกเขาหิมาลัยนั้นมีบทบาทมากในการป้องกันลมพัดลงลาดเขา (Katabatic wind) ทำให้บริเวณส่วนใหญ่ของประเทศนั้นอบอุ่นกว่าประเทศอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ในละติจูดเดียวกัน ส่วนทะเลทรายธาร์นั้นก็มีบทบาทในการขับเคลื่อนความชื้นของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งลมมรสุมนี้เองที่ทำให้ทุกปี ๆ ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมนั้นมีฝนกรดตกในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
จากการแบ่งเขตภูมิอากาศนั้น อินเดียประกอบด้วยภูมิอากาศหลัก ๆ 4 แบบได้แก่ แบบเขตร้อนชื้น (tropical wet), แบบเขตร้อนแห้งแล้ง (tropical dry), แบบอบอุ่นชื้น (subtropical humid), และแบบเทือกเขาสูง (montanr)[58]
ประวัติศาสตร์ของประเทศอินเดียมีต้นกำเนิดมาจากลุ่มแม่น้ำสินธุ[59] ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมแรกของอินเดียที่รุ่งเรืองเมื่อประมาณ 2,600 ปีถึง 1,900 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาเมื่อประมาณ 2,000 ถึง 15,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอินโด-อารยันจากเอเชียกลางอพยพ เข้ามาในอินเดีย และพบกับอารยธรรมสินธุ ทั้งสองอารยธรรมได้ผสมผสานรวมกันเป็นอารยธรรมพระเวทโดยหลักฐานที่สำคัญที่สุดของอารยธรรมนี้คือ คัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นวรรณกรรมทางศาสนาในภาษาสันสกฤต และเป็นรากฐานของศาสนาฮินดู ระบบกฎหมายและการปกครอง ตลอดจนขนบธรรมมเนียมประเพณีของ ชาวอินเดีย อันเป็นที่มาของชื่อยุคพระเวทคัมภีร์ฤคเวทเป็นพระเวทที่เก่าแก่ที่สุด ต่อมาจึงมีคัมภีร์ยชุรเวท สามเวทอาถรรพเวท และมหากาพย์ทั้งหลายซึ่งได้แก่ รามายณะและมหาภารตะ ซึ่งถือกำเนิดในช่วงประมาณพุทธกาลตอนปลายสมัยพระเวท ชาวอารยันในอินเดียอยู่กันเป็นเผ่า เลี้ยงสัตว์เร่ร่อน แต่ต่อมาเริ่มรู้จักเพาะปลูกตั้งรกราก มีการค้าขายทำให้บางเผ่ารวบรวมตั้งตนเป็นอาณาจักรใหญ่ได้และเริ่มมีระบบวรรณะชัดเจน[60]
ต่อมา อารยธรรมอิสลามได้เริ่มขยายอิทธิพลเข้ามาในอินเดียตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 โดยพ่อค้ามุสลิมจากตะวันออกกลางและจักรวรรดิอาหรับได้ส่งกองทัพมาโจมตีแคว้นซินด์ (ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน) จักรวรรดิที่มีความยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น คือ จักรวรรดิโมกุล (คริสต์ศตวรรษที่ 16-18) เป็นสมัยที่มีการแพร่ขยายอิทธิพลวัฒนธรรมโมกุลอย่างกว้างขวางทั้งในด้านการปกครอง ภาษา ศิลปะ สถาปัตยกรรม และศาสนาอิสลาม[61]
ในสมัยของจักรพรรดิออรังเซพ (Aurangzeb) ซึ่งเป็นผู้เคร่งศาสนาอิสลามได้ออกกฎหมายที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมและเป็นเหตุให้ชาวอินเดียต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิเมื่อสิ้นอำนาจของพระองค์ จักรวรรดิโมกุลก็ค่อย ๆแตกแยกและเสื่อมลง เป็นโอกาสให้อังกฤษเข้ามามีอำนาจแทนที่อังกฤษเริ่มเข้าไปมีอิทธิพลในอนุทวีปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยเข้าไปการค้าขายพร้อม ๆ กับการเข้าไปครอบครองดินแดนและแทรกแซงการเมืองท้องถิ่น
จนกระทั่งอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษในปี 1877 โดยมีสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดินีแห่งอินเดีย หลังจากการรณรงค์ต่อสู้กับการปกครองของอังกฤษมาเป็นเวลานาน ภายใต้การนำของมหาตมา คานธี และ ชวาหะร์ลาล เนห์รู อินเดียจึงได้รับเอกราชและร่วมเป็นสมาชิกอยู่ภายใต้เครือจักรภพเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2490 โดยยังมีพระมหากษัตริย์ของอังกฤษเป็นประมุข และทรงแต่งตั้งข้าหลวงใหญ่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ ต่อมาในวันที่ 26 มกราคม 1947 ได้มีการสถาปนาสาธารณรัฐอินเดียโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และนายชวาหะร์ลาล เนห์รู ดำรงตำแหน่งประธานมนตรีคนแรก[62]
การปกครองของอินเดียเป็นระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา แยกศาสนาออกจากการเมือง แบ่งอำนาจการปกครองเป็นสาธารณรัฐ (Secular Democratic Republic with a parliamentary system) แบ่งเป็น 29 รัฐ และดินแดนสหภาพ (Union Territories) อีก 7 เขต[63]
การปกครองของอินเดียมีรัฐธรรมนูญเป็นแม่บท มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และประมุขของฝ่ายบริหารตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่อำนาจในการบริหารที่แท้จริงอยู่ที่ประธานมนตรี ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นาย ราม นาถ โกวินท์ เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2017 ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 13 ส่วนประธานมนตรีคนปัจจุบันคือนายนเรนทระ โมที (Narendra Modi) เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2014 ในฐานะประธานมนตรีคนที่ 15[64] โดยประธานมนตรี เป็นผู้ที่มีอำนาจในการบริหารอย่างแท้จริง ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี (Council of Ministers) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยการเสนอแนะของประธานมนตรี คณะรัฐมนตรีประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการ (Cabinet Ministers) รัฐมนตรีที่ขึ้นตรงต่อประธานมนตรี (Ministers of State – Independent Charge) และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (Ministers of State)[65]
รัฐบาลอินเดียชุดปัจจุบันมี 66 คน ประกอบด้วย ประธานมนตรี 1 คน รัฐมนตรีว่าการ (Cabinet Ministers) 26 คน และรัฐมนตรีที่ขึ้นตรงต่อประธานมนตรี (Ministers of State with Independent Charge) และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (Ministers of State) 39 คน รวม 66 คน[66]
ระบบรัฐสภา ประกอบด้วยราชยสภา (Rajya Sabha) เป็นสภาสูง มีสมาชิกจำนวน 245 คน สมาชิกส่วนใหญ่ มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม อีกส่วนมาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี และโลกสภา (Lok Sabha) เป็นสภาล่าง มีสมาชิกจำนวน 545 คน สมาชิกจำนวน 543 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและอีก 2 คน มาจากการคัดเลือกของประธานาธิบดี จากกลุ่มอินโด-อารยันในประเทศอยู่ในวาระคราวละ 5 ปี เว้นเสียแต่จะมีการยุบสภา[67]
อำนาจตุลาการเป็นอำนาจอิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ปกป้องและตีความรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา (Supreme Court) เป็นศาลสูงสุดของประเทศ ผู้พิพากษาประจำศาลฎีกา มีจำนวนไม่เกิน 25 คน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ในระดับรัฐ มีศาลสูง (High Court) ของตนเองเป็นศาลสูงสุดของแต่ละรัฐ รองลงมาเป็นศาลย่อย (Subordinate Courts) ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ อย่างไรก็ตาม อำนาจตุลาการของรัฐอยู่ภายใต้ศาลฎีกาซึ่งมีอำนาจสูงสุด[68]
ศาลอินเดียแบ่งเป็นสามชั้น ประกอบด้วย ศาลสูงสุด (Supreme Court) นำโดย ประธานศาลสูงสุดแห่งอินเดีย (Chief Justice of India), ศาลสูง (High Courts) ยี่สิบเอ็ดศาล เป็นศาลชั้นอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นอีกจำนวนมาก ศาลสูงสุดมีเขตอำนาจชำระคดีเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน, ข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับส่วนกลาง และคดีที่อุทธรณ์มาจากศาลสูง กับทั้งการตีความรัฐธรรมนูญ
อินเดียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 28 รัฐ (States) (ซึ่งแบ่งย่อยลงเป็นเขต) และ 9 ดินแดนสหภาพ (Union Territories) ได้แก่
รัฐ
|
|
ดินแดนสหภาพ
|
ในปี 1950 อินเดียสนับสนุนการปลดปล่อยอาณานิคมในแอฟริกาและเอเชียอย่างแข็งขัน[69] และมีบทบาทสำคัญในขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด อินเดียมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับเพื่อนบ้านอย่างปากีสถาน[70] ทั้งสองประเทศได้ทำสงครามกันถึง 4 ครั้ง: ในปี 1947, 1965, 1971 และ 1999 สงครามเกิดขึ้นในพื้นที่พิพาทของแคชเมียร์ ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 กองทัพอินเดียเข้าแทรกแซงในต่างประเทศสองครั้งตามคำเชิญของประเทศเจ้าภาพ ได้แก่ การปฏิบัติการรักษาสันติภาพในศรีลังการะหว่างปี 1987 และ 1990; และการแทรกแซงทางอาวุธเพื่อป้องกันความพยายามก่อรัฐประหารในมัลดีฟส์ในปี 1988 หลังสงครามกับปากีสถานในปี 1965 อินเดียเริ่มสานสัมพันธ์ทางการทหารและเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียต ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 สหภาพโซเวียตเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ที่สุด นอกเหนือจากความสัมพันธ์พิเศษกับรัสเซียอย่างต่อเนื่องแล้ว อินเดียยังมีความสัมพันธ์ด้านการป้องกันประเทศกับอิสราเอลและฝรั่งเศสในวงกว้าง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สมาคมดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในสมาคมเอเชียใต้เพื่อความร่วมมือระดับภูมิภาค และองค์การการค้าโลก ประเทศได้จัดหาบุคลากรทางทหารและตำรวจ 100,000 นายเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ 35 แห่งทั่ว 4 ทวีป อินเดียเข้าร่วมในการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก G8+5 และฟอรัมพหุภาคีอื่น ๆ อินเดียมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกับประเทศต่าง ๆ ในอเมริกาใต้[71] เอเชีย และแอฟริกา
อินเดียทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกในปี 1974 และทำการทดสอบใต้ดินเพิ่มเติมในปี 1998 แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์และการคว่ำบาตรทางทหาร อินเดียไม่ได้ลงนามทั้งสนธิสัญญาห้ามทดสอบนิวเคลียร์อย่างครอบคลุมหรือสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ โดยพิจารณาว่าทั้งสองสนธิสัญญามีข้อบกพร่อง นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น อินเดียได้เพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์ และการทหารกับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ในปี 2008 มีการลงนามข้อตกลงนิวเคลียร์พลเรือนระหว่างอินเดียและสหรัฐอเมริกา แม้ว่าอินเดียจะมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในขณะนั้นและไม่ได้เข้าร่วมสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็ได้รับการยกเว้นจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศและกลุ่มซัพพลายเออร์นิวเคลียร์ ซึ่งยุติข้อจำกัดก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเทคโนโลยีนิวเคลียร์และการพาณิชย์ของอินเดีย เป็นผลให้อินเดียกลายเป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์โดยพฤตินัยชาติที่ 6[72] ต่อมาอินเดียได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือที่เกี่ยวข้องกับพลังงานนิวเคลียร์พลเรือนกับรัสเซีย ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และแคนาดา
ประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังติดอาวุธของประเทศ[73][74] ด้วยกองกำลังประจำการ 1.45 ล้านนาย พวกเขาเป็นกองทัพที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก[75][76] ประกอบด้วยกองทัพอินเดีย กองทัพเรืออินเดีย กองทัพอากาศอินเดีย และหน่วยยามฝั่งอินเดีย งบประมาณการป้องกันประเทศอย่างเป็นทางการของอินเดียในปี 2011 อยู่ที่ 36.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.83% ของจีดีพี สำหรับปีงบประมาณระหว่างปี 2012-2013 มีงบประมาณ 40.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติแห่งสตอกโฮล์ม (SIPRI) ในปี 2008 ค่าใช้จ่ายทางการทหารประจำปีของอินเดียในแง่ของกำลังซื้ออยู่ที่ 72.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2011 งบประมาณการป้องกันประเทศเพิ่มขึ้น 11.6% แม้ว่าจะไม่รวมเงินทุนที่เข้าถึงกองทัพผ่านหน่วยงานอื่นของรัฐบาล
ในปี 2012 อินเดียเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก ระหว่างปี 2007 ถึง 2011 คิดเป็น 10% ของเงินทุนที่ใช้ในการซื้ออาวุธระหว่างประเทศ ค่าใช้จ่ายทางทหารส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การป้องกันประเทศปากีสถานและต่อต้านอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นในมหาสมุทรอินเดีย ในเดือนพฤษภาคม 2017 องค์การวิจัยอวกาศของอินเดียได้เปิดตัวดาวเทียมเอเชียใต้ ซึ่งเป็นของขวัญจากอินเดียไปยังประเทศในกลุ่ม SAARC ที่อยู่ใกล้เคียง ในเดือนตุลาคม 2018 อินเดียได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 5.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (มากกว่า 400 พันล้านดอลลาร์) กับรัสเซียเพื่อจัดหาระบบป้องกันขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ S-400 Triumf 4 ระบบ ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธพิสัยไกลที่ทันสมัยที่สุดของรัสเซีย[77]
เศรษฐกิจของอินเดียมีขนาดเป็นอันดับที่ 11 ของโลกเมื่อวัดด้วยค่าจีดีพี[78] และเป็นอันดับ 4 ของโลกเมื่อเทียบด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ[79] หลังจากที่ได้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งโดยนักสังคมนิยมเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เศรษฐกิจของประเทศหลังจากได้รับเอกราช อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศได้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยกิจกรรมตลาดเสรีซึ่งริเริ่มในปี 1990 เพื่อการแข่งขันกับนานาชาติและการลงทุนจากต่างประเทศ อินเดียเป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้าเกิดใหม่โดยมีจำนวนประชากรมหาศาล เช่นเดียวกับทรัพยากรทางธรรมชาติและบุคลากรมืออาชีพมีทักษะที่เพิ่มมากขึ้น นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านได้ทำนายว่าในปี 2020[80] อินเดียจะกลายเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก
อินเดียอยู่ภายใต้นโยบายซึ่งตั้งบนพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย นับจากปี 1947 ถึง 1991 เศรษฐกิจอินเดียมีลักษณะของข้อบังคับขยาย ลัทธิคุ้มครอง การถือกรรมสิทธิ์โดยเอกชน การคอรัปชั่นและการเจริญเติบโตอย่างช้า ๆ[82][83][84][85] จนกระทั่งเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 1991 ซึ่งมีการเปิดโอกาสเสรีทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และได้ส่งผลให้ประเทศเปลี่ยนไปเป็นลักษณะของตลาดเศรษฐกิจแทน[83][84] การฟื้นฟูการปฏิรูปเศรษฐกิจและนโยบายทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในช่วงทศวรรษ 2000 ได้เร่งให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วยิ่งขึ้น ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เมืองต่าง ๆ ในอินเดียได้เริ่มเปิดเสรีในข้อบังคับเกี่ยวกับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง[86] โดยในปี 2008 อินเดียเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดอันดับสองของโลก[87][88][89] อย่างไรก็ตาม ในปี 2009 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียกลับลดลงอย่างมากเหลือ 6.8 เปอร์เซนต์[90] ตลอดจนโครงการฟื้นฟูการขาดดุลปีงบประมาณครั้งใหญ่ที่ 6.8 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ซึ่งจะเป็นระดับสูงที่สุดของโลก[91][92]
แรงงานชาวอินเดียจำนวน 522 ล้านคนเป็นแรงงานที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก[93] ณ ปี 2017 ภาคบริการคิดเป็น 55.6% ของจีดีพีภาคอุตสาหกรรม 26.3% และภาคเกษตร 18.1% การส่งเงินตราต่างประเทศของอินเดียจำนวน 70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2014 ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั้นมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยมีชาวอินเดีย 25 ล้านคนที่ทำงานในต่างประเทศ[94] สินค้าเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวสาลี เมล็ดพืชน้ำมัน ฝ้าย ปอกระเจา ชา อ้อย และมันฝรั่ง อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่[95] สิ่งทอ โทรคมนาคม เคมีภัณฑ์ ยา เทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร เหล็ก อุปกรณ์การขนส่ง ซีเมนต์ เหมืองแร่ ปิโตรเลียม เครื่องจักร และซอฟต์แวร์ ในปี 2006 ส่วนแบ่งการค้าภายนอกในจีดีพีของอินเดียอยู่ที่ 24% เพิ่มขึ้นจาก 6% ในปี 1985 และในปี 2008 ส่วนแบ่งการค้าโลกของอินเดียอยู่ที่ 1.68% ในปี 2011 อินเดียเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่อันดับ 10 ของโลกและส่งออกรายใหญ่ที่สุดอันดับ 19 สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม สินค้าสิ่งทอ เครื่องเพชรพลอย ซอฟต์แวร์ สินค้าวิศวกรรม เคมีภัณฑ์ และเครื่องหนัง สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ เครื่องจักร อัญมณี ปุ๋ย และเคมีภัณฑ์ ระหว่างปี 2001 ถึง 2011 สัดส่วนของสินค้าปิโตรเคมีและวิศวกรรมในการส่งออกทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก 14% เป็น 42% อินเดียเป็นผู้ส่งออกสิ่งทอรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากจีน
กำลังการผลิตของอินเดียในการผลิตพลังงานไฟฟ้าคือ 300 กิกะวัตต์ ซึ่งจำนวนกว่า 42 กิกะวัตต์สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้[96] การใช้ถ่านหินของประเทศเป็นสาเหตุสำคัญของการปล่อยแก๊สเรือนกระจกโดยอินเดีย แต่อินเดียก็เป้นหนึ่งในประเทศที่รณรงค์การใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างกว้างขวาง อินเดียปล่อยแก๊สเรือนกระจกเป็นประมาณ 7% ของปริมาณก๊าซทั่วโลก[97] ซึ่งเท่ากับประมาณ 2.5 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อคนต่อปี ซึ่งเท่ากับครึ่งหนึ่งของค่าเฉลี่ยโลก[98] การเพิ่มการเข้าถึงไฟฟ้าและการปรุงอาหารที่สะอาดด้วยแก๊สปิโตรเลียมเหลวมีความสำคัญต่อพลังงานในอินเดียปัจจุบัน
การท่องเที่ยวในประเทศอินเดียเป็นส่วนสำคัญในเศรษฐกิจของประเทศอินเดียที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว สภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลกคำนวณว่าธุรกิจการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับอินเดีย ₹16.91 หรือ 9.2% ของจีดีพีประเทศในปี 2018 และทำให้เกิดอาชีพกับผู้คน 42.673 ล้านคน, 8.1% ของการจ้างงานทั้งหมด[99] มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นสูงถึง 6.9% หรือ ₹32.05 แลกห์โคร (14 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2028 (9.9% ของจีดีพี)[100] ในเดือนตุลาคม 2015 การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในประเทศอินเดียมีมูค่าประมาณการอยู่ที่สามพันล้านดอลล่าร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะโตขึ้นถึง 7–8 พันล้านดอลล่าร์ในปี 2020[101] ในปี 2014 มีผู้ป่วยต่างชาติ 184,298 รายเข้ามาในประเทศอินเดียเพื่อเข้ารับการรักษา[102]
ในปี 2017 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 10 ล้านคนเดินทางเข้ามาในอินเดีย เทียบกับจำนวน 8.89 ล้านคนในปี 2016 หรือคิดเป็นการเติบโต 15.6%[103][104][105] ในขณะที่นักท่องเที่ยวภายในประเทศเดินทางไปตามรัฐและยูทีต่าง ๆ อยู่ที่ 1,036.35 ล้านคนในปี 2012 เติบโตขึ้น 16.5% จากปี 2011[106] ในปี 2014 รัฐที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการท่องเที่ยวคือรัฐทมิฬนาฑู, รัฐมหาราษฏระ และรัฐอุตตรประเทศ[107] และมีเมืองเดลี, มุมไบ, เจนไน, อัคระ และไชปุระ เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุดห้าอันดับของประเทศ ในปี 2015 นอกจากนี้ในระดับโลก เมืองเดลี อยู่อันดับที่ 28 ขำองจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติขาเข้า ตามด้วย มุมไบ ที่อันดับ 30, เจนไน ที่อันดับ 43, อัคระ ที่อันดับ 45, ไชปุระ ที่อันดับ 52 และ โกลกาตา ที่อันดับ 90 ของโลก[108] โดยมีกระทรวงการท่องเที่ยวเป็นหน่วยงานรัฐบาลที่กำหนดและดำเนินนโยบายพัฒนาการท่องเที่ยว ภายใต้แคมเปญ อินเคร็ดดิเบิล อินเดีย (Incredible India)
ประชากรอินเดียมี 1.408 พันล้านคน โดยมีเชื้อชาติ อินโด-อารยัน ร้อยละ 72 ดราวิเดียน ร้อยละ 25 มองโกลอยด์ ร้อยละ 2 และอื่น ๆ ร้อยละ 1 อัตราการเพิ่มของประชากร ร้อยละ 1.8 (ค.ศ. 1999) และอัตราการรู้หนังสือ ร้อยละ 52.1
ตั้งแต่สมัยโบราณวรรณะที่สำคัญของอินเดียมี 4 วรรณะ ได้แก่[110]
โดยทั่วไปแล้วสามวรรณะแรกนั้นเปรียบเสมือนชนชั้นปกครอง และวรรณะศูทรเปรียบได้กับผู้ถูกปกครอง นอกจากนี้ในสังคมของชาวฮินดูยังมีการแบ่งวรรณะที่ต่ำที่สุด คือ ชนชั้นจัณฑาล หรือที่รู้จักกันในชื่อยุคใหม่ว่า "ดาลิต" มีความหมายว่า "ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า" ซึ่งเป็นชนนั้นที่ถูกเลือกปฏิบัติและมีสิทธิเสรีภาพทางสังคมน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม กฎหมายในสังคมยุคใหม่ของอินเดียได้มีการลดช่องว่างทางสังคมดังกล่าวลง โดยมีการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา เช่นการกำหนดโควตาให้นักศึกษาชนชั้นดาลิตเข้าศึกษาโดยไม่ต้องผ่านการสอบคัดเลือก, การเลือกประกอบอาชีพ ตลอดจนสิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนักในทางปฏิบัติ[111]
ในปัจจุบัน อินเดียมีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน[112] ประชากรเหล่านี้มีความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ และวัฒนธรรม มีภาษาหลักใช้พูดถึง 16 ภาษา เช่น ภาษาฮินดี ภาษาอังกฤษ ภาษาเบงกอล ภาษาอูรดู ฯลฯ และมีภาษาถิ่นมากกว่า 100 ภาษา ภาษาฮินดี ถือว่าเป็นภาษาประจำชาติ เพราะคนอินเดียกว่าร้อยละ 30 ใช้ภาษานี้ คนอินเดียที่อาศัยอยู่รัฐทางตอนเหนือและรัฐทางตอนใต้นอกจากจะใช้ภาษาที่แตกต่างกันแล้ว การแต่งกาย การรับประทานอาหารก็แตกต่างกันออกไปด้วย
ประเทศอินเดียมีความหลากหลายในศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ และการปฏิบัติ โดยทางการแล้วประเทศอินเดียเป็นรัฐฆราวาส (secular state) และไม่มีศาสนาประจำชาติ อนุทวีปอินเดียเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาที่สำคัญของโลกสี่ศาสนา ได้แก่ ศาสนาฮินดู, ศาสนาเชน, ศาสนาพุทธ และศาสนาซิกข์ ข้อมูลจากสำมะโนประชากรปี 2011 ระบุว่าประชากรอินเดีย 79.8% นับถือศาสนาฮินดู, 14.2% นับถือศาสนาอิสลาม, 2.3% นับถือศาสนาคริสต์, 1.7% นับถือศาสนาซิกข์, 0.7% ศาสนาพุทธ และ 0.37% นับถือศาสนาไชนะ ทั้งศาสนาโซโรอัสเตอร์, Sanamahism และ ศาสนายูดาย ล้วนมีประวัติศาสตร์เก่าแก่ในประเทศอินเดีย และมีผู้นับถืออยู่ศาสนาละหลายพันคน ประเทศอินเดียมีประชากรที่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์มากที่สุดในโลก (ทั้ง ปาร์ซี (parsi) และ อิรานี (irani)) และยังมีประชากรที่นับถือศาสนาบาไฮมากที่สุดในโลกเช่นกัน[114] ถึงแม้ทั้งสองศาสนานี้จะเติบโตขึ้นในแถบเปอร์เซียก็ตาม ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของประเทศอินเดีย ศาสนาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมมาตลอด ความหลากหลายทางศาสนาและการยอมรับความต่างทางศาสนา (Religious toleration) ล้วนปรากฏในประเทศทั้งในทางกฎหมายและทางธรรมเนียมปฏิบัติ ในรัฐธรรมนูญอินเดียได้รับรองเสรีภาพทางศาสนาให้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอินเดีย[115]
ในบรรดาเรื่องราวของเทพเจ้าของชนชาติทั้งหลายนั้น เทพเจ้าของอินเดียนับว่ามีเรื่องราวและประวัติความเป็นมาที่ซับซ้อนมากกว่าชาติอื่น ๆ[116] และกล่าวกันว่าตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ชนชาติอริยกะ หรืออินเดียอิหร่านที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่น้ำสินธุ มีการนับถือเทพเจ้าและมีคัมภีร์พระเวทเกิดขึ้น พวกอริยกะ หรืออารยันนั้นแต่เดิมนั้นนับถือธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ท้องฟ้า ลม และไฟ ต่อมามีการกำหนดให้ปวงเทพเกิดมีหน้าที่กันขึ้น โดยตั้งชื่อตามสิ่งที่เป็นธรรมชาตินั้น ๆแล้วก็เกิดมีหัวหน้าเทพเจ้าขึ้น ดังที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท ซึ่งก็คือพระอินทร์ จากหลักฐานโบราณที่เป็นจารึกบนแผ่นดินเหนียวอายุราว 1,400 ปี ก่อนคริสตกาล เรียกว่าแผ่นจารึก โบกาซ คุย หรือจารึก เทเรีย ซึ่งขุดพบที่ตำบลดังกล่าว ของดินแดนแคปปาโดเซีย ในตุรกี จารึกนี้ ได้ออกนามเทพเจ้าเป็นพยานถึง 4 องค์ ได้แก่ พระอินทร์ (lndra) เทพเจ้าแห่งพลัง มิทระ (Mitra) พระวรุณ (Varuna)และ นาสัตย์ (Nasatya) คือ พระนาสัตย์อัศวิน (Asvins)[117]
บางตำราได้กล่าวว่า เทพเจ้าดั้งเดิมของพวกอริยกะนั้นได้แก่ พระอินทร์ พระสาวิตรี พระวรุณ และพระยม บ้างก็กล่าวว่า เทพเจ้าที่เก่าที่สุด คือ พระอินทร์ พระพฤหัสบดี พระวรุณ และพระยม
แม้จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อินเดียยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม ในปี 2006 อินเดียมีจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนของธนาคารโลกมากที่สุดที่ 1.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน[118] สัดส่วนลดลงจาก 60% ในปี 1981 เป็น 42% ในปี 2005 30.7% ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีของอินเดียมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์[119][120] ตามรายงานขององค์การอาหารและการเกษตรในปี 2015 ประชากร 15% ขาดสารอาหาร[121] โครงการอาหารกลางวันของชาติพยายามที่จะลดอัตราเหล่านี้ลง ตามรายงานของมูลนิธิ Walk Free Foundation ประจำปี 2016 มีคนประมาณ 18.3 ล้านคนในอินเดีย หรือ 1.4% ของประชากรตกเป็นทาสแรงงาน[122] เช่น แรงงานเด็ก[123] การค้ามนุษย์ และการบังคับขอทาน เป็นต้น จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 มีแรงงานเด็ก 10.1 ล้านคนในประเทศ ลดลง 2.6 ล้านคนจาก 12.6 ล้านคนในปี 2001[124] ตั้งแต่ปี 1991 ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐต่าง ๆ ของอินเดียเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศสุทธิต่อหัวของรัฐที่ร่ำรวยที่สุดในปี 2007 นั้น มีมูลค่ามากกว่า 3.2 เท่าของบริเวณที่ยากจนที่สุด
การศึกษาในประเทศอินเดียนั้นดำเนินการผ่านทางโรงเรียนรัฐ (ซึ่งบริหารจัดการในสามระดับ: รัฐบาลกลาง, รัฐ และ ท้องถิ่น) และโรงเรียนเอกชน ภายใต้หลายบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญอินเดีย การศึกษาภาคบังคับโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายนั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของเยาวชนอายุ 6 ถึง 14 ปี อัตราส่วนของโรงเรียนรัฐบาลต่อโรงเรียนเอกชนในประเทศอินเดียอยู่ที่ 7:5 โดยประเทศอินเดียนั้นได้ดำเนินการเพิ่มอัตราการเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษามาตลอด ในปี 2011 พบว่าราว 75% ของประชากรอินเดียที่อายุ 7 ถึง 10 ปีสามารถอ่านออกเขียนได้ (literate)[125] การพัฒนาระบบการศึกษาในประเทศอินเดียถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ[126] ถึงแม้สัดส่วนการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของประชากรอินเดียนั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทศวรรษที่ผ่านมา มีสัดส่วนผู้เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาทั้งประเทศอยู๋ที่ 24% ในปี 2013[127] แต่อินเดียก็ยังไม่ได้เข้าใกล้อัตราส่วนการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่น ๆ เลย[128]
ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีระบบโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่ พบว่านักเรียน 29% ที่อายุ 6 ถึง 14 ปี ศึกษาระดับประถมศึกษาในโรงเรียนเอกชน[129] ในขณะที่โรงเรียนเทคนิกจำนวนมากก็เป็นโรงเรียนเอกชนเช่นกัน ตลาดการศึกษาเอกชนในประเทศอินเดียมีรายได้อยู่ที่ 450 ล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี 2008[130]
ข้อมูลจากรายงานสถานะการศึกษาประจำปี (Annual Status of Education Report: ASER) ปี 2012 ระบุว่าเยาวชนอายุ 6-14 ปีในพื้นที่ชนบท 96.5% ได้เข้าสมัครเรียนระบบการศึกษา นับเป็นปีที่ 4 ที่สัดส่วนนี้สูงเกิน 96% ประเทศอินเดียสามารถคงสัดส่วนการเข้าสู่ระบบการศึกษาของนักเรียนอายุ 6-14 ไว้ที่ประมาณ 95% ตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2014 ข้อมูลจาก ASER เมื่อปี 2018 พบว่ามีเยาวชนเพียง 2.8% เท่านั้นที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา[131] อีกรายงานหนึ่งจากปี 2013 ระบุว่ามีนักเรียนจำนวน 229 ล้านคนเข้าศึกษาในโรงเรียนที่ได้รับการรับรองทั่วประเทศ ในระดับประถม 1-7 (Class I - XII) นับว่าเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านคนจากปี 2002 และพบว่าในเด็กผู้หญิงนั้นเพิ่มขึ้นถึง 19%[132] ในขณะที่ในเชิงปริมาณ ประเทศอินเดียกำลังเข้าใกล้การครอบคลุมการศึกษาได้ทั่วถึงทั้งประชากรของประเทศ (universal education) แต่คุณภาพของการศึกษาในประเทศอินเดียนั้นเป็นที่ตั้งคำถามอย่างมาก โดยเฉพาะในโรงเรียนของรัฐบาล ถึงแม้นักเรียนมากกว่า 95% จะเข้าเรียนในระดับประถมศึกษา แต่พบว่าในระดับมัธยมศึกษา มีเยาวชนอินเดียเพียง 40% เท่านั้นที่เข้าศึกษาต่อในเกรด 9-12 (Grades 9-12) หรือเทียบเท่ากับ ม.3-6 ในระบบการศึกษาไทย นับตั้งแต่ปี 2000 ธนาคารโลกได้อุดหนุนทุน 2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐให้กับการศึกษาในประเทศอินเดีย เหตุผลบางประการที่ส่งผลให้คุณภาพการศึกษาในประเทศอินเดียมีระดับที่ต่ำอาจมาจากการขาดแคลนครู อาจารย์[133]
ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอินเดียยาวนานกว่า 4,500 ปี[134] ในช่วงสมัยพระเวท (1700 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ได้มีการวางรากฐานของปรัชญาฮินดู ตำนาน เทววิทยา และวรรณกรรม ตลอดจนความเชื่อและการปฏิบัติมากมายที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ธรรมะ กรรม โยคะ และโมกษะก่อตั้งขึ้น อินเดียมีชื่อเสียงในด้านความหลากหลายทางศาสนา โดยมีศาสนาฮินดู พุทธ ซิกข์ อิสลาม คริสต์ และศาสนาเชนเป็นศาสนาหลักของประเทศ[135] ศาสนาฮินดู ได้รับการหล่อหลอมโดยสำนักคิดทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง รวมทั้งพวกอุปนิษัท โยคะสูตร ขบวนการภักติ และตามปรัชญาของพุทธศาสนา
ประเทศอินเดียเป็นดินแดนอารยธรรมแห่งหนึ่งของโลกที่มีการรับอารยธรรมจากภายนอกและเผยแพร่ อารยธรรมไปสู่ดินแดนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศ อินเดียได้รับอิทธิพลทางศิลปะจากต่างประเทศ 4 ครั้ง คือ ครั้งที่หนึ่ง ประมาณ 2,000 ปีก่อนพุทธศักราช อิทธิ พลจากประเทศเมโสโปเตเมียได้แพร่เข้ามาในลุ่มแม่น้ำสินธุจนถึงประมาณ 1,000 ปีก่อนพุทธศักราช เมื่อชาว อารยันได้บุกรุกอินเดียและทำลายอารยธรรมดั้งเดิม ครั้งที่สอง ราวพุทธศตวรรษที่ 3 ได้รับอิทธิพลศิลปะจาก อิหร่านและกรีก ครั้งที่สามพุทธศตวรรษที่ 6 ได้รับอิทธิพลของกรีกและโรมันเข้ามามีบทบาทต่อศิลปอินเดีย และครั้งที่ 4 ช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 กลุ่มมุสลิมซึ่งนับถือศาสนาอิสลามได้รุกรานอินเดียและพุทธศตวรรษที่ 21 ราชวงศ์ โมกุลเข้าครอบครองอินเดีย[136]
ศิลปะอินเดีย ประกอบด้วยศิลปะหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ จิตรกรรม, ประติมากรรม, เครื่องปั้นดินเผาและ ศิลปะสิ่งทอ เช่น ผ้าไหมทอ[137]
สถาปัตยกรรมอินเดียเป็นสถาปัตยกรรมที่มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ของชาติอินเดีย, วัฒนธรรมอินเดีย และ ศาสนาที่เกิดขึ้นในอินเดีย[138] ซึ่งมีการวิวัฒนาการและพัฒนา แตกต่างกันไปตามยุคสมัยและพื้นที่ ได้รับอิทธิพลจากภายนอกในแต่ละยุค ทั้ง กรีก, โรมัน, เปอร์เซีย และ อิสลาม ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมยุคก่อน ๆ และงานศิลปะที่อุทิศเพื่อกษัตริย์และศาสนาอย่างลงตัว
สถาปัตยกรรมอินเดียส่วนใหญ่รวมทั้งทัชมาฮาล ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมโมกุล และสถาปัตยกรรมอินเดียใต้ ผสมผสานประเพณีท้องถิ่นโบราณเข้ากับรูปแบบที่นำเข้ามา สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นก็มีอิทธิพลในระดับภูมิภาคเช่นกัน ชาวอินเดียใช้รูปทรงเรขาคณิตที่แม่นยำและการจัดแนวทิศทางเพื่อสะท้อนให้เห็นโครงสร้างของจักรวาล เช่นการสร้างวัดฮินดู ทัชมาฮาลซึ่งสร้างขึ้นในเมืองอัคราระหว่างปี 1631 ถึง 1648 ตามคำสั่งของจักรพรรดิ ชาห์ จาฮัน เพื่อระลึกถึงพระชายา[139] ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกว่าเป็น "อัญมณีแห่งศิลปะมุสลิมในอินเดียและเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของมรดกโลก"[140][141] สถาปัตยกรรมฟื้นฟูอินโด-ซาราเซนิก ซึ่งพัฒนาโดยชาวอังกฤษในปลายศตวรรษที่ 19 ได้นำสถาปัตยกรรมอินโด-อิสลามเข้ามาใช้และพบเห็นได้ในสถานที่สำคัญทั่วไป
ชาวอินเดียโบราณ สตรีจะนิยมสวมเสื้อแขนยาว แบบชาวจีน แต่ตัวสั้น เพื่อเห็นหน้าท้อง นุ่งกางเกงขาลีบด้านใน ใช้ผ้าบาง ๆ เช่น ฝ้ายลินิน มัสลิน ห่มอีกชิ้น ถ้าเป็นชาวพื้นเมืองจะนุ่งส่าหรี หรือกระโปรงจีบดอกสีแดง หรือนุ่งกางเกงขาว ขายาว ส่วนชายนุ่งผ้าขาวใส่เสื้อแขนยาว ไว้หนวดเครา โพกผ้า
ชุดสตรีที่สวมใส่กันทั้งประเทศได้แก่ ส่าหรี[142] มีลักษณะเป็นผ้าผืนเดียวยาว 6 หลา การสวมใส่ส่าหรีนั้นจะผูกรอบเอวและผูกเป็นปมที่ปลายด้านหนึ่ง พันรอบลำตัวส่วนล่าง และพันรอบไหล่ และในรูปแบบที่ทันสมัยกว่าส่าหรีจะถูกใช้เพื่อคลุมศีรษะ รวมถึงใบหน้า เป็นผ้าคลุม มักถูกนำมารวมกับกระโปรงชั้นและสอดเข้าไปในแถบเอวเพื่อการยึดที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมักสวมใส่กับเสื้อเบลาส์อินเดียหรือ choli ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสื้อผ้าส่วนบนของลำตัวซึ่งเป็นส่วนปลายของส่าหรี เพื่อปิดบังรูปร่างส่วนบนของร่างกาย[143]
สำหรับผู้ชาย จะสวมผ้าที่สั้นกว่า คือ dhoti ทำหน้าที่เป็นเสื้อผ้าท่อนล่าง ผูกรอบเอวและพันไว้ ทางตอนใต้ของอินเดียมักจะพันรอบลำตัวส่วนล่าง ส่วนบนซุกไว้ในขอบเอว ในภาคเหนือของอินเดีย ยังพันรอบขาแต่ละข้างอีก 1 ครั้ง ก่อนจะยกขึ้นผ่านขาไปซุกที่ด้านหลัง รูปแบบอื่น ๆ ของเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเย็บหรือการตัดเย็บ ได้แก่ แชดดาร์ (ผ้าคลุมไหล่ที่สวมใส่โดยทั้งสองเพศเพื่อคลุมร่างกายส่วนบนในช่วงที่อากาศหนาวเย็น หรือผ้าคลุมศีรษะขนาดใหญ่ที่ผู้หญิงสวมใส่สำหรับครอบศีรษะหรือคลุมศีรษะ) และผ้าปากรี ( ผ้าโพกหัวหรือผ้าพันคอที่พันรอบศีรษะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีหรือเพื่อกันแสงแดดหรือความหนาวเย็น)
วรรณกรรมอินเดียได้รับการยอมรับว่ามีอิทธิพลในแง่คำสอนและวัฒนธรรมต่อโลกมาอย่างยาวนาน และมักสะท้อนประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อทางศาสนาสอดแทรกลงไปในวรรณกรรมทุกเรื่อง[144] โดยมีสองมหากาพย์วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ รามายณะ และ มหาภารตะ[145][146] ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปุราณะและเรื่องอื่น ๆที่เกี่ยวกับธรรมเนียมกษัตริย์ การสืบราชวงศ์ตามแบบธรรมเนียมโบราณของราชวงศ์ในลุ่มแม่น้ำคงคา วรรณกรรมอินเดียยังมีอิทธิพลต่อชีวิตชาวบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย โดยการเล่า การอ่านนิทานแสดงเกี่ยวกับเนื้อเรื่องในวรรณกรรม การแสดงหุ่นกระบอก หนัง ละครที่มีเนื้อหาของวรรณกรรม รามายณะ มหากาพย์ และชาดกในโอกาสต่าง ๆ
อาหารอินเดียเป็นชื่อเรียกโดยรวมของอาหารในอนุทวีปอินเดียซึ่งมีลักษณะร่วมกันคือใช้เครื่องเทศ สมุนไพรและผักหรือผลไม้มาก มีทั้งพืชผักที่ปลูกในประเทศอินเดียและจากที่อื่น ๆ นิยมกินอาหารมังสวิรัติในสังคมชาวอินเดีย แต่ละครอบครัวจะเลือกสรรและพัฒนาเทคนิคการทำอาหารทำให้มีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางด้านประชากรในอินเดีย ความเชื่อของชาวฮินดูและวัฒนธรรมมีบทบาทต่อวิวัฒนาการของอาหารอินเดียมาก[147] แต่ในภาพรวม อาหารทั่วประเทศอินเดียพัฒนามาจากปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมทั้งจากชาวมองโกลและยุโรปทำให้ได้อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง[148][149] การค้าเครื่องเทศระหว่างอินเดียและยุโรปเป็นตัวเร่งหลักสำหรับการค้นพบอินเดียของชาวยุโรป[150] ยุคอาณานิคมได้ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างอาหารยุโรปกับอาหารอินเดียเพิ่มความยืดหยุ่นทำให้เกิดความหลากหลายมากขึ้น [151][152] อาหารอินเดียมีอิทธิพลต่ออาหารทั่วโลกโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะแคริบเบียน[153][154]
ด้วยความที่ประเทศอินเดียมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก และความหลากหลายของภูมิศาสตร์จึงส่งผลให้มีวิถีชีวิตและการกินอาหารนั้นแตกต่างที่อาจจะมาจากวัฒนธรรมท้องถิ่นและภูมิศาสตร์ เช่น ทางภาคเหนือของอินเดียมีความหนาวเย็น การเลี้ยงแกะจึงเป็นที่นิยมและนำมาเป็นอาหาร ในส่วนของคาร์โบไฮเดรตนั่นนิยมกินเป็นโรตี หรือจาปาตี
อาหารอินเดียมีจุดเด่นในการใช้เครื่องเทศ[155][156][157] ซึ่งมีประวัติมายาวนานกว่า 7,000 ปี[158] เครื่องเทศเหล่านี้รู้จักกันดีในนาม มาซาล่า (Masala) เป็นเครื่องแกงชนิดแห้ง ใช้ในการประกอบอาหารหลายชนิดหรือแม้กระทั่งนำมาโรยข้าวรับประทาน ข้าวของชาวอินเดียจะมีลักษณะเรียวยาวกว่าปกติเรียกว่า ข้าวบัสมาตี (Basmati) มีรสชาติดี แต่ราคาค่อนข้างสูง ตามร้านอาหารจึงเห็นข้าวเหมือนที่รับประทานกันในประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ส่วนใหญ่ชาวอินเดียนิยมทานแผ่นแป้งสุกที่มีทั้งแบบปิ้ง แบบนาบกระทะ และแบบทอด จำพวก โรตี (Roti) จาปาตี (Chapati) พารัตทา (Paratha) นาน (Nan) และปาปัด (Papad) อนึ่ง อาหารของชาวอินเดียมีข้อแตกต่างระหว่างพื้นที่ โดยชาวเหนือนิยมใช้ เนยใส (Ghee) ในการทำอาหาร สีสันที่แดงจัดจ้านมาจากมะเขือเทศมากกว่าพริก รสชาติของอาหารเหนือจึงไม่เผ็ดร้อนมากนัก แต่จะหอมเครื่องเทศ ชาวเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบแคชเมียร์จะนิยมใช้ แซฟฟรอน (Saffron) ซึ่งเป็นเครื่องเทศที่มีราคาสูงในการประกอบอาหาร ในขณะที่ชาวใต้นิยมใช้กะทิ และพริกในการปรุงอาหาร อาหารชาวใต้จึงค่อนข้างเผ็ด อย่างไรก็ตาม ชาวอินเดียโดยทั่วไปนิยมทานเผ็ด[159][160][161]
คริกเกตเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอินเดีย[162] การแข่งขันในประเทศที่สำคัญ ได้แก่ พรีเมียร์ลีกอินเดียซึ่งเป็นลีกคริกเก็ตที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลกและอยู่ในอันดับ 6 ในบรรดาลีกกีฬาที่ได้รับความนิยมทั้งหมดจากแฟนกีฬาโลก[163] กีฬาพื้นเมืองดั้งเดิมหลายอย่างยังคงได้รับความนิยม เช่น กาบัดดีเปห์ลวานี และกิลลิดันดา ศิลปะการต่อสู้แบบเอเชียรูปแบบแรก ๆ เช่น กาลาริปปายัตตุ มุสตี ยุดธา สิลัมบัม และมาร์มาอดี มีต้นกำเนิดในอินเดีย และยังมีหมากรุกซึ่งมีถิ่นกำเนิดในอินเดีย[164]กำลังกลับมาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายด้วยจำนวนปรมาจารย์ชาวอินเดียที่เพิ่มสูงขึ้น
จากผลงานของทีมเทนนิสเดวิสคัพในรายการชิงแชมป์โลก Davis Cup และนักเทนนิสชาวอินเดียคนอื่น ๆ ที่พัฒนาฝีมือขึ้นมาในช่วงต้นทศวรรษ 2010 ทำให้เทนนิสเป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศ[165] อินเดียยังผลิตนักกีฬายิงปืนหลายคน และได้รับรางวัลหลายเหรียญจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก การแข่งขันยิงปืนโลก และเกมเครือจักรภพ กีฬาอื่น ๆ ที่ชาวอินเดียประสบความสำเร็จในระดับสากล ได้แก่ แบดมินตัน (ไซนา เนห์วาล และพี วี สินธุเป็นผู้เล่นแบดมินตันหญิงอันดับต้น ๆ ของโลก) มวย และมวยปล้ำ[166] ฟุตบอลเป็นที่นิยมในรัฐเบงกอลตะวันตก กัว รัฐทมิฬนาฑู เกรละ และรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือ มีลีกการแข่งขันในประเทศคือ Indian Super League
เนื่องจากประเทศอินเดียถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง และมีการเฉลิมฉลองเทศกาลและวันหยุดต่าง ๆ อย่างหลากหลาย อย่างไรก็ตามในประเทศอินเดียมีวันหยุดราชการ (national holidays) แค่สามวันเท่านั้น คือ วันสาธารณรัฐ (Republic Day) 26 มกราคม, วันเอกราช (Independence Day) 15 สิงหาคม และ คานธีชยันตี (Gandhi Jayanti) 2 ตุลาคม[167][168]
รัฐแต่ละรัฐจะมีเทศกาลท้องถิ่นที่แตกต่างกันไปตามศาสนาและภาษาหลักของรัฐนั้น ๆ เทศกาลฮินดูที่เป็นที่นิยมสูง เช่น มกรสังกรานติ, โปนคัล (Pongal), มหาศิวาราตรี, โอนาม (Onam), ชันมาษตมี (Janmashtami), สรัสวตีบูชา, ทีปวลี, คเณศจตุรถี, รักษาพันธาน (Raksha Bandhan), โหลี, ทุรคาบูชา, นวราตรี ส่วนเทศกาลของศาสนาเชน เช่น มหาวีระชนมะกัลยนกะ (Mahavir Janma Kalyanak) และ ปรยุษัน (Paryushan) เทศกาลของศาสนาซิกข์ เช่น คุรุนานักชยันตี และ วิสาขี เทศกาลมุสลิม เช่น อีดิลฟิดรีย์, อีดุลอัฎหา, เมาลิด (Mawlid), มุฮัรรอม เทศกาลในศาสนาพุทธ เช่น อามเพฑกรชยันตี, พุทธชยันตี, วันธรรมจักรปราวตาน (Dhammachakra Pravartan Day) และ โลซาร์ (Losar) เทศกาลโซโรอัสเตอร์ปาร์ซี เช่น โนว์รูซ (Nowruz) และเทศกาลคริสต์ เช่น คริสต์สมภพ กับ ปัสกา เช่นเดียวกับวันหยุดสังเกตการณ์ เช่นศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.