คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

สนธิสัญญาแวร์ซาย

สนธิสัญญาสันติภาพฉบับสำคัญที่สุดที่ยุติสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สนธิสัญญาแวร์ซาย
Remove ads

สนธิสัญญาแวร์ซาย (อังกฤษ: Treaty of Versailles; ฝรั่งเศส: Traité de Versailles; เยอรมัน: Versailler Vertrag, ออกเสียง: [vɛʁˈzaɪ̯ɐ fɛɐ̯ˈtʁaːk] ) เป็นสนธิสัญญาสันติภาพฉบับสำคัญที่สุดที่ยุติสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 ณ พระราชวังแวร์ซาย กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและจักรวรรดิเยอรมัน ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนกลุ่มประเทศฝ่ายมหาอำนาจกลางอื่น ๆ มีการตกลงยกเลิกสถานภาพสงครามด้วยสนธิสัญญาฉบับอื่น แม้จะได้ลงนามสงบศึกตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 แล้วก็ตาม การประชุมสันติภาพที่กรุงปารีสกินเวลานานกว่าหกเดือน จึงได้มีการสรุปสนธิสัญญาฯ

ข้อมูลเบื้องต้น สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและประเทศที่เข้าร่วม กับเยอรมนี, ประเภท ...
Remove ads
The Signing of the Peace Treaty of Versailles

ผลจากสนธิสัญญาฯ กำหนดให้จักรวรรดิเยอรมันต้องยอมรับผิดในฐานะผู้ก่อสงครามแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใต้ข้อตกลงข้อ 231 (ภายหลังรู้จักกันว่า "อนุประโยคความรับผิดในอาชญากรรมสงคราม") และในข้อ 232–248 เยอรมนีถูกปลดอาวุธ ยกดินแดนให้แก่ประเทศอื่น ตลอดจนต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่กลุ่มประเทศฝ่ายไตรภาคีจำนวนมหาศาล เมื่อปี ค.ศ. 1921 ประเมินว่ามูลค่าของค่าปฏิกรรมสงครามที่เยอรมนีจะต้องจ่ายนั้นสูงถึง 132,000 ล้านมาร์ก (ราว 31,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 6,600 ล้านปอนด์)[1][a] นักเศรษฐศาสตร์ในขณะนั้น รวมทั้งจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ผู้แทนบริติช ณ การประชุมสันติภาพปารีส พยากรณ์ว่าสนธิสัญญาฯ โหดร้ายเกินไป เป็น "สันติภาพคาร์เธจ" และว่ายอดค่าปฏิกรรมนั้นสูงเกินและไม่สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นทัศนะที่เป็นหัวข้อถกเถียงในหมู่นักประวัติศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์มานับแต่นั้น แต่ในขณะเดียวกัน ผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรบางคน เช่น จอมพลแฟร์ดีน็อง ฟ็อชชาวฝรั่งเศส วิจารณ์สนธิสัญญาฯ ว่าละมุนละม่อมกับเยอรมนีมากเกินไป

ผลของเป้าหมายซึ่งชิงชัยและบางทีก็ขัดแย้งกันในหมู่ผู้ชนะเกิดเป็นข้อประนีประนอมที่ทำให้ทุกฝ่ายไม่พอใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยอรมนีซึ่งไม่ถูกกำราบให้ราบคาบ หรือปรองดอง หรือถูกทำให้อ่อนแออย่างถาวร ปัญหาที่เกิดจากสนธิสัญญาฯ จะนำไปสู่สนธิสัญญาโลคาร์โน ซึ่งปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีกับชาติยุโรปอื่น และการเจรจาระบบค่าปฏิกรรมสงครามจนเกิดเป็นแผนการดอวส์, แผนการยัง และการเลื่อนการชำระค่าปฏิกรรมสงครามออกไปอย่างไม่มีกำหนดที่การประชุมโลซาน ค.ศ. 1932 บางทีอ้างว่าสนธิสัญญาฯ เป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สอง แม้ว่าผลกระทบแท้จริงไม่ได้รุนแรงอย่างที่หวาดกลัวกัน แต่ข้อกำหนดยังทำให้เกิดความเดียดฉันท์ใหญ่หลวงในเยอรมนีจนขับเคลื่อนความเจริญของพรรคนาซี

Remove ads

เป้าหมายของฝ่ายสัมพันธมิตร

สรุป
มุมมอง
Thumb
จากซ้ายไปขวา: นายกรัฐมนตรี เดวิด ลอยด์ จอร์จ แห่งสหราชอาณาจักร วิตตอริโอ ออร์ลันโดแห่งอิตาลี ฌอร์ฌ เกลอม็องโซแห่งฝรั่งเศส และประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันแห่งสหรัฐอเมริกา

เป้าหมายของฝรั่งเศส

เป้าหมายของฝรั่งเศสเน้นไปทางการแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยจากการรุกรานของเยอรมนี จากการรบบนแนวรบด้านตะวันตก ฝรั่งเศสสูญเสียทหารไปราว 1.5 ล้านนาย รวมไปถึงพลเรือนอีกกว่า 400,000 คน สงครามได้สร้างความเสียหายแก่ฝรั่งเศสพอ ๆ กับเบลเยี่ยม นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฌอร์ฌ เกลม็องโซ ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนในการล้างแค้นเยอรมนี โดยต้องการให้เยอรมนีกลายเป็นอัมพาต ทั้งทางการทหาร เศรษฐกิจและการเมือง[4]

เจตนาของเกลม็องโซนั้นชัดเจนและเรียบง่าย นั่นคือ กองทัพของเยอรมนีต้องไม่ถูกทำให้อ่อนแอเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แต่ต้องทำให้อ่อนแออย่างถาวรจนกระทั่งไม่สามารถทำการรุกรานฝรั่งเศสได้อีก นอกจากนี้ เขายังต้องการให้มีการทำลายเครื่องหมายของลัทธินิยมทหารของจักรวรรดิเยอรมันเดิม เช่นเดียวกับความต้องการปกป้องสนธิสัญญาลับและเรียกร้องให้ขยายการปิดล้อมทางทะเลต่อเยอรมนีต่อไปอีก เพื่อให้ฝรั่งเศสสามารถควบคุมสินค้าเข้าและสินค้าออกของประเทศผู้แพ้สงคราม เกลม็องโซนั้นเป็นบุคคลที่รุนแรงที่สุดในกลุ่มผู้นำทั้งสี่ จนได้รับฉายา "Tigre" (เสือ) ด้วยเหตุผลดังกล่าว[5]

ฌอร์ฌ เกลม็องโซแห่งฝรั่งเศสต้องการค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีเพื่อฟื้นฟูความมั่งคั่งของประเทศที่ได้รับความเสียหายและเห็นว่าการเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามนั้นจะเป็นการทำให้เยอรมนีอ่อนแอลง[6] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปรารถนาที่จะเอาแคว้นอาลซัส-ลอแรน ซึ่งถูกฉีกออกไปจากฝรั่งเศสนับตั้งแต่สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ค.ศ. 1871 กลับคืน หรือถ้าเป็นไปได้ก็แสวงหาแม่น้ำไรน์เป็นพรมแดนธรรมชาติติดกับเยอรมนี[7]

เป้าหมายของบริเตน

นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เดวิด ลอยด์ จอร์จ ได้สนับสนุนการเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีเช่นเดียวกัน แต่ในขอบเขตที่น้อยกว่าการเรียกร้องของฝรั่งเศส อังกฤษเพียงแต่วางแผนที่จะฟื้นฟูสถานะของเยอรมนีให้เป็นประเทศคู่ค้าของอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง[6] นอกจากนั้น เขายังกังวลกับข้อเสนอของวิลสันเกี่ยวกับการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง และต้องการปกปักรักษาผลประโยชน์ของประเทศของตน ซึ่งเหมือนกับฝรั่งเศส โดยสภาพดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันระหว่างประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกสองแห่ง ซึงได้มีส่วนในการรบเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน เดวิด ลอยด์ จอร์จก็เป็นผู้นำอีกคนหนึ่งซึ่งสนับสนุนการปิดล้อมทางทะเลกับเยอรมนีและสนธิสัญญาลับ

ยังมีคำกล่าวบ่อย ๆ ว่าลอยด์ จอร์จเดินทางสายกลางระหว่างข้อเสนออันเพ้อฝันของวิลสันและข้อเสนอพยาบาทของเกลม็องโซโซ[8] อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของเขานั้นเป็นข้อเสนอที่แสนบอบบางกว่าที่ปรากฏในตอนแรก มหาชนชาวอังกฤษต้องการให้เกิดการลงโทษเยอรมนีให้หนักเหมือนกับข้อเสนอของฝรั่งเศส เพื่อให้รับผิดชอบต่อผลของสงครามที่เกิดขึ้น และได้สัญญาไว้เช่นสนธิสัญญาการเลือกตั้ง ค.ศ. 1918 ซึ่งลอยด์ จอร์จได้รับชัยชนะ นอกจากนั้นยังมีการบีบคั้นจากพรรคอนุรักษนิยม ในความต้องการแบบเดียวกันกับชาวอังกฤษ เพื่อปกปักรักษาจักรวรรดิอังกฤษ

เป้าหมายของสหรัฐอเมริกา

นับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 สหรัฐอเมริกาก็ต้องการให้สงครามยุติลงโดยเร็วที่สุดโดยที่ไม่มีผู้แพ้และผู้ชนะ[9] ก่อนสงครามยุติ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ได้ผลักดันให้ข้อเสนอหลักการสิบสี่ข้อ ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าความต้องการอังกฤษและฝรั่งเศส ให้เป็นจุดมุ่งหมายในการทำสงครามของสหรัฐอเมริกา มหาชนชาวเยอรมันคิดว่าสนธิสัญญาสันติภาพควรจะมีเงื่อนไขออกมาประมาณนี้ ซึ่งทำให้พวกเขามีความหวัง แต่ทว่าหลักการดังกล่าวไม่เคยประสบผลเลย[10]

กรณีพิพาทเกี่ยวกับดินแดน

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กลุ่มประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรได้มีการลงนามในสัญญาลับจำนวนหนึ่งเพื่อสนับสนุนกันและกันตามความต้องการ โดยได้มีการนำเอาดินแดนต่าง ๆ เข้ามาเป็นรางวัลเพื่อแลกกับการเข้าร่วมรบกับฝ่ายตน ซึ่งมีทั้งรัสเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เป็นต้น[11] แต่เมื่อสงครามยุติลง ปรากฏว่าประเทศที่เข้าร่วมสงครามไม่ได้รับดินแดนตามที่เคยสัญญากันไว้ อันก่อให้เกิดปัญหาในการประชุมร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย และความตึงเครียดหลังสงคราม[12] นอกจากนี้ ฝ่ายสัมพันธมิตรยังได้ขัดแย้งกับหลักการสิบสี่ข้อของวิลสัน เนื่องจากกลุ่มประเทศเหล่านี้มีความต้องการแสวงหาดินแดนเพิ่มเติมอีก[13]

Remove ads

การเจรจา

สรุป
มุมมอง
Thumb
ภาพขณะที่คณะผู้แทนจากนานาประเทศกำลังลงนามสนธิสัญญาแวร์ซาย ในห้องแห่งกระจก

การเจรจาระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม 1919 ในอาคาร Salle de l'Horloge ของกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส โดยเริ่มจากการประชุมของคณะผู้แทน 70 คนจาก 26 ประเทศมีส่วนร่วมในการประชุม[14] ส่วนเยอรมนี ออสเตรียและฮังการีผู้แพ้สงครามถูกยกเว้นไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม สหภาพโซเวียตก็ถูกห้ามมิให้เข้าประชุมด้วย เนื่องจากได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพแยกต่างหากกับเยอรมนีแล้วใน ค.ศ. 1917

จนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 1919 บทบาทที่สำคัญที่สุดของการเจรจา ความซับซ้อนและเงื่อนไขอันยุ่งยากของสันติภาพอยู่ระหว่างการประชุมของ "สภาสิบ" ซึ่งประกอบด้วยบุคคลสำคัญจาก 5 ประเทศผู้ชนะสงครามหลักเท่านั้น (สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร อิตาลี ญี่ปุ่น) ด้วยรูปร่างแปลกประหลาดอันไม่เหมาะสมและไม่เป็นทางการในการตัดสินใจของที่ประชุม ญี่ปุ่นจึงได้ถอนตัวออกจากการประชุมหลัก จึงเหลือเพียง "สี่มหาอำนาจ" เท่านั้น[15] ต่อมาภายหลัง อิตาลีก็ได้ถอนตัวจากการประชุมเช่นกัน (กลับมาเซ็นสัญญาในเดือนมิถุนายนเพียงชั่วคราวเท่านั้น) ทำให้การครอบครองฟียูเม (ปัจจุบันคือ ริเยกา) ถูกปฏิเสธ ดังนั้น เงื่อนไขสุดท้ายของฝ่ายสัมพันธมิตรจึงเหลือเพียง "สามมหาอำนาจ" เท่านั้น คือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ส่วนทางด้านเยอรมนีนั้นถูกห้ามมิให้เข้าร่วมประชุม ในการเจรจาดังกล่าวนั้น เป็นการยากที่จะตัดสินใจในฐานะธรรมดาเนื่องจากว่าเป้าหมายของแต่ละประเทศแตกต่างกัน ซึ่งสุดท้ายก็ได้ออกมาเป็น "การประนีประนอมอย่างไม่มีความสุข"[16]

Remove ads

เงื่อนไข

สรุป
มุมมอง

มาตรการที่มีต่อเยอรมนี

การจำกัดทางกฎหมาย

  • ข้อ 227 แจ้งข้อหาแก่จักรพรรดิแห่งเยอรมนี จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ในฐานะก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ นอกจากนี้ยังถูกพิจารณาว่ามีความผิดฐานอาชญากรรมสงคราม
  • ข้อ 228-230 ระบุถึงอาชญากรสงครามชาวเยอรมันที่เกี่ยวข้อง
  • ข้อ 231 ("อนุประโยคความรับผิดในอาชญากรรมสงคราม") ได้ถือว่าเยอรมนีเป็นฝ่ายเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่ส่งผลประทบต่อพลเรือนของกลุ่มประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร

การกำหนดกำลังทหาร

ตามที่ได้ระบุไว้ในส่วนที่ห้าของสนธิสัญญาแวร์ซายว่า "ในความพยายามที่จะเริ่มต้นการจำกัดอาวุธของนานาประเทศนั้น เยอรมนีจำเป็นต้องยอมรับและปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด ซึ่งปริมาณของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศจะต้องเป็นไปตามที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้"

  • แคว้นไรน์แลนด์เป็นเขตปลอดทหาร ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองร่วมกันระหว่างสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส
  • กองทัพเยอรมันถูกจำกัดทหารเหลือเพียง 100,000 นาย การประกาศระดมพลถูกล้มเลิก
  • ตำแหน่งทหารชั้นประทวนจะได้ต้องยกเลิกไปเป็นเวลา 12 ปี และตำแหน่งนายทหารชั้นสัญญาบัตรจะต้องได้รับการยกเลิกไปเป็นเวลา 25 ปี
  • ห้ามทำการผลิตอาวุธในเยอรมนี และห้ามทำการครอบครองรถถัง ยานยนต์หุ้มเกราะ เครื่องบินรบและปืนใหญ่ทั้งสิ้น
  • ห้ามเยอรมนีนำเข้าและส่งออกอาวุธ รวมไปถึงการผลิตและการครอบครองแก๊สพิษ
  • กำลังพลกองทัพเรือถูกจำกัดลงเหลือ 15,000 นาย เรือรบ 6 ลำ (น้ำหนักเรือไม่เกิน 10,000 เมตริกตัน) เรือลาดตระเวน 6 ลำ (น้ำหนักเรือไม่เกิน 6,000 เมตริกตัน) เรือพิฆาตตอร์ปิโด 12 ลำ (น้ำหนักเรือไม่เกิน 800 เมตริกตัน) และเรือยิงตอร์ปิโด 12 ลำ (น้ำหนักเรือไม่เกิน 200 เมตริกตัน) เยอรมนีห้ามมีเรือดำน้ำในครอบรอง
  • การปิดล้อมทางทะเลต่อเรือถูกสั่งห้าม

การกำหนดพรมแดน

Thumb
ประเทศเยอรมนีภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
  ดินแดนที่ถูกผนวกเข้ากับประเทศเพื่อนบ้าน
  ดินแดนที่อยู่ใต้อำนาจของสันนิบาตชาติ
  ประเทศเยอรมนี

จากสนธิสัญญาแวร์ซาย ได้กำหนดให้เยอรมนีสูญเสียอาณานิคมทั้งหมด รวมไปถึงดินแดนบางส่วนของแผ่นดินแม่ โดยดินแดนที่สำคัญ ได้แก่ ดินแดนปรัสเซียตะวันตก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สอง และยังต้องสูญเสียฉนวนโปแลนด์และทางออกสู่ทะเลบอลติก นับตั้งแต่ผลของการแบ่งโปแลนด์ และทำให้แคว้นปรัสเซียตะวันออกถูกกีดกันออกไปจากแผ่นดินเยอรมนีเป็นดินแดนแทรก

  • อำนาจอธิปไตยเหนือแคว้นอาลซัส-ลอแรน ซึ่งเป็นดินแดนของเยอรมนีตามสนธิสัญญาแฟรงก์เฟิร์ต เมื่อปีค.ศ. 1871 จะถูกยกคืนแก่ฝรั่งเศส (คิดเป็นดินแดน 14,522 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 1,815,000 คน (ประมาณการ ณ ค.ศ. 1905) [17] เกลม็องโซเชื่อมั่นว่าเยอรมนีมีประชากรมากเกินไป และการยึดครองแคว้นอาลซัส-ลอแรนดังกล่าวจะเป็นการทำให้เยอรมนีอ่อนแอลงและทำให้ฝรั่งเศสแข็งแกร่งขึ้น[18]
  • ดินแดนชเลสวิชตอนเหนือต้องคืนให้แก่เดนมาร์ก ตามผลของการลงประชามติ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920 (คิดเป็นดินแดน 3,984 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 163,600 คน) ส่วนดินแดนชเลสวิชตอนกลาง รวมทั้งเมืองเฟล็นส์บวร์ค ยังคงเป็นของเยอรมนี จากผลของการลงประชามติใน ค.ศ. 1920[19][20]
  • ส่วนใหญ่ของมณฑลโพเซินและปรัสเซียตะวันตก ซึ่งปรัสเซียได้รับมาหลังจากการแบ่งดินแดนโปแลนด์ เมื่อค.ศ. 1772 ถึง 1795 ต้องคืนให้แก่โปแลนด์ (คิดเป็นดินแดน 53,800 ตารางกิโลเมตร รวมไปถึงดินแดน 510 ตารางกิโลเมตร ประชากร 26,000 คน จากอัปเปอร์ซิลีเซีย) [17] ซึ่งดินแดนส่วนที่ฉีกออกมานั้นได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของโปแลนด์อย่างสมบูรณ์หลังจากเหตุการณ์ก่อจลาจลเมื่อปี ค.ศ. 1918 ถึง 1919 แต่ประชาชนไม่ยอมรับการลงประชามติ การรวมเอาดินแดนปรัสเซียตะวันตกและการละเมิดสิทธิชนกลุ่มน้อยของรัฐโปแลนด์ ทำให้พลเมืองปรัสเซียตะวันตกอพยพสู่ดินแดนเยอรมนีเป็นจำนวนมากในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 โดยคิดเป็นกว่า 1,000,000 คนในปี ค.ศ. 1919 และอีกกว่า 750,000 คนในปี ค.ศ. 1926[21]
  • ยกดินแดนฮุลทชิน ของอัปเปอร์ซิลีเซีย ให้แก่เชโกสโลวาเกีย (คิดเป็นดินแดน 333 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 49,000 คน) โดยปราศจากการลงประชามติ[20]
  • ยกทางตะวันออกของแคว้นอัปเปอร์ซิลีเซียให้แก่โปแลนด์ (คิดเป็นดินแดน 3,214 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 965,000 คน) โดย 2 ใน 3 รวมเข้ากับเยอรมนี และอีก 1 ใน 3 รวมเข้ากับโปแลนด์ตามผลของการลงประชามติ[22]
  • ยกมอเรสเนต ยูเพนและมาเมลคืนให้เบลเยี่ยม[22] รวมไปถึงยกรางรถไฟเวนนบานให้แก่เบลเยี่ยมด้วย
  • ยกอาณาเขตของโซลเดา ในปรัสเซียตะวันออก ชุมทางรถไฟสายวอร์ซอ-ดานซิกที่สำคัญ ให้แก่โปแลนด์โดยไม่ต้องมีการลงประชามติ[23]
  • ยกดินแดนทางตอนเหนือของอัปเปอร์ซิลีเซีย หรือแคว้นมาเมล ให้อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ต่อมาได้โอนให้แก่ลิทัวเนีย
  • ยกดินแดนทางตะวันออกของปรัสเซียตะวันตกและทางตอนใต้ของปรัสเซียตะวันออกให้แก่โปแลนด์ หลังจากผลการลงประชามติ[24][25][26]
  • ให้ดินแดนซาร์ลันท์อยู่ภายใต้การปกครองของสันนิบาตชาติเป็นเวลา 15 ปี และหลังจากครบกำหนดเวลาจะมีการลงประชามติว่าจะเลือกรวมกับฝรั่งเศสหรือรวมกับเยอรมนีตามเดิม (ผลการออกเสียงใน ค.ศ. 1935 ได้รวมกับเยอรมนี) [19] โดยในช่วงเวลาระหว่างที่อยู่ภายใต้การปกครองของสันนิบาติชาติ ผลผลิตถ่านหินของแคว้นให้เป็นของฝรั่งเศส
  • เมืองท่าดานซิก ซึ่งตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำวิสตูล่า ริมชายฝั่งทะเลบอลติก ต้องเป็นนครเสรีดานซิก ภายใต้การปกครองของสันนิบาติชาติ โดยปราศจากการลงประชามติ (คิดเป็นดินแดน 1,893 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 408,000 คน (ประมาณการปี ค.ศ. 1920) [27]
  • เยอรมนีต้องรับรองและให้ความเคารพแก่ความเป็นเอกราชของออสเตรียอย่างเคร่งครัด และห้ามประเทศทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน แม้ว่าประชาชนของทั้งสองฝ่ายมีความต้องการเช่นนั้น[28][29]
  • ในข้อ 22 อาณานิคมเยอรมนีถูกแบ่งกันระหว่างเบลเยียม สหราชอาณาจักร บางประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ภายใต้ข้อกำหนดที่ว่าอาณานิคมเหล่านี้จะต้องไม่กลับเข้าไปรวมกับเยอรมนีอีก ซึ่งเป็นการรับประกันตามข้อ 119[30]
  • ในทวีปแอฟริกา อังกฤษและฝรั่งเศสได้เยอรมันคาเมรุน (แคมารูน) และโตโกแลนด์ เบลเยี่ยมได้รูอันดา-อูรุนดีในทางตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกาตะวันออกของเยอรมนี โปรตุเกสได้รับสามเหลี่ยมคิออนกา แอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมนีเป็นดินแดนในอาณัติของสหภาพแอฟริกาใต้
  • ในแปซิฟิก ญี่ปุ่นได้เกาะของเยอรมนีเหนือเส้นศูนย์สูตร (หมู่เกาะมาร์แชลล์ หมู่เกาะแคโรไลน์ หมู่เกาะมาเรียนา หมู่เกาะปาเลา) และอ่าวเกียวเจาในจีน เยอรมันซามัวได้รับมอบให้กับนิวซีแลนด์ เยอรมันนิวกินี กลุ่มเกาะบิสมาร์ค และนาอูรูให้เป็นดินแดนอาณัติของออสเตรเลีย[31]

ปัญหามณฑลซานตง

Thumb
ชาวจีนในขบวนการ 4 พฤษภาคม

ตามข้อที่ 156 ของสนธิสัญญา ได้กำหนดให้สัมปทานของเยอรมนีในมณฑลชานตงของจีนต้องถูกโอนให้แก่ญี่ปุ่น แทนที่จะถูกโอนกลับมาให้อยู่ภายใต้การปกครองของจีน ชาวจีนจึงจัดการเดินขบวนต่อต้านครั้งใหญ่ ที่เรียกว่า ขบวนการ 4 พฤษภาคม (อังกฤษ: May Fourth Movement) และส่งผลกระทบให้จีนไม่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าว จีนได้ประกาศยุติสงครามกับเยอรมนีในปี ค.ศ. 1919 และลงนามในสนธิสัญญาแยกต่างหากกับเยอรมนีในปี ค.ศ. 1921

ค่าปฏิกรรมสงคราม

ตามข้อที่ 231 ของสนธิสัญญาแวร์ซายกำหนดให้เยอรมนีต้องรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้เริ่มสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และได้กำหนดค่าปฏิกรรมสงครามที่เยอรมนีจำเป็นต้องจ่ายให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร โดยฝ่ายสัมพันธมิตรได้เรียกร้องเอาทองคำจากเยอรมนีเป็นมูลค่า 226,000 ล้านไรซ์มาร์ก (หรือ 11,300 ล้านปอนด์) ซึ่งเป็นจำนวนที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการค่าปฏิกรรมสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ในปี ค.ศ. 1921 ถูกปรับลดลงมาเหลือ 132,000 ล้านไรซ์มาร์ก (หรือ 4,990 ล้านปอนด์)[32]

การเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีส่วนหนึ่งนั้นเป็นการแก้แค้นของฝรั่งเศส เนื่องจากผลของสนธิสัญญาแฟรงเฟิร์ตเมื่อปี ค.ศ. 1871 ที่ได้ลงนามหลังจากสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ซึ่งฝรั่งเศสจำเป็นต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่เยอรมนีมากพอ ๆ กัน ขณะที่แผนการยัง ในปี ค.ศ. 1929 ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ของเยอรมนี ซึ่งจะหมดอายุเมื่อปี ค.ศ. 1988[33]

การชดใช้หนี้ตามที่ระบุในสนธิสัญญาแวร์ซายได้อยู่ในหลายรูปแบบ อย่างเช่น ถ่านหิน เหล็กกล้า ทรัพย์สินทางปัญญา และผลผลิตทางการเกษตร เนื่องจากการคืนเงินในรูปของสกุลเงินจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ซึ่งได้เกิดขึ้นในเยอรมนีในปี ค.ศ. 1920 และเป็นการลดผลประโยชน์ที่ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรจะได้รับ ที่ประชุมนานาชาติแห่งปี ค.ศ. 1953 กำหนดให้รัฐบาลเยอรมนีชำระหนี้ให้หมดภายในปี ค.ศ. 2020[34]

การจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศ

ในส่วนที่หนึ่งของสนธิสัญญาแวร์ซายได้กล่าวถึงกติกาของสันนิบาตชาติ ซึ่งได้นำไปสู่การก่อตั้งสันนิบาตชาติ อันเป็นองค์การระหว่างประเทศโดยมีจุดประสงค์ที่จะขจัดความขัดแย้งระหว่างประเทศ และหลีกเลี่ยงสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนที่สิบสามของสนธิสัญญาแวร์ซาย ก็ได้เป็นจุดกำเนิดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ[35] โดยมีความพยายามที่จะกำหนดจำนวนชั่วโมงทำงานต่อวัน รวมไปถึงการกำหนดเพดานวันและเวลางานสูงสุด การกำหนดการบรรจุแรงงาน และการป้องกันการว่างงาน การกำหนดอัตราค่าจ้างให้เพียงพอต่อค่าครองชีพ การดูแลรักษาแรงงานจากอาการป่วยและบาดเจ็บ การป้องกันการใช้แรงงานเด็ก สตรี ผู้สูงอายุและผู้บาดเจ็บ การกำหนดผลประโยชน์ของแรงงานเมื่อไม่ได้รับความร่วมมือและการอบรมจากประเทศที่ได้รับการบรรจุ รวมไปถึงมาตรการที่เกี่ยวข้อง และยังได้มีความพยายามที่จะจัดตั้งคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศขึ้นเพื่อดูแลดินแดนแถบแม่น้ำเอลเบ แม่น้ำโอเดอร์ แม่น้ำเนอเมนและแม่น้ำดานูบ

ประเทศเกิดใหม่จากผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย

  • ประเทศออสเตรีย ออสเตรีย มีพื้นที่ 28,000 ตารางไมล์ มีพลเมือง 6 ล้านคน
  • ราชอาณาจักรฮังการี (ค.ศ. 1920–1946) ฮังการี มีพื้นที่ 45,000 ตารางไมล์ มีพลเมือง 8 ล้านคน
  • ประเทศเชโกสโลวาเกีย เชโกสโลวาเกีย (ประกอบด้วยแคว้นโบฮีเมีย มอเรเวีย สโลวาเกียและบางส่วนของไซลีเชีย) มีพลเมือง 11 ล้านคน
  • ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย ยูโกสลาเวีย (ประกอบด้วยแคว้นมอนเตเนโกร บอสเนีย เฮอร์เซโกวีนา สลาโวเนีย แดลเมเชียและโครเอเชีย: ซึ่งเคยเป็นประเทศบอสเนียมาก่อน) มีพลเมือง 9 ล้านคน
  • สาธารณรัฐโปแลนด์ที่ 2 โปแลนด์ มีพื้นที่ 120,000 ตารางไมล์ มีพลเมือง 12 ล้านคน
  • ประเทศฟินแลนด์ ฟินแลนด์ มีพื้นที่ 150,000 ตารางไมล์ มีพลเมือง 3.5 ล้านคน
  • ประเทศเอสโตเนีย เอสโตเนีย มีพื้นที่ 18,355 ตารางไมล์ มีพลเมือง 1 ล้านคน
  • ประเทศลัตเวีย ลัตเวีย มีพื้นที่ 25,384 ตารางไมล์ มีพลเมือง 2 ล้านคน
  • ประเทศลิทัวเนีย ลิทัวเนีย มีพื้นที่ 21,000 ตารางไมล์ มีพลเมือง 3.5 ล้านคน
Remove ads

ผลที่เกิดขึ้นภายหลังสนธิสัญญาแวร์ซาย

สรุป
มุมมอง

ฝ่ายสัมพันธมิตร

Thumb
เฮนรี คาบอท ลอดจ์ สมาชิกวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งมีความเห็นคัดค้านเนื้อหาของสนธิสัญญาแวร์ซาย

ประธานาธิบดีเกลม็องโซแห่งฝรั่งเศสประสบความล้มเหลวที่ไม่อาจทำตามความต้องการของชาวฝรั่งเศสได้ และต้องพ้นตำแหน่งไปหลังจากการเลือกตั้งในเดือนมกราคม ค.ศ. 1920 ส่วนจอมพลแห่งฝรั่งเศส แฟร์ดีน็อง ฟ็อช ได้แสดงความคิดเห็นออกมาว่า การจำกัดความสามารถของเยอรมนีนั้นเป็นความกรุณามากเกินไป "นี่ไม่ใช่สันติภาพ แต่เป็นสนธิสัญญาพักรบที่มีอายุยี่สิบปีเท่านั้น"[36]

ตรงกันข้ามกับความคิดเห็นที่แตกต่างของเฮนรี คาบอท ลอดจ์ วุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ได้ลงมติปฏิเสธที่จะอนุมัติสนธิสัญญาดังกล่าว แม้ว่าจะมีการโต้วาทีครั้งสำคัญก็ตาม ประธานาธิบดีวิลสันได้ปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนแก่สนธิสัญญาแวร์ซายเช่นกัน[37] ผลที่ตามมา คือ สหรัฐอเมริกามิได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของสันนิบาติชาติ แม้ว่าประธานาธิบดีวิลสันจะอ้างว่าเขาสามารถ "ทำนายด้วยความมั่นใจเกือบเต็มร้อยว่าในอีกชั่วอายุคนหนึ่งจะมีสงครามโลกเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าหากประชาชาติไม่ได้ประสานงานกันป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น"[38]

เพื่อนของประธานาธิบดีวิลสัน ชื่อว่า เอ็ดเวิร์ด แมนเดล เฮาส์ ได้เขียนไว้ในบันทึกส่วนตัวของเขาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 1919 ไว้ว่า:

"ผมกำลังออกจากกรุงปารีส หลังจากผ่านช่วงเวลาอันสำคัญนานแปดเดือนด้วยอารมณ์ที่สับสน เมื่อได้มองดูที่ประชุมในห้วงความทรงจำของผม มีหลายสิ่งที่น่ายินดีและหลายสิ่งที่น่าเสียใจ มันเป็นการง่ายมากที่จะกล่าวว่าอะไรควรจะเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่กลับหาทางที่จะลงมือทำอย่างแท้จริงได้ยากยิ่งนัก สำหรับผู้ที่คิดว่าสนธิสัญญานี้เป็นสิ่งที่เลวร้ายและไม่สมควรที่จะถือกำเนิดขึ้นมาเลย และบอกว่ามันจะมีผลเกี่ยวพันถึงทวีปยุโรปในความยุ่งยากไม่สิ้นสุดจากผลของมัน ผมจะมีความรู้สึกเห็นด้วยกับคนคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผมก็จะตอบแก่เขาว่าจักรวรรดิไม่สามารถถูกทำลายลงได้ และรัฐแห่งใหม่ที่เจริญขึ้นมาจากเศษซากของจักรวรรดิเก่าโดยปราศจากความไม่สงบ ความพยายามใด ๆ ที่จะสร้างเขตแดนแห่งใหม่ขึ้นย่อมหมายถึงการก่อปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่มีวันหมดสิ้น ขณะที่ผมควรจะหันไปทางสันติภาพที่แตกต่าง ผมก็สงสัยเป็นอันมากว่ามันจะทำได้จริงหรือ เพราะส่วนประกอบหลายอย่างที่ต้องการในการสร้างสันติภาพขึ้นมานี้ไม่ได้ปรากฏให้เห็นในกรุงปารีสแห่งนี้เลย"[39]

หลังจากที่ผู้แทนของประธานาธิบดีวิลสัน วาร์เรน จี. ฮาร์ดิง ได้ทำการต่อต้านแนวคิดสันนิบาตชาติต่อไป วุฒิสภาได้ผ่านมติน็อกซ์-พอร์เตอร์ (อังกฤษ: Knox-Porter Resolution) ซึ่งเป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและฝ่ายมหาอำนาจกลางอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1921[40]

ประเทศเยอรมนี

เมื่อวันที่ 29 เมษายน คณะผู้แทนเยอรมนีภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อูริก กราฟ วอน บรอกดอร์ฟฟ์-รันเซา ได้เดินทางมาถึงที่ประชุมแวร์ซาย ในวันที่ 7 พฤษภาคม เมื่อเขาได้เห็นเงื่อนไขที่ผู้ชนะกำหนดขึ้นมานั้น รวมไปถึง "อนุประโยคความผิดฐานเป็นผู้ริเริ่มสงคราม" แล้ว เขาได้ตอบแก่ผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรในที่ประชุมว่า "เราได้รับทราบถึงความเกลียดชังรุนแรงที่เราได้เผชิญ ณ ที่แห่งนี้ พวกท่านต้องการให้เรายอมรับว่าเราเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่ผิดในสงครามครั้งนี้ การยอมรับของข้าพเจ้าก็จะเป็นแค่เพียงคำโกหกเท่านั้น"[41]

Thumb
ชาวเยอรมันมารวมตัวกันหน้ารัฐสภาไรซ์ตาร์กเพื่อต่อต้านการลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซาย

เพราะว่าเยอรมนีไม่มีส่วนใด ๆ ในการเข้าร่วมประชุม รัฐบาลใหม่ของเยอรมนีจึงยื่นคำร้องประท้วงต่อข้อเรียกร้องอันไม่เป็นธรรม และ "การทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศ"[42] และยกเลิกการเดินหน้าการประชุมแวร์ซายในเวลาไม่นานหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง ฟีลิพพ์ ไชเดมันน์ ได้ปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายและถอนตัวออก และในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1919 เขาได้เรียกสนธิสัญญาดังกล่าวว่าเป็น "แผนการสังหาร" และเปล่งเสียงออกมาว่า:

"มือที่พยายามจะจับเราล่ามโซ่จะไม่ร่วงโรยหรือ สนธิสัญญานี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้"[43]

ภายหลังจากการถอนตัวของไชเดมันน์ รัฐบาลผสมใหม่ของเยอรมนีภายใต้การนำของ กุสตาฟ เบาเออร์ มีความจำเป็นที่จะต้องลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าว ที่ประชุมแห่งชาติไวมาร์ได้ลงคะแนนเสียง โดยคะแนนเสียงให้ลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายชนะไป 237 ต่อ 138 เสียง รวมทั้งไม่ลงคะแนน 5 เสียง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เฮอร์มันน์ มึลเลอร์ และ โจฮานเนส เบล เป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญา สนธิสัญญาดังกล่าวได้รับการลงนามเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919 และได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมแห่งชาติเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ด้วยคะแนนเสียง 209 ต่อ 116[44]

พวกอนุรักษนิยม พวกชาตินิยม และนายทหารนอกประจำการได้เริ่มต้นการพูดคุยอย่างฉุกเฉินเกี่ยวกับสันติภาพ และพวกนักการเมือง พวกสังคมนิยม พวกคอมมิวนิสต์ และชาวยิวถูกจับตามอง เนื่องจากว่ามีความเห็นโอนเอียงไปหาต่างประเทศ รวมทั้งยังมีข่าวลือออกมาว่า พวกเขาเหล่านี้ไม่สนับสนุนสงคราม และขายชาติให้กับศัตรู สมาชิกขององค์การไซออนโลกได้พยายามที่จะชักจูงนโยบายของรัฐบาลอังกฤษและสหรัฐอเมริกาให้มุ่งไปยังจักรวรรดิออตโตมาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชะตากรรมของปาเลสไตน์ และกลายมาเป็น การประชุมสันติภาพปารีส[45] พวกอาชญากรเดือนพฤศจิกายน (อังกฤษ: November Criminals) หรือ ผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์จากประเทศเยอรมนีที่กำลังอ่อนแอ และสาธารณรัฐไวมาร์ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ซึ่งถูกมองว่าเป็น "ผู้แทงข้างหลัง" จาก แนวหน้าที่บ้าน โดยวิจารณ์ลัทธิชาตินิยมของชาวเยอรมัน หรือไม่ก็ยุยงให้เกิดการจลาจลและการประท้วงหยุดงานในอุตสาหกรรมทางทหารที่สำคัญ หรือ การลักลอบขายสินค้าราคาแพง โดยแนวคิดดังกล่าวมีผู้เชื่อว่าเป็นความจริงจำนวนมาก เพราะว่าหลังจากที่เยอรมนียอมจำนนเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 กองทัพเยอรมันส่วนมากยังคงอยู่ในดินแดนของฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม ไม่เท่านั้น ทางแนวรบด้านตะวันออกก็ได้รับชัยเหนือจักรวรรดิรัสเซีย และมีการบังคับใช้สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ และทางด้านตะวันตก กองทัพเยอรมันก็เกือบจะเอาชนะสงครามได้ในการรุกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ความล้มเหลวทำให้เกิดการประท้วงในอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธ ทำให้ทหารเยอรมันมียุทธสัมภาระที่ไม่เพียงพอ การประท้วงดังกล่าวได้รับการยุยงจากพวกกบฏ โดยพวกยิวได้รับการตราหน้ามากที่สุด การมองข้ามตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของเยอรมนีทำให้แนวหน้าต้องประสบกับความพ่ายแพ้ในที่สุด

ตำนานแทงข้างหลังได้รับความเห็นเป็นหนึ่งเดียวกันจากพรรคการเมืองตั้งแต่ฝ่ายซ้ายจัดไปจนถึงฝ่ายขวาจัด เนื่องจากเงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซายถูกมองว่า ไม่อาจยอมรับได้

Remove ads

การละเมิดสนธิสัญญา

สรุป
มุมมอง

เศรษฐกิจของเยอรมนีภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอ่อนแอมาก และค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถจ่ายคืนโดยเป็นสกุลเงินของเยอรมนีได้ กระนั้น แม้แต่การจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเพียงน้อยนิดนี้ก็ยังเป็นภาระหนักสำหรับเศรษฐกิจของเยอรมนี โดยส่งผลกระทบกว่าหนึ่งในสามของภาวะเงินเฟ้อในสาธารณรัฐไวมาร์ และส่งผลให้เกิดการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายหลายครั้ง อย่างเช่น

  • ในปี ค.ศ. 1919 ได้ปรากฏการการล้มล้างกองเสนาธิการ อย่างไรก็ตาม แก่นกลางของกองเสนาธิการกลับอยู่ในอีกองค์กรหนึ่ง ที่เรียกว่า ทรุปเปเนมท์ (เยอรมัน: Truppenamt) ซึ่งได้มีการปรับปรุงหลักสูตรของกองทัพบกและกองทัพอากาศขึ้นใหม่[46] และมีอุปกรณ์การฝึกสอนที่มีมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
  • วันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1922 ผู้แทนของรัฐบาลเยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ลงนามในสนธิสัญญาราพัลโล ณ การประชุมเศรษฐกิจโลก ที่เมืองกานัว ประเทศอิตาลี สนธิสัญญาดังกล่าวได้สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ ยกเลิกคำกล่าวอ้างทางเศรษฐกิจ และให้การรับประกันต่อความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
  • ในปี ค.ศ. 1932 รัฐบาลเยอรมนีประกาศว่าเยอรมนีจะไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงลดอาวุธตามสนธิสัญญา เนื่องจากความล้มเหลวของประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรที่จะลดอาวุธ ตามเนื้อหาในส่วนที่ห้าของสนธิสัญญาแวร์ซาย
  • ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1935 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์สั่งให้มีการระดมพลในเยอรมนีและสร้างกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาใหม่ รวมไปถึงกองทัพเรือ กองพลยานเกราะ (เป็นครั้งแรกในโลก) และกองทัพอากาศ
  • ในเดือนมิถุนายน 1935 สหราชอาณาจักรละเมิดสนธิสัญญาอย่างร้ายแรง เมื่อลงนามใน ข้อตกลงการเดินเรือระหว่างอังกฤษ-เยอรมัน
  • ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1936 ฮิตเลอร์ส่งทหารเข้าไปยังเขตปลอดทหารไรน์แลนด์
  • ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1938 ฮิตเลอร์ผนวกออสเตรียเข้ากับเยอรมนี
  • ในเดือนกันยายน 1938 ฮิตเลอร์ได้รับความเห็นชอบจากอังกฤษ ฝรั่งเศสและอิตาลีให้ยึดครองซูเตเดนแลนด์
  • ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์ยึดครองเชโกสโลวาเกียทั้งประเทศ
  • 1 กันยายน 1939 เยอรมนีบุกครองโปแลนด์ นับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง
Remove ads

หลายแง่คิดเกี่ยวกับสนธิสัญญาแวร์ซาย

สรุป
มุมมอง

ในหนังสือ The Economic Consequences of the Peace ของ จอห์น เมย์เนิร์ด เคนส์ ได้กล่าวถึงสนธิสัญญาแวร์ซายไว้ว่าเป็น สันติภาพคาร์เธจ การวิเคราะห์ดังกล่าวได้รับการโต้แย้งจากนักเศรษฐศาสตร์ของกองทัพเสรีฝรั่งเศส ชื่อว่า Étienne Mantoux ระหว่างช่วงคริสต์ทศวรรษ 1940 เขาได้เขียนหนังสือชื่อว่า The Carthaginian Peace, or the Economic Consequences of Mr. Keynes ในความพยายามดังกล่าว โดยหนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว

เมื่อถึงเร็ว ๆ นี้ได้มีการโต้เถียงกัน (จากแนวคิดของเจอร์ฮาร์ด เวนเบิร์ก นักประวัติศาสตร์ ในหนังสือ A World At Arms[47]) ว่า สนธิสัญญาแวร์ซายนั้นในความเป็นจริงแล้ว เอื้อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายเยอรมนีเสียด้วยซ้ำ เพราะว่า Bismarckian Reich ยังคงเป็นหน่วยการเมืองแทนที่จะล่มสลายไป และทำให้เยอรมนีรอดพ้นจากการถูกยึดครองทางทหารครั้งใหญ่ (ซึ่งผิดกับผลที่ตามมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง)

นักประวัติศาสตร์การทหารชาวอังกฤษ คอร์เรลลี บาร์เนตต์ กล่าวว่า สนธิสัญญาแวร์ซาย "เป็นความกรุณาอย่างสูงแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับเงื่อนไขแห่งสันติภาพของเยอรมนี เมื่อเยอรมนีปรารถนาที่จะชนะสงคราม และมีจิตใจที่จะบังคับฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่แล้ว" นอกเหนือจากนั้น เขายังกล่าวว่า "เป็นการตบหน้าด้วยข้อมือ" เมื่อเปรียบเทียบสนธิสัญญาแวร์ซายกับสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ ซึ่งเยอรมนีบังคับเอาดินแดนจากรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคม 1918 คิดเป็นประชากรกว่าหนึ่งในสามของรัสเซีย (นับเฉพาะเชื้อชาติรัสเซียแท้) อุตสาหกรรมกว่าครึ่ง และเหมืองถ่านหินกว่าเก้าในสิบ พร้อมกับค่าปฏิกรรมสงครามกว่าหกพันล้านมาร์ก[48]

บาร์เนตต์ยังบอกอีกว่า เยอรมนีอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าทางยุทธศาสตร์จากสนธิสัญญาแวร์ซาย มากกว่าเมื่อปี ค.ศ. 1914 เสียอีก[49] ในตอนนั้น ชายแดนด้านตะวันออกของเยอรมนีติดกับพรมแดนรัสเซียและออสเตรีย ซึ่งทั้งสองเป็นผู้คานอำนาจของเยอรมนี แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีถูกแบ่งแยก และรัสเซียก็ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติและสงครามกลางเมือง จนประสบความอ่อนแอ และรัฐโปแลนด์ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ก็ไม่มีอำนาจพอที่จะโจมตีเยอรมนีได้เลย

ทางตะวันตก อำนาจเยอรมนีคานกับอำนาจของฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม ทั้งสองมีประชากรน้อยกว่าและมีเศรษฐกิจที่ด้อยกว่า เบอร์เนตต์ได้สรุปว่า แทนที่จะเป็นการทำให้เยอรมนีอ่อนแอ สนธิสัญญาดังกล่าวกลับเป็นการ "ส่งเสริม" อำนาจของเยอรมนี[49] บาร์เนตต์กล่าวว่าอังกฤษและฝรั่งเศสควรจะ "แบ่งแยกและทำให้อ่อนแอตลอดกาล" โดยการลบล้างผลงานของบิสมาร์ก และแบ่งแยกเยอรมนีให้เป็นรัฐขนาดเล็กที่อ่อนแอ เพื่อที่จะได้รักษาสันติภาพในทวีปยุโรป[50] และเมื่อทำไม่สำเร็จแล้ว มันก็มิได้เป็นการแก้ปัญหาอำนาจของเยอรมนีและฟื้นฟูความสงบของทวีปยุโรป อังกฤษนั้น "ได้ประสบความล้มเหลวในการมีส่วนร่วมมีบทบาทในสงครามอันยิ่งใหญ่"[51]

นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เรย์มอนด์ คาเทียร์ได้ชี้ว่ามีชาวเยอรมันที่อยู่ในซูเตเดนแลนด์ และโปเซน-ปรัสเซียตะวันตก ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมของศัตรู ซึ่งถูกจำกัดและลิดรอนสิทธิอยู่เสมอ[21] เขายืนยันว่ามีชาวเยอรมันกว่า 1,058,000 คนในแคว้นโปเซน-ปรัสเซียตะวันตก ในปี ค.ศ. 1921 และกว่า 758,867 คนได้หลบหนีออกจากโปแลนด์ในเวลาภายในห้าปีหลังจากนี้[21] ในปี ค.ศ. 1926 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของโปแลนด์ได้ประมาณการว่ามีชาวเยอรมันอาศัยอยู่ในโปแลนด์อยู่ไม่เกิน 300,000 คน ความขัดแย้งทางเชื้อชาติอันรุนแรงเช่นนี้ได้นำไปสู่การเรียกร้องให้มีการผนวกดินแดนในปี ค.ศ. 1938 และฮิตเลอร์ได้ใช้เป็นข้ออ้างในการผนวกเชโกสโลวาเกีย และบางส่วนของโปแลนด์[21]

"2008 School Project History" ได้สำรวจถึงคำถามที่ว่าเยอรมนีที่พรรณนาว่า "ยอมรับผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย" ในตำราเรียนประวัติศาสตร์ของเยอรมนีหลายเล่ม ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกว่าผู้แทนเยอรมนีได้ลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายอย่างอิสระ มากกว่าที่จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากภายนอก[52][53] [54] [55]

Remove ads

ดูเพิ่ม

เชิงอรรถ

  1. การชำระค่าปฏิกรรมสงครามนัดสุดท้ายมีขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2010[2] วันครบรอบยี่สิบปีการรวมประเทศเยอรมนี และเก้าสิบสองปีพอดีหลังสงครามยุติ[3]

อ้างอิง

  • David Andelman (2007). A Shattered Peace: Versailles 1919 and the Price We Pay Today. New York: John Wiley & Sons Publishers. ISBN 978-0-471-78898-0
  • Demarco, Neil. (1987). The World This Century: Working with Evidence. Collins Educational. ISBN 0003222179
  • Margaret MacMillan (2001). Peacemakers: The Paris Peace Conference of 1919 and Its Attempt to End War (บ้างก็ชื่อว่า Paris 1919: Six Months That Changed the World และ Peacemakers: Six Months That Changed the World). London: John Murray Publishers. ISBN 0-7195-5939-1.
  • Harold Nicolson. (1933) Peacemaking, 1919, Being Reminiscences of the Paris Peace Conference. Boston: Houghton Mifflin. ISBN 1-931541-54-X
  • John Wheeler-Bennett (1972).The Wreck of Reparations, being the political background of the Lausanne Agreement, 1932. New York: H. Fertig.

อ้างอิง

Loading content...

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads