Remove ads
รัฐในยุโรปกลาง ช่วงปี 1525-1947 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปรัสเซีย (อังกฤษ: Prussia) หรือ พร็อยเซิน (เยอรมัน: Preußen) หรือ โบรุสซีอา (ละติน: Borussia) เป็นรัฐที่รุ่งเรืองที่สุดในบรรดารัฐทั้งหลายของชนชาติเยอรมัน มีจุดกำเนิดจากดัชชีปรัสเซียและแคว้นชายแดนบรันเดินบวร์ค อันเป็นแคว้นของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของภูมิภาคที่ชื่อว่าพร็อยเซิน รัฐแห่งนี้ถูกปกครองโดยราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นเป็นเวลาหลายศตวรรษ การมีกองทัพที่เข็มแข็งทำให้ปรัสเซียประสบความสำเร็จในการแผ่ขยายดินแดน ปรัสเซียมีเมืองหลวงเดิมอยู่ที่เคอนิชส์แบร์คก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปยังเบอร์ลินในปี 1701
ปรัสเซีย | |
---|---|
ค.ศ. 1525–1947 | |
เพลงชาติ: (1830–1840) พร็อยเซินลีด เพลงปรัสเซีย เพลงสรรเสริญพระบารมี (1795–1918) ไฮล์เดียร์อิมซีเกอร์ครันทซ์[1] | |
ปรัสเซีย (สีน้ำเงิน) ในช่วงแผ่ไพศาลที่สุด | |
เมืองหลวง | เคอนิชส์แบร์ค (1525–1701) เบอร์ลิน (1701–1947) |
ภาษาทั่วไป | เยอรมัน (ภาษาราชการ) |
ศาสนา | ส่วนใหญ่: โปรเตสแตนต์ ส่วนน้อย: |
เดมะนิม | Prussian |
การปกครอง | ราชาธิปไตยแบบศักดินา (1525–1701) สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (1701–1848) สหพันธ์ ระบบรัฐสภา กึ่งรัฐธรรมนูญ ราชาธิปไตย (1848–1918) สหพันธ์ ระบบกึ่งประธานาธิบดี สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ (1918–1930) ลัทธิอำนาจนิยมประธานาธิบดี สาธารณรัฐ (1930–1933) ชาติสังคมนิยม รัฐพรรคเดียว (1933–1945) |
พระมหากษัตริย์ | |
• 1701–1713 | ฟรีดริชที่ 1 (องค์แรก) |
• 1888–1918 | วิลเฮล์มที่ 2 (สุดท้าย) |
ดยุกปรัสเซีย | |
• 1525–1568 | อัลเบร็คท์ (คนแรก) |
• 1688–1701 | ฟรีดริชที่ 3 (สุดท้าย) |
มุขมนตรี1, 2 | |
• 1918 | ฟรีดริช เอเบิร์ท (คนแรก) |
• 1933–1945 | แฮร์มันน์ เกอริง (สุดท้าย) |
ยุคประวัติศาสตร์ | ต้นสมัยใหม่ |
10 เมษายน ค.ศ. 1525 | |
27 สิงหาคม 1618 | |
18 มกราคม 1701 | |
9 พฤศจิกายน 1918 | |
• เสียอิสรภาพ | 30 มกราคม 1934 |
• ปรัสเซียถูกยุบ | 25 กุมภาพันธ์ 1947 |
พื้นที่ | |
1907 | 348,702 ตารางกิโลเมตร (134,635 ตารางไมล์) |
1939 | 297,007 ตารางกิโลเมตร (114,675 ตารางไมล์) |
ประชากร | |
• 1816 | 103490003 |
• 1871 | 24689000 |
• 1939 | 41915040 |
สกุลเงิน | Reichsthaler German gold mark (1873–1914) German Papiermark (1914–1923) Reichsmark (since 1924) |
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | เยอรมนี โปแลนด์ รัสเซีย ลิทัวเนีย เดนมาร์ก เบลเยียม เช็กเกีย สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส |
1 The heads of state listed here are the first and last to hold each title over time. For more information, see individual Prussian state articles (links in above History section). 2 The position of Ministerpräsident was introduced in 1792 when Prussia was a Kingdom; the prime ministers shown here are the heads of the Prussian republic. 3 Population estimates:[2] |
ในการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (ปี 1814–15) ซึ่งจัดระเบียบทวีปยุโรปเสียใหม่ภายหลังถูกทำให้ปั่นป่วนจากสงครามนโปเลียน ปรัสเซียได้รับดินแดนส่วนใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเยอรมนีในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงรัฐร่ำรวยถ่านหินอย่างรัฐรูร์ (Ruhr) อิทธิพลทางเศรษฐกิจและทางการเมืองของปรัสเซียได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ปรัสเซีบกลายเป็นหัวใจของสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือในปี 1867 และของจักรวรรดิเยอรมันในปี 1871 ปรัสเซียในยุคจักรวรรดิเยอรมนี้มีอาณาเขตไพศาลมากกว่ารัฐเยอรมันที่เหลือรวมกันเสียอีก ชนชั้นนำของปรัสเซียมักจะระบุว่าตัวเองนั้นเป็น "ชาวเยอรมัน" มากกว่าบอกว่าตัวเองนั้นเป็น "ชาวปรัสเซีย"
เดิมทีปรัสเซียเป็นรัฐบริวารของโปแลนด์ ก่อนที่ในปี 1651 ปรัสเซียจำยอมต้องโอนอ่อนหันไปอยู่กับจักรวรรดิสวีเดน แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็เกิดสงครามเหนือครั้งที่สอง ปรัสเซียฉวยโอกาสต่อรองกับสวีเดน ว่าจะยอมช่วยสวีเดนทำศึกแลกกับการให้เอกราชแก่ปรัสเซีย หลังปรัสเซียได้รับเอกราชแล้วก็เริ่มผงาดตนเองขึ้นมาจนสามารถสถาปนาเป็นราชอาณาจักรในปี 1701[3][4][5][6] และมีอิทธิพลสูงที่สุดในศตวรรษที่ 18 ถึง 19 ปรัสเซียรุ่งเรืองอย่างก้าวกระโดดและกลายเป็นมหาอำนาจในสมัยพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 มหาราช โดยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพมากที่สุดในโลก และยิ่งเรืองอำนาจขึ้นอีกในสมัยมุขมนตรี ออทโท ฟอน บิสมาร์ค ชัยชนะของปรัสเซียในสงครามสามครั้งได้แก่ สงครามชเลสวิชครั้งที่สองกับเดนมาร์กในปี 1864, สงครามออสเตรีย-ปรัสเซียในปี 1866 และสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี 1870–71 ทำให้บิสมาร์คสามารถรวมรัฐเยอรมันเล็กน้อยต่างๆเข้าด้วยกันเป็นสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ โดยกีดจักรวรรดิออสเตรีย (ซึ่งถือเป็นรัฐเยอรมันเช่นกัน) ออกไป
ในปีค.ศ. 1871 บรรดารัฐเยอรมันทั้งหลายได้ถูกผนวกเข้าด้วยกันเป็นจักรวรรดิเยอรมันภายใต้การนำของปรัสเซีย อย่างไรก็ตาม การพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้บ้านเมืองเกิดกลียุค จนเกิดการปฏิวัติเยอรมันขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 1918 ซึ่งได้ทำให้ระบอบจักรพรรดิได้ล่มสลายลงและขุนนางทั้งหลายต่างก็สูญสิ้นอิทธิพลทางการเมือง ราชอาณาจักรปรัสเซียจึงถูกยุบและมีการจัดตั้งเสรีรัฐปรัสเซียซึ่งปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐขึ้น ตั้งแต่นั้นมาปรัสเซียก็มีสถานะเป็นรัฐอิสระในประเทศเยอรมนีจนกระทั่งในปี 1933 เมื่อพรรคนาซีขึ้นเถลิงอำนาจ รัฐบาลนาซีได้ใช้กฎหมาย ไกลช์ชัลทุง (Gleichschaltung) เพื่อจัดตั้งการปกครองแบบรัฐเดี่ยว โดยรวบอำนาจการปกครองทั้งหมดในเยอรมนีไว้ที่รัฐบาลนาซีในกรุงเบอร์ลิน เมื่อระบอบนาซีล่มสลายลงในปี 1945 เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็นโซนต่างๆซึ่งอยู่ในบังคับของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร และมีการแบ่งเยอรมนีออกเป็นตะวันออกและตะวันตก ซึ่งถือเป็นจุดจบทางพฤตินัยของปรัสเซีย แต่ในทางนิตินัย ปรัสเซียยังคงดำรงอยู่จนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1947 อันเป็นวันที่มีข้อบัญญัติสภาบังคับแห่งสัมพันธมิตรที่ 46 ซึ่งได้ยุบปรัสเซียอย่างเป็นทางการ[7]
ราชอาณาจักรปรัสเซียสิ้นสุดลงในปี 1918 พร้อมๆกับบรรดาราชวงศ์ต่างๆในรัฐต่างๆของเยอรมันจากผลของการปฏิวัติในประเทศภายหลังจากที่เยอรมันพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังจากนั้น ในสมัยสาธารณรัฐไวมาร์ ปรัสเซียมีสถานะเป็นเสรีรัฐปรัสเซียโดยยังมีอำนาจในการปกครองและออกกฎหมายเอง ปรัสเซียสูญเสียอำนาจทางการเมืองและนิติบัญญัติของตัวเองแทบทั้งหมดเมื่อมีการรัฐประหารปี 1932 ที่นำโดยฟรันซ์ ฟอน พาเพิน ต่อมาในปี 1935 รัฐบาลนาซีได้ยุบรัฐเล็กน้อยต่างๆทั้งหมดในเยอรมนีและจัดตั้งระบบเขตปกครองที่เรียกว่า เกา (Gau เทียบเท่าจังหวัด) ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ยังมีการคงตำแหน่งในคณะมนตรีปรัสเซียบางตำแหน่งไว้ และแฮร์มันน์ เกอริง ยังคงเป็นมุขมนตรีปรัสเซียไปจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.