Loading AI tools
ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายทางสังคมและการเมืองในประเทศจีน (ค.ศ. 1966–1976) จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การปฏิวัติทางวัฒนธรรมใหญ่ของกรรมาชีพ (อังกฤษ: Great Proletarian Cultural Revolution) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม (อังกฤษ: Cultural Revolution) เป็นขบวนการทางสังคม-การเมืองซึ่งเกิดขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วง ค.ศ. 1966 ถึง 1976 ดำเนินการโดยเหมา เจ๋อตงซึ่งขณะนั้นเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเป็นผู้จัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยการขจัดองค์ประกอบที่เป็นทุนนิยม ประเพณีและวัฒนธรรมจีน ออกจากวัฒนธรรมคอมมิวนิสต์และเพื่อกำหนดแนวทางแบบเหมาภายในพรรค การปฏิวัติดังกล่าวส่งผลให้เหมาเจ๋อตงกลับมามีอำนาจหลังการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าที่ล้มเหลว ขบวนการดังกล่าวทำให้การเมืองจีนหยุดชะงักและส่งผลกระทบต่อประเทศทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างสำคัญ
ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ยุวชนแดงได้ใช้โฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองบนกำแพงมหาวิทยาลัยฟู่ต้านที่ว่า "ปกป้องคณะกรรมการกลางของพรรคด้วยเลือดและชีวิต!" "ปกป้องท่านประธานเหมา ด้วยเลือดและชีวิต!" | |
ระยะเวลา | 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1966 – 6 ตุลาคม ค.ศ. 1976 (10 ปี 143 วัน) |
---|---|
ที่ตั้ง | สาธารณรัฐประชาชนจีน |
เหตุจูงใจ | รักษาแนวคิดคอมมิวนิสต์จีนด้วยการกวาดล้างซากเดนของทุนนิยมและค่านิยมดั้งเดิมออกจากสังคมจีนแผ่นดินใหญ่ |
ผล | กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก สื่อทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมถูกทำลาย |
เสียชีวิต | พลเรือน ยุวชนแดงและทหารจำนวนหลายแสนจนถึงหลายล้านคน (จำนวนตัวเลขไม่แน่นอน) |
ทรัพย์สินเสียหาย | สุสานขงจื๊อ, หอสักการะฟ้า, สุสานหลวงราชวงศ์หมิง |
จับ | เจียง ชิง, จาง ชุนเฉียว, เหยา เหวินหยวนและหวัง หงเหวินถูกจับกุมหลังจากนั้น |
การปฏิวัติทางวัฒนธรรมใหญ่ของกรรมาชีพ | |||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 无产阶级文化大革命 | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อักษรจีนตัวเต็ม | 無產階級文化大革命 | ||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||
Commonly abbreviated as | |||||||||||||||||||
ภาษาจีน | 1. 文化大革命 2. 文革 | ||||||||||||||||||
|
การปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1966 ด้วยการดำเนินการของกลุ่มปฏิวัติทางวัฒนธรรม เหมาเรียกร้องให้คนหนุ่มสาวออกมา "ถล่มกองบัญชาการ" และประกาศว่า "การกบฏเป็นเรื่องสมเหตุสมผล" เพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมืองของเขาในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และในโรงเรียน โรงงานและองค์กรรัฐบาล เหมาอ้างว่ากระฎุมพีกำลังแทรกซึมรัฐบาลและสังคมอย่างไม่มีขอบเขต โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูทุนนิยม เขายืนกรานให้ขจัด "ลัทธิแก้" (revisionist) เหล่านี้ผ่านการต่อสู้ของชนชั้นอย่างรุนแรง เยาวชนจีนสนองตอบการเรียกร้องของเหมาโดยตั้งกลุ่มยุวชนแดงขึ้นทั่วประเทศ ขบวนการดังกล่าวแพร่ไปสู่ทหาร กรรมกรในเมือง และผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เอง พวกเขาดำเนินการต่อสู้ในสมัยประจันหน้าและพยายามยึดอำนาจรัฐบาลท้องถิ่นรวมถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนตามสาขา และในที่สุดมีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิวัติขึ้นใน ค.ศ. 1967 ในกลุ่มต่าง ๆ มักแบ่งออกเป็นคู่ขัดแย้งกันเองแต่ก็เข้าไปมีส่วนพัวพันใน "การประจันหน้าที่รุนแรง" (จีนตัวย่อ: 武斗; จีนตัวเต็ม: 武鬥; พินอิน: wǔdòu) ทำให้มีการส่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้าไปรักษาความสงบ
คติพจน์ของเหมาได้ถูกรวบรวมไว้ใน สมุดเล่มแดง ซึ่งกลายเป็นคำสอนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาตัวบุคคลของเหมา เจ๋อตง หลิน เปียว ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ถูกเขียนชื่อไว้ในรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเหมา เหมาประกาศให้การปฏิวัติสิ้นสุดใน ค.ศ. 1969 แต่การปฏิวัติยังคงดำเนินต่อไปจนถึง ค.ศ. 1971 เมื่อหลิน เปียวถูกกล่าวหาว่าพยายามก่อการรัฐประหารต่อเหมา เขาได้หลบหนีและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ใน ค.ศ. 1972 แก๊งออฟโฟร์ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจและการปฏิวัติทางวัฒนธรรมยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งการอสัญกรรมและรัฐพิธีฝังศพเหมา เจ๋อตง และมีการจับกุมแก๊งออฟโฟร์ใน ค.ศ. 1976
การปฏิวัติทางวัฒนธรรมสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจจีนและวัฒนธรรมดั้งเดิม โดยมีผู้เสียชีวิตตั้งแต่หลายแสนไปจนถึง 20 ล้านคน[1][2][3][4][5][6] เริ่มตั้งแต่สิงหาคมแดงในปักกิ่ง การสังหารหมู่แพร่ขยายทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งการสังหารหมู่กว่างซี ที่มีการกินเนื้อมนุษย์กันขนานใหญ่[7][8], อุบัติการณ์มองโกเลียใน, การสังหารหมู่ปฏิวัติทางวัฒนธรรมในกวางตุ้ง, การสังหารหมู่ปฏิวัติทางวัฒนธรรมในยูนนานและการสังหารหมู่ปฏิวัติทางวัฒนธรรมในหูหนาน ยุวชนแดงได้ทำลายโบราณวัตถุและสิ่งประดิษฐ์ทางประวัติศาสตร์ เช่น การฉกชิงทรัพย์ในสถานที่ทางวัฒนธรรมและศาสนา ความล้มเหลวของเขื่อนป่านเฉียว ค.ศ. 1975 เป็นหนึ่งในหายนะทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ของโลก ได้เกิดขึ้นในช่วงปฏิวัติทางวัฒนธรรมเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันผู้คนหลายสิบล้านต่างถูกประหัตประหาร คนสำคัญอย่างเช่น หลิว เช่าฉี ประธานาธิบดีจีน, เติ้ง เสี่ยวผิง, เผิง เต๋อหวยและเฮ่อ หลง ต่างถูกกวาดล้างหรือเนรเทศ ประชาชนหลายล้านถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกกลุ่มบัญชีดำทั้งห้าซึ่งถูกทำความอัปยศในที่สาธารณะ จำคุก ทรมาน ใช้แรงงานหนัก ถูกยึดทรัพย์สิน และบางคนถูกประหาร และกดดันให้ฆ่าตัวตาย ปัญญาชนถูกมองว่าเป็นพวก "ค่านิยมเก่าทั้งเก้าที่เน่าเฟะ" และถูกกวาดล้างอย่างกว้างขวาง ได้แก่ นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์อย่างเช่น เหลา เฉ่อ, ฟู่ เหล, เหยา ถงปินและจ้าว จิ่วจางถูกสังหารหรือฆ่าตัวตาย โรงเรียนและมหาวิทยาลัยถูกสั่งปิด การสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติถูกยกเลิก เยาวชนปัญญาชนในเขตเมืองกว่า 10 ล้านคนถูกส่งไปยังชนบทตามนโยบายการเคลื่อนไหวลงสู่ชนบท
ใน ค.ศ. 1978 เติ้ง เสี่ยวผิงกลายเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศจีนคนใหม่ และเขาเริ่มนโยบาย "โปล่วน ฝ่านเจิ้ง" ที่ค่อย ๆ รื้อถอนนโยบายของลัทธิเหมาที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และนำประเทศกลับเข้าสู่ความสงบ เติ้งเริ่มวาระใหม่ของจีนด้วยการการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ใน ค.ศ. 1981 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ประกาศว่า การปฏิวัติทางวัฒนธรรมเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และเป็นสิ่งที่ "รับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ที่รุนแรงที่สุดและผู้ที่ได้รับความสูญเสียอย่างหนักหน่วงที่สุดคือ ประชาชน ประเทศ และพรรค นับตั้งแต่การจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนขึ้นมา"[9][10][11]
ในปีค.ศ. 1958 หลังจากแผนห้าปีของจีนได้มีการนำมาใช้ เหมาเรียกร้องให้ "สังคมนิยมรากหญ้า" เร่งแผนการของเขาในการเปลี่ยนจีนให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัย ด้วยจิตวิญญาณนี้ เหมาประกาศนโยบายการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าด้วยการจัดตั้งคอมมูนประชาชนในชนบท และเริ่มระดมมวลชนเพื่อเข้าสู่การรวมหมู่ หลายชุมชนได้รับมอบหมายให้ดำเนินการผลิตโภคภัณฑ์ประเภทเดียว คือ เหล็กกล้า เหมาสาบานที่จะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเป็นสองเท่าของระดับในปีค.ศ. 1957[12]
การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าเป็นความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ เกษตรกรที่ไม่ได้รับการศึกษาจำนวนมากถูกดึงตัวออกจากการทำนาและการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยถูกรับคำสั่งให้ผลิตเหล็กกล้าในปริมาณมากแทน โดยอาศัยเตาเผาในสนามหลังบ้านของตนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการผลิตในระดับท้องถิ่น เหล็กกล้าที่ผลิตนั้นมีคุณภาพต่ำและส่วนใหญ่ไร้ประโยชน์ การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าทำให้ขนาดการเก็บเกี่ยวลดลงและทำให้การผลิตสินค้าส่วนใหญ่ลดลงยกเว้นเหล็กดิบและเหล็กกล้าที่มีมากแต่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้หน่วยงานท้องถิ่นมักกล่าวเกินจริงในด้านจำนวนผลผลิต มีการปิดบังซ่อนและจำนวนปัญหามีมากขึ้นเป็นเวลาหลายปี[13][14]: 25–30 ในขณะเดียวกัน ความโกลาหลในการรวมกลุ่มต่าง ๆ กอปรกับสภาพอากาศที่เลวร้าย และการส่งออกอาหารที่มีความจำเป็นในการรักษาสกุลเงินแข็งเอาไว้ ส่งผลให้เกิดภาวะทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในจีน มีการขาดแคลนอาหารอย่างมาก และการผลิตก็ลดลงอย่างมาก ความอดอยากทำให้มีประชาชนเสียชีวิตกว่า 30 ล้านคน โดยเฉพาะในภูมิภาคตอนในของแผ่นดินที่มีความยากจนกว่าที่อื่น[15]
การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าได้บั่นทอนชื่อเสียงของเหมาภายในพรรค ในปีค.ศ. 1959 เหมาถูกบีบบังคับให้ต้องแสดงความรับผิดชอบครั้งใหญ่ ด้วยการลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี อันเป็นประมุขแห่งรัฐโดยนิตินัยของจีน และผู้สืบทอดตำแหน่ง คือ หลิว เช่าฉี ส่วนเหมายังคงดำรงเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและผู้บัญชาการทหารสูงสุดสาธารณรัฐประชาชนจีน ในเดือนกรกฎาคม ผู้นำระดับสูงของพรรคได้ประชุมกันที่ภูเขาลู่ซานเพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบาย ในการประชุม นายพลเผิง เต๋อหวย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าโดยเขียนจดหมายส่วนตัวไปถึงเหมา เขาเขียนว่า นโยบายล้มเหลวเกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดและเขาตักเตือนเหมาไม่ให้นำแนวคิดทางการเมืองมาอยู่เหนือหลักการทางเศรษฐศาสตร์[13]
ทั้ง ๆ ที่จดหมายของเผิงจะดูสุภาพและเป็นกลาง แต่เหมาถือว่าสิ่งนี้เป็นการโจมตีความเป็นผู้นำของเขา[14]: 55 ในระหว่างการประชุม เหมาได้ปลดเผิงออกจากตำแหน่ง และกล่าวหาเขาว่าเป็น "พวกฉวยโอกาสฝ่ายขวา" นายพลเผิงถูกแทนที่ด้วยนายพลหลิน เปียว ผู้บัญชาการกองทัพอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผูสนับสนุนเหมามากกว่าและมีความเติบโตในหน้าที่การงาน ในขณะที่การประชุมลู่ซานเป็นระฆังมรณะสำหรับนายพลเผิง ซึ่งเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์เหมาอย่างรุนแรง แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงอำนาจไปสู่พวกสายกลางอย่าง หลิว เช่าฉีและเติ้ง เสี่ยงผิง ซึ่งเข้ามาควบคุมเศรษฐกิจจีนอย่างมีประสิทธิภาพหลังปีค.ศ. 1959[13]
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960 นโยบายหลายอย่างของการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าถูกพลิกโฉมโดยแนวคิดของหลิว, เติ้ง และนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล นักปฏิบัตินิยมสายกลางเหล่านี้ไม่กระตือรือร้นที่จะสร้างสังคมยูโทเปียตามแบบเหมา เหมาสูญเสียความนับถือจากสมาชิกพรรค จึงหันไปใช้ชีวิตเสื่อมโทรมและแปลกพิสดาร[16] ในปีค.ศ. 1962 ในช่วงที่โจว, หลิวและเติ้ง ดำเนินการบริหารกิจการภาครัฐและเศรษฐกิจในประเทศ เหมาได้ถอนตัวจากการตัดสินใจทางเศรษฐกิจอย่างสิ้นเชิง และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการไตร่ตรองในการผสานแนวคิดของเขาเข้ากับลัทธิมากซ์และลัทธิเลนิน ซึ่งรวมถึงแนวคิด "การปฏิวัติอย่างต่อเนื่อง"[14]: 55
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 สาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพโซเวียต เป็นสองรัฐคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าในช่วงแรกทั้งสองประเทศจะสนับสนุนซึ่งกันและกัน แต่ความขัดแย้งเกิดขึ้นหลังการถึงแก่อสัญกรรมของโจเซฟ สตาลินและการก้าวขึ้นสู่อำนาจของนีกีตา ครุชชอฟในสหภาพโซเวียต ในปีค.ศ. 1956 ครุชชอฟประณามสตาลินและนโยบายของเขาและเริ่มดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจหลังสมัยสตาลิน เหมาและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนหลายคนต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนี้ พวกเขาเชื่อว่าจะส่งผลด้านลบต่อขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก และสตาลินยังคงถูกมองว่าเป็นวีรบุรุษ[17]: 4–7
เหมาเชื่อว่าครุชชอฟไม่ยึดมั่นในหลักการลัทธิมากซ์–เลนิน แต่เป็นพวกลัทธิแก้ ซึ่งทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายของลัทธิมากซ์-เลนินขั้นพื้นฐาน อันเป็นสิ่งที่เหมากลัวว่าจะเป็นการยอมให้ทุนนิยมเข้ายึดครองประเทศ ความสัมพันธ์ของทั้งสองรัฐบาลจึงเลวร้ายลง สหภาพโซเวียตปฏิเสธที่จะสนับสนุนจีนในการเข้าร่วมสหประชาชาติ และทรยศต่อคำมั่นที่จะจัดหาอาวุธนิวเคลียร์ให้จีน[17]: 4–7
เหมายังคงประณามลัทธิแก้ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1960 โดยไม่ได้ชี้ตรงไปที่สหภาพโซเวียต แต่เหมาวิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรทางอุดมการณ์ของโซเวียตแทน คือ สันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย ในทางกลับกันสหภาพโซเวียตวิพากษ์วิจารณ์พรรคแรงงานแอลเบเนียซึ่งเป็นพันธมิตรกับจีน[17]: 7 ในปีค.ศ. 1963 พรรคคอมมิวนิสต์จีนเริ่มประณามสหภาพโซเวียตอย่างเปิดเผย โดยตีพิมพ์ข้อโต้แย้ง 9 ข้อที่ต่อต้านแนวทางของลัทธิแก้ หนึ่งในนั้นมีหัวเรื่องว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์ปลอมของครุชชอฟและบทเรียนทางประวัติศาสตร์ของโลก ซึ่งเหมากล่าวหาว่า ครุชชอฟไม่เพียงแต่เป็นพวกลัทธิแก้ แต่ยังเป็นภัยอันตรายในการฟื้นฟูลัทธิทุนนิยมอีกด้วย[17]: 7 หายนะของครุชชอฟเกิดขึ้นจากการรัฐประหารภายในในปีค.ศ. 1964 ซึ่งมีส่วนทำให้เหมาหวาดเกรงความเปราะบางทางการเมืองของเขาเอง สาเหตุมาจากชื่อเสียงและความเคารพนับถือต่อเขาในหมู่สหายของเขาลดลงอย่างมากหลังนโยบายการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า[17]: 7
ในปีค.ศ. 1963 เหมาประกาศขบวนการการศึกษาสังคมนิยม ซึ่งถูกมองว่าเป็นเค้าลางของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[18] เหมาสร้างภาพของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมด้วยการ "กวาดล้าง" ข้าราชการเจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งเขาสงสัยถึงความจงรักภักดีในเขตกรุงปักกิ่ง แนวทางของเขานั้นไม่โปร่งใส เขาใช้การกวาดล้างผ่านการเขียนบทความในหนังสือพิมพ์ การประชุมภายใน และการใช้เครือข่ายพันธมิตรทางการเมืองอย่างชำนาญ[18]
ในช่วงหลังค.ศ. 1959 อู๋ หาน ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์และรองนายกเทศมนตรีนครปักกิ่ง ได้เขียนบทละครชื่อ ไห่ รุ่ยถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ในบทละครกล่าวถึงข้าราชการผู้ซื่อสัตย์อย่าง ไห่ รุ่ย ผู้ถูกปลดจากตำแหน่งโดยจักรพรรดิผู้ทุจริต ในช่วงแรกเหมาประทับใจในบทละครนี้มาก แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1956 เขาแอบไหว้วานภรรยาของเขา เจียง ชิง และนักโฆษณาชวนเชื่อจากเซี่ยงไฮ้ ชื่อ เหยา เหวินหยวน ให้เขียนบทความวิจารณ์บทละครนี้[17]: 15–18 เหยากล่าวอย่างกล้าหาญว่า ไห่ รุ่ย เป็นภาพอุปมานิทัศน์เพื่อโจมตีเหมา โดยมองว่า เหมาเป็นจักรพรรดิผู้ทุจริต และเผิง เต๋อหวยเป็นข้าราชการผู้ซื่อสัตย์[17]: 16
บทความของเหยาทำให้เผิง เจิน[i] นายกเทศมนตรีปักกิ่งต้องตกที่นั่งลำบาก เผิง เจินเป็นข้าราชการที่ทรงอำนาจและเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของอู๋ หาน และเป็นหัวหน้าของ กลุ่มห้าคน ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายจากเหมาให้ศึกษาศักยภาพของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เผิง เจินตระหนักดีว่าเขาจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องหากอู๋เขียนบทละคร "ต่อต้านเหมา" ขึ้น และเขาปรารถนาที่จะควบคุมอิทธิพลของเหยา บทความของเหยาได้ตีพิมพ์เพียงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นบางแห่งเท่านั้น เผิงสั่งห้ามการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เหรินหมินรื่อเป้า และหนังสือพิมพ์ใหญ่อื่น ๆ โดยสั่งให้ทางหนังสือพิมพ์เขียนแต่ "การอภิปรายเชิงวิชาการ" เท่านั้น และไม่ต้องไปใส่ใจการเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเหยา[17]: 14–19 ในช่วงที่ "ศึกทางวรรณกรรม" กับเผิง สร้างความเดือดดาลแก่เหมามาก เหมาจึงไล่หยาง ซ่างคุน ผู้อำนวยการสำนักงานทั่วไปพรรคคอมมิวนิสต์จีนออกจากตำแหน่ง ซึ่งเป็นองค์กรควบคุมการสื่อสารภายใน หยางโดนไล่ออกด้วยข้อหาที่ไม่มีมูล และเหมาได้แต่งตั้งวัง ตงซิ่ง ผู้จงรักภักดีอย่างมากและเป็นหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยของเหมา ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน การปลดหยางออกจากตำแหน่ง ทำให้ฝ่ายสนับสนุนเหมามีกำลังใจที่จะต่อสู้กับฝ่ายศัตรูมากขึ้น[17]: 14–19
ในเดือนธันวาคม หลิน เปียว รัฐมนตรีกลาโหมและเป็นฝ่ายเหมาได้กล่าวหานายพลลัว รุ่ยชิง เสนาธิการกองทัพปลดปล่อยประชาชน ซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านเหมา โดยกล่าวหาว่า ลัวให้ความสำคัญแก่การฝึกทหารมากเกินไป มากกว่าที่จะเป็น "การพิจารณาทางการเมือง" ของลัทธิเหมา แม้ว่าจะมีความสงสัยเบื้องต้นภายในโปลิตบูโรที่พิจารณาความผิดของลัว แต่เหมาก็ผลักดันให้มีการสอบสวน หลังจากที่ลัวถูกประณาม ไล่ออกและถูกบังคับให้ทำการวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง ความเครียดจากเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ลัวฆ่าตัวตาย[17]: 20–27 การที่ลัวถูกปลดทำให้กองทัพหันมาจงรักภักดีต่อเหมา[17]: 24
หลังจากขับไล่ลัวและหยางออกไปได้แล้ว เหมากลับมาสนใจเผิง เจิน ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1966 "กลุ่มห้าคน" ได้ออกรายงาน "โครงร่างกุมภาพันธ์" (二月提纲) โครงร่างได้รับการอนุมัติจากศูนย์พรรค กำหนดให้เรื่อง ไห่ รุ่ย เป็นการอภิปรายทางวิชาการที่สร้างสรรค์ และมุ่งเป้าที่จะแยกเผิง เจินออกจากนัยยะทางการเมืองใด ๆ แต่เจียง ชิงและเหยา เหวินหยวนยังคงประณามอู๋ หานและเผิง เจินต่อไป ในขณะที่เหมายังคงไล่ลู่ ติ้งอี ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อของพรรคออกจากตำแหน่ง เพราะเขาเป็นพันธมิตรกับเผิง เจิน[17]: 20–27
การปลดลู่ ทำให้พวกนิยมเหมาสามารถเข้าถึงสื่อได้อย่างไม่จำกัด เหมาส่งสัญญาณการโจมตีครั้งสุดท้ายต่อเผิง เจินในการประชุมข้าราชการระดับสูงของโปลิตบูโร โดยผ่านผู้จงรักภักดีอย่างคัง เซิงและเฉิน ป๋อต๋า พวกเขากล่าวหาว่าเผิงเป็นปฏิปักษ์ต่อเหมา โดยระบุว่า "โครงร่างกุมภาพันธ์" เป็น "หลักฐานของการเป็นลัทธิแก้ของเผิง" และจัดกลุ่มเขาเข้ากับข้าราชการที่ถูกปลดที่เรียกว่า "ฝ่ายต่อต้านพรรคของเผิง-ลัว-ลู่-หยาง"[17]: 20–27 ในวันที่ 16 พฤษภาคม โปลิตบูโรได้ตัดสินใจอย่างเป็นทางการโดยเผยแพร่เอกสารทางการประณามเผิง เจิน และ "พันธมิตรที่ต่อต้านพรรค" ของเขา ด้วยถ้อยคำรุนแรง มีการสั่งยุบ "กลุ่มห้าคน" และแทนที่ด้วยกลุ่มลัทธิเหมาอย่าง "กลุ่มปฏิวัติทางวัฒนธรรม"[17]: 27–35
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1966 มีการ "ขยายสมัยประชุม" ของสภาโปลิตบูโรพรรคคอมมิวนิสต์จีน การประชุมครั้งนี้แทนที่จะเป็นการประชุมอภิปรายร่วมในเรื่องนโยบาย (ตามบรรทัดฐานปกติของการดำเนินการของพรรค) แต่เป็นการประชุมระดมให้โปลิตบูโรสนับสนุนนโยบายของเหมา การประชุมมีแต่พร่ำถึงวาทศิลป์ทางการเมืองของเหมาเกี่ยวกับการต่อสู้ทางชนชั้นและมี "ข้อกล่าวหา" ที่ถูกเตรียมการไว้เพื่อกล่าวโทษผู้นำพรรคที่ถูกขับไล่อย่าง เผิง เจินและลัว รุ่ยชิง เอกสารเผยแพร่ในวันที่ 16 พฤษภาคม เป็นการเตรียมตัวในการสนับสนุนเหมา และเต็มไปด้วยคำประณามผู้ทรยศ[17]: 39–40
คนพวกนี้เป็นฝ่ายชนชั้นกระฎุมพีที่แทรกซึมเข้ามาในพรรค รัฐบาล กองทัพและในกลุ่มวัฒนธรรมที่หลากหลายเต็มไปด้วยพวกลัทธิแก้ที่ต่อต้านการปฏิวัติ เมื่อพวกมันเห็นทีได้โอกาสแล้ว พวกมันจะยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงระบอบเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ ให้เป็นระบอบเผด็จการของพวกกระฎุมพี พวกมันบางคนที่เรามองผ่าน หรือคนอื่น ๆ ที่เราไม่นึกถึง พวกมันบางคนได้รับความไว้วางใจจากเราและกำลังเตรียมที่จะเป็นผู้สืบทอดอำนาจของเรา คนพวกนี้อย่างเช่น คนแบบครุชชอฟยังคงซุกซ่อนตัวอยู่ข้างเรา[17]: 47
ข้อความนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ "หมายประกาศ 16 พฤษภาคม" (จีน: 五一六通知; พินอิน: Wǔyīliù Tōngzhī) เป็นการสรุปเหตุผลเชิงอุดมคติของเหมาที่จะใช้ในการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[17]: 40 มันบอกเป็นนัยอย่างมีประสิทธิผลว่า ศัตรูของพรรคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นภายในพรรคเอง นั่นคือ ศัตรูที่ "โบกธงแดงเพื่อต่อต้านธงแดง"[17]: 46 วิธีเดียวที่จะค้นหาและระบุตัวพวกคนเหล่านี้ได้โดยผ่าน "กล้องโทรทรรศน์และกล้องจุลทรรศน์ทางความคิดของเหมา เจ๋อตง"[17]: 46 ในขณะที่ผู้นำพรรคค่อนข้างมีความเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกันในการกำหนดทิศทางของวาระการประชุมไปในแนวทางของเหมา แต่สมาชิกโปลิตบูโรจำนวนมากก็ไม่ได้กระตือรือร้นอะไรเป็นพิเศษ หรือ บางคนแค่เพียงสับสนทิศทางในการเคลื่อนไหวของพรรค[19]: 13 ข้อกล่าวหาต่อผู้นำพรรคที่เคยได้รับการยกย่องอย่างเผิง เจิน ได้เป็นการส่งสัญญาณเตือนชุมชนทางปัญญาของจีนและในหมู่พรรคที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ทั้งแปดพรรค[17]: 41
หลังจากเผิง เจินถูกกวาดล้าง คณะกรรมาธิการพรรคปักกิ่งหยุดทำงาน ทำให้เกิดความวุ่นวายในเมืองหลวง ในวันที่ 25 พฤษภาคม ภายใต้การนำของเฉา อี้อู ภรรยาของคัง เซิง ผู้เชิดชูลัทธิเหมา และเนี่ย หยวนจื่อ อาจารย์สองวิชาปรัชญาในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ได้เขียนโปสเตอร์ขนาดใหญ่ (大字报, ต้าจื้อเป้า) พร้อมกับผู้นำฝ่ายซ้ายคนอื่น ๆ และประกาศคำแถลงการณ์ต่อสาธารณะ เนี่ยโจมตีฝ่ายพรรคบริหารของมหาวิทยาลัยที่มีผู้นำคือ หลู่ ผิง[17]: 56–58 เนี่ยกล่าวเป็นนัยว่าผู้นำของมหาวิทยาลัย เป็นแบบเดียวกับเผิง เจิน ที่พยายามฉุดรั้งความพยายามปฏิวัติ เป็นการกระทำที่ "ร้ายกาจ" ในการต่อต้านพรรคและผลักดันพวกลัทธิแก้[17]: 56–58
เหมารับรอง "ต้าจื้อเป้า" ของเนี่ยในฐานะ "โปสเตอร์ลัทธิมากซ์ขนาดใหญ่แห่งแรกในจีน" ข้อเรียกร้องของเนี่ยที่ตอนนี้ได้รับการลงตราประทับอนุมัติส่วนตัวของเหมา สร้างผลกระทบเป็นระลอกคลื่นไปทั่วสถาบันการศึกษาในจีน นักศึกษาในสถานศึกษาทุกแห่งเริ่มประท้วงและต่อต้านการจัดตั้งพรรคในโรงเรียน การเรียนการสอนในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของโรงเรียนในปักกิ่งถูกยกเลิกในทันที ตามมาด้วยการตัดสินใจในวันที่ 13 มิถุนายน ทีให้มีการขยายการระงับชั้นเรียนทั่วประเทศ[17]: 59–61 ช่วงต้นเดือนมิถุนายน ฝูงชนหนุ่มสายจำนวนมากได้เดินเรียงรายตามทางสัญจรที่สำคัญของเมืองหลวง ซึ่งมีการถือภาพวาดของเหมาขนาดใหญ่ การตีกลองและการตะโกนข่มขวัญศัตรูของเหมา[17]: 59–61
เมื่อมีการปลดเผิง เจิน เรื่องของผู้นำพรรคในเขตปกครองตนเองกลายมาเป็นเรื่องราวใหญ่โต ทำให้เกิดความสับสนอย่างกว้างขวาง ภารกิจสาธารณะและการระหว่างประเทศถูกบดบังโดยเหตุของการไล่เผิง เจิน[17]: 62–64 แม้ว่าผู้นำระดับสูงของพรรคจะถูกจับด้วยข้อหาต่อต้านระบบแต่การเดินขบวนประท้วงและการประจันหน้าเกิดขึ้นตามมา[17]: 62–64 หลังจากขอคำแนะนำจากเหมาในหางโจว หลิว เช่าฉีและเติ้ง เสี่ยวผิงตัดสินใจส่ง "ทีมงาน" (工作组; กงโจ้ว จู่) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ "ปฏิบัติตามแนวคิดอย่างมีประสิทธิภาพ" ไปยังโรงเรียนของเมืองและหนังสือพิมพ์เหรินหมินรื่อเป้า เพื่อฟื้นฟูระเบียบ คำสั่งและจัดตั้งการควบคุมพรรคขึ้นใหม่[17]: 62–64
ทีมงานรีบดำเนินการอย่างเร่งรีบเกินไปและไม่มีความเข้าใจในความรู้สึกนึกคิดของนักเรียนเลย ไม่เหมือนกับขบวนการทางการเมืองในทศวรรษที่ 1950 ที่มุ่งเป้าไปที่ปัญญาชนโดยตรง แต่ขบวนการใหม่ได้เน้นไปที่ผู้ปฏิบัติงานของพรรคที่จัดตั้งขึ้น หลายคนมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน ส่งผลให้คณะทำงานเกิดความสงสัยมากขึ้นว่าอีกกลุ่มหนึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อขัดขวางความกระตือรือร้นในการปฏิวัติ[17]: 71 ต่อมาผู้นำของพรรคก็แตกแยกกันว่าจะให้ทีมงานดำเนินงานต่อไปหรือไม่ หลิว เช่าฉียืนกรานที่จะให้ทีมงานมีส่วนร่วมในการทำงานต่อไป และปราบปรามพวกหัวรุนแรงของพรรค โดยเขากลัวว่าความเคลื่อนไหวของพวกนี้จะควบคุมไม่ได้[17]: 75
ในวันที่ 16 กรกฎาคม ประธานเหมามีอายุ 72 ปี ได้เดินทางไปยังแม่น้ำแยงซีในอู่ฮั่น พร้อมพาสื่อมวลชนไปด้วย เขาได้ทำสิ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ "การว่ายน้ำข้ามแยงซี" เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการต่อสู้ของเขา ต่อมาเขากลับไปยังปักกิ่งเพื่อดำเนินการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำพรรคในปัญหาเรื่อง "ทีมงาน" เหมากล่าวหาว่า ทีมงานได้บ่อนทำลายขบวนการนักศึกษา และเรียกร้องให้ทีมงานถอนตัวภายในวันที่ 24 กรกฎาคม หลายวันถัดมามีการจัดการชุมนุมขึ้นที่รัฐสภาประชาชนเพื่อประกาศการตัดสินใจและกำหนดแนวทางใหม่ในการเคลื่อนไหวให้กับอาจารย์และนักศึกษานักเรียนตามมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย ในการชุมนุม หัวหน้าพรรคได้ปราศรัยต่อผู้ชุมนุมว่า "จงอย่าตื่นกลัว" และเคลื่อนไหวอย่างกล้าหาญโดยไม่ถูกพรรคแทรกแซง[17]: 84
ปัญหาเรื่องทีมงานถือเป็นความพ่ายแพ้ทางการเมืองของประธานาธิบดีหลิว เช่าฉี นอกจากนี้เขายังส่งสัญญาณว่าเข้าไม่เห็นด้วยในการจัดการต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขามองว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรมจะทำให้เหมาแยกออกจากเหล่าผู้นำพรรคโดยไม่อาจย้อนกลับได้ ในวันที่ 1 สิงหาคม การประชุมเต็มครั้งที่ 11 ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่แปดได้เรียกประชุมอย่างเร่งรีบเพื่อสนับสนุนวาระทางการเมืองที่ก้าวหน้าของเหมา ในการประชุม เหมาได้แสดงการดูหมิ่นประธานาธิบดีหลิวอย่างยิ่ง เขาขัดจังหวะหลิวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในช่วงที่หลิวกล่าวสุนทรพจน์เปิดประชุมสภา[17]: 94 หลายวันต่อมา เหมาพูดส่อเสียดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ผู้นำพรรคได้ฝ่าฝืนหลักการของการปฏิวัติ แนวคิดของเหมาได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นในที่ประชุม เมื่อรู้สึกว่าผู้นำระดับสูงในพรรคไม่เต็มใจที่จะโอบรับอุดมการณ์ในการปฏิวัติของเขา เหมาก็เปิดฉากโจมตี
ในวันที่ 28 กรกฎาคม ยุวชนแดงเขียนจดหมายถึงเหมา เพื่อเรียกร้องให้ก่อกบฏและให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อปกป้องการปฏิวัติ เหมาตอบกลับจดหมายด้วยการเขียนโปสเตอร์ตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า ถล่มกองบัญชาการ โดยระดมผู้คนให้ตั้งเป้าหมายไปที่ "ศูนย์บัญชาการ (เช่น สำนักงานใหญ่) ของการปฏิวัติซ้อน" เหมาเขียนว่าแม้จะผ่านการปฏิวัติคอมมิวนิสต์มาแล้ว แต่ชนชั้น "กระฎุมพี" ยังคงเจริญรุ่งเรื่องใน "ตำแหน่งอำนาจ" ในรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์[12]
แม้ว่าจะไม่มีการเอ่ยชื่อ แต่คำยั่วยุของเหมาถูกตีความว่าเป็นการบริหารจัดการพรรคภายใต้หลิว เช่าฉีและเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งเป็น "กองบัญชาการกระฎุมพี" ของจีน การเปลี่ยนแปลงของบุคลากรในการประชุมได้สะท้อนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรคใหม่ให้มีความเป็นหัวรุนแรงอย่างสิ้นเชิง เพื่อตอบรับวาระทางการเมืองใหม่ หลิวและเติ้งยังคงนั่งในตำแหน่งคณะกรรมาธิการประจำโปลิตบูโร แต่แท้จริงแล้วพวกเขาถูกกีดกันจากกิจการในแต่ละวันของพรรค หลิน เปียวได้รับการเลื่อนให้เป็นบุคคลอันดับสองของพรรค หลิว เช่าฉีถูกเลื่อนลงจากอันดับสองมาอยู่อันดับแปดและไม่ใช่ทายาททางการเมืองของเหมาอีกต่อไป[12]
ประกอบกับผู้นำระดับสูงที่ถูกไล่ออกจากตำแหน่งอำนาจเป็นการทำลายระบบราชการของพรรคคอมมิวนิสต์ไปในวงกว้าง ฝ่ายจัดการองค์การพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งดูแลการบริหารงานบุคคลภายในพรรคต้องหยุดชะงัก กลุ่มปฏิวัติทางวัฒนธรรม (CRG) ซึ่งเป็นกลุ่ม "ไปรโตริอานี" ของลัทธิอุดมคติเหมา ได้ถูกผลักดันให้มีชื่อเสียงในการเผยแพร่อุดมการณ์ทางการเมืองของเขาและระดมพลผู้สนับสนุน เจ้าหน้าที่ระดับสูงในฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อถูกไล่ออก และหน้าที่หลายประการก็ตกอยู่กับกลุ่มปฏิวัติทางวัฒนธรรม[17]: 96
หนังสือเล่มแดงเล็ก คติพจน์จากประธานเหมา เจ๋อตง เป็นกลไกที่นำยุวชนแดงไปสู่เป้าหมายของพวกเขาเพื่อกำหนดอนาคตของจีน คติพจน์ของประธานเหมาทำให้เกิดการดำเนินการของเหล่ายุวชนแดงทื่เป็นกลุ่มนิยมลัทธิเหมาคนอื่น ๆ[17]: 107 โดยในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1967 มีการตีพิมพ์หนังสือนี้ถึง 350 ล้านเล่ม[20]: 61–64 หนึ่งในคติพจน์ของหนังสือเล่มแดงนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยุวชนแดงได้ปฏิบัติตามในเวลาต่อมา โดยเหมากล่าวว่า
"โลกใบนี้เป็นของคุณ และเป็นของพวกเราเช่นกัน แต่จากการพิเคราะห์แล้ว โลกทั้งใบคือของคุณ คุณคนหนุ่มสาว ที่เต็มไปด้วยพละกำลังและความมีชีวิตชีวาเฉกเช่นดวงอาทิตย์ในตอนแปดโมงหรือเก้าโมงเช้า ความหวังของเราอยู่ที่พวกคุณ...โลกใบนี้เป็นของคุณ อนาคตของจีนเป็นของคุณ"
ในช่วงสิงหาแดงกรุงปักกิ่ง วันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1966 คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้พิจารณาผ่าน "ข้อตัดสินใจเกี่ยวกับการปฏิวัติทางวัฒนธรรมชนชั้นกรรมาชีพครั้งใหญ่" ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า "สิบหกข้อ"[21] ข้อตัดสินใจนี้นิยามการปฏิวัติทางวัฒนธรรมว่าเป็น "การปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ที่สัมผัสจิตวิญญาณของผู้คนและเป็นเวทีที่ลึกซึ้งและกว้างขวางยิ่งขึ้นในการยกระดับการปฏิวัติสังคมนิยมของประเทศเรา"[22]
"แม้ว่าชนชั้นกระฎุมพีจะถูกโค่นล้ม แต่มันก็ยังพยายามใช้ความคิด วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และแนวคิดเก่า ๆ ของพวกชนชั้นที่เอารัดเอาเปรียบมาสร้างมลทินแก่มวลชน ยึดกุมจิตใจของพวกเขา และกลับเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง ชนชั้นกรรมาชีพต้องดำเนินการตรงกันข้าม: ต้องเผชิญความท้าทายจากชนชั้นกระฎุมพี...เพื่อเปลี่ยนแปลงมุมมองสังคม ในปัจจุบัน เป้าหมายของเราคือการต่อสู้และบทขยี้ผู้มีอำนาจที่กำลังเดินในเส้นทางของทุนนิยม ต้องวิพากษ์วิจารณ์และปฏิเสธ "ผู้มีอำนาจ" ทางวิชาการที่เป็นพวกกระฎุมพีปฏิกิริยา และแนวคิดของพวกกระฎุมพีและพวกชนชั้นอื่น ๆ ที่เอารัดเอาเปรียบทั้งหมด และเพื่อเปลี่ยนแปลงการศึกษา วรรณกรรมและศิลปะ และสิ่งอื่น ๆ ของโครงสร้างส่วนบนที่ไม่สอดคล้องกับฐานเศรษฐกิจสังคมนิยม เพื่อส่งเสริมการกระชับอำนาจและพัฒนาระบบสังคมนิยม"
นิยามของสิบหกข้อนั้นกว้างไกลเกินขอบเขต มันยกระดับในสิ่งที่เคยเป็นการเคลื่อนไหวของนักศึกษามาเป็นการระดมมวลชนทั่วประเทศที่กระตุ้นทั้ง แรงงาน เกษตรกร ทหารและสมาชิกพรรคระดับล่างให้ลุกฮือขึ้น ท้าทายผู้มีอำนาจและปรับ "โครงสร้างส่วนบน" ของสังคมใหม่
ในช่วงสิงหาแดง ณ กรุงปักกิ่ง วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1966 ยุวชนแดงมากกว่าล้านคนจากทั่วประเทศมาชุมนุมกันที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อต้องการพบปะประธานเหมา[17]: 106–07 เหมาได้เดินลงไปปะปนกับยุวชนแดงเพื่อกระตุ้นกำลังใจพวกเขา และสวมปลอกแขนยุวชนแดงด้วยตัวเอง[19]: 66 หลิน เปียวได้ยืนขึ้นบนเวทีกลางของการชุมนุมวันที่ 18 สิงหาคม โดยประณามศัตรูทุกรูปแบบในสังคมจีนที่ขัดขวาง "ความก้าวหน้าของการปฏิวัติ"[19]: 66 หลังจากนั้นการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นในปักกิ่งและความน่าสะพรึงกลัวแดงก็แพร่ขยายไปทั่วประเทศจีน[24][25]
ในวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1966 ได้มีการออกคำสั่งกลางเพื่อหยุดยั้งตำรวจในการรับมือกับผู้ชุมนุมยุวชนแดง และตำรวจที่ฝ่าฝืนประกาศนี้จะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกปฏิวัติซ้อน[17]: 124 เหมาชื่นชมการก่อกบฏที่ดำเนินการโดยยุวชนแดง[17]: 515 เจ้าหน้าที่ส่วนกลางยกเลิกการจำกัดพฤติกรรมที่รุนแรงเพื่อสนับสนุนการปฏิวัติ[17]: 126 เซี่ย ฟู่จื้อ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มักประกาศอภัยโทษ "อาชญากรรม" ที่ก่อโดยยุวชนแดง[17]: 125 เป็นเวลาสองสัปดาห์ เกิดความรุนแรงทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปกครองกว่า 100 คนและชนชั้นกลางในปักกิ่งเสียชีวิตในเขตทางตะวันตกของปักกิ่ง และมีผู้บาดเจ็บเกินกว่านั้น[17]: 126
สิ่งที่รุนแรงที่สุดในการรณรงค์นี้ ได้แก่ การทรมาน การฆาตกรรม และการสร้างความอัปยศในสาธารณะ ผู้คนจำนวนมากถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายปฏิปักษ์การปฏิวัติต้องฆ่าตัวตาย ในช่วงสิงหาแดง ค.ศ. 1966 ในปักกิ่งมีประชาชนถูกสังหาร 1,772 คน เหยื่อหลายคนเป็นครูอาจารย์ที่ถูกโจมตีหรือบางคนถูกฆ่าโดยนักเรียนของตนเอง[26] ในเซี่ยงไฮ้ มีประชาชนฆ่าตัวตาย 704 คน และถูกสังหาร 534 คน ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเดือนกันยายน ในอู่ฮั่น มีคนฆ่าตัวตาย 62 คน และถูกสังหาร 32 คน ในช่วงเวลาเดียวกัน[17]: 124 เผิง เต๋อหวยถูกนำตัวมายังปักกิ่งเพื่อถูกสร้างความอัปยศในสาธารณะ
ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน ค.ศ. 1966 ได้มีการชุมนุมจำนวนแปดครั้ง โดยมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 12 ล้านคนจากทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยุวชนแดง[17]: 106 รัฐบาลต้องแบกรับค่าใช้จ่ายของยุวชนแดงที่เดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อเปลี่ยนเป็น "ประสบการณ์การปฏิวัติ"[17]: 110
ในการชุมนุมของยุวชนแดง หลิน เปียวได้เรียกร้องให้ทำลายสิ่งเก่าทั้งสี่ ซึ่งได้แก่ ขนบธรรมเนียมเก่า, วัฒนธรรมเก่า, นิสัยใจคอเก่า ๆ และความคิดเก่า ๆ[19]: 66 กระแสปฏิวัติได้พัดพาประเทศไปราวกับพายุ โดยยุวชนแดงเป็นนักรบที่โดดเด่นที่สุด การเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับ "สิ่งเก่าทั้งสี่" ส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย เช่น การเปลี่ยนชื่อถนน สถานที่และแม้แต่ชื่อผู้คน โดยทารกที่เกิดมาจะมีชื่อที่สอดคล้องกับ "การปฏิวัติ"[30] แต่กิจกรรมด้านอื่น ๆ ของยุวชนแดงมีลักษณะเป็นการทำลายล้างมากกว่า โดยเฉพาะในขอบเขตวัฒนธรรมและศาสนา โบราณสถานหลายแห่งทั่วประเทศถูกทำลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสียหายที่เกิดแก่เมืองหลวงปักกิ่ง ยุวชนแดงยังคงเข้าปล้นวัดขงจื๊อ เมืองชฺวีฟู่ มณฑลชานตง[17]: 119 รวมถึงสุสานและสิ่งประดิษฐ์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย[28] ห้องสมุดที่เต็มไปด้วยตำราทางประวัติศาสตร์และหนังสือต่างประเทศถูกทำลาย หนังสือถูกเผา วัด โบสถ์ มัสยิด อารามและสุสานถูกปิด และบางแห่งถูกดัดแปลงไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น บ้างก็ถูกปล้นสะดมและทำลาย[31] การโฆษณาชวนเชื่อของลัทธิมากซ์ได้วาดภาพศาสนาพุทธว่าเป็นความงมงาย และศาสนาถูกมองว่าเป็นวิธีการแทรกซึมของพวกต่างชาติที่เป็นศัตรู ตลอดจนเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครอง[32] นักบวชถูกจับกุมและถูกส่งไปยังค่ายกักกัน ศาสนิกชนศาสนาพุทธแบบทิเบตถูกใช้ปืนข่มขู่เพื่อให้พวกเขาทำลายอารามทางศาสนาของพวกเขาเอง[32]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1966 เหมาได้จัดประชุม "การประชุมงานส่วนกลาง" ซึ่งเป็นการโน้มน้าวเหล่าผู้นำพรรคที่ยังไม่ได้เดินรอยตามอุดมการณ์การปฏิวัติ หลิว เช่าฉีและเติ้ง เสี่ยวผิงถูกดำเนินคดีในฐานะส่วนหนึ่งของพวกนายทุนกระฎุมพี (zichanjieji fandong luxian) และต้องวิจารณ์ตัวเองอย่างไม่เต็มใจ[17]: 137 หลิวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบัณฑิตชนชั้นปกครองสายกลางที่ทรงอำนาจ หลังการประชุมเขาถูกกักบริเวณในบ้านที่กรุงปักกิ่ง จากนั้นถูกส่งตัวไปค่ายกักกัน เขาป่วยและถูกปฏิเสธการรักษาและเสียชีวิตในปีค.ศ. 1969 เติ้ง เสี่ยงผิงถูกส่งตัวไปรับการศึกษาใหม่และถูกส่งไปทำงานโรงงานเครื่องยนต์ที่มณฑลเจียงซี
ขบวนการมวลชนจีนได้รวมพลกันแต่มีสองกลุ่มซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งกัน ฝ่ายหัวรุนแรงให้การสนับสนุนการกวาดล้างทางการเมืองในพรรคคอมมิวนิสต์ของเหมา และอีกฝ่ายคือ พวกอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนกลุ่มสายกลาง ในวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดของเหมา วันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1966 เหมาประกาศ "สงครามกลางเมืองรอบด้าน" เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนให้การสนับสนุน "ฝ่ายซ้าย" แต่ก็ไม่มีการกำหนดเป็นกฎอย่างชัดเจน เนื่องจากเหล่าผู้บัญชาการของกองทัพปลดปล่อยประชาชนมีความสัมพันธ์ในการทำงานที่ใกล้ชิดกับกลุ่มผู้ก่อตั้งพรรค หน่วยทหารจึงทำงานให้เหมาแทนที่จะไปปราบปรามฝ่ายหัวรุนแรงของเหมา[33]
เหตุการณ์ในปักกิ่งกระตุ้นให้เกิดการก่อตั้งกลุ่ม"ยึดอำนาจ" (duoquan) ขึ้นมาทั่วประเทศและขยายฐานไปยังโรงงานและตามชนบททั่วประเทศจีน ในเซี่ยงไฮ้ หนุ่มกรรมกรโรงงานชื่อ หวัง หงเหวินได้จัดตั้งแนวร่วมการปฏิวัติที่กว้างขวาง และได้เข้าไปแทนที่กลุ่มยุวชนแดงที่มีอยู่ ในวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1967 ด้วยการสนับสนุนจากสมาชิกกลุ่มปฏิวัติทางวัฒนธรรมรุ่นใหญ่อย่าง จาง ชุนเฉียวและหวัง หงเหวิน จึงกลายเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวปลุกระดมโค่นล้มฝ่ายบริหารเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้ซึ่งบริหารโดยเฉิน พีเสี่ยน เหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า "การโหมกระหน่ำเดือนมกราคม" และมีการก่อตั้ง คอมมูนประชาชนเซี่ยงไฮ้[34][20]: 115
เหตุการณ์ในเซี่ยงไฮ้สร้างความประทับใจต่อเหมามาก และกระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กันทั่วประเทศจีน รัฐบาลระดับจังหวัดและหลายส่วนของรัฐ ระบบการบริหารพรรคได้รับผลกระทบ โดยมีรูปแบบการยึดอำนาจที่น่าจดจำแตกต่างกัน คณะกรรมการปฏิวัติ (จีน) ถูกจัดตั้งขึ้น แทนที่รัฐบาลท้องถิ่นและการบริหารพรรคสาขา[35] ยกตัวอย่างเช่นในปักกิ่ง มีกลุ่มปฏิวัติแยกกันสามกลุ่มและประกาศยึดอำนาจในวันเดียวกัน ขณะเดียวกันในมณฑลเฮย์หลงเจียง พาน ฟู่เซิง เลขาธิการพรรคท้องถิ่นได้พยายาม "ยึดอำนาจ" จากการบริหารของพรรคให้อยู่ภายใต้เขาเอง ผู้นำบางคนถึงกับเขียนให้มีการโค่นอำนาจกลุ่มปฏิวัติวัฒนธรรม[17]: 170–72
ในปักกิ่ง เจียง ชิงและจาง ชุนเฉียว พยายามพุ่งเป้าไปที่รองประธานพรรคเถา จู้ ขบวนการยึดอำนาตได้เบนหัวไปทางกองทัพด้วยเช่นกัน ในเดือนกุมภาพันธ์ นายพลผู้มีชื่อเสียงอย่างเย่ เจี้ยนอิงและเฉิน อี้ รวมถึงรองประธานพรรคถาน เจิ้นหลิน ยืนยันคัดค้านต่อความรุนแรงที่ทวีมากขึ้นกล่าวหาผู้อาวุโสในพรรคบางคนที่พยายามทำเรื่องสกปรก โดยกล่าวหาว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของกลุ่มปฏิวัติทางวัฒนธรรมคือการกำจัดผู้พิทักษ์การปฏิวัติรุ่นเก่า ในช่วงแรกเหมาดำเนินการในทางตรงกันข้าม เขาก้าวเข้าไปในสภาโปลิตบูโรในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เพื่อประณามพวกฝ่ายต่อต้านโดยตรง เขาสนับสนุนกิจกรรมของพวกหัวรุนแรงอย่างเต็มที่ การต่อต้านในช่วงสั้น ๆ นี้ถูกตราหน้าว่า "การต้านกระแสเดือนกุมภาพันธ์"[17]: 195–96 เป็นการปิดปากผู้วิพากษ์วิจารณ์ที่เคลื่อนไหวภายในพรรคอย่างเป็นประสิทธิภาพในปีต่อ ๆ ไป[19]: 207–09
ในช่วงที่ฝ่ายปฏิวัติกำลังถอดรื้อรัฐบาลที่กำลังบริหาร และองค์การของพรรคทั่วประเทศ แต่เนื่องจากการยึดอำนาจขาดผู้นำแบบรวมศูนย์ จึงไม่มีความแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ยึดมั่นในวิสัยทัศน์การปฏิวัติของเหมาโดยแท้จริง และใครที่เป็นผู้ฉวยโอกาสจากความโกลาหลเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เกิดการก่อตัวของกลุ่มปฏิวัติที่เป็นคู่แข่งกัน เป็นการสำแดงถึงความบาดหมางของท้องถิ่นที่ก่อตัวมานานแล้ว ทำให้เกิดการต่อสู้ของฝ่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศ ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างองค์การมวลชนและกองทัพเช่นกัน หลิน เปียวได้ตอบสนองปัญหานี้ด้วยการให้กองทัพสนับสนุนพวกหัวรุนแรง ในขณะเดียวกันกองทัพได้เข้าควบคุมบางมณฑลและท้องที่ซึ่งถือว่าไม่มีความสามารถในการเปลี่ยนถ่ายอำนาจของตนเองได้[19]: 219–21
ในเมืองตอนกลางอย่างอู่ฮั่น เป็นเหมือนกันกับอีกหลาย ๆ เมือง มีองค์กรการปฏิวัติสองกลุ่มใหญ่ ๆ องค์กรหนึ่งสนับสนุนแนวทางอนุรักษ์นิยม อีกองค์กรก็ต่อต้าน ทั้งสองกลุ่มต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจในการควบคุมเมือง เฉิน ไจ้เต้า นายพลในพื้นที่แถบนี้ ใช้กำลังต่อต้านการชุมนุมประท้วงของกลุ่มที่สนับสนุนโดยเหมา อย่างไรก็ตามในช่วงที่เกิดโกลาหล เหมาเดินทางด้วยเครื่องบินไปอู่ฮั่นพร้อมเจ้าหน้าที่ส่วนกลางจำนวนมากเพื่อพยายามทำให้ทหารในพื้นที่ยังคงความจงรักภักดีอยู่ ในวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1967 ผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ได้ลักพาตัวหวัง ลี่ ผู้แทนของเหมา ทำให้เกิดเหตุการณ์ อุบัติการณ์อู่ฮั่น ส่งผลให้นายพลเฉิน ไจ้เต้าถูกส่งไปยังปักกิ่งและถูกทดสอบโดยเจียง ชิง พร้อมกลุ่มปฏิวัติทางวัฒนธรรมคนอื่น ๆ การต่อต้านของเฉินถือเป็นการต่อต้านจากภายในครั้งสุดท้ายที่เคลื่อนไหวภายในกองทัพปลดปล่อยประชาชน[17]: 214
จาง ชุนเฉียวซึ่งเป็นหนึ่งในแก๊งออฟโฟร์ก็ยอมรับเองว่า ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมไม่ใช่กลุ่มยุวชนแดง หรือ กลุ่มปฏิวัติทางวัฒนธรรม หรือ องค์กร "ก่อกบฏ" ใด ๆ แต่ปัจจัยสำคัญคือกองทัพปลดปล่อยประชาชน เมื่อกองกำลังปลดปล่อยประชาชนในท้องถิ่นให้การสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงของเหมา และถ้าไม่มีการร่วมมือจากกลุ่มนี้ การปฏิวัติของเหมาก็ไม่ประสบผลสำเร็จ[17]: 175 การปะทะกันอย่างรุนแรงเกิดขึ้นแทบทุกเมือง หลังเหตุการณ์ที่อู่ฮั่น เหมาและเจียง ชิงเริ่มจัดตั้ง กองกำลัง "กรรมกร" ติดอาวุธป้องกันตัวเอง, "กองกำลังปฏิวัติติดอาวุธในลักษณะมวลชน" เพื่อตอบโต้สิ่งที่เหมาประเมินว่ามีพวกขวาจัด "75% ในคณะนายทหารของกองทัพปลดปล่อยประชาชน" เมืองฉงชิ่ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตอาวุธ เป็นสถานที่ที่มีการปะทะกันอย่างดุเดือดของทั้งสองฝ่าย โดยในเขตก่อสร้างของเมือง มีการต่อสู้กันถึง 10,000 คน โดยใช้รถถัง ปืนใหญ่เคลื่อนที่ ปืนต่อต้านอากาศยานและอาวุธ "แทบทุกรูปแบบตามประเภทอาวุธทั่วไป" มีปลอกกระสุนปืนใหญ่ถึง 10,000 นัด ในเมืองฉงชิ่งเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1967[17]: 214–15 ทั่วประเทศมีอาวุธปืนจำนวนทั้งสิ้น 18.77 ล้านกระบอก ปืนใหญ่ 14,828 กระบอก ระเบิด 2,719,545 ลูกอยู่ในมือพลเรือน และใช้ในช่วง ความขัดแย้งรุนแรง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในช่วงค.ศ. 1967 ถึง 1968 ในเมืองฉงชิ่ง เมืองเซี่ยเหมินและเมืองฉางชุน มีการใช้รถถัง รถหุ้มเกราะ หรือแม้แต่เรือรบในการต่อสู้[33]
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1968 เหมาประกาศ "การชำระล้างระดับตำแหน่ง" ขนานใหญ่ เป็นการกวาดล้างทางการเมืองในจีนแผ่นดินใหญ่ เจ้าหน้าที่หลายคนถูกส่งไปยังชนบทเพื่อเข้ารับการศึกษาใหม่
ในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1968 อำนาจของยุวชนแดงที่มีเหนือกองทัพปลดปล่อยประชาชนได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ และรัฐบาลที่ถูกจัดตั้งขึ้นได้ส่งทหารไปปิดล้อมพื้นที่ที่ไม่เคยถูกแตะต้องโดยยุวชนแดง หนึ่งปีต่อมาฝ่ายยุวชนแดงถูกกวาดล้างจนหมด เหมาคาดการณ์ว่าความโกลาหลที่ยุวชนแดงทำขึ้นมาอาจทำให้มีวาระทางการเมืองของตนเอง และอาจถูกล่อลวงให้ต่อต้านอุดมการณ์การปฏิวัติ เหมาและพรรคพวกหัวรุนแรงพลิกกลับฝ่ายสนับสนุนและจัดตั้งอำนาจของตนเอง หลังจากที่เห็นว่าทุกอย่างบรรลุตามทวัตถุประสงค์ทั้งสิ้น
หลิวถูกขับไล่ออกจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนในการประชุมรวมครั้งที่ 12 ของคณะกรรมการกลางที่แปด ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1968 และมีการติดป้ายว่า "กองบัญชาการชนชั้นกระฎุมพี" ซึ่งดูเหมือนจะมีการพาดพิงถึง "การถล่มกองบัญชาการ" ที่เหมาเขียนไว้เมื่อสองปีก่อน[36]
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1968 เหมาริเริ่มรณรงค์ "การเคลื่อนไหวลงสู่ชนบท" ในช่วงการเคลื่อนไหวนี้กินเวลาถึงทศวรรษต่อไป ชนชั้นกระฎุมพีหนุ่มสาวซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองถูกบังคับให้เดินทางไปยังชนบทเพื่อสัมผัสชีวิตการทำงาน มีการนิยามถึง "ปัญญาชนรุ่นเยาว์" อ้างถึงนักศึกษาที่พึ่งสำเร็จการศึกษา ในช่วงหลังทศวรรษที่ 1970 นักเรียนเหล่านี้ได้กลับบ้านเกิดในเมือง นักเรียนหลายคนเคยเป็นสมาชิกของยุวชนแดง ได้ออกมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวและวิสัยทัศน์ของเหมา การเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนย้ายยุวชนแดงจากเมืองลงสู่ชนบท เพื่อให้เกิดภาวะความวุ่นวายทางสังคมให้น้อยลง นอกจากนี้เป็นการเผยแพร่นโยบายปฏิวัติของจีนในเชิงภูมิศาสตร์[37]
ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1968 มีการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อสร้างเกียรติภูมิแก่เหมา ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ "กระแสความคลั่งมะม่วง" ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1968 เหมาได้รับมะม่วงจำนวน 40 ผลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถาน ชารีฟุดดิน ปีร์ซาดา เป็นการมอบให้ในเชิงการทูต[38] เหมาให้ผู้ช่วยของเขาส่งมะม่วงไปให้ทีมโฆษณาชวนเชื่อของเหมา เจ๋อตง ที่มหาวิทยาลัยชิงหฺวา ในวันที่ 5 สิงหาคม ทีมงานได้ประจำการอยู่ที่นั่นซึ่งมีการปะทะกันอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางกลุ่มยุวชนแดง[39][40] ในวันที่ 7 สิงหาคม มีการตีพิมพ์บทความลงในหนังสือพิมพ์เหรินหมินรื่อเป้า
ในช่วงบ่ายของวันที่ 5 มีข่าวยินดีอย่างยิ่งเมื่อท่านประธานเหมามอบมะม่วงให้แก่ทีมโฆษณาชวนเชื่อกรรมกรและชาวนาตามแนวคิดเหมา เจ๋อตง เมื่อมะม่วงมาถึงมหาวิทยาลัยชิงหฺวา ผู้คนต่างมารวมตัวกันรอบ ๆ ของขวัญที่ท่านประธานเหมาผู้ยิ่งใหญ่มอบให้ทันที พวกเขาตะโกนโห่ร้องอย่างดีใจและร้องเพลงอย่างเปรมปรีดิ์ น้ำตาไหลริน และพวกเขาส่งความปรารถนาอย่างจริงใจครั้งแล้วครั้งเล่าขอให้ผู้นำที่ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรามีอายุยืนนับหมื่นปีอย่างไม่สิ้นสุด...พวกเขาได้โทรศัพท์ไปที่หน่วยงานของตนเพื่อเผยแพร่ข่าวอันน่ายินดียิ่งนี้ และพวกเขายังจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองหลากหลายตลอดทั้งคืน และเดินทางมาถึงจงหนานไห่ [ที่รวมตัวผู้นำ] ทั้ง ๆ ที่ฝนตกเพื่อรายงานข่าวดีนี้ และเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อประธานเหมาผู้ยิ่งใหญ่[39]
บทความต่อมาก็เขียนโดยเจ้าหน้าที่รัฐมีการโฆษณาชวนเชื่อเรื่องการรับมะม่วง[41] มีบทกลอนอื่นใน เหรินหมินรื่อเป้าเขียนว่า "จ้องมองมะม่วงทองคำนั้น/ราวกับเห็นท่านประธานเหมาผู้ยิ่งใหญ่...สัมผัสมะม่วงสีทองซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้น/มะม่วงทองคำช่างแสนอบอุ่น"[42] ในเวลานั้นในประเทศจีนมีเพียงไม่กี่คนที่เคยพบเห็นมะม่วงมาก่อน และมะม่วงถูกมองว่าเป็น "ผลไม้ที่หายากที่สุด เสมือนการหาเห็ดแห่งความอมตะ"[42]
มะม่วงผลหนึ่งถูกส่งไปยังโรงงานสิ่งทอปักกิ่ง[39] ซึ่งคณะกรรมการปฏิวัติได้จัดชุมนุมเฉลิมเกียรติให้มะม่วง[41] คนงานได้อ่านคำกล่าวของเหมาและเฉลิมฉลองของขวัญ มีการสร้างแท่นบูชาเพื่อสดงผลไม้ให้เด่นชัด หลังจากนั้นสองสามวันเมื่อเปลือกมะม่วงเริ่มเน่า ก็มีการปลอกเปลือกออกและนำมะม่วงไปต้มน้ำในหม้อน้ำ จากนั้นคนงานก็จะได้รับน้ำมะม่วงคนละหนึ่งช้อนเต็ม คณะกรรมการปฏิวัติยังทำแบบจำลองของมะม่วงและตั้งแสดงที่ศูนย์กลางของโรงงาน จากนั้นหลายเดือน "กระแสความคลั่งมะม่วง" เป็นผลไม้ที่แสดงถึงการสร้าง "ความจงรักภักดีอย่างไร้ขอบเขต" ที่มีต่อประธานเหมา มีการสร้างมะม่วงจำลองมากขึ้น และส่งแบบจำลองไปทั่วกรุงปักกิ่งและหลาย ๆ สถานที่ของจีน คณะปฏิวัติหลายคนจากต่างจังหวัดมาทัศนศึกษาเพื่อดูงานมะม่วงจำลองในปักกิ่ง ผู้คนราวครึ่งล้านคนเดินทางมาเยี่ยมชมแบบจำลองมะม่วงเมื่อพวกเขามาถึงเมืองเฉิงตู ป้ายและโปสเตอร์ติดผนังมีรูปมะม่วงและเหมาสั่งผลิตป้ายเหล่านั้นจำนวนหลายล้านป้าย[39]
ผลไม้เป็นจุดร่วมใช้กันในทุกองค์กรในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของทีมโฆษณาชวนเชื่อ มีการเดินขบวนครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุน "เจินกุ้ย ลี่ปิ่น" (ของขวัญล้ำค่า) ซึ่งก็คือมะม่วงตามที่ทราบกัน[43] ทันตแพทย์คนหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ชื่อ นายแพทย์ฮั่น ได้มองมะม่วงและกล่าวว่ามันไม่มีอะไรพิเศษเลยและรูปร่างก็เหมือนมันเทศ เขาจึงถูกดำเนินคดีในข้อหาใส่ร้ายป้ายสี และมีความผิด ต้องเดินประจานตัวเองไปรอบเมือง สุดท้ายถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าที่ศีรษะ[42][44]
มีการอ้างว่าเหมาใช้มะม่วงเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากแรงงาน ซึ่งจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อหยุดการต่อสู้ฝักฝ่ายในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา และเป็น "ตัวอย่างที่สำคัญของกลยุทธ์การสนับสนุนเชิงสัญลักษณ์ของเหมา"[41] แม้กระทั่งจนตั้งปีค.ศ. 1969 ผู้เข้าร่วมการศึกษาลัทธิเหมาในปักกิ่งจะมาพร้อมการถอดแบบผลิตเรื่องมะม่วงขนานใหญ่และยังคงได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนในมณฑลต่าง ๆ[43]
การประชุมสภาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนครั้งที่เก้า มีขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 1969 เป็นการ "ฟื้นฟู" พรรคด้วยความคิดใหม่ ๆ และผู้ปฏิบัติงานซึ่งเป็นคนหัวโบราณจำนวนมากถูกกำจัดไปในการต่อสู้เมื่อครั้งหลายปีก่อนแล้ว[17]: 285 กรอบโครงสร้างเชิงสถาบันของพรรคที่ตั้งขึ้นเมื่อสองทศวรรษก่อนได้พังทลายลงเกือบทั้งหมด ผู้แทนในสภาถูกเลือกโดนคณะกรรมการปฏิวัติมากกว่าผ่านการเลือกตั้งจากสมาชิกพรรค[17]: 288 ตัวแทนจากกองทัพเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับการประชุมสภาครั้งก่อน (28% ของผู้แทนทั้งหมดเป็นฝ่ายกองทัพปลดปล่อยประชาชน) และมีการเลือกตั้งฝ่ายกองทัพปลดปล่อยประชาชนมากขึ้นให้เข้าเป็นคณะกรรมการชุดใหม่[17]: 292 นายทหารจำนวนมากได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นระดับอาวุโสซึ่งภักดีต่อจอมพลของกองทัพปลดปล่อยประชาชน คือ หลิน เปียว ทำให้เกิดความแตกแยกเป็นฝักฝ่ายของผู้นำฝ่ายกองทัพและผู้นำฝ่ายพลเรือน[17]: 292
— นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหลกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสภาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนครั้งที่เก้า[45]
หลิน เปียวได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้เป็นบุคคลลำดับที่สองของพรรค โดยมีชื่อของเขาถูกเขียนรับรองในรัฐธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ในฐานะ "สหายที่สนิทที่สุด"ของเหมาและ "ผู้สืบทอดอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล"[17]: 291 ในเวลานั้นไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์หรือรัฐบาลใด ๆ ในโลกที่นำแนวปฏิบัติในการบรรจุผู้สืบทอดตำแหน่งคนต่อไปไว้ในรัฐธรรมนูญ การปฏิบัตินี้ถือเป็นเอกลักษณ์ของจีน หลินกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม โดยมีเอกสารที่ร่างโดยพวกหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายอย่างเหยา เหวินหยวนและจาง ชุนเฉียว ภายใต้การกำกับดูแลของเหมา[17]: 289 เอกสารดังกล่าววิพากษ์วิจารณ์หลิว เช่าฉีและ "ผู้ปฏิปักษ์การปฏิวัติ" อย่างหนักและมีการนำข้อความในหนังสือเล่มแดงของเหมามาใช้อย่างมาก การประชุมสภาได้เสริมความแข็งแกร่งให้แก่บทบาทของลัทธิเหมาภายในจิตใจของพรรค โดยแนะนำลัทธิเหมาอีกครั้งว่าเป็นอุดมการณ์ชี้นำอย่างเป็นทางการของพรรคในรัฐธรรมนูญของพรรค สุดท้ายสภาได้เลือกสมาชิกโปลิตบูโลใหม่โดยมีเหมา เจ๋อตง, หลิน เปียว, เฉิน ป๋อต๋า, โจว เอินไหลและคัง เซิง เป็นคณะกรรมการประจำกรมการเมือง หลิน, เฉินและคังต่างได้รับประโยชน์จากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม โจวถูกลดตำแหน่งและแสดงการสนับสนุนต่อหลินอย่างชัดแจ้งในสภา[17]: 290 เหมายังได้ฟื้นฟูการทำงานของสถาบันพรรคที่เป็นทางการบางแห่ง เช่น การดำเนินงานของโปลิตบูโรของพรรค ซึ่งหยุดดำเนินการไปตั้งแต่ปีค.ศ. 1966 และ 1968 เนื่องจากกลุ่มปฏิวัติทางวัฒนธรรมกลางได้ควบคุมอำนาจ "โดยพฤตินัย" ของประเทศ[17]: 296
ความพยายามของเหมาในการจัดระเบียบพรรคและสถาบันของรัฐทำให้เกิดผลลัพธ์ที่หลากหลาย มณฑลห่างไกลหลายแห่งยังคงวุ่นวายในขณะที่ในปักกิ่งมีเสถียรภาพทางการเมือง การต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ยังคงมีความรุนแรงและยังดำเนินต่อไปในระดับท้องถิ่น แม้ว่าจะมีการประกาศในการประชุมครั้งที่เก้าว่า เป็น "ชัยชนะ" ชั่วคราวของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[17]: 316 นอกจากนี้ถึงแม้ว่าเหมาพยายามสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสภา แต่ก็มีการแบ่งฝ่ายระหว่างกองทัพปลดปล่อยประชาชนของหลิน เปียว และกลุ่มพวกหัวรุนแรงของเจียง ชิง ที่ทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมากขึ้น การที่ผู้นำบางคนไม่ชอบเจียง ชิงเป็นการส่วนตัวได้ดึงดูดให้ผู้นำพลเรือนจำนวนมากพยายามออกห่าง รวมถึงนักทฤษฎีที่มีชื่อเสียงอย่าง เฉิน ป๋อต๋าที่หันมาใกล้ชิดกับหลิน เปียว[14]: 115
ในระหว่างค.ศ. 1966 และค.ศ. 1968 จีนถูกโดดเดี่ยวในระดับสากลโดยได้ประกาศความเป็นปฏิปักษ์ต่อทั้งสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งกับสหภาพโซเวียตทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากมีการปะทะกันบริเวณชายแดนที่แม่น้ำอุสซูรีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1969 โดยผู้นำจีนเตรียมพร้อมทำสงคราม[17]: 317 ในเดือนตุลาคม ผู้นำระดับสูงได้อพยพออกจากปักกิ่ง[17]: 317 ท่ามกลางความตึงเตรียดนี้ หลิน เปียวได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารให้เตรียมทำสงครามส่งไปยังกองพันทหารปลดปล่อยประชาชนทั้ง 11 กองพันในวันที่ 18 ตุลาคม โดยไม่ผ่านเหมา สิ่งนี้สร้างความโกรธเคืองของประธานเหมา จึงเป็นหลักฐานว่าอำนาจของเขาอาจถูกแย่งชิงก่อนเวลาอันควรโดยผู้สืบทอดของเขาเอง[17]: 317
โอกาสในการทำสงครามได้ทำให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนมีความโดดเด่นในการเมืองภายในประเทศ โดยเพิ่มพื้นที่ความนิยมของหลินแต่แลกมาด้วยความนิยมของเหมาที่ถูกบดบัง[17]: 321 มีหลักฐานบางอย่างชี้ให้เห็นว่า เหมาถูกผลักดันให้แสวงหาความใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกามากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการครอบงำการเมืองของกองทัพปลดปล่อยประชาชนในกิจการภายใน อันเป็นผลมาจากการเผชิญหน้าทางทหารกับสหภาพโซเวียต[17]: 321 เหมาได้พบปะกับริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีค.ศ. 1972 เหมากล่าวเป็นนัยกับประธานาธิบดีว่า หลินไม่เห็นด้วยกับการแสวงหาความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐอเมริกา[17]: 322
หลังจากหลินได้รับการยืนยันในฐานะผู้สืบทอดของเหมา ผู้สนับสนุนเขาได้มุ่งมั่นในการฟื้นฟูตำแหน่งประธานาธิบดี (ประธานแห่งรัฐ)[46] ซึ่งถูกยุบเลิกไปโดยเหมา เจ๋อตงในช่วงกวาดล้างหลิว เช่าฉี พวกเขาหวังว่าการอนุญาตให้หลินผ่อนคลายบทบาทในการแทรกแซงตามรัฐธรรมนูญของประธานและรองประธาน จะทำให้การสืบทอดตำแหน่งของหลินมีความเป็นสถาบัน ฉันทามติภายในโปลิตบูโรพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ระบุให้เหมาดำรงตำแหน่งนี้โดยมีหลินเป็นรองประธาน แต่เหมาได้เปล่งเสียงคัดค้านอย่างชัดเจนโดยไม่มีสาเหตุ ซึ่งเป็นการคัดค้านต่อการสถาปนาตำแหน่งขึ้นมาใหม่และความหยิ่งผยองของเขา[17]: 327
การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของแต่ละฝ่ายทวีความรุนแรงขึ้นในการประชุมครั้งที่สองของคณะกรรมการที่เก้าในหลูชาน ปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1970 เฉิน ป๋อต๋าซึ่งขณะนี้อยู่แนวร่วมเดียวกับกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่จงรักภักดีต่อหลิน สนับสนุนการบูรณะทำเนียบประธานาธิบดีจีน แม้ว่าเหมาจะมีความเห็นตรงข้ามก็ตาม[17]: 331 นอกจากนี้เฉินยังเปิดฉากโจมตีจาง ชุนเฉียว ผู้สนับสนุนลัทธิเหมาและเป็นผู้สร้างความวุ่นวายในการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ว่าทำไปนอกเหนือจากที่เหมาต้องการ[17]: 328
การโจมตีจางทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมยินดีอย่างมากในการประชุมกรรมการ และอาจถูกตีความโดยเหมาว่าเป็นการโจมตีทางอ้อมต่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เหมาเผชิญหน้ากับเฉินอย่างเปิดเผย ประณามเขาว่าเป็น "ลัทธิมากซ์จอมปลอม"[17]: 332 และปลดเขาออกจากคณะกรรมการประจำกรมการเมือง นอกเหนือจากการกำจัดเฉิน เหมายังขอให้หลินเขียนหลักการข้อวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองเกี่ยวกำตำแหน่งทางการเมือง เพื่อเป็นการเตือนหลิน เหมายังได้แต่งตั้งผู้สนับสนุนเขาหลายคนเข้าร่วมคณะกรรมาธิการทหารกลาง และวางตำแหน่งผู้จงรักภักดีต่อเขาเข้าไปเป็นผู้นำในเขตทหารปักกิ่ง[17]: 332
ในปีค.ศ. 1971 ผลประโยชน์ที่แตกต่างกันระหว่างฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหารก็ปรากฏให้เห็น เหมามีปัญหากับความโดดเด่นที่กองทัพปลดปล่อยประชาชนที่เพิ่งมีขึ้นมา และการกวาดล้างเฉิน ป๋อต๋า เป็นจุดเริ่มต้นของการลดขอบเขตการมีส่วนร่วมทางการเมืองของกองทัพปลดปล่อยประชาชนอย่างค่อยเป็นค่อยไป[17]: 353 ตามแหล่งข้อมูลของทางการระบุว่าเมื่อหลินมีอำนาจที่ลดน้อยถอยลง สุขภาพของเขาก็ย่ำแย่ลงด้วย ผู้สนับสนุนหลินวางแผนที่จะใช้อำนาจทางทหารที่ยังมีอยู่ขับไล่ประธานเหมาด้วยการรัฐประหาร[14]
หลิน ลี่กั่ว บุตรชายของหลิน เปียวและนายทหารระดับสูงผู้สมรู้ร่วมคิดหลายคนพยายามจัดตั้งกลไกรัฐประหารในเซี่ยงไฮ้และวางโครงการขับไล่เหมาด้วยกำลังในชื่อ เค้าโครงโครงการ 571 ซึ่งเป็นคำคล้ายกับคำว่า "การลุกฮือทางทหาร" ในภาษาจีนกลาง ยังเป็นที่ถกเถียงว่าหลิน เปียวมีส่วนร่วมในขบวนการนี้หรือไม่ ในขณะที่แหล่งข่าวอย่างเป็นทางการของจีนยืนยันว่า หลินวางแผนและดำเนินการก่อรัฐประหาร นักวิชาการอย่างจิน ชิว ได้ให้ภาพหลินว่าเป็นตัวละครที่ไม่โต้ตอบซึ่งถูกสมาชิกในครอบครัวและผู้สนับสนุนของเขาควบคุม[14] ชิวโต้แย้งว่าหลิน เปียวไม่เคยมีส่วนร่วมในโครงร่างนั้นและมีหลักฐานชี้ชัดว่าหลิน ลี่กั่วร่างแผนการรัฐประหาร[14]
"เค้าโครง" ถูกกล่าวว่าส่วนใหญ่มีแผนการทิ้งระเบิดทางอากาศโดยใช้กองทัพอากาศ ตอนแรกมีการพุ่งเป้าไปที่จาง ชุนเฉียวและเหยา เหวินหยวน แต่ตอนหลังมีการดึงเหมาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และถ้าแผนการสำเร็จ หลินจะทำการจับกุมคู่แข่งทางการเมืองและเข้ายึดอำนาจ มีการอ้างว่ามีความพยายามบอบสังหารเหมาในเซี่ยงไฮ้ ในวันที่ 8 - 10 กันยายน ค.ศ. 1971 มีการรับรู้ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเหมาและได้มีการส่งเตือนไปยังประธาน รายงานภายในฉบับหนึ่งอ้างว่าหลินวางแผนที่จะระเบิดสะพานซึ่งเหมาต้องสัญจรผ่านเพื่อเข้าปักกิ่ง มีรายงานว่าเมื่อเหมาได้รับข่าวกรองเขาจึงเลี่ยงที่จะผ่านสะพานนี้
ตามรายงานของทางการเมื่อวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1971 หลิน เปียวพร้อมภริยาคือ เย่ เฉวียน บุตรชายคือ หลิน ลี่กั่วและทีมงานของเขาได้หลบหนีไปยังสหภาพโซเวียตเพื่อขอลี้ภัย ระหว่างเดินทางเครื่องบินของหลินตกในสาธารณรัฐประชาชนมองโกเลีย ทุกคนบนเครื่องบินเสียชีวิตทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าเครื่องบินน้ำมันหมดระหว่างเดินทางไปยังสหภาพโซเวียต ทีมงานของโซเวียตได้สืบสวนเหตุการณ์นี้ไม่สามารถระบุสาเหตุการชนได้ แต่ตั้งสมมติฐานว่านักบินกำลังบินต่ำเพื่อหลบเรดาห์และเขาประเมินยอดความสูงของเครื่องบินผิด
รายงานของทางการถูกตั้งคำถามโดยนักวิชาการต่างชาติ ซึ่งตั้งข้อสงสัยในการที่หลินเลือกโซเวียตเป็นจุดหมายปลายทาง เรื่องเส้นทางเครื่องบิน ตัวตนของผู้โดยสาร และการรัฐประหารเกิดขึ้นจริงหรือไม่[14][47]
ในวันที่ 13 กันยายน โปลิตบูโรได้ประชุมฉุกเฉินในวาระเรื่องหลิน เปียว เฉพาะวันที่ 30 กันยายนเท่านั้นที่มีการยืนยันการเสียชีวิตของหลิน เปียวไปทั่วกรุงปักกิ่ง ซึ่งนำไปสู่การยกเลิกกิจกรรมเฉลิมฉลองวันชาติจีนในวันรุ่งขึ้น คณะกรรมการกลางปกปิดข้อมูล และข่าวการเสียชีวิตของหลินไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนจนเลยเวลาสองเดือนหลังจากเกิดเหตุ[14] ผู้สนับสนุนหลินหลายคนลี้ภัยในฮ่องกง ส่วนคนที่ยังอยู่แผ่นดินใหญ่ได้ถูกกวาดล้าง เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้นำพรรคไม่ทันระวังตัว แนวคิดที่ว่าหลินสามารถทรยศเหมาได้ ทำให้เป็นการทำลายความชอบธรรมในวาทศิลป์ทางการเมืองของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เนื่องจากนามของหลินปรากฏชัดแจ้งในรัฐธรรมนูญของพรรคในฐานะ"สหายที่สนิทที่สุด" ของเหมาและ "ผู้สืบทอดตำแหน่งคนต่อไป" เป็นเวลาหลายเดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์ ทางพรรคมีความวุ่นวายในการหา "หนทางที่ถูกต้อง" ในการป้อนข้อมูลเหตุการณ์ต่อสาธารณขน[14]
เหมารู้สึกหดหู่และปลีกตัวเองหลังจากเหตุการณ์หลิน เปียว เมื่อหลินตาย เหมาก็ไม่มีคำตอบว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากเขา เหมารู้สึกสูญเสียทิศทางกะทันหัน เขาจึงพยายามติดต่อกับสหายเก่าที่เขาเคยประณามในอดีต ในขณะเดียวกัน เดือนกันยายน ค.ศ. 1972 เหมาได้ย้ายแกนนำพรรควัย 38 ปีจากเซี่ยงไฮ้ ชื่อ หวัง หงเหวินมายังปักกิ่ง และให้เขาเป็นรองประธานพรรค[17]: 357 หวังเป็นอดีตแรงงานในโรงงานที่มีพื้นเพมาจากชาวนา[17]: 357 และมีการดูแลเขาอย่างดีเพื่อปูทางให้ขึ้นสืบตำแหน่ง[17]: 364 ตำแหน่งของเจียง ชิงแข็งแกร่งขึ้นหลังจากเกิดเหตุเที่ยวบินของหลิน เธอมีอิทธิพลที่น่าเกรงขามในฝ่ายหัวรุนแรง เมื่อสุขภาพของเหมาทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นที่สังเกตได้ว่าเจียง ชิงมีความทะเยอทะยายเพื่อตัวของเธอเอง เธอสร้างพันธมิตรกับหวัง หงเหวิน และผู้เชี่ยวชาญโฆษณาชวนเชื่ออย่าง จาง ชุนเฉียวและเหยา เหวินหยวน จัดตั้งกลุ่มทางการเมืองที่ถูกขนานนามในภายหลังว่า "แก๊งออฟโฟร์"
ในปีค.ศ. 1973 การต่อสู้ทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า ได้ทิ้งให้สถาบันระดับล่างหลายแห่ง ทั้งรัฐบาลท้องถิ่น โรงงานและทางรถไฟ ต้องขาดเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่พื้นฐาน[17]: 340 เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะระส่ำระส่าย ซึ่งต้องฟื้นฟูตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่ถูกกวาดล้างออกไป แต่ส่วนกลางของพรรคกลับถูกครอบงำโดยผู้ได้รับผลประโยชน์จากการปฏิวัติทางวัฒนธรรรมและกลุ่มฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง ซึ่งยังคงมุ่งเน้นสร้างความบริสุทธิ์ทางอุดมการณ์เหนือผลิตภาพทางเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ด้านเศรษฐกิจยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของโจว เอินไหล เป็นคน "เอียงซ้าย" ที่เจียมเนื้อเจียมตัวเพียงไม่กี่คน โจวพยายามฟื้นฟูให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้ แต่กลับถูกแก๊งออฟโฟร์ไม่พอใจ โดยระบุว่าเขาเป็นภัยคุกคามทางการเมืองต่อการสืบทอดตำแหน่งหลังสมัยของเหมา
ในหลังปี 1973 เพื่อทำให้ตำแหน่งทางการเมืองของโจวอ่อนแอลง และพยายามทำให้พวกตัวเองถอยห่างจากการทรยศของหลิน แก๊งออฟโฟร์จึงออกนโยบาย "วิจารณ์หลิน วิจารณ์ขงจื๊อ" ภายใต้การควบคุมของเจียง ชิง[17]: 366 มีเป้าหมายเพื่อกวาดล้างลัทธิขงจื๊อสมัยใหม่และประณามหลิน เปียวว่าเป็นผู้ทรยศและเป็นพวกถ่วงรั้งความเจริญ[17]: 372 เป็นการฟื้นคืนช่วงปีแรกของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม แต่เป็นการต่อสู้กับการเปรียบเปรยทางประวัติศาสตร์ และแม้ชื่อของโจว เอินไหลจะไม่ถูกกล่าวถึงในการรณรงค์นี้ แต่ชื่อของนายกรัฐมนตรีกลับไปพ้องกับโจวกงหวัง สมาชิกของราชวงศ์โจวในอดีตที่ถูกมาเป็นเป้าโจมตีบ่อยครั้ง
ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางและโจวล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง เติ้ง เสี่ยวผิงกลับเข้ามาสู่ฉากการเมืองอีกครั้ง โดยรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1973 เป็นการแต่งตั้งครั้งแรกที่ได้รับการอนุมัติจากเหมา หลังจากโจวถอนตัวจากการเมืองในเดือนมกราคม ค.ศ. 1975 เติ้งได้รับมอบหมายให้ดูแลรัฐบาล พรรคและกองทัพ โดยเข้าได้รับตำแหน่งเพิ่มเติมเป็นเสนาธิการทหารของกองทัพปลดปล่อยประชาชน เป็นรองประธานพรรคอีกคนหนึ่งและเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (จีน) ในระยะเวลาสั้น ๆ[17]: 381
การกอบกู้ชื่อเสียงของเติ้งอย่างรวดเร็ว ทำให้ฝ่ายหัวรุนแรงซึ่งมองว่าตัวเองเป็นทายาททางการเมืองและอุดมการณ์ที่ชอบธรรมของเหมา มองดูด้วยความประหลาดใจ เหมาต้องการใช้เติ้งเป็นตัวถ่วงดุลฝ่ายกองทัพในรัฐบาลเพื่อปราบปรามผู้ที่ยังภักดีต่อหลิน เปียวที่ยังคงเหลืออยู่ นอกจากนี้เหมายังสูญเสียความมั่นใจในความสามารถของแก๊งออฟโฟร์ในการจัดการปัญหาเศรษฐกิจ และเขามองว่าเติ้งเป็นผู้นำที่มีความสามารถและมีประสิทธิภาพ การปล่อยให้ประเทศมีความยากจนต่อไปไม่เป็นผลดีต่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรม อันเป็นสิ่งที่เหมาลงมืออย่างหนักเพื่อปกป้องมาตลอด การกลับมาของเติ้งทำให้การต่อสู้ระหว่างฝักฝ่ายมีความยืดเยื้อระหว่างแก๊งออฟโฟร์กับฝ่ายสายกลางที่นำโดยโจวและเติ้ง
ในเวลานั้น เจียง ชิงและฝ่ายของเธอได้ควบคุมสื่อมวลชนและเครื่อข่ายการโฆษณาชวนเชื่อของพรรคอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่โจวและเติ้งควบคุมกลไกส่วนใหญ่ของรัฐบาล ในการตัดสินใจบางเรื่อง เหมาพยายามลดอิทธิพลของแก๊งออฟโฟร์ แต่สำหรับคนอื่น เหมาพยายามทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขา การควบคุมอย่างหนักหน่วงของแก๊งออฟโฟร์ต่อสื่อและการเมืองไม่สามารถกีดกันเติ้งในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของเขาได้ เติ้งคัดค้านอย่างเด่นชัดในการต่อต้านการแตกแยกเป็นฝ่ายในพรรค และนโยบายของเขามุ่งสร้างความสามัคคีอย่างเป็นขั้นเป็นตอนโดยมีเป้าหมายแรกคือฟื้นฟูผลิตภาพทางเศรษฐกิจ[17]: 381
เช่นเดียวกับการปรับโครงสร้างหลังยุคการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าที่ดำเนินการโดยหลิว เช่าฉี เติ้งได้ปรับปรุงระบบรถไฟ, อุตสาหกรรมเหล็กกล้าในจีน และพื้นที่สำคัญอื่น ๆ ทางเศรษฐกิจ แต่ในหลังปีค.ศ. 1975 เหมาเห็นว่าการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเติ้งอาจจะลบล้างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และเขาได้เริ่มการรณรงค์ต่อต้าน "การฟื้นฟูกรณีของพวกฝ่ายขวา" ซึ่งทำให้เติ้งกลายเป็น "ฝ่ายขวา" ที่เด่นชัดที่สุดในประเทศ เหมาจึงสั่งให้เติ้งเขียนคำวิจารณ์ตนเองในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1975 ซึ่งการเคลื่อนไหวที่ได้รับการสรรเสริญจากแก๊งออฟโฟร์[17]: 381
ในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1976 โจว เอินไหลถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ในวันที่ 15 มกราคม เติ้ง เสี่ยงผิงได้มีแถลงการณ์สรรเสริญโจวอย่างเป็นทางการในรัฐพิธีฝังศพ โดยผู้นำระดับสูงของจีนเข้าร่วมพิธีทั้งหมด จะขาดก็แต่เพียงตัวเหมาเอง ซึ่งทำการวิพากษ์วิจารณ์โจวมากขึ้นเรื่อย ๆ[48]: 217–18 [49]: 610 หลังจากโจวถึงแก่อสัญกรรม เหมาไม่ได้เลือกทั้งเติ้งหรือสมาชิกในแก๊งออฟโฟร์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เขากลับเลือกฮั่ว กั๋วเฟิง ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักแทน[50]
แก๊งออฟโฟร์เริ่มวิตกกังวลว่าการที่โจวได้รับความนิยมจากสาธารณชนอย่างกว้างขวางจะทำให้เกิดการพลิกกระแสทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขาได้ พวกเขาจึงดำเนินการผ่านสื่อเพื่อแจ้งข้อกำหนดข้อจำกัดในการแสดงความไว้อาลัยต่อโจวในที่สาธารณะ ความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม การกดขี่ข่มเหงเติ้ง เสี่ยวผิงในที่สาธารณะ (มองว่าเขาเป็นพันธมิตรกับโจว) และการห้ามไม่ให้มีการไว้ทุกข์ในที่สาธารณะทำให้เกิดความไม่พอใจต่อเหมาและแก๊งออฟโฟร์[48]: 213
ความพยายามอย่างเป็นทางการในการบังคับใช้ข้อจำกัดการไว้อาลัย รวมถึงการลบอนุสรณ์สาธารณะและทำลายโปสเตอร์ที่ระลึกความสำเร็จของโจว ในวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1976 หนังสือพิมพ์เซี่ยงไฮ้ เหวินฮุ่ย เป้า เรียกโจวว่าเป็น "นายทุนผู้ฝังรากอยู่ในพรรค [ผู้] ต้องการช่วยนายทุนผู้ฝังรากที่ไม่ยอมสำนึก [เติ้ง] ให้กลับคืนสู่อำนาจ" ความพยายามโฆษณาชวนเชื่อนี้เป็นการทำลายภาพลักษณ์ของโจว แต่กลับกลายเป็นว่า ทำให้สาธารณชนมีความผูกพันในความทรงจำที่มีต่อโจวอย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก[48]: 214
ในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1976 วันก่อนเทศกาลเช็งเม้งประจำปีของจีน ซึ่งเป็นวันประเพณีสำหรับการไว้อาลัย ผู้คนหลายพันคนมารวมตัวกันที่อนุสาวรีย์วีรชนของประชาชนในจัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อรำลึกถึงโจว เอินไหล ชาวปักกิ่งให้เกียรติโจว เอินไหลด้วยการวางพวงมาลา ป้าย บทกลอน ใบปลิวและดอกไม้ที่เชิงอนุสาวรีย์[49]: 612 จุดประสงค์ที่ชัดเจนในการรำลึกนี้เป็นการยกย่องโจว และแก๊งออฟโฟร์ได้ถูกโจมตีจากการกระทำที่พวกเขาทำต่อนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ มีคำคติพจน์จำนวนเล็กน้อยติดอยู่ที่เทียนอันเหมินซึ่งเป็นการโจมตีตัวเหมาเองและการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของเขา[48]: 218
ผู้คนมากกว่าสองล้านคนมาที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในวันที่ 4 เมษายน[48]: 218 ผู้คนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ชาวนาที่ยากจนที่สุดไปถึงเจ้าหน้าที่กองทัพปลดปล่อยประชาชนระดับสูง และลูกหลานของเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้เข้าร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วมมีแรงจูงใจที่ผสมผสานระหว่างความโกรธแค้นต่อสิ่งที่โจวถูกกระทำ การต่อต้านการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และความหวาดหวั่นในอนาคตของจีน เหตุการณ์นี้ไม่มีใครเป็นผู้นำ แต่เป็นการสะท้อนความรู้สึกของสาธารณชน[48]: 219–20
คณะกรรมการกลางภายใต้การนำของเจียง ชิง ตราหน้าว่างานนี้เป็น "ปฏิปักษ์ปฏิวัติ" และพยายามเก็บกวาดสิ่งของที่รำลึกภายในเวลาอันสั้นหลังเที่ยงคืนวันที่ 6 เมษายน มีความพยายามปราบปรามผู้ไว้ทุกข์นำไปสู่การจลาจลรุนแรง รถตำรวจถูกจุดไฟเผา และฝูงชนกว่า 10,000 คน ถูกบังคับให้เข้าไปในอาคารราชการหลาย ๆ แห่งรอบจัตุรัส[49]: 612 ภายหลังผู้ถูกจับกุมหลายคนถูกตัดสินให้จำคุกในค่ายกักกัน เหตุการณ์ที่คล้ายกันเกิดขึ้นในเมืองใหญ่อื่น ๆ เจียง ชิงและพันธมิตรของเธอตราหน้า เติ้ง เสี่ยวผิง ว่าเป็น "ผู้บงการ" ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้มีการรายงานออกสื่ออย่างเป็นทางการ เติ้งจึงถูกปลดจากทุกตำแหน่งทั้ง "ภายในและภายนอกพรรค" อย่างเป็นทางการในวันที่ 7 เมษายน ซึ่งเป็นการกวาดล้างเติ้งเป็นครั้งที่สองในรอบสิบปี[49]: 612
ในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1976 เหมา เจ๋อตงถึงแก่อสัญกรรม ในส่วนของผู้สนับสนุนเหมา อสัญกรรมของเขาเป็นสัญลักษณ์ของการสูญเสียรากฐานการปฏิวัติจีน เมื่อมีการประกาศการอสัญกรรมของเขาในช่วงบ่ายของวันที่ 9 กันยายน ในการแถลงข่าวเรื่อง "ประกาศคณะกรรมการกลาง สภาประชาชนแห่งชาติจีน สภารัฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีน คณะกรรมาธิการทหารกลาง ถึงพรรคทั้งมวล กองทัพทั้งมวล และประชาชนทุกสัญชาติทั่วประเทศ"[51] ประเทศตกอยู่ในความเศร้าโศก มีผู้คนร้องไห้ตามท้องถนนและหน่วยงานราชการหยุดทำการนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ฮั่ว กั๋วเฟิง เป็นประธานคณะกรรมการรัฐพิธีศพและกล่าวสุนทรพจน์รำลึก[52][53]
ไม่นานก่อนเหมาจะเสียชีวิต เหมาได้เขียนข้อความถึงฮั่วอย่างเป็นนัยว่า "ให้คุณดูแล ฉันก็สบายใจแล้ว" ฮั่วจึงใช้ข้อความนี้ยืนยันตัวตนของเขาในฐานะทายาททางการเมือง ฮั่วได้รับการพิจารณาอย่างกว้างขวางว่าขาดทักษะทางการเมืองและความทะเยอทะยาน และดูเหมือนจะไม่เป็นภัยร้ายแรงต่อแก๊งออฟโฟร์ซึ่งพยายามแข่งขันเพื่อสืบทอดตำแหน่ง แต่แนวคิดที่รุนแรงของแก๊งออฟโฟร์ก็เกิดความขัดแย้งกับเหล่าผู้อาวุโสที่มีอิทธิพลและกลุ่มนักปฏิรูปของพรรคหลายคน จากการสนับสนุนของกองทัพภายใต้นายพลเย่ เจี้ยนอิง ทำให้กองกำลังของหน่วยพิเศษ 8341 หรือสำนักงานความมั่นคงกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ออกปฏิบัติการในวันที่ 6 ตุลาคม เข้าจับกุมสมาชิกแก๊งออฟโฟร์ทั้งหมดในการรัฐประหารที่ไม่มีการเสียเลือดเนื้อ[54]
แม้ว่าฮั่ว กั๋วเฟิงจะประณามแก๊งออฟโฟร์ต่อหน้าสาธารณชนในปีค.ศ. 1976 แต่เขาก็ยังคงสนับสนุนความบริสุทธิ์ของนโยบายของเหมา ฮั่วเป็นหัวหอกในการสนับสนุนแนวคิด "สองอะไรก็ตาม"[55] กล่าวคือ "นโยบายที่มาจากท่านประธานเหมา เราต้องสนับสนุนต่อไป" และ "ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ท่านประธานเหมามอบให้เรา เราต้องปฏิบัติตามต่อไป" ฮั่วก็เหมือนกับเติ้งที่ว่าต้องการย้อนกลับก่อนที่การปฏิวัติทางวัฒนธรรมจะสร้างความเสียหาย แต่เขาก็ไม่เหมือนกับเติ้งตรงที่ เติ้งต้องการเสนอรูปแบบเศรษฐกิจใหม่ของจีน แต่ฮั่วกลับต้องการย้ายระบบเศรษฐกิจและการเมืองจีนไปสู่การวางแผนแบบโซเวียตในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950[56][57]
ฮั่วมีความชัดเจนมากขึ้นที่ว่าหากไม่มีเติ้ง เสี่ยวผิง ก็จะเป็นเรื่องยากที่จะดำเนินกิจการของรัฐต่อไป ในวันที่ 10 ตุลาคม เติ้งได้เขียนจดหมายถึงฮั่วเป็นการส่วนตัวเพื่อขอย้ายกลับไปทำงานในกิจการของรัฐและพรรค ผู้อาวุโสของพรรคก็เรียกร้องให้เรียกเติ้งกลับมา ด้วยความกดดันจากทุกฝ่ายนายกรัฐมนตรีฮั่วจึงแต่งตั้งเติ้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1977 และหลังจากนั้นมีการเลื่อนให้เขาดำรงตำแหน่งอื่น ๆ ส่งผลให้เติ้งเป็นบุคคลที่มีอำนาจทางการเมืองมากเป็นอันดับสองของจีน ในเดือนสิงหาคม การประชุมสภาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 11 จัดขึ้นในกรุงปักกิ่ง มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการให้ฮั่ว กั๋วเฟิง, เย่ เจี้ยนอิง, เติ้ง เสี่ยวผิง, หลี่ เซียนเนี่ยนและวัง ตงซิ่ง เป็นสมาชิกใหม่ของคณะกรรมการประจำกรมการเมือง[58]
เติ้ง เสี่ยวผิงเสนอแนวคิดเรื่อง "โปล่วน ฝ่านเจิ้ง" ครั้งแรกในเดือนกันยายน ค.ศ. 1977 เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1978 เติ้งฉวยโอกาสสนับสนุนให้ผู้ใต้อุปถัมภ์คือ หู เย่าปัง ก้าวขึ้นสู่อำนาจ หูตีพิมพ์บทความในหนังสือพิมพ์ กวังหมิงเดลี โดยใช้คำพูดของเหมาอย่างชาญฉลาดในขณะเดียวกันยกย่องแนวคิดของเติ้งด้วย หลังจากบทความนี้เผยแพร่ออกไป ฮั่วเริ่มเปลี่ยนการสนับสนุนเติ้ง ในวันที่ 1 กรกฎาคม เติ้งได้เผยแพร่รายงานการวิจารณ์ตนเองของเหมาในปีค.ศ. 1962 เกี่ยวกับความล้มเหลวของนโยบายการก้าวกระโดดไปข้างหน้า ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1978 เพื่อการขยายฐานอำนาจ เติ้งจึงโจมตีนโยบายสองอะไรก็ได้ของฮั่ว กั๋วเฟิง[55]
ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1978 มีการจัดการประชุมใหญ่ครั้งที่สามของคณะกรรมการกลางชุดที่ 11 ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญ ในสภา เติ้งเรียกร้องให้ "ปลดเปลื้องความคิด" และเรียกร้องให้พรรค "แสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง" และละทิ้งความเชื่อทางอุดมการณ์ การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนอย่างเป็นทางการ โดยเติ้งกลายเป็นผู้นำสูงสุดลำดับสองของจีน ฮั่ว กั๋วเฟิงมีส่วนร่วมในการวิจารณ์ตนเองและวิจารณ์ความผิดพลาดของนโยบาย "สองอะไรก็ได้" ของตนเอง วัง ตงซิ่ง เป็นพันธมิตรที่เหมาไว้ใจ ก็ยังวิจารณ์ตนเอง ในการประชุม พรรคได้กลับคำตัดสินเกี่ยวกับเหตุการณ์เทียนอันเหมิน อดีตประธานาธิบดีหลิว เช่าฉีที่ถูกประณามได้รับการอนุญาตให้จัดรัฐพิธีศพในภายหลัง[59] เผิง เต๋อหวย หนึ่งในสิบขุนพลและเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งถูกประณามจนตายในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เขาได้รับการฟื้นฟูชื่อเสียงทางการเมืองในปีค.ศ. 1978
ในการประชุมครั้งที่ 5 ในปีค.ศ. 1980 เผิง เจิน, เฮ่อ หลง และผู้นำคนอื่น ๆ ที่ถูกกวาดล้างในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมได้รับการฟื้นฟูชื่อเสียงทางการเมือง หู เย่าปังได้เป็นหัวหน้าสำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในฐานะเลขาธิการ ในเดือนกันยายน ฮั่ว กั๋วเฟิงได้ลาออกจากตำแหน่งและจ้าว จื่อหยาง หนึ่งในพันธมิตรของเติ้งได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เติ้งยังคงดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการทหารกลาง (จีน) แต่อำนาจที่เป็นทางการถูกโอนถ่ายไปยังนักปฏิรูปภาคปฏิบัติรุ่นใหม่ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการปฏิวัติทางวัฒนธรรมไปในวงกว้างในช่วงสมัยโปล่วน ฝ่านเจิ้ง ภายในไม่กี่ปีจากปีค.ศ. 1978 เติ้ง เสี่ยวผิงและหู เย่าปังช่วยฟื้นฟูความเสียหายจากคดีที่ "ไม่ยุติธรรม ความเท็จและผิดพลาด" กว่า 3 ล้านคดีในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[60] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิจารณาคดีของแก๊งออฟโฟร์ที่เกิดขึ้นในปักกิ่งตั้งแต่ปีค.ศ. 1980 ถึง 1981 และศาลระบุว่ามีคน 729,511 คน ถูกข่มเหงโดยแก๊ง ซึ่งมีผู้เสียชีวิตถึง 34,800 คน[61]
ในปีค.ศ. 1981 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ลงมติและประกาศว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรม "ต้องรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ที่รุนแรงที่สุดและความสูญเสียที่หนักหน่วงที่สุดสำหรับพรรค ประเทศและประชาชนนับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชน"[9][10][11]
ประมาณการผู้เสียชีวิตจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม รวมทั้งพลเรือนและยุวชนแดงมีความแตกต่างกันมาตั้งแต่หลายแสนคนจนถึง 20 ล้านคน[1][2][3][4][5][6] อย่างไรก็ตามตัวเลขที่แน่ชัดของผู้ถูกกดขี่ข่มเหงหรือเสียชีวิตระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรมนั้นไม่อาจทราบได้ เนื่องจากผู้เสียชีวิตจำนวนมากไม่ได้รับการรายงานหรือถูกตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นปกปิดอย่างแข็งขัน สถานะของสถิติประชากรจีนในขณะนั้นก็น่าตำหนิด้วยเช่นกัน และสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ลังเลที่จะให้มีการวิจัยอย่างเป็นทางการในช่วงเวลาดังกล่าว[65] เท่านั้นไม่พอ ความล้มเหลวของเขื่อนป่านเฉียว ค.ศ. 1975 เป็นหนึ่งในหายนะทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ของโลกศตวรรษที่ 20 เกิดขึ้นในนครระดับจังหวัดจู้หม่าเตี้ยน มณฑลเหอหนาน ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1975 ทำให้มีผู้เสียชีวิตโดยประมาณระหว่าง 85,600 ถึง 240,000 คน[66]
ประมาณการรวมที่มีการให้ข้อมูลมีดังนี้
ในระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม การสังหารหมู่เกิดขึ้นทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ ได้แก่
การสังหารหมู่เหล่านี้ส่วนใหญ่นำโดยคณะกรรมการปฏิวัติท้องถิ่น พรรคคอมมิวนิสต์สาขา ทหารอาสาสมัครหรือแม้กระทั่งกองทัพเอง เหยื่อส่วนใหญ่ของการสังหารหมู่เป็นพวกที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มบัญชีดำทั้งห้า ซึ่งรวมถึงลูก ๆ ของพวกเขา หรือสมาชิกของ "กลุ่มกบฏ" (造反派) ปัญญาชนชาวจีนอย่างน้อย 300,000 คนเสียชีวิตในการสังหารหมู่เหล่านี้[77][78] การสังหารหมู่ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงและมณฑลกวางตุ้งเป็นเรื่องที่ร้ายแรงที่สุด ในกว่างซี มีบันทึกทางการระบุว่ามีอย่างน้อย 43 เขตปกครองที่มีบันทึกการสังหารหมู่ โดยมี 15 แห่งรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ราย ในขณะที่ในกวางตุ้ง มีบันทึกการสังหารหมู่อย่างน้อย 28 เขตปกครอง โดยมี 6 แห่งที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 ราย[79]
ความขัดแย้งรุนแรง หรือ "อู่ โต้ว" (武斗) เป็นความขัดแย้งแบบฝักฝ่าย (ส่วนใหญ่ในหมู่ยุวชนแดงและ "กลุ่มกบฏ") ซึ่งเริ่มต้นที่เซี่ยงไฮ้และแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของจีนในปีค.ศ. 1967 ได้นำประเทศไปสู่ภาวะสงครามกลางเมือง[86][93] อาวุธที่ใช้ในการสู้รบได้แก่ ปืน 18.77 ล้านกระบอก, ระเบิดมือ 2.72 ล้านลูก, ปืนใหญ่ 14,828 กระบอก กระสุนอื่น ๆ นับล้านและมีแม้กระทั่งรถหุ้มเกราะและรถถัง[86] มีการต่อสู้ที่รุนแรงในฉงชิ่ง, มณฑลเสฉวนและซูโจว[86][92][94] นักวิจัยชี้ว่ามีผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งรุนแรงทั่วประเทศตั้งแต่ 300,000 คนถึง 500,000 คน[67][69][86]
นอกจากนี้ ชาวจีนหลายล้านคนถูกข่มเหงอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในสมัยประจันหน้า บางคนถูกระบุว่าเป็นสายลับ, "สุนัขรับใช้", "พวกลัทธิแก้" หรือการมาจากชนชั้นที่น่าสงสัย (รวมถึงผู้ที่มีความเชื่อมโยงมาจากอดีตเจ้าที่ดินหรือชาวนาที่ร่ำรวย) พวกเขาถูกทุบตี จำคุก ข่มขืน ทรมาน การล่วงละเมิดอย่างต่อเนื่องและเหยียดหยาม การยึดทรัพย์สิน การปฏิเสธให้การรักษาพยาบาล และการลบอัตลักษณ์ทางสังคม ปัญญาชนก็ตกเป็นเป้าหมายด้วยเช่นกัน ผู้รอดชีวิตและผู้สังเกตการณ์หลายคนเล่าว่าใครก็ตามที่มีทักษะมากกว่าคนทั่วไปจะตกเป็นเป้าหมายของ "ความขัดแย้ง" ทางการเมืองในทางใดทางหนึ่ง ผู้คนอย่างน้อยหลายแสนคนถูกสังหาร ทำให้อดอยาก หรือใช้แรงงานจนตาย อีกนับล้านต้องถูกบังคับให้พลัดถิ่น คนหนุ่มสาวจากเมืองต่าง ๆ ถูกบังคับให้ย้ายไปสู่ชนบท ซึ่งพวกเขาถูกบังคับให้ละทิ้งการศึกษามาตรฐานทุกรูปแบบแทนที่ด้วยการสอนสั่งโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[55] บางคนไม่สามารถทนต่อการทรมาน และสูญเสียความหวังในอนาคต พวกเขาจึงฆ่าตัวตาย นักวิจัยเชื่อว่ามีอย่างน้อย 100,000 ถึง 200,000 คนฆ่าตัวตายในช่วงตอนต้นของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[67] หนึ่งในกรณีพยายามฆ่าตัวตายที่มีชื่อเสียงที่สุดการจากการกดขี่เติ้ง เสี่ยวผิงในทางการเมือง ลูกชายของเขาคือ เติ้ง ผู่ฟางกระโดด (หรือถูกโยน) จากอาคารสี่ชั้น หลังจากถูก "สอบสวน" โดยยุวชนแดง เขาไม่ตายแต่กลับเป็นอัมพาตครึ่งซีก
ในขณะเดียวกันมีจำนวนคดี "ไม่ยุติธรรม ความเท็จและผิดพลาด (冤假错案)" จำนวนมากเกิดขึ้นในช่วงการกวาดล้างทางการเมือง นอกจากมีผู้เสียชีวิตจากการสังหารหมู่ ก็มีผู้คนจำนวนมากต้องทุพพลภาพถาวรจากการถูกประชาฑัณฑ์หรือการข่มเหงในรูปแบบอื่น ๆ ตั้งแต่ค.ศ. 1968 ถึง 1969 "การชำระล้างระดับตำแหน่ง" เป็นการกวาดล้างทางการเมืองครั้งใหญ่ที่นำโดยเหมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 500,000 คน[86][95] มีรูปแบบการกวาดล้างที่คล้ายคลึงกันได้แก่ "การรณรงค์หนึ่งปะทะสามต่อต้าน" และการรณรงค์ "องค์ประกอบ 16 พฤษภา" ซึ่งดำเนินการภายหลังในทศวรรษที่ 1970[67][69]
ในอุบัติการณ์มองโกเลียใน ตามแหล่งข้อมูลทางการในปีค.ศ. 1980 ระบุว่าผู้คน 346,000 คน ถูกจับกุมแบบผิด ๆ มีมากกว่า 16,000 คนถูกประณามจนตายหรือถูกประหาร และมากกว่า 81,000 คนทุพพลภาพถาวร[86][96][97] แต่นักวิชาการก็ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง 20,000 ถึง 100,000 คน[86][96][97][98]
ในคดีสายลับจ้าว เจี้ยนหมินที่ยูนนาน มีประชาชนมากกว่า 1.387 ล้านคนที่เกี่ยวข้องและถูกข่มเหง ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 6 ของประชากรยูนนานในขณะนั้น[86][99] ตั้งแต่ค.ศ. 1968-1969 มีผู้คนมากกว่า 17,000 คนถูกสังหารหมู่ และกว่า 61,000 คนพิการตลอดชีวิต ในคุนหมิง เมืองหลวงของยูนนานแห่งเดียว มีประชาชน 1,473 คนถูกสังหาร และ 9,661 คนทุพพลภาพตลอดชีวิต[86][99]
ในคดีหลี่ ชูหลีที่มณฑลเหอเป่ย์ หลี่เป็นอดีตรองผู้อำนวยการฝ่ายองค์การพรรคคอมมิวนิสต์จีน ถูกกวาดล้างในปีค.ศ. 1968 และมีผู้เกี่ยวข้องกว่า 80,000 คน มีคน 2,955 คนถูกประณามจนตาย[100][101][102]
การปฏิวัติทางวัฒนธรรมได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อวัฒนธรรมและชาติพันธ์ของชนกลุ่มน้อยในจีน ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ประชาชนราว 790,000 คนถูกข่มเหงระหว่างอุบัติการณ์มองโกเลียใน มี 22,900 คนถูกทุบตีจนตาย และ 120,000 คนต้องพิการ[17]: 258 ในช่วงการล่าแม่มดเพื่อค้นหาสมาชิกของพรรคปฏิวัติประชาชนมองโกเลียในใหม่ที่ถูกกล่าวหาว่าพยายามแบ่งแยกดินแดน ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สำเนาคัมภีร์อัลกุรอานและหนังสืออื่น ๆ ของชาวอุยกูร์ถูกเผา อิหม่ามมุสลิมถูกจับแห่ไปรอบ ๆ แล้วสาดสีใส่ร่างกายของพวกเขา ในพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเกาหลีในตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ได้ถูกทำลายโรงเรียนสอนภาษา ในมณฑลยูนนาน พระราชวังของกษัตริย์ชาวไทถูกเผา และมีการสังหารหมู่ชาวมุสลิมหุย ภายใต้กองทัพปลดปล่อยประชาชนในยูนนาน เรียกว่า อุบัติการณ์ชาเตี้ยน มีรายงานว่ามีผู้คนเสียชีวิตมากกว่า 1,600 คนในปีค.ศ. 1975[103] หลังการปฏิวัติทางวัฒนธรรมสิ้นสุด รัฐบาลได้ชดใช้ในเหตุการณ์ชาเตี้ยน ด้วยการสร้างอนุสรณ์สถานผู้พลีชีพในเหตุการณ์ชาเตี้ยน[104]
สัมปทานที่มอบให้กับชนกลุ่มน้อยถูกยกเลิกในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการโจมตี "สิ่งเก่าทั้งสี่" ของยุวชนแดง คอมมูนประชาชนซึ่งเดิมจัดตั้งในพื้นที่บางส่วนของทิเบต สุดท้ายได้ถูกจัดตั้งขึ้นทั่วเขตปกครองตนเองทิเบตในปีค.ศ. 1966[105] เป็นการยกเลิกข้อยกเว้นของทิเบตในช่วงการปฏิรูปที่ดินของจีน และถูกนำกลับมาใช้ใหม่ในพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่น ๆ ผลกระทบต่อทิเบตนั้นรุนแรงเป็นพิเศษ เนื่องจากเกิดขึ้นหลังจากปราบปรามการก่อการกำเริบในทิเบต ค.ศ. 1959[106][107] มีการทำลายอารามเกือบ 6,000 แห่ง ซึ่งเริ่มขึ้นก่อนการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และมักเกิดขึ้นโดยผู้สมรู้ร่วมคิดที่เป็นยุวชนแดงชาวทิเบต[108]: 9 มีเพียงอารามแปดแห่งเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ในตอนปลายทศวรรษที่ 1970[109]
พระสงฆ์และแม่ชีหลายรูปถูกสังหาร และประชาชนทั่วไปถูกทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ[108]: 9 ในปีค.ศ. 1950 มีพระสงฆ์และแม่ชีในทิเบตประมาณ 600,000 รูป และในปีค.ศ. 1979 ส่วนใหญ่เสียชีวิตเกือบหมด บ้างก็ถูกจำคุกหรือทำให้สาบสูญ[108]: 22 รัฐบาลพลัดถิ่นทิเบตอ้างว่าชาวทิเบตจำนวนมากเสียชีวิตจากความอดอยากในช่วงปีค.ศ. 1961-1964 และ 1968-1973 เป็นผลมาจากการบังคับทำนารวม[107][110][111] อย่างไรก็ตามจำนวนผู้เสียชีวิตในทิเบตนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงว่าอาจเป็นเพราะขาดแคลนอาหารหรือสาเหตุอื่น ๆ[112][113][114] แม้จะมีการกดขี่ข่มเหงอย่างเป็นทางการ แต่ผู้นำท้องถิ่นและกลุ่มชาติพันธุ์บางส่วนก็รอดชีวิตมาได้ในพื้นที่ห่างไกล[115]
ความล้มเหลวทางเป้าหมายของยุวชนแดงและผู้นิยมการกลืนกลายทางวัฒนธรรมที่รุนแรง เกิดจากสองปัจจัย เป็นความรู้สึกที่ว่าการกดขี่ชนกลุ่มน้อยอย่างรุนแรงจะทำให้ชายแดนของจีนอ่อนกำลังลง นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากชนกลุ่มน้อยเป็นประชาชนส่วนใหญ่ที่อาศัยตามชายขอบของจีน ในช่วงหลังทศวรรษที่ 1960 จีนมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะสหภาพโซเวียตและอินเดีย เป้าหมายการปฏิวัติทางวัฒนธรรมหลายอย่างในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยนั้นไม่สมเหตุสมผลเกินกว่าจะนำไปปฏิบัติได้ การหวนคืนสู่กลุ่มพหุนิยม และจุดจบของผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรมต่อชนกลุ่มน้อยในจีน เกิดขึ้นพร้อมกับในช่วงที่หลิน เปียวถูกกำจัดออกจากอำนาจ[116]
ผลกระทบของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมทั้งทางตรงและทางอ้อมกระทบต่อประชาชนจีนทั้งหมด ระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม กิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมากถูกระงับ ด้วย "การปฏิวัติ" กลายเป็นเป้าหมายหลักชองประเทศโดยไม่ต้องถูกตั้งคำถาม แนวคิดของเหมา เจ๋อตงกลายเป็นแนวปฏิบัติหลักของทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศจีน อำนาจหน้าที่ของยุวชนแดงนั้นมีเหนือกว่ากองทัพปลดปล่อยประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นและกฎหมายทั่วไป ศิลปะและแนวคิดแบบดั้งเดิมของจีนถูกละเลยและถูกโจมตีจากสาธารณะ ด้วยแนวทางของเหมาถูกยกย่องขึ้นมาแทนที่ ประชาชนถูกกระตุ้นให้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันทางวัฒนธรรมและตั้งคำถามต่อพ่อแม่และครูอาจารย์ของตน ซึ่งเป็นประเด็นคำถามที่ถูกห้ามตั้งคำถามอย่างเข้มงวดในวัฒนธรรมจีนโบราณ
จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมได้นำกองกำลังยุวชนแดงจำนวนมากมาที่ปักกิ่ง โดยรัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด และระบบรถไฟก็ตกอยู่ในภาวะโกลาหล การปฏิวัติมุ่งหมายทำลาย "สิ่งเก่าทั้งสี่" (ได้แก่ ขนบธรรมเนียมเก่า วัฒนธรรมเก่า อุปนิสัยเก่าและความคิดเก่า) และสร้าง "สิ่งใหม่ทั้งสี่" ที่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจครอบคลุมตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อไปและการตัดผม ไปจนถึงการบุกค้นบ้าน การทำลายทรัพย์สินทางวัฒนธรรม และทำลายวัด ศาลเจ้า[20]: 61–64 ในเวลาไม่กี่ปี อาคารโบราณ สิ่งประดิษฐ์ โบราณวัตถุ หนังสือและภาพวาดนับไม่ถ้วนถูกทำลายโดยยุวชนแดง สถานะของวัฒนธรรมและสถาบันจียดั้งเดิมในประเทศได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิมหลายประการได้อ่อนแอลง
การปฏิวัติยังมุ่งกวาดล้าง "ปีศาจวัวและวิญญาณงู" ทั้งหมด กล่าวคือ ศัตรูทางชนชั้นทั้งหมดที่ส่งเสริมความคิดของชนชั้นกระฎุมพีภายในพรรค รัฐบาล กองทัพและเหล่าปัญญาชน ตลอดจนผู้ที่มาจากครอบครัวที่เอารัดเอาเปรียบ มีภูมิหลังครอบครัว หรือ เป็นผู้ที่อยู่ในหมวดหมู่กลุ่มบัญชีดำทั้งห้า ผู้คนจำนวนมากถูกมองว่าเป็น "สัตว์ประหลาดและปีศาจ" โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาเป็นผู้กระทำผิดหรือผู้บริสุทธิ์ ได้ถูกประณามให้อับอายขายหน้าและเฆี่ยนตีในที่สาธารณะ ด้วยความคลั่งการปฏิวัติ นักเรียนโดยเฉพาะยุวชนแดงได้ประณามครูอาจารย์ของตน และเด็ก ๆ ประณามพ่อแม่ของพวกเขา[20]: 59–61 หลายคนเสียชีวิตจากการถูกปฏิบัติอย่างเลวร้ายหรือฆ่าตัวตาย ในปีค.ศ. 1968 เยาวชนได้ถูกระดมพลสู่ชนบทในการเคลื่อนไหวลงสู่ชนบทเพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้จากครอบครัวชาวนา และการเคลื่อนย้ายผู้คนนับล้านออกจากเมืองต่าง ๆ ได้ช่วยยุติความรุนแรงที่สุดของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[117]: 176
นักการศึกษาและปัญญาชนถูกมองว่าเป็น "ค่านิยมเก่าทั้งเก้าที่เน่าเหม็น" และถูกกวาดล้างจำนวนมาก[118] หลายคนถูกส่งไปยังค่ายแรงงานตามชนบทเช่น โรงเรียนนายร้อยเจ็ดพฤษภาคม ตามเอกสารทางการในการดำเนินคดีกับแก๊งออฟโฟร์ ระบุว่ามีการกวาดล้างผู้ปฏิบัติงานและครูอาจารย์ 142,000 คน ในแวดวงการศึกษา และนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ นักการศึกษาเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ได้แก่ สง ชิ่งหลาย, เจี่ยน โป๋ซ่าน, อู๋ หาน, เหรา ยู่ไท่, อู้ ติ้งเหลียง, เหยา ถงปินและจ้าว จิ่วจาง[119] ในปีค.ศ. 1968 มีสมาชิกระดับอาวุโว 171 คนที่ทำงานในสถาบันวิทยาศาสตร์จีนส่วนกลางในปักกิ่ง จำนวน 131 คนในนั้นถูกกวาดกล้าง และในบรรดาสมาชิกสถาบันการศึกษาในประเทศจีน มีกว่า 229 คนที่ถูกประณามจนตาย[120] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1971 มีผู้ปฏิบัติงานกว่า 4,000 คนในสถาบันนิวเคลียร์มณฑลชิงไห่ถูกกวาดล้าง มากกว่า 310 คนต้องพิการถาวร คนมากกว่า 40 คนฆ่าตัวตายและอีก 5 คนถูกประหารชีวิต[121][122] อย่างไรก็ตาม ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม นักวิทยาศาสตร์จีนยังคงประสบความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธลูกแรก สามารถสร้างอาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์ครั้งแรกและส่งดาวเทียมดวงแรกขึ้นไปอวกาศตามโครงการสองระเบิด หนึ่งดาวเทียม[123]
การปฏิวัติทางวัฒนธรรมทำให้ระบบการศึกษาจีนต้องหยุดชะงักไปเวลานาน ในช่วงเดือนแรก ๆ ของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม โรงเรียนและมหาวิทยาลัยถูกสั่งปิด โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมตอนต้นค่อย ๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง แต่วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั้งหมดถูกปิดจนถึงปีค.ศ. 1970 และมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่เปิดอีกเลยจนถึงค.ศ. 1972[124]: 164 เกาเข่า หรือ การสอบคัดเลือกระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ถูกยกเลิกหลังปีค.ศ. 1966 แทนที่ด้วยระบบนักศึกษาที่ได้รับแนะนำมาจากโรงงาน หมู่บ้านและหน่วยทหาร และไม่มีการสอบระดับอุดมศึกษาอีกเลยจนกระทั่งในปีค.ศ. 1977 มีการฟื้นฟูภายใต้เติ้ง เสี่ยวผิง ค่านิยมการศึกษาแบบดั้งเดิมถูกละทิ้ง[20]: 195 ในระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม การศึกษาขั้นพื้นฐานถูกย้ำความสำคัญและมีการขยายอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ปีการศึกษาลดลงและมาตรฐานการศึกษาลดลง สัดส่วนเยาวชนจีนที่สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาเพิ่มขึ้น จากที่ก่อนการปฏิวัติมีน้อยกว่าครึ่ง แต่หลังปฏิวัติมีเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมด และผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากมัธยมต้นเพิ่มขึ้นจาก 15% เกินกว่าสองในสาม โอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กในชนบทขยายตัวอย่างมาก ในขณะที่เด็กชนชั้นสูงในเมืองถูกจำกัดจากนโยบายต่อต้านกลุ่มชนชั้นนำ[124]: 166–67
ในปีค.ศ. 1968 พรรคคอมมิวนิสต์ประกาศนโยบายการเคลื่อนไหวลงสู่ชนบท ที่มีนโยบาย "ให้การศึกษาเยาวชน" ในเขตเมืองถูกส่งไปอาศัยและทำงานในพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อให้ได้รับการศึกษาใหม่จากชาวนา และเพื่อให้เข้าใจบทบาทของการใช้แรงงานของชาวนาในสังคมจีนมากขึ้น ในระยะแรกเยาวชนที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร แต่ในเวลาต่อมารัฐบาลใช้วิธีบังคับคนให้ย้ายออกไป ในช่วงปีค.ศ. 1968 - 1979 เยาวชนในเขตเมืองของจีน 17 ล้านคนต้องเดินทางไปยังชนบทและการอยู่ในชนบททำให้ขาดโอกาสศึกษาในระดับอุดมศึกษา[117]: 10 ประชาชนทั้งรุ่นต้องทรมานและได้รับการศึกษาที่ไม่เพียงพอ ซึ่งมักถูกเรียกว่า "รุ่นที่สูญหาย" ทั้งในจีนและตะวันตก[20][125][126] ในสมัยหลังเหมา ผู้ที่ถูกบังคับเคลื่อนย้ายหลายคนโจมตีว่านโยบายนี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง[127]: 36
แต่ผลกระทบของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมที่มีต่อการศึกษาที่เข้าถึงได้นั้นมีความแตกต่างกันไปตามภูมิภาค แต่ก็ไม่ได้มีการวัดค่าอัตราการรู้หนังสืออย่างเป็นทางการจนถึงทศวรรษที่ 1980[128] บางเขตอย่างจ้านเจียงมีอัตราการไม่รู้หนังสือสูงถึง 41% ในช่วง 20 ปีหลังการปฏิวัติ ผู้นำของจีนในขณะนั้นปฏิเสธว่ามีปัญหาหารไม่รู้หนังสือตั้งแต่แรก ผลกระทบนี้ขยายออกไปจากการกำจัดครูที่มีคุณสมบัติ หลายเขตจำต้องพึ่งพานักเรียนที่ถูกเลือกมาเพื่อให้ความรู้แก่รุ่นน้องในรุ่นต่อไป[128] แม้ว่าผลกระทบของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมจะสร้างความหายนะแก่คนนับล้านในประเทศจีน แต่ก็มีผลลัพธ์เชิงบวกต่อประชากรบางกลุ่มในพื้นที่ชนบท เช่น ความวุ่นวายของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมและความเป็นปรปักษ์ต่อปัญญาชนชนชั้นนำได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง อันเป็นการทำลายคุณภาพการศึกษาในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนปลายสุดของระบอบการศึกษาที่ได้รับผลกระทบ แต่นโยบายที่สุดโต่งได้ช่วยเหลือชุมชนชนบทจำนวนมากให้ได้รับการศึกษาระดับมัธยมต้นครั้งแรก ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกในการพัฒนาเศรษฐกิจชนบทในยุคทศวรรษที่ 70 และ 80[124]: 163 ในทำนองเดียวกัน บุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากถูกส่งไปยังชนบทในฐานะหมอเท้าเปล่าช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เกษตรกรบางคนได้รับการฝึกอบรมทางการแพทย์อย่างไม่เป็นทางการ และมีการจัดตั้งสถานีอนามัยในชุมชนชนบท[129]
ตามรายงานของเส้าหรง หวง มองว่า ข้อเท็จจริงที่ทำให้เกิดการปฏิวัติทางวัฒนธรรมที่สร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อสังคมจีนนั้นเป็นผลมาจากการใช้คำขวัญทางการเมืองอย่างกว้างขวาง[130] ตามทัศนคติของหวง มองว่า วาทศาสตร์มีส่วนสำคัญในการปลุกระดมการชุมนุมของทั้งผู้นำพรรคและประชาชนโดยรวมในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ยกตัวอย่างเช่น คำขวัญ "การกบฏนั้นเป็นธรรม" (造反有理; เจ้าฝ่านโหยวหลี่) กลายเป็นเรื่องที่ถูกรวมกันเป็นสิ่งเดียว[130]
หวงยืนยันว่าคำขวัญทางการเมืองมีอยู่ทุกหนทุกแห่งในชีวิตของผู้คน โดยถูกพิมพ์ลงบนสิ่งของใช้ประจำวัน เช่น ตั๋วรถโดยสาร ซองบุหรี่ และโต๊ะกระจก[127]: 14 แรงงานควรจะ"เข้าใจการปฏิวัติและกระตุ้นการผลิต" ในขณะที่ชาวนาควรเลี้ยงหมูเพิ่มขึ้น "สุกรมากขึ้นก็หมายถึงปุ๋ยมากขึ้น และปุ๋ยมากขึ้นก็หมายถึงพันธุ์พืชมากขึ้น" แม้แต่คำพูดทั่ว ๆ ไปของเหมาที่ว่า "มันเทศอร่อยดี ฉันชอบ" ได้กลายเป็นคำขวัญที่แพร่หลายในชนบท[130]
คำขวัญทางการเมืองในสมัยนั้นมีที่มาจาก 3 แหล่ง ได้แก่ ตัวเหมาเอง และสื่อทางการของพรรคอย่างหนังสือพิมพ์ เหรินหมินรื่อเป้า และยุวชนแดง[130] เหมามักจะมีคำกล่าวที่คลุมเครือแต่ก็ทรงพลังซึ่งนำไปสู่การแบ่งเป็นฝักฝ่ายของยุวชนแดง[131] คำสั่งเหล่านี้สามารถถูกตีความเพื่อเข้าข้างความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละคนด้วย ในทางกลับกันก็ช่วยสร้างให้เป้าหมายของแต่ละกลุ่มมีความจงรักภักดีต่อเหมา เจ๋อตง คำขวัญของยุวชนแดงมักมีลักษณะที่รุนแรงที่สุด เช่น "ทุ่มศัตรูลงบนพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบย่ำเขา", "ความน่าสะพรึงกลัวแดงจงเจริญ!" และ "พวกที่ต่อต้านท่านประธานเหมาจักต้องถูกบดขยี้ให้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย"[130]
นักจีนวิทยาอย่าง โลแวลล์ ดิตเมอร์และเฉิน โร่วสี ชี้ให้เห็นว่าภาษาจีนในประวัติศาสตร์มีความละเอียดอ่อน ความอ่อนช้อย ความพอเหมาะและความซื่อสัตย์ ตลอดจน "การปลูกฝังรูปแบบทางวรรณกรรมที่ปราณีตและสง่างาม"[132] สิ่งนี้ถูกเปลี่ยนแปลงไประหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เนื่องจากเหมาต้องการให้กองทัพของผู้ก้าวร้าวทำสงครามครูเสดของเขา วาทศาสตร์ในช่วงนั้นจึงถูกลดทอนให้เป็นคำศัพท์ที่มีความรุนแรงและแข็งข้อ[130] คำขวัญเหล่านี้เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในวิธี "ปฏิรูปทางความคิด" ซึ่งระดมคนนับล้านร่วมมือกันโจมตีโลกอัตนัย "ในขณะเดียวกันก็ปฏิรูปโลกแห่งวัตถุประสงค์ของพวกเขา"[130][132]: 12
ดิตเมอร์และเฉิน โต้แย้งว่าการมุ่งเน้นที่การเมืองทำให้ภาษาเป็นรูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ "ได้เปลี่ยนภาษาดังกล่าวให้กลายเป็นศัพท์แสงของแบบแผนที่ - โอ้อวด ซ้ำซากและน่าเบื่อ"[132]: 12 เพื่อให้ห่างไกลจากยุคสมัยนั้น รัฐบาลเติ้ง เสี่ยวผิงจึงลดการใช้คำขวัญทางการเมืองลงอย่างมาก การปฏิบัติตามคำขวัญปรากฏฟื้นตัวให้เห็นเพียงเล็กน้อยในช่วงหลังทศวรรษที่ 1990 ภายใต้เจียง เจ๋อหมิน
ก่อนการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในช่วงปีค.ศ. 1958 - 1966 โรงละครกลายเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมือง เนื่องจากมีการใช้บทละครเพื่อวิพากษ์วิจารณ์หรือสมาชิกพรรคโดยเฉพาะ อุปรากรของอู๋ หาน ในเรื่อง ไห่ รุ่ยถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ถูกตีความว่าแฝงไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์เหมา ทำให้เกิดการโจมตีอุปรากรของเหยา เหวินหยวน และการโจมตีนี้เป็นการเปิดฉากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[133] นำมาซึ่งการกวาดล้างและการตายของอู๋ หาน รวมถึงผู้เกี่ยวข้องกับโรงละคร เช่น เถียน ฮั่น, ซุน เหวยซื่อ และโจว ซิ่นฟาง[134][135]
ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เจียง ชิงเข้าควบคุมละครเวทีและแนะนำรูปแบบอุปรากรเชิงปฏิวัติภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของเธอ อุปรากรแบบดั้งเดิมถูกสั่งห้ามเนื่องจากถูกมองว่าเป็นกลไกของระบอบศักดินาและชนชั้นกระฎุมพี แต่อุปรากรปฏิวัตินั้นมีพื้นฐานมาจากจิงจฺวี่ หรืออุปรากรเมืองหลวงที่มีการดัดแปลงทั้งรูปแบบและเนื้อหาแล้ว[20]: 115 รูปแบบละครทั้งแปด (อุปรากร 6 แบบและบัลเล่ต์ 2 แบบ) เริ่มในปีค.ศ. 1967 อุปรากรที่โดดเด่นที่สุดคือเรื่อง ตำนานโคมแดง อุปรากรเหล่านี้เป็นรูปแบบที่ได้รับการอนุมัติ ส่วนคณะละครอื่น ๆ ต้องน้อมรับหรือปรับเปลี่ยนละครของพวกเขา[117]: 176 นอกจากนี้อุปรากรต้นแบบยังออกอากาศทางสถานีวิทยุ สร้างเป็นภาพยนตร์ เผยแพร่ผ่านเสียงตามสายสาธารณะ สอนนักเรียนในโรงเรียนและแรงงานในโรงงาน และกลายเป็นบันเทิงยอดนิยมที่แพร่หลายและเป็นการแสดงละครเวทีเรื่องเดียวให้ผู้คนนับล้านในประเทศจีนรับชม[34]: 352–53 [20]: 115
ในปีค.ศ. 1966 เจียง ชิงได้เสนอทฤษฎีเผด็จการเส้นสีดำในวรรณกรรมและศิลปะ โดยบรรดาที่ถูกมองว่าเป็นชนชั้นกระฎุมพี พวกต่อต้านสังคมนิยม หรือต่อต้านเหมา ควรละทิ้ง "เส้นสีดำ" และออกมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่แก่วรรณกรรมและศิลปะ[34]: 352–53 นักเขียน จิตรกรและปัญญาชนที่เป็นผู้รับและเผยแพร่ "วัฒนธรรมเก่า" จะถูกกำจัดให้หมดสิ้นไป นักเขียนและจิตรกรส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็น "บุคคลแนวเส้นสีดำ" และ "บัณฑิตเชิงปฏิกิริยา" จึงถูกข่มเหง หลายคนถูก "วิพากษ์วิจารณ์และประณาม" ซึ่งพวกเขาอาจถูกดูหมิ่นและปล้นสะมในที่สาธารณะ และอาจถูกจำคุกหรือถูกส่งไปปฏิรูปด้วยการใช้แรงงานหนัก[136]: 213–14 ตัวอย่างเช่น เหมย จื้อและสามีของเธอถูกส่งไปทำงานไร่ชาในเขตลู่ซาน, เสฉวน และเธอไม่ได้กลับมาเขียนหนังสือต่ออีกเลยจนทศวรรษที่ 1980[137]
เอกสารเผยแพร่ในปีค.ศ. 1980 เกี่ยวกับการกวาดล้างที่ดำเนินคดีโดยแก๊งออฟโฟร์แสดงให้เห็นว่ามีผู้คนมากกว่า 2,600 คนในแวดวงศิลปะและวรรณกรรมถูกกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานภายใต้กระทรวงข่มเหง[119] หลายคนเสียชีวิตด้วยความเจ็บปวดปละความอับอายจากการถูกประณาม มีชื่อของนักเขียนและจิตรกรที่มีชื่อเสียงกว่า 200 คน ที่ถูกกวาดล้างจนตายในระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม พวกเข้าได้รับการระลึกถึงในปีค.ศ. 1979 นักเขียนเหล่านั้น ได้แก่ เหลา เฉ่อ, ฟู่ เหลย, เติ้ง ตั้ว, ปาเหริน, หลี ก่วงเถียน, หยาว โซ่วและเจ้า ชู่หลี่[136]: 213–14
ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมมีนักเขียนเพียงไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาต หรือ มีคุณสมบัติภายใต้ระบอบใหม่ เช่น ห้าว หรานและนักเขียนบางคนที่มีภูมิหลังกรรมกรหรือชาวนา เท่านั้นที่สามารถตีพิมพ์หรือพิมพ์ซ้ำงานของพวกเขาได้ มีการกำหนดหัวข้อการเขียนที่ได้รับอนุญาตตามหลักวรรณกรรมชนชั้นกรรมาชีพและสังคมนิยมอย่างเข้มงวด และวารสารวรรณกรรมในประเทศถูกหยุดตีพิมพ์ทั้งหมดในปีค.ศ. 1968 สถานการณ์คลี่คลายลงหลังค.ศ. 1972 นักเขียนได้รับอนุญาตให้เขียนงานมากขึ้น และวารสารวรรณกรรมประจำมณฑลหลายแห่งได้กลับมาตีพิมพ์อีกครั้ง แต่นักเขียนส่วนใหญ่ยังคงไม่สามารถทำงานได้[136]: 219–20
ผลกระทบเกิดคล้ายคลึงกันในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ มีการแจกจ่ายหนังสือเล่มเล็กชื่อ "ภาพยนตร์ 400 เรื่องที่ถูกวิจารณ์" และผู้กำกับภาพยนตร์ นักแสดงชายและหญิงที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ถูกทรมานและจับขัง[34]: 401–02 คนกลุ่มนี้รวมถึงศัตรูของเจียง ชิงและอดีตเพื่อนในวงการภาพยนตร์ของเธอที่เสียชีวิตในช่วงนี้ ได้แก่ ไช่ ฉู่เซิง, เจิ้ง จฺวินหลี่, ซ่างกวน ยหวินจู, หวัง อิ๋ง และสฺวี หลาย[138] ไม่มีการผลิตภาพยนตร์ที่โดดเด่นในจีนแผ่นดินใหญ่เป็นเวลาเจ็ดปี ยกเว้น "ละครตามรูปแบบ" ที่ได้รับการอนุมัติเพียงไม่กี่เรื่องและเป็นภาพยนตร์ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองสูง[139] ตัวอย่างสำคัญของภาพยนตร์จำนวนหนึ่งที่มีการสร้างและได้รับอนุญาตให้แสดงในช่วงเวลานี้คือ ยุทธการยึดผาพยัคฆ์[140][141]
หลังจากคอมมิวนิสต์ยึดครองประเทศจีน ดนตรียอดนิยมจากเซี่ยงไฮ้ส่วนใหญ่ถูกประณามว่าเป็น Yellow music และถูกสั่งห้าม และในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม นักแต่งเพลงผู้ได้รับความนิยมอย่าง หลี จิ่นฮุยก็ถูกกวาดล้าง[142] ส่วนเพลงแนวปฏิวัติกลับได้รับการส่งเสริมขึ้นมาแทนที่เช่น "แผ่นดินแห่งบรรพชน", "การเดินเรือทะเลขึ้นอยู่กับนายท้าย" และ "บูรพาแดง", "ถ้าไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์ ก็ไม่มีจีนใหม่" ทั้งหมดถูกเขียนและได้รับความนิยมในช่วงเวลานี้ "บูรพาแดง" ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ถูกนำมาใช้แทนเพลงเดินขบวนทหารกล้าและทรงธรรม โดยพฤตินัย ในฐานะเพลงชาติจีน แม้ว่าจะมีการกำหนดให้เพลงเดินขบวนทหารกล้าและทรงธรรม กลับมาใช้ดังเดิมหลังสิ้นสุดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม
ภาพที่ยืนยงที่สุดของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมบางส่วนมาจากภาพโปสเตอร์ศิลปะ ศิลปะโฆษณาชวนเชื่อตามโปสเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรณรงค์และเครื่องมือสื่อสารมวลชน และทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลชั้นนำของประชาชน มีการผลิตสิ่งนี้จำนวนมากและเผยแพร่อย่างกว้างขวาง และถูกนำมาใช้โดยรัฐบาล ยุวชนแดงในการให้ความรู้แก่สาธารณชนถึงคุณค่าทางอุดมการณ์ตามที่พรรคของรัฐกำหนด[143] มีภาพโปสเตอร์หลากหลายรูปแบบ สองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ภาพโปสเตอร์ขนาดใหญ่ (大字报; dazibao) และ ภาพโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อ "เชิงพาณิชย์" (宣传画; xuanchuanhua)[144]: 7–12
"ต้าจื้อเป้า" จะเป็นคำขวัญ บทกวี คำวิจารณ์และภาพวาดที่ถูกสร้างและติดบนผนังที่สาธารณะ โรงงานและคอมมูน ของพวกนี้มีความสำคัญต่อการต่อสู้ของเหมาในการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และเหมาเองก็เขียนต้าจื้อเป้าของเขาเองที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งในวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1966 เพื่อเรียกร้องประชาชนให้ "ถล่มกองบัญชาการ"[144]: 5
"ซวนฉวนฮั่ว" เป็นงานศิลปะที่ผลิตโดยรัฐบาลและขายในราคาถูกตามร้านค้าเพื่อให้ติดแสดงที่บ้านหรือสถานที่ทำงาน ศิลปินของงานประเภทนี้อาจเป็นมือสมัครเล่นหรือมืออาชีพแต่ไม่มีชื่อเสียง และโปสเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นภาพแนวสัจนิยมสังคมนิยมที่มีธรรมเนียมปฏิบัติบางประการ เช่น ภาพของประธานเหมาต้องแสดงเป็น "สีแดง, เรียบ และเรืองแสง"[144]: 7–12 [145]: 360
รูปแบบงานศิลปะดั้งเดิมถูกกีดกันจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และจิตรกรอย่าง เฟิง จื่อไข่, สือ หลู่และพัง เทียนโซ่วได้ถูกกวาดล้าง[117]: 97 จิตรกรส่วนใหย่ถูกส่งไปใช้แรงงาน และถูกสั่งให้วาดภาพยกย่องการปฏิวัติทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการที่ตนถูกนำมาใช้แรงงาน[145]: 351–52 ในปีค.ศ. 1971 เพื่อบรรเทาจากความยากลำบาก จิตรกรหลายคนถูกเรียกตัวกลับจากการใช้แรงงาน หรือถูกปล่อยจากที่คุมขัง โดยเป็นแนวคิดริเริ่มของโจว เอินไหล เพื่อให้มาดำเนินการตกแต่งสถานีรถไฟและโรงแรมที่ถูกทำลายโดยยุวชนแดง โจวกล่าวว่างานศิลปะเหล่านี้มีไว้สำหรับชาวต่างชาติ ดังนั้นศิลปะ "ภายนอก" จึงไม่อยู่ภายใต้ภาระผูกผันของศิลปะ "ภายใน" ที่ไว้แสดงแก่พลเมืองชาวจีนเท่านั้น สำหรับตัวเขาเองมองว่า ภาพวาดวิวทิวทัศน์ไม่ควรถูกจำแนกว่าเป็น "สิ่งเก่าทั้งสี่" แต่โจวก็ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง และในปีค.ศ. 1974 เจียง ชิงได้ยึดภาพวาดเหล่านี้ และภาพเขียนอื่น ๆ รวมถึงนิทรรศการที่จัดในกรุงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเมืองอื่น ๆ โดยประณามว่าเป็น "ภาพวาดดำ"[145]: 368–76
โบราณสถาน โบราณวัตถุและหอจดหมายเหตุของจีนได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง เนื่องจากเชื่อว่าเป็นรากเหง้าของ "วิธีคิดแบบเก่า" วัตถุโบราณถูกยึด พิพิธภัณฑ์และบ้านเรือนถูกปล้นสะดม และสิ่งของใด ๆ ที่ถูกพบและถูกคิดว่าเป็นภาพแทนของชนชั้นกระฎุมพีหรือศักดินาจะถูกทำลาย มีบันทึกเพียงไม่กี่ฉบับที่บันทึกว่าสิ่งของเหล่านี้ถูกทำลายไปมากน้อยเพียงใด ผู้สังเกตการณ์ชาวตะวันตกตั้งข้อสังเกตว่า ประวัติศาสตร์หลายพันปีของจีนโดยส่วนใหญ่ถูกทำลายลง หรืออาจถูกลักลอบนำไปขายต่างประเทศ ในช่วงสิบปีอันสั้น ๆ ของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม นักประวัติศาสตร์จีนเปรียบเทียบการปราบปรามทางวัฒนธรรมเหมือนกับยุคเผาตำรา ฝังบัณฑิตของจิ๋นซีฮ่องเต้ การกดขี่ข่มเหงทางศาสนาเกิดขึ้นอย่างมากในช่วงเวลานี้ อันเป็นผลมาจากการที่ศาสนาถูกมองว่าเป็นปรปักษ์กับแนวคิดลัทธิมากซ์-เลนินและเหมา[34]: 73
แม้ว่าการดำเนินการจะกระทำโดยนักปฏิวัติทางวัฒนธรรมบางคน แต่นโยบายการทำลายศิลปวัตถุทางประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1967 คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้เผยแพร่เอกสารชื่อ ข้อเสนอแนะหลายประการในการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมและหนังสือในระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[127]: 21 ถึงกระนั้นมรดกทางวัฒนธรรมจีนได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เช่น จากการสำรวจในปีค.ศ. 1972 ณ กรุงปักกิ่ง มีการสำรวจมรดกทางวัฒนธรรมจุดสำคัญ 18 แห่ง รวมทั้งหอสักการะฟ้าและสุสานหลวงราชวงศ์หมิง แสดงให้เห็นถึงความเสียหายอย่างกว้างขวาง มีมรดกทางวัฒนธรรม 80 แห่งอยู่ภายใต้การดูแลของเทศบาลนคร มีมรดกถูกทำลาย 30 แห่ง และจากมรดกทางวัฒนธรรม 6,843 แห่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลปักกิ่งในปีค.ศ. 1958 ปรากฏว่ามีมรดก 4,922 แห่งได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย[146] หนังสือเก่าที่มีคุณค่า ภาพวาด และโบราณวัตถุอื่น ๆ มากมายถูกเผาทำลายเป็นเถ้าถ่าน[147]: 98
การขุดค้นและการรักษาทางโบราณคดีในยุคหลังการทำลายล้างในทศวรรษที่ 1960 ได้รับการคุ้มครอง และมีการค้นพบที่สำคัญเช่น กองทัพทหารดินเผาและหม่าหวังตุย ซึ่งค้นพบในช่วงจุดสูงสุดของการปฏิวัติ[127]: 21 อย่างไรก็ตามสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของงานวิจัยทางโบราณคดี คือ วารสารเขากู่ ไม่ได้ถูกทำลายในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[148] หลังจากช่วงรุนแรงของทศวรรษที่ 1960 สิ้นสุดลง การโจมตีวัฒนธรรมดั้งเดิมยังคงดำเนินต่อไปในปีค.ศ. 1973 ด้วยนโยบาย การต่อต้านหลิน เปียว การต่อต้านขงจื๊อ เป็นส่วนสำคัญในการต่อต้านพวกสายกลางภายในพรรค
ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ส่งออก "การปฏิวัติคอมมิวนิสต์" รวมทั้งอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ไปยังหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เวียดนาม, ลาว, เมียนมาร์และโดยเฉพาะในเขมรแดงซึ่งมีบทบาทสำคัญในการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวเขมร[149][150] มีการประมาณการว่าความช่วยเหลือจากต่างประเทศแก่เขมรแดงอย่างน้อย 90% นั้นมาจากจีน โดยในปีค.ศ. 1975 เพียงปีเดียวมีความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจีนมีเงินทุนมอบให้เพิ่มเติม 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ[151]
ในบรรดากว่า 40 ประเทศที่ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตหรือมีความสัมพันธ์กึ่งการทูตกับจีนในขณะนั้น ประมาณ 30 ประเทศได้เกิดข้อพิพาทกับจีน บางประเทศถึงกับยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ได้แก่ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, กานาและอินโดนีเซีย[150]
เพื่อทำความเข้าใจความโกลาหลที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรมที่นำโดยเหมา ในขณะที่เขากำลังรักษาอำนาจและความชอบธรรมในพรรค ผู้สืบทอดของเหมาจำเป็นต้องใช้เหตุการณ์นี้เป็นการตัดสินทางประวัติศาสตร์ "อย่างเหมาะสม" ในวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1981 คณะกรรมการกลางได้รับรอง "ทางแก้ปัญหาที่แน่นอนในประวัติศาสตร์พรรคของพวกเรานับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน" ซึ่งเป็นการประเมินถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ค.ศ. 1949[155]
มติแก้ปัญหาระบุอย่างตรงไปตรงมาถึงบทบาทของเหมาที่เป็นผู้นำการเคลื่อนไหว โดยระบุว่า "เป็นความรับผิดชอบหลักสำหรับความผิดพลาดของ 'ฝ่ายซ้าย' ที่ร้ายแรงของ 'การปฏิวัติทางวัฒนธรรม' เป็นความผิดพลาดที่ครอบคลุมทั้งด้านขนาดและความยืดเยื้อ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นความคิดของสหายเหมา เจ๋อตง" มันมีการทำให้ความผิดของเหมาเบาบางลงโดยมีการใช้กลุ่มขบวนการ "ที่ถูกควบคุมโดยพวกฝ่ายต่อต้านปฏิวัติของหลิน เปียวและเจียง ชิง" ซึ่งก่อให้เกิดสิ่งเลวร้ายที่สุด มติดังกล่าวยืนยันว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรม "นำหายนะและความวุ่นวายร้ายแรงมาสู่พรรคคอมมิวนิสต์และประชาชนจีน"[155]
ในมุมมองอย่างเป็นทางการมีจุดประสงค์เพื่อแยกการกระทำของเหมาระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรมแยกออกจากกิจกรรม "วีรบุรุษ" การปฏิวัติของเขาในช่วงสงครามกลางเมืองจีนและสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง นอกจากนี้ยังแยกความผิดพลาดส่วนตัวของเหมาออกจากความถูกต้องตามทฤษฎีที่เขาสร้างขึ้น ไปจนถึงการหาเหตุผลมาสนับสนุนว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรมนั้นขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของเหมา ซึ่งแนวคิดของเขายังคงเป็นอุดมการณ์ทางการของพรรค เติ้ง เสี่ยวผิงสรุปด้วยวลีที่มีชื่อเสียงว่า "เหมาดี 70% แย่ 30%"[156] หลังจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เติ้งยืนยันว่าอุดมการณ์ลัทธิเหมาเป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จของการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ แต่ในทางปฏิบัติเขากลับละทิ้งแนวคิดนี้เพื่อหันไปใช้ "สังคมนิยมที่มีลักษณะแบบจีน" ซึ่งเป็นรูปแบบเศรษฐกิจตลาดที่กำกับโดยรัฐ อันมีความแตกต่างจากเหมามาก
ในจีนแผ่นดินใหญ่ มุมมองอย่างเป็นทางการของพรรคเป็นกรอบที่สำคัญสำหรับประวัติศาสตร์นิพนธ์จีนในยุคนั้น มุมมองทางเลือกอื่น ๆ (ข้างล่าง) ไม่ได้รับการสนับสนุน หลังการปฏิวัติทางวัฒนธรรม มีวรรณกรรมประเภทใหม่ถูกเรียกว่า "วรรณกรรมบาดแผล" (Shanghen Wenxue) เกิดขึ้นมา และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลยุคหลังเหมา เขียนขึ้นโดยคนวัยหนุ่มที่มีการศึกษา เช่น หลิว ซินหัว, จาง เสียนเลี่ยงและหลิว ซินหวู่ วรรณกรรมบาดแผลสร้างมุมมองเชิงลบต่อการปฏิวัติ โดยใช้มุมมองและประสบการณ์ของตนเองเป็นพื้นฐาน[127]: 32
หลังจากปราบปรามการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ทั้งฝ่ายเสรีนิยมและฝ่ายอนุรักษ์นิยมภายในพรรค ได้กล่าวหากันและกันกันว่ากระทำกินกว่าเหตุ พวกเขาอ้างว่าเป็นการย้ำเตือนถึงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม หลี่ เผิงสนับสนุนการใช้กำลังทหาร เขากล่าวว่า การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษาได้รับแรงบันดาลใจมาจากประชานิยมระดับรากหญ้าของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และหากปล่อยไว้โดยไม่มีการตรวจสอบ ก็จะนำไปสู่ความโกลาหลในระดับเดียวกัน[157] จ้าว จื่อหยางเห็นอกเห็นใจผู้ประท้วง ภายหลังเขากล่าวหาฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของเขาว่า การถอดเขาออกจากตำแหน่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยใช้กลวิธี "รูปแบบการปฏิวัติทางวัฒนธรรม" รวมถึง "ย้อมขาวเป็นดำ ย้อมดำเป็นขาว การพูดโอ้อวดส่วนตัวเกินจริง การพูดนอกบริบท การว่าร้ายและโกหก... เต็มหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยบทความวิพากษ์วิจารณ์ทำให้ข้าพเจ้าต้องกลายเป็นศัตรู และไม่เคารพเสรีภาพส่วนตัวของข้าพเจ้า"[158]
แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะประณามการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีประชาชนจีนจำนวนมาที่มีความคิดเห็นเชิงบวกต่อเหตุการณ์นี้ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นแรงงานที่รับประโยชน์สูงสุดจากนโยบายนี้ [127] นับตั้งแต่เติ้งขึ้นสู่อำนาจ รัฐบาลได้จับกุมและคุมขังผู้ที่มีจุดยืนสนับสนุนการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น ในปีค.ศ. 1985 คนงานโรงงานรองเท้าวัยหนุ่มคนหนึ่งติดโปสเตอร์บนผนังโรงงานในเมืองเสียนหยาง มณฑลฉ่านซี ซึ่งประกาศว่า "การปฏิวัติทางวัฒนธรรมนั้นดี" และนำไปสู่ความสำเร็จเช่น "การก่อสร้างสะพานหนานจิงแยงซี, การคิดค้นข้าวพันธุ์ผสม และการสร้างจิตสำนึกของประชาชน" ในทีสุดแรงงานโรงงานรายนี้ถูกตัดสินจำคุกสิบปี ซึ่งเขาเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน "โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน"[127]: 46–47
หนึ่งในผู้นำนักศึกษาในการประท้วงเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 เสิ่น ถง ผู้เขียนหนังสือ เกือบปฏิวัติ มีมุมมองเชิงบวกบางแง่มุมต่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เสิ่นชี้ว่าจุดเริ่มต้นของการประท้วงที่เทียนอันเหมินอันโด่งดังในปีค.ศ. 1989 นั่นคือการใช้โปสเตอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการอภิปรายสาธารณะทางการเมืองในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เสิ่นตั้งข้อสังเกตว่าการชุมนุมของนักเรียนนักศึกษาจากทั่วประเทศมายังปักกิ่งด้วยทางรถไฟและการต้อนรับจากผู้พักอาศัย ทำให้เขาหวนนึกถึงประสบการณ์ของยุวชนแดงในการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[12]
นับตั้งแต่การถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ต ผู้คนทั้งในและนอกประเทศจีนได้โต้เถียงกันทางออนไลน์ว่า การปฏิวัติทางวัฒนธรรมมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์มากมายต่อประเทศจีน ซึ่งถูกปฏิเสธทั้งจากพรรคคอมมิวนิสต์ยุคหลังเหมาและสื่อตะวันตก บางคนเชื่อว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรม "ชำระล้าง" ประเทศจีนจากความเชื่อโชคลาง ความเชื่อทางศาสนาและประเพณีที่ล้าสมัยใน "การเปลี่ยนแปลงสู่ความทันสมัย" ซึ่งทำให้การปฏิรูปทางเศรษฐกิจของเติ้งเป็นไปได้ในเวลาต่อมา ความรู้สึกเหล่านี้เพิ่มขึ้นหลังจากสหรัฐอเมริกาวางระเบิดสถานทูตจีนในเบลเกรดในปีค.ศ. 1999 เมื่อประชาชนกลุ่มหนึ่งเริ่มเชื่อมโยงมุมมองต่อต้านลัทธิเหมากับสหรัฐอเมริกา[127]: 117
ฝ่ายซ้ายใหม่จีนมีการจัดระเบียบกันมากขึ้นในสมัยอินเทอร์เน็ต ส่วนหนึ่งเป็นการตอบสนองต่อคำวิพากษ์วิจารณ์เหมาซึ่งมาจากนักวิชาการและปัญญาชน เว็บไซต์ลัทธิเหมารายหนึ่งสามารถรวบรวมรายชื่อนับพันที่เรียกร้องให้มีการลงโทษผู้วิพากษ์วิจารณ์เหมาในที่สาธารณะ นอกจากการเรียกร้องให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย การเคลื่อนไหวนี้ยังเรียกร้องให้จัดตั้งหน่วยงานที่คล้ายคลึงกับ "คณะกรรมการเพื่อนบ้าน" ในช่วงยุคการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่ง "พลเมือง" จะรายงานการต่อต้านลัทธิเหมาต่อสำนักงานความมั่นคงสาธารณะในท้องถิ่น สำนวนโวหารและวิธีการระดมพลของเหมาได้รับการฟื้นคืนภายในเมืองฉงชิ่งในช่วงการดำรงตำแหน่งของป๋อ ซีไหล[159]
การอภิปรายสาธารณะเกี่ยวกับการปฏิวัติทางวัฒนธรรมยังคงมีอยู่อย่างจำกัดในจีน รัฐบาลจีนยังคงห้ามไม่ให้สื่อมวลชนพูดถึงรายละเอียดของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม การสนทนาออนไลน์และหนังสือเกี่ยวกับประเด็นนี้ต้องได้รับการตรวจสอบจากทางการ ตำราเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังคงปฏิบัติตาม "มุมมองทางการ" ของเหตุการณ์นี้ เอกสารของรัฐบาลหลายฉบับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เป็นต้นไป ยังคงถูกจัดประเภทและไม่เปิดให้นักวิชาการเอกชนตรวจสอบอย่างเป็นทางการ[160] ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจีนในปักกิ่ง การปฏิวัติทางวัฒนธรรมแทบไม่มีการกล่าวถึงในนิทรรศการประวัติศาสตร์[161] แม้ว่าจะมีการก้าวล้ำจากนักจีนวิทยาที่มีชื่อเสียงหลายคน แต่งานวิจัยทางวิชาการที่เป็นอิสระในเรื่องการปฏิวัติทางวัฒนธรรมก็จะไม่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลจีน[160] มีความกังวลว่าเมื่อพยานผู้ประสบเหตุการณ์แก่ชราและเสียชีวิตไป โอกาสในการค้นคว้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ภายในประเทศจีนอย่างถี่ถ้วนก็อาจสูญหายไปด้วย[162] ในปีค.ศ. 2018 มีรายงานว่าการปฏิบัติอย่างหนึ่งตามแบบฉบับของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม "เฟิ่งเฉียว" หรือการวิพากษ์วิจารณ์ในที่สาธารณะเกี่ยวกับกลุ่มปฏิปักษ์ปฏิวัติในหมู่บ้าน กำลังฟื้นคืนอย่างไม่มีการคาดคิด แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่านี่เป็นเหตุการณ์เดียวหรือไม่ หรือเป็นสัญญาณการหันกลับมาสนใจรูปแบบวัฒนธรรมตามแบบฉบับการปฏิวัติ[163]
ภาพลักษณ์ของเหมา เจ๋อตงเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชาติจีน แม้ว่าเขาจะมีวิธีปฏิบัติที่น่ากลัว แต่ในวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดของเขา ผู้คนจำนวนมากในประเทศจีนกลับมองว่าเหมาเป็นสมมติเทพและเรียกเขาว่า "ผู้กอบกู้ที่ยิ่งใหญ่ของประชาชน" ผู้สนับสนุนเหมา เจ๋อตงยกย่องให้เขาเป็นเทพเจ้าสูงสุด นอกจากนี้การอภิปรายร่วมสมัยในหนังสือพิมพ์สมัยใหม่ เช่น Global Times ยังคงพยายามรักษาภาพลักษณ์ของเหมาในหมู่สาธารณชน มากกว่าการแสดงผลที่ตามมาอย่างน่าสยดสยองจากการเป็นผู้นำของเขา หนังสือพิมพ์หาข้อแก้ตัวโดยอธิบายว่าการปฏิวัติมักจะมีด้านที่โหดร้ายและไม่สามารถมองเห็นได้โดย "มุมมองด้านมนุษยธรรม" ผู้สนับสนุนเหมาจะเห็นด้วยกับความเห็นที่ว่า "ผลลัพธ์สำคัญกว่าวิธีการ"[164]
ศัตรูของเหมา เจ๋อตงมองการกระทำที่เกิดขึ้นภายใต้การปกครองของเขาในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป วิธีการที่น่าสนใจในการมองภาพลักษณ์ทางสาธารณะของเหมา คือ "เขามีอำนาจเหนือกว่าการปกครองประเทศและการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมนิยม" เห็นได้ชัดว่าเหมาใช้วิธีการที่สุดโต่งในการยึดอำนาจ อย่างไรก็ตาม แม้จะประสบความสำเร็จในการได้รับอำนาจ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการกระทำของเหมาได้ส่งผลร้ายแรง ศัตรูของเหมา เจ๋อตงตระหนักดีว่าการกระทำของเขาเป็นสิ่งชั่วร้าย ในแง่ภาพลักษณ์ทางสาธารณะ พวกเขายังคงพอใจในการบรรยายว่าเหมาเป็นคนชั่วร้ายโดยกำเนิด ประโยชน์ของระบอบการปกครองของเหมาไม่อาจแทนที่ประชาชนผู้เสียชีวิตนับไม่ถ้วนในประเทศ บิดา มารดา พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว และอื่น ๆ นับล้านต้องสูญหายไปจากความอหังการของเหมา ภาพลักษณ์ของเหมาในแต่ละมุมมองนั้นแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับว่าจะตั้งคำถามกับใคร[165]
ในฮ่องกง การจลาจลฮ่องกง ค.ศ. 1967 โดยฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์ต่อต้านอาณานิคมได้รับแรงบันดาลใจจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจำนวนมากได้ทำลายความน่าเชื่อถือของนักเคลื่อนไหวเหล่านี้ในสายตามชาวฮ่องกงที่ประสบมาหลายชั่วอายุคน[166] ในไต้หวัน เจียง ไคเชกริเริ่มนโยบายการฟื้นฟูวัฒนธรรมจีนเพื่อตอบโต้สิ่งที่เขามองว่าเป็นการทำลายค่านิยมแบบจีนดั้งเดิมโดยพวกคอมมิวนิสต์บนแผ่นดินใหญ่ ในสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาชนแอลเบเนีย ผู้นำคอมมิวนิสต์และพันธมิตรกับจีนอย่างแอนแวร์ ฮอจาเริ่มนโยบาย "การปฏิวัติทางวัฒนธรรมและอุดมการณ์" ที่ดำเนินการแนวเดียวกับการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[167]
ในโลกโดยรวม เหมา เจ๋อตงการเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านสถาบัน ต่อต้านประชานิยมในระดับรากหญ้า และต่อต้านแนวคิดการตัดสินใจด้วยตนเอง มีการพบว่าปรัชญาการปฏิวัติของเขามีผู้สานต่อเช่น เซนเดโรลูมิโนโซในเปรู การก่อความไม่สงบแน็กซาไลท์ในอินเดีย ขบวนการทางการเมืองหลายกลุ่มในเนปาล พรรคเสือดำในสหรัฐอเมริกา[168] และขบวนการวัฒนธรรมต่อต้านในทศวรรษที่ 1960 ในปีค.ศ. 2007 ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง ดอนัลด์ เซิ่ง ตั้งข้อสังเกตว่า การปฏิวัติทางวัฒนธรรมเป็นภาพแทนของ "อันตรายของระบอบประชาธิปไตย" ที่ว่า "ผู้คนสามารถมีแนวคิดสุดโต่งเหมือนที่เราเห็นในสมัยการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[...] เมื่อผู้คนสามารถนำทุกอย่างไปไว้ในมือของพวกเขา เมื่อนั้นคุณก็จะปกครองพวกเขาไม่ได้"[169] คำพูดดังกล่าวก่อให้เกิดความขัดแย้งในฮ่องกงและนำมาด้วยการถอนคำพูดด้วยการขอโทษ[169]
ผู้วิจัยและนักวิชาการยังคงอภิปรายกันต่อไปว่าเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ บทบาทของเหมา การปฏิวัติทางวัฒนธรรมเริ่มต้นได้อย่างไรและมันเป็นไปในลักษณะไหน การอภิปรายโต้แย้งเหล่านี้เปลี่ยนไปตลอดในหลายทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากนักวิจัยได้ค้นพบข้อมูลใหม่ ๆ
ในทศวรรษที่ 1960 นักวิชาการหลายคนมองว่าความคิดของเหมาเริ่มแรกเป็นอุดมการณ์และการทำลายล้าง แต่บางคนก็เข้าข้างเหมา เพราะมองว่าเหมาตั้งใจทำให้เกิดความเท่าเทียม การต่อต้านระบบราชการและการทุจริต และความเห็นแก่ตัวที่มีในปัจเจกบุคคล พวกเขามองว่าลัทธิเหมาเป็นการเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมจำนวนมาก เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์แบบรวมหมู่ และมีสิทธิในการก่อจลาจล และมีความมุ่งมั่นที่จะกำจัดชนชั้นปกครองใหม่ ในทศวรรษที่ 1980 นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คือ แอนดรูว์ จี. วัลเดอร์ เขียนว่า "มติมหาชนในด้านนี้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด" นักวิชาการส่วนใหญ่ที่อยู่ในสาขานี้ "ดูเหมือนจะเชื่อว่าการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเป็นหายนะของมนุษยชาติ เป็นอาชญากรรมทางประวัติศาสตร์ บางครั้งเป็นไปในทำนองเดียวกันกับคำสั่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของฮิตเลอร์ และการกวาดล้างครั้งใหญ่ของสตาลิน" วัลเดอร์โต้แย้งว่า ความล้มเหลวของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมไม่ได้มาจากการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างไม่ดี ไม่ได้มาจากการทำลายระบบราชการ ความไม่จงรักภักดี หรือความปรปักษ์ทางชนชั้นที่ยืดเยื้อมานาน ถ้าหากสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามที่เหมาคาดการณ์ไว้ วัลเดอร์จึงสรุปว่า "บางทีอาจเป็นเพราะตัวเหมาเองไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ หรือ รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรอยู่ หรือทั้งสองอย่าง... ผลเกิดขึ้นคือสิ่งที่เขาคาดหวัง อย่างหลักคำสอนและจุดมุ่งหมายของลัทธิเหมา"[170]
อย่างไรก็ตาม การโต้แย้งยังคงดำเนินต่อไป เพราะขบวนการเคลื่อนไหวมีความขัดแย้งกันมากมาย นำโดยผู้ที่มีอำนาจในทุกหนแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยกลุ่มที่นำการลุกฮือของประชาชนระดับรากหญ้าที่ต่อต้านองค์กรคอมมิวนิสต์แบบจัดตั้ง หนังสือภาษาอังกฤษแทบทุกเล่มตีพิมพ์ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ได้วาดภาพขบวนการเคลื่อนไหวนี้ในแง่ลบ นักประวัติศาสตร์ แอนน์ เอฟ. เทิร์สตัน เขียนว่า มัน "นำไปสู่การสูญเสียวัฒนธรรม และคุณค่าทางจิตวิญญาณ สูญเสียความหวังและอุดมการณ์ สูญเสียเวลา ความจริงและชีวิต"[171] บาร์นูอินและหยู สรุปการปฏิวัติทางวัฒนธรรมว่าเป็น "ขบวนการทางการเมืองที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การระดมมวลชน ภาวะจิตเวช กลียุค ความอำมหิตอย่างไร้เหตุผล การทรมาน การฆ่าล้างและแม้กระทั่งสงครามกลางเมือง" โดยเรียกเหมาว่าเป็น "หนึ่งในเผด็จการที่กดขี่ข่มเหงที่สุดแห่งยุคศตวรรษที่ 20"[147]: 217 นักวิชาการบางคนได้ท้าทายการบรรยายภาพของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของนักวิชาการกระแสหลักและเสนอให้ทำความเข้าใจมันในแง่บวกมากขึ้น โมโบ เกา เขียนในหนังสือ The Battle for China's Past: Mao and the Cultural Revolution โต้แย้งว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อพลเมืองจีนหลายล้านคน โดยเฉพาะแรงงานด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม[127]: 1 และมองว่าเป็นความเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นประชานิยมอย่างแท้จริง โดยอ้างถึงความคิดคำนึงถึงลัทธิเหมาในประเทศจีนที่ทุกวันนี้กลายเป็นเศษซากมรดกทางบวกที่ยังหลงเหลืออยู่[127]: 3 บางคนแยกความแตกต่างระหว่างความตั้งใจและการกระทำ[170]: 159 ในขณะที่ความเป็นผู้นำของเหมามีความสำคัญในช่วงเริ่มต้นของการเคลื่อนไหว จิ่น ชิว โต้แย้งว่า เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไป มันกลับกลายเบี่ยงเบนไปจากวิสัยทัศน์ในอุดมคติของเหมาอย่างมีนัยสำคัญ[14]: 2–3 ในแง่นี้ การปฏิวัติทางวัฒนธรรมเป็นการเคลื่อนไหวที่กระจัดกระจายและมีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้ค่อย ๆ สูญเสียความสามัคคี ทำให้เกิด "การปฏิวัติในท้องถิ่น" จำนวนมากซึ่งแตกต่างกันทั้งทางลักษณะวิสัยและเป้าหมายของแต่ละกลุ่ม[14]: 2–3
ความสนใจทางวิชาการยังมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างขบวนการกับบุคลิกภาพของเหมา เหมาจินตนาการว่าตนเองเป็นผู้นำขบวนการกองโจรในช่วงสงคราม ซึ่งทำให้เขาไม่ไว้ใจธรรมชาติของระบบราชการในช่วงสงบสุข โดยในการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เหมาต้องการเพียง "การกลับคืนสู่รูปแบบเดิม" อีกครั้งเหมือนตอนที่เขาเป็นผู้นำกองโจรในการต่อสู้กับระบบราชการที่เป็นสถาบันของพรรค โรเดอริก แม็คฟาร์คัวร์และไมเคิล ชอนฮัลส์ วาดภาพการเคลื่อนไหวนี้ว่า ไม่ใช่สงครามโดยสุจริตที่อยู่เหนือความบริสุทธิ์ทางอุดมการณ์หรือเป็นเพียงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจเพื่อขจัดคู่แข่งทางการเมืองของเหมา[17]: 2–3 ในขณะที่แรงจูงใจส่วนตัวของเหมามีความสำคัญต่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาให้เหตุผลว่าปัจจัยที่ซับซ้อนอื่น ๆ มีส่วนทำให้เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับขบวนการคอมมิวนิสต์มทั่วโลก ความกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์ ความแตกแยกทางอุดมการณ์ระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต และความล้มเหลวของการก้าวกระโดดไปข้างหน้า[17]: 2–3 พวกเขาสรุปว่าอย่างน้อยก็ในส่วนหนึ่งที่ การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นโครงการมรดกที่ผูกยึดตำแหน่งของเหมาในประวัติศาสตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักดิ์ศรีของเขาในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ "และ" ปกปักษ์รักษาความคิดอันไม่สามารถทำลายสิ้นได้ของเขาหลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว[17]: 2–3
ความกลัวหวาดผวาล้มรอบการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ไม่เคบเกิดขึ้นมาก่อน นักประวัติศาสตร์ ฟิลิป ช็อต ยืนยันว่า การปฏิวัติทางวัฒนธรรมมีองค์ประกอบที่คล้ายกับการบูชาทางศาสนา[172] สถานะสมมติเทพของเหมาในช่วงนั้นทำให้เขามีอำนาจทางความคิดเหนือหลักการคอมมิวนิสต์ แต่ลักษณะงานเขียนที่ลึกลับและมักขัดแย้งกันเองของเขานำไปสู่สงครามที่ไม่รู้จบในด้านการตีความงานของเขา โดยทั้งกลุ่มอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยมต่างใช้คำสอนของเขาเพื่อบรรลุเป้าหมายที่แตกต่างกัน
ในหนังสือ Mao: The Unknown Story ของจัง ชางและจอน ฮาลลิเดย์ กล่าวถึงการทำลายล้างจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของเหมาเป็นการส่วนตัว โดยมีการแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อพันธมิตรและศัตรูของเขามากขึ้นด้วย[71]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.