Loading AI tools
นักวิชาการและผู้บริหารทางการศึกษาชาวไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ เจตนา นาควัชระ (เกิด 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2480)[1] เป็นนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยชาวไทย ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณสาขาภาษาเยอรมัน มีผลงานสำคัญด้านภาษาและวรรณคดีเยอรมัน วรรณคดีเปรียบเทียบ การวิจารณ์ศิลปะ และการอุดมศึกษา เขาได้รับปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักด์จากมหาวิทยาลัยไทยรวม 5 แห่งและมหาวิทยาลัยทือบิงเงินในเยอรมนี และยังได้รับรางวัลที่สำคัญได้แก่ เหรียญเกอเธ่ รางวัลการวิจัยมูลนิธิฮุมโบลท์ ทุนเมธีวิจัยอาวุโส สกว. และรางวัลนราธิป[2]
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ เจตนา นาควัชระ | |
---|---|
เกิด | 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 จังหวัดพระนคร ประเทศสยาม (ปัจจุบันคือ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย) |
อาชีพ | นักวิชาการ |
คู่สมรส | ศาสตราจารย์กิตติคุณทัศนีย์ นาควัชระ |
บุตร | บุตรสามคน ได้แก่ ทัศนา นาควัชระ กับธิดาอีกสองคน |
รางวัล |
|
ภูมิหลังทางวิชาการ | |
การศึกษา | |
วิทยานิพนธ์ | August Wilhelm Schlegel in Frankreich. Sein Anteil an der französischen Literaturkritik 1807–1835 (2508) |
อาจารย์ที่ปรึกษาในระดับปริญญาเอก | ควร์ท ไวส์ |
มีอิทธิพลต่อ | กรกช อัตตวิริยะนุภาพ, ชมัยภร บางคมบาง, สดชื่น ชัยประสาธน์, กัญญา เจริญศุภกุล, ดวงมน จิตร์จำนงค์, ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์, คำรณ คุณะดิลก, สุนทรียา เหมือนพะวงศ์, ประดิษฐ ประสาททอง, รัศมี ชูทรงเดช, ศิราพร ณ ถลาง, สุกัญญา สมไพบูลย์ |
ผลงานทางวิชาการ | |
สถาบันที่ทำงาน | มหาวิทยาลัยศิลปากร |
ได้รับอิทธิพลจาก | เอเบอร์ฮาร์ท เล็มเมิร์ท , ชาร์ลส์ โบดแลร์ , แบร์ท็อลท์ เบร็ชท์ , อัลแบร์ กามูส์, เนวิลล์ คาร์ดัส , ไรน์โฮลด์ กริมม์, อเล็คซันเดอร์ ฟ็อน ฮุมโบลท์, แฟรงก์ เรย์มอนด์ ลีวิส , เอกวิทย์ ณ ถลาง, โรนัลด์ พีค็อก, ซูโจโน จูเน็ด ปุซโปเนโกโร , ฟรีดริช ชิลเลอร์, อ็อสคาร์ วัลท์เซิล , เรเน เว็ลเล็ก และ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล |
ลายมือชื่อ | |
เจตนาเกิดในครอบครัวที่มีบิดามารดาเป็นครู เขาเป็นบุตรคนสุดท้องภูของครอบครัว เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาสอบได้อันดับหนึ่งในแผนกอักษรศาสตร์ของประเทศไทย ต่อมาได้รับทุนรัฐบาลไทยไปศึกษาต่อในยุโรปตั้งแต่ปริญญาตรีจนสำเร็จปริญญาเอก เขามีโอกาสได้เป็นนักวิชาการแลกเปลี่ยนในสหรัฐอเมริกาและสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีหลายครั้งด้วยทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ เจตนาจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวเชื่อมโลกวิชาการตะวันตกเข้ากับประเทศไทย[3]
ในฐานะนักวิชาการ งานของเจตนาในระยะแรกประกอบด้วยวรรณคดีเปรียบเทียบและวรรณคดีเยอรมัน นอกจากนี้เจตนาเขียนหนังสือ บทความสำหรับผู้อ่านทั่วไป และผู้อ่านทางวิชาการโดยใช้ภาษาไทยอันเป็นภาษาแม่ รวมถึงภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน และภาษาฝรั่งเศส เขาได้เป็นที่รู้จักในประเทศไทยในช่วงหลังผ่านงานเขียนและการบรรยายจากผลงานการวิจารณ์ศิลปะ รวมถึงการอาสาเป็นผู้นำทางความคิดในวิชาการด้านมนุษยศาสตร์[4][5]
ในทางบริหารเจตนาเคยดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการของสำนักเลขาธิการซีมีโอ คณบดีคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร[6] รวมถึงมีบทบาทสำคัญในการบริหารงานการอุดมศึกษาในประเทศไทยด้วยการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยของรัฐหลายแห่ง กรรมการทบวงมหาวิทยาลัย และกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา[7][8]
เจตนาและพี่น้องผู้ชายทั้งหมดศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ และสำเร็จมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนดังกล่าวเมื่อ พ.ศ. 2497 หลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนแปดปีตามหลักสูตรในสมัยนั้น เขากล่าวว่าประสบการณ์ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์มีความสำคัญยิ่งต่อแนวคิดและความสำเร็จของเขาในเวลาต่อมา[9] เจตนาสอบได้เป็นที่หนึ่งของประเทศในแผนกอักษรศาสตร์[10] จากนั้นจึงเข้าศึกษาต่อในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนจบชั้นปีที่ 1 ได้รับทุนรัฐบาลไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ โดยเจตนาใช้เวลาสามปีที่แมนเชสเตอร์ในการเตรียมตัวสำหรับเข้ามหาวิทยาลัย ระหว่างนี้ได้เรียนภาษาต่างประเทศอีกสองภาษา คือ เยอรมันและละติน[11]
เจตนาสำเร็จปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต สาขาภาษาปัจจุบัน (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จากนั้นย้ายไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนีโดยมีศาสตราจารย์ควร์ท ไวส์ เป็นที่ปรึกษาหลักเมื่อ พ.ศ. 2504 ต่อมาได้สำเร็จปริญญาเอก ในสาขาวรรณคดีเปรียบเทียบ เกียรตินิยมดีมาก (magna cum laude) จากมหาวิทยาลัยทือบิงเงินเมื่อ พ.ศ. 2508[12][13]
นอกจากควร์ท ไวส์ ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของเจตนา และเอเบอร์ฮาร์ท เล็มเมิร์ท ที่ปรึกษาทางวิชาการอีกคนหนึ่งในเยอรมนีที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงทางวิชาการให้แก่เขาเสมอมา[14] การวิจารณ์ศิลปะและวรรณกรรมของเจตนาได้รับอิทธิพลจาก ชาร์ลส์ โบดแลร์ , แบร์ท็อลท์ เบร็ชท์ , อัลแบร์ กามูส์, เนวิลล์ คาร์ดัส , ไรน์โฮลด์ กริมม์, อเล็คซันเดอร์ ฟ็อน ฮุมโบลท์, แฟรงก์ เรย์มอนด์ ลีวิส , เอกวิทย์ ณ ถลาง, โรนัลด์ พีค็อก, ซูโจโน จูเน็ด ปุซโปเนโกโร , ฟรีดริช ชิลเลอร์, อ็อสคาร์ วัลท์เซิล , และ เรเน เว็ลเล็ก[15][16] เขาและผู้ร่วมงานรุ่นหลังต่างเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างระบบอุดมศึกษาในอุดมคติที่ได้ริเริ่มไว้โดย หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากรในการก่อตั้งวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์[15]
เจตนากลับมารับราชการในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2509 สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ[17] จนถึง พ.ศ. 2511 จึงย้ายไปเป็นอาจารย์สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ณ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม และได้ริเริ่มหลักสูตรภาษาเยอรมันในฐานะอาจารย์รุ่นแรก[18] แล้วไปปฏิบัติงานในองค์การสำนักงานเลขาธิการรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Ministers of Education Organization Secretariat เรียกโดยย่อว่า SEAMEO หรือ ซีมีโอ) ระหว่างเวลาที่ปฏิบัติงานอยู่รวม 4 ปี เขาได้รับเหรียญเกอเธ่ เมื่อ พ.ศ. 2515 และได้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการของสำนักเลขาธิการซีมีโอในช่วงสองปีสุดท้าย[11][19]
ต่อมาเจตนาได้กลับเข้ามาปฏิบัติราชการในมหาวิทยาลัยศิลปากรเมื่อ พ.ศ. 2519 โดยเข้าดำรงตำแหน่งบริหาร ได้แก่ คณบดีคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (พ.ศ. 2519–2522)[8] และรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวางแผนพัฒนา (พ.ศ. 2522–2524)[7] ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งได้สนับสนุนให้จัดตั้งภาควิชาสังคมศาสตร์ขี้นในคณะ[20]และรับผิดชอบโครงการจัดตั้งศูนย์วิจัยซึ่งต่อมาได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการในรูปของสถาบันวิจัยและพัฒนา[21] ต่อมาเขาได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์เมื่อ พ.ศ. 2526[22]
ด้วยการสนับสนุนของมูลนิธิฟูลไบรท์ เจตนาเป็นนักวิชาการอาคันตุกะที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน แอนน์ อาร์เบอร์สองครั้งเมื่อ พ.ศ. 2528 และ 2535[23] และเป็นศาสตราจารย์อาคันตุกะที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ในปีการศึกษา 2532–2533[24] นอกจากนี้เจตนาได้กลับไปเยื่อนประเทศเยอรมนีเพื่อทำงานวิชาการอีกหลายครั้งด้วยการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยในเยอรมนี Deutscher Akademischer Austauschdienst (DAAD)[25] และรางวัล Humboldt-Forschungspreis จากมูลนิธิฮุมโบลท์[26][6]
เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2540 เจตนาเกษียณอายุราชการในตำแหน่งสุดท้าย คือ ศาสตราจารย์ระดับ 11 ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของข้าราชการพลเรือน[27] ในบทสัมภาษณ์ให้กับหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เมื่อ พ.ศ. 2541 ในคราวเกษียณอายุราชการ เขากล่าวว่าไม่ใช่ว่าเขาต้องการเป็นข้าราชการไปอย่างต่อเนื่อง แต่เพราะด้วยความสำนึกในบุญคุณของรัฐบาลไทยที่ให้ทุนนับสนุนไปศึกษาต่อในยุโรป[5] เจตนามักจะบอกผู้รับทุนรัฐบาลไทยรุ่นหลังเสมอว่า "ทุนนั้นชดใช้หมด แต่บุญคุณใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมด"[28]
เจตนาได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณสาขาภาษาเยอรมันที่มหาวิทยาลัยศิลปากร หลังพ้นจากการรับราชการเต็มเวลาอย่างเป็นทางการเจตนายังคงสนับสนุนงานวิชาการด้วยการทำหน้าที่ในคณะกรรมการต่าง ๆ ของรัฐ สภามหาวิทยาลัยหลายแห่ง และริเริ่มโครงการวิจัยทางศิลปะซึ่งมีผู้ดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน[5] มหาวิทยาลัยจัดให้มีห้องอนุสรณ์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เจตนา นาควัชระ ที่ชั้นสองของหอสมุดพระราชวังสนามจันทร์เพื่อรวบรวมหนังสือที่เขาได้มอบไว้แก่หอสมุด[29] ในช่วงเวลานี้เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์และรางวัลอย่างต่อเนื่อง[4]
เจตนา นาควัชระ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2480 ที่จังหวัดพระนคร เป็นบุตรคนที่หกและคนสุดท้องของครอบครัว ทั้งบิดาและมารดาประกอบอาชีพเป็นครู แต่หลังแต่งงานมารดาทำหน้าที่เป็นแม่บ้านและเป็นครูพิเศษให้ลูก ๆ[15] ถนอม นาควัชระ หรือขุนชำนิขบวนสาส์น บิดาของเขาเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดบพิตรพิมุข เป็นผู้ร่วมก่อตั้งวงดนตรีไทยของคุรุสภา[30] ในวัยเด็กเจตนาอาศัยอยู่บ้านซึ่งอยู่ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและได้ขี่จักรยานไปตามถนนพญาไททุกวัน เจตนาชอบกีฬาและตนตรีซึ่งปลูกฝังให้เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคน[31] เจตนาเรียนดนตรีจากบิดา ภาษาอังกฤษจากมารดาเบื้องต้น และยังได้รับอิทธิพลการอบรมสั่งสอนวรรณกรรมมุขปาฐะจากยายอีกด้วย เขาเคยเข้าประกวดแข่งขันร้องเพลงในงานวัดขณะที่เป็นนักเรียนอยู่[9]
เจตนา สมรสกับทัศนีย์ นาควัชระ ศาสตราจารย์ภาษาฝรั่งเศส คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[32][33] พำนักอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 38 มีบุตรด้วยกันสามคน คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทัศนา นาควัชระ (เกิด พ.ศ. 2512) เป็นนักไวโอลินและอาจารย์ประจำคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร[34] กับธิดาอีกสองคน คนหนึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทรับทำวิจัยของสหรัฐอเมริกา และอีกคนหนึ่งทำร้านอาหารอยู่ประเทศเม็กซิโก[9]
เจตนามีผลงานที่สำคัญเกี่ยวกับนักประพันธ์ชาวเยอรมัน ประกอบไปด้วยงานค้นคว้าวิจัยตีพิมพ์เป็นภาษาต่างประเทศ งานแปลและคู่มือสำหรับการศึกษาเป็นภาษาไทยสำหรับคนไทย ผลงานเหล่านี้เกิดขึ้นจากการศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมในภาษายุโรปซึ่งเขามีความเชี่ยวชาญทั้งภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ รวมทั้งการผสานประสบการณ์จากต้นกำเนิดความเป็นไทยเข้ากับการตีความวรรณกรรมเหล่านั้นด้วย งานของเขาจึงมีองค์ประกอบของทั้งโลกตะวันออกและตะวันตกอยู่รวมกัน จากผลงานเหล่านี้ เจตนาได้รับเหรียญเกอเธ่ เมื่อ พ.ศ. 2516 ขณะปฏิบัติงานอยู่ที่องค์การซีมีโอ ต่อมาเจตนาได้รับทุนเมธีวิจัยอาวุโส สกว. สาขามนุษยศาสตร์จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อ พ.ศ. 2538 ซึ่งเป็นปีแรกที่ สกว. จัดให้มีทุนดังกล่าวขึ้น ก่อนเขาจะเกษียณอายุราชการจากมหาวิทยาลัยศิลปากรสองปี โครงการวิจัยดังกล่าวมีชื่อว่า "กวีนิพนธ์ในฐานะพลังทางปัญญาของสังคมร่วมสมัย: ประสบการณ์จากวรรณคดีไทย อังกฤษ อเมริกัน ฝรั่งเศส และเยอรมัน"[35][36] ผลงานในด้านภาษาและวรรณคดีของเจตนาเป็นจุดกำเนิดให้เกิดผลงานเกี่ยวกับศิลปกรรมไทยและโครงการวิจารณ์[37]
วิทยานิพนธ์ของเจตนาเมื่อ พ.ศ. 2508 เขียนเป็นภาษาเยอรมัน อธิบายบทบาทของ เอากุสท์ วิลเฮ็ล์ม ชเลเกล ในการเป็นผู้นำการวิจารณ์วรรณกรรมในฝรั่งเศสระหว่างช่วง พ.ศ. 2350–2378 ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2509 สำนักพิมพ์เยอรมัน มักส์ นีไมเออร์ ในทือบิงเงินตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกนี้เป็นหนังสือเล่มแรกของเขา[38] ผลงานชิ้นนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นสื่อทางวรรณคดีระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนีที่มีความเป็นกลางสูง[15][39] และรอเจอร์ พอลิน และได้นำไปใช้อ้างอิงในชีวประวัติของชเลเกล[40] หนังสือเล่มที่สองของเขามีชื่อว่า "เบรคชท์กับฝรั่งเศส (Brecht and France)" สำนักพิมพ์ ปีเตอร์ ลังก์ ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ณ กรุงแบร์น เมื่อ พ.ศ. 2536 นอกจากชเลเกลกับแบร์ท็อลท์ เบร็ชท์[25] เขายังเขียนเกี่ยวกับ เกอเธ่, โธมัส มันน์ และบทกวีร่วมสมัยภาษาเยอรมัน เป็นภาษาไทยอีกด้วย[41] ไม่เพียงงานที่เขียนด้วยตนเอง เจตนายังผลิตงานแปลมากกว่า 50 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นกวีนิพนธ์และเป็นการแปลจากภาษาเยอรมันเป็นภาษาไทย เช่น "Geschrieben" โดย แวร์เนอร์ ลุทซ์ , "Ein Tag für Impressionisten" โดย ไรเนอร์ มัลค็อฟสกี , และ "Der Aufruf" โดย ฟรีเดอรีเคอ ไมเริคเคอร์ เป็นต้น[41]
เจตนาเขียนงานภาษาอังกฤษและเยอรมันจำนวนหนึ่งที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมข้ามพรมแดนเชิงมนุษยศาสตร์ระหว่างไทยกับตะวันตก เช่น "Comparative Literature from a Thai Perspective. Collected articles 1978–1992", "Fervently Mediating: Criticism from a Thai Perspective, Collected Articles 1982-2004" และ "Bridging Cultural Divides: Collected Essays and Reviews 2006-2014" เป็นต้น[42][3][43] ผู้ปริทัศน์หนังสือให้ความเห็นว่างานของเขาอยู่บนพื้นฐานของมนุษยนิยมและการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม โดยมีทฤษฎีที่สำคัญที่เสนอบนอัตลักษณ์ของความเป็นไทยอันเป็นแผ่นดินแม่ ได้แก่ ทฤษฎีระนาดทุ้ม (ผู้นำที่แท้จริงเล่นระนาดทุ้มมิใช่ระนาดเอก)[42] ความสำคัญของมุขปาฐะและการด้น (ลำตัดและลิเกเป็นตัวอย่างของงานวรรณกรรมไทยที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นผ่านศิลปินโดยไม่มีการบันทึก และมีการด้นเป็นการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ระหว่างการแสดงและเป็นขบถต่อบทที่ตายตัว)[42][3]
ในฐานะนักวิจัยและหัวหน้าโครงการ เจตนาเป็นผู้ริเริ่มและเป็นหัวหน้าโครงการวิจัย "กวีนิพนธ์ในฐานะพลังทางปัญญาของสังคมร่วมสมัย ฯ" (พ.ศ. 2538–2541) และ "การวิจารณ์ในฐานะพลังทางปัญญาของสังคมร่วมสมัย" (พ.ศ. 2542–2548) โครงการวิจัยการวิจารณ์ศิลปะไทยภายใต้การนำของเจตนาประกอบไปด้วยการวิจารณ์ศิลปะสี่แขนง ได้แก่ วรรณศิลป์ ทัศนศิลป์ ศิลปะการละคร และสังคีตศิลป์ และต่อมาได้ขยายไปสู่ภาพยนตร์ด้วย[44][45] เมื่อสื้นสุดโครงการทั้งสองที่ได้รับทุนจาก สกว. (พ.ศ. 2542–2544 และ พ.ศ. 2545–2548) จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย[46] โครงการต่าง ๆ ยังคงดำเนินต่อไปและขยายขอบเขตโดยสมาชิกในทีมวิจัยคนอื่น โดยที่เขายังคงมีส่วนร่วมในฐานะที่ปรึกษาอาวุโสจนถึงโครงการที่สนับสนุนโดย สกว. โครงการสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. 2563 และมีโครงการต่อมาซึ่งธนาคารกสิกรไทยให้การสนับสนุน พ.ศ. 2564–2565[47]
ตัวอย่างหัวข้อสำคัญในงานวิจารณ์ของเจตนา ได้แก่ ชาติ กอบจิตติ, อังคาร กัลยาณพงศ์, ศรีบูรพา, อัศศิริ ธรรมโชติ, วงดนตรีสุนทราภรณ์, วงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ, วงดุริยางค์ฟิลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย, และวงออร์เคสตราและศิลปินเดี่ยวจากต่างประเทศที่มาเยี่ยมเยือนประเทศไทย นอกจากนี้ บทละครแปล เช่น Der gute Mensch von Sezuan (คนดีแห่งเสฉวน) โดย แบร์ท็อลท์ เบร็ชท์ และ Antigone (อันตราคนี) ของ ฌ็อง อานูย ก็รวมอยู่ในผลงานเหล่านี้ด้วย[48] งานบางส่วนของเจตนาในด้านนี้เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ TRF Criticism[49]
แนวคิดสำคัญของเจตนาในด้านนี้ได้แก่ ศิลปะส่องทางให้แก่กัน (แนวคิดเดิมเป็นของวัลท์เซิลในสาขาวรรณคดีเปรียบเทียบ เจตนาได้นำมาใช้กับบริบทของสังคมไทยและศิลปะหลากหลายแขนงว่ามีลักษณะเอื้อต่อกัน) บทบาทของผู้รักสมัครเล่นในการผลักดันงานศิลปะ (การมีส่วนร่วมของศิลปินสมัครเล่นและชุมชนของผู้รับชมหรือรับฟังงานศิลปะมีความสำคัญยิ่ง และเส้นแบ่งระหว่างศิลปินทั้งระดับอาชีพและสมัครเล่นรวมถึงผู้ฟังเป็นเพียงเส้นกั้นบาง ๆ ที่อาจก้าวข้ามกันได้) เทคโนโลยีและการผลิตจำหน่ายสินค้าบั่นทอนคุณค่าของศิลปะ (ค่าตัวที่แพงลิบของศิลปินที่เด่นเพียงคนเดียวทำให้วงดนตรีขนาดใหญ่ไม่อาจอยู่ต่อไปได้เนื่องจากเงื่อนไขทางการเงิน การบันทึกและปรับแต่งเสียงด้วยเทคโนโลยี Hi-Fi ทำให้มีความถูกต้องเกินจริงกว่าที่ศิลปินทำได้ รวมถึงผลักดันให้ผู้ประพันธ์เลือกสร้างผลงานไปในทางที่สอดคล้องกับเทคโนโลยี)[50]
เจตนาได้เขียนงานเกี่ยวกับมนุษยศาสตร์และอุดมศึกษาไทยไว้จำนวนมาก "ความอยู่รอดของมนุษยศาสตร์ไทย" คือหนังสือเกี่ยวกับมนุษยศาสตร์เล่มแรกที่เจตนาได้ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2532 ตามมาด้วย "วิกฤตการณ์ของมนุษยศาสตร์" ใน พ.ศ. 2538 และ "จุดยืนของมนุษยศาสตร์" ใน พ.ศ. 2558[28] สำหรับงานเขียนเกี่ยวกับอุดมศึกษาเขาตีพิมพ์บทความของตนเองในหนังสือชื่อว่า "Papers on Education" ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 และยังคงนำเสนอมุมมองและแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอย่างต่อเนื่อง สถาบันคลังสมองแห่งชาตินำคำบรรยายของเจตนาในงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการที่ชื่อว่า "คณบดีเพื่อการเปลี่ยนแปลง" (Deans for Change) มาตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อว่า "จากวิทยาทานสู่การผลิตและจำหน่ายสินค้า: ความปั่นป่วนของอุดมศึกษา" เมื่อ พ.ศ. 2556 และ "วัฒนธรรมสำนึก: รากฐานของอุดมศึกษา" เมื่อ พ.ศ. 2559[51] สำหรับเรื่องแรกได้รับการตีพิมพ์ซ้ำในหนังสือรวมบทความของเจตนาและหนังสือผู้นำระนาดทุ้ม[9]
นอกเหนือจากบทบาทในฐานะรองผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการซีมีโอ คณบดีคณะอักษรศาสตร์และรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวางแผนพัฒนาของมหาวิทยาลัยศิลปากร เจตนายังเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (พ.ศ. 2536–2546)[52] มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (พ.ศ. 2551–2555)[53] มหาวิทยาลัยมหิดล (พ.ศ. 2551–2559)[54] และคณะกรรมการทบวงมหาวิทยาลัยมากกว่าสิบปี (พ.ศ. 2530–2533 และ พ.ศ. 2535–2545)[55] ในขณะที่อุดมศึกษาของไทยปรับเปลี่ยนเข้าสู่มหาวิทยาลัยนอกระบบ หรือ สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ เจตนาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (พ.ศ. 2548–2552)[56]
เจตนาเป็นประธานคณะทำงานกลุ่มสาขาวิชามนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์และศิลปกรรม ของมหาวิทยาลัยมหิดล จัดทำคู่มือเสนอผลงานวิชาการ 22 รูปแบบ และวิธีการประเมินขอตำแหน่งวิชาการ สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปกรรม[57] คู่มือนี้ประกาศใช้ใน พ.ศ. 2554 ช่วยให้รายละเอียดและการตีความ "หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ. 2549" ที่กำหนดขึ้นเป็นมาตรฐานกลางระดับประเทศเป็นครั้งแรก ให้ชัดเจนมากขึ้น[58]
เจตนาเป็นผู้ประดิษฐ์คำว่า "วัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์" ในหนังสือของเขาซึ่งใช้เป็นที่ใช้อ้างอิงกันสำหรับนักศึกษา ผู้สนใจ และนักวิชาการ[59] เขามีประสบการณ์กว้างขวางในวงการวิจารณ์ศิลปะและวรรณกรรมในประเทศไทยมาเป็นเวลาหลายสิบปี เมื่อ พ.ศ. 2541 บางกอกโพสต์กล่าวถึงเจตนาว่าเขาเป็น "...นักวิจารณ์ที่เขียนด้วยปากกาคม ความคิดเห็นของเขาสามารถทำให้นักเขียนบทละครทบทวนงานของตนอีกรอบถึงแม้ว่าจะเป็นตอนที่กำลังแสดงอยู่และขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และศิลปินทัศนศิลป์ก็ให้ความสนใจมากกับสิ่งที่เขาพูด...”[5] นอกจากนี้เจตนายังเป็นกรรมการชี้ทิศทางในโครงการหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ของ วิทยากร เชียงกูล[60]
ชีวิตและผลงานเจตนาเป็นหัวข้อของโครงการวิจัย "นักคิด-นักวิจัยไทย: เจตนา นาควัชระ" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สกว. เมื่อ พ.ศ. 2541 โดยมีผลสรุปการวิจัยว่าแนวคิดของเขาตั้งอยู่บนพื้นฐานมนุษยนิยมแบบเสรี ผสานกับประชาธิปไตยแบบเสรี และมีจุดเด่นที่การผสานภูมิปัญญาตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน[30][15] หนังสือของเขาในภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักวิชาการนานาชาติ[42][3][43] แม้นักวิชาการในต่างสาขาก็ให้การยอมรับ เช่น ศ.วันชัย ดีเอกนามกูล ผู้ได้รับรางวัลการวิจัยมูลนิธิฮุมโบลท์เช่นเดียวกับเจตนากล่าวว่า "อาจารย์เจตนาเหมือนกับแม่ทัพของสาขาวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่สามารถต่อกรกับกองทัพของสายวิทยาศาสตร์ได้อย่างมั่นคงและสมศักดิ์ศรี และแน่นอนที่สุด ในปัจจุบันผมได้ให้คุณค่าในศาสตร์ของท่านอาจารย์เจตนาในระดับที่สูงมาก"[61]
นักวิชาการและศิลปินที่มีชื่อเสียงที่ได้รับอิทธิพลจากเจตนา ได้แก่ กรกช อัตตวิริยะนุภาพ, ชมัยภร บางคมบาง, สดชื่น ชัยประสาธน์, กัญญา เจริญศุภกุล, ดวงมน จิตร์จำนงค์, ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์, คำรณ คุณะดิลก, สุนทรียา เหมือนพะวงศ์, ประดิษฐ ประสาททอง, รัศมี ชูทรงเดช, ศิราพร ณ ถลาง, สุกัญญา สมไพบูลย์ เป็นต้น[61]
บทบาทของเจตนาในโครงการวิจารณ์ที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก สกว. เป็นแรงบันดาลใจให้ ชมัยภร บางคมบาง (ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณคดี ประจำปี พ.ศ. 2557) เขียนวรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับรางวัล เรื่อง คุณปู่แว่นตาโต (พ.ศ. 2544)[62] ในนวนิยายดังกล่าว ตัวละครคุณปู่มีเจตนาเป็นต้นแบบ และตัวละครเด็ก ๆ ก็สื่อถึงสมาชิกของคณะผู้วิจัยในโครงการ[63] คุณปู่แว่นตาแตก (พ.ศ. 2555) ภาคต่อของนวนิยายดังกล่าวโดยนักเขียนคนเดียวกัน ยังมีเจตนา (คุณปู่) เป็นตัวละครหลักพร้อมกับนักเรียนระดับประถมศึกษากลุ่มใหม่ด้วย[64] ประเด็นหลักในหนังสือสองเล่ม คือ การผจญภัยของคุณปู่และเด็ก ๆ ผ่านการทัศนศึกษาที่วัดโพธิ์ หอศิลป์แห่งชาติ บางลำพู อัมพวา และถ้ำผีแมนที่ปางมะผ้า และการพยายามปลูกฝังความซาบซึ้งในศิลปะและรากเหง้าดั้งเดิม การกล่าวถึงพระสยามเทวาธิราชบ่อยครั้งของคุณปู่เพื่อแสดงความคับข้องใจ รวมถึงประเด็นความเชื่อมโยงของคุณปู่กับประเทศเยอรมนีที่ปรากฏในหนังสือทั้งสองเล่มเป็นแรงบันดาลใจจากบุคลิกภาพและความคิดหลักของเจตนา[63]
ผลงานของเจตนามิใช่จะปราศจากข้อโต้แย้งหรือข้อถกเถียงในสังคม เมื่อ พ.ศ. 2541 ในระหว่างการสัมมนาครั้งสุดท้ายของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สกว. กลุ่มกวีไม่เห็นด้วยกับงานที่เขาเลือกมานำเสนอเป็น "ตัวแทนกวีนิพนธ์ไทย" ซึ่งมีส่วนหนึ่งเป็นเนื้อร้องเพลงไทยสากลอันรวมถึงเพลงป๊อปสมัยใหม่ของเสก โลโซ แต่กลับไม่มีผลงานอื่นที่กลุ่มกวียกย่อง เจตนาอธิบายระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ บางกอกโพสต์ ว่า "คำคัดค้านของเหล่ากวีในการสัมมนาเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ โดยเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับหลักการของการประเมินคุณค่ากวีนิพนธ์"[5]
เจตนาได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์[4] จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ใน พ.ศ. 2541[7] มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒใน พ.ศ. 2544[65] จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใน พ.ศ. 2547[66] มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงใน พ.ศ. 2548[67] มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2549[68] และมหาวิทยาลัยทือบิงเงินใน พ.ศ. 2552[69][70] การมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้ซ้ำในสาขาเดิมที่สำเร็จการศึกษามาจากสถาบันเดียวกันให้แก่เขากลายเป็นกรณีต้นแบบสำหรับมหาวิทยาลัยทือบิงเงิน เนื่องจากการมอบปริญญาให้แก่บุคคลเดียวกันในลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่มหาวิทยาลัยทือบิงเงิน[16]
เจตนา นาควัชระ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้
หนังสือต่อไปนี้เป็นตัวอย่างผลงานหลักของเจตนาซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นเพื่อนำเสนอแนวคิดสำคัญเป็นครั้งแรก หรือเป็นหนังสือที่รวบรวมแนวคิดจากบทความวิชาการหรือการบรรยายของเขา[41]
ภาษาและวรรณคดี
|
ศิลปกรรมไทยและการวิจารณ์
|
มนุษยศาสตร์และการอุดมศึกษา
|
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.