Loading AI tools
ฤดูกาลลีกฟุตบอล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 (อังกฤษ: 2019–20 Premier League) เป็นการแข่งขันพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่ 28 นับแต่เริ่มจัดการแข่งขันครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992 โดยแมนเชสเตอร์ซิตี คือทีมที่ป้องกันแชมป์ในฤดูกาลนี้ หลังชนะเลิศสองสมัยติดต่อกันและชนะเลิศสามรายการเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เป็นทีมชนะเลิศ โดยเป็นการชนะเลิศลีกสูงสุดสมัยที่ 19 หลังพวกเขาชนะเลิศลีกสูงสุดครั้งสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1990 และยังเป็นการชนะเลิศครั้งแรกในยุคพรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล | 2019–20 |
---|---|
วันที่ | 9 สิงหาคม ค.ศ. 2019 – 13 มีนาคม ค.ศ. 2020; 17 มิถุนายน ค.ศ. 2020 – 26 กรกฎาคม ค.ศ. 2020[1][2][3] |
ทีมชนะเลิศ | ลิเวอร์พูล แชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก แชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษสมัยที่ 19 |
ตกชั้น | บอร์นมัท วอตฟอร์ต นอริชซิตี |
แชมเปียนส์ลีก | ลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ซิตี แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เชลซี |
ยูโรปาลีก | อาร์เซนอล เลสเตอร์ซิตี ทอตนัมฮอตสเปอร์ |
จำนวนนัด | 380 |
จำนวนประตู | 1,034 (2.72 ประตูต่อนัด) |
ผู้ทำประตูสูงสุด | เจมี วาร์ดี (23 ประตู) |
ทีมเหย้า ชนะสูงสุด | แมนเชสเตอร์ซิตี 8–0 วอตฟอร์ด (21 กันยายน ค.ศ. 2019) |
ทีมเยือน ชนะสูงสุด | เซาแทมป์ตัน 0–9 เลสเตอร์ซิตี (25 ตุลาคม ค.ศ. 2019) |
จำนวนประตูสูงสุด | เซาแทมป์ตัน 0–9 เลสเตอร์ซิตี (25 ตุลาคม ค.ศ. 2019) |
ชนะติดต่อกัน มากที่สุด | ลิเวอร์พูล (18 นัด)[4] |
ไม่แพ้ติดต่อกัน มากที่สุด | ลิเวอร์พูล (27 นัด)[4] |
ไม่ชนะติดต่อกัน มากที่สุด | วอตฟอร์ต (11 นัด)[4] |
แพ้ติดต่อกัน มากที่สุด | นอริชซิตี (8 นัด)[4] |
จำนวนผู้ชมสูงสุด | 73,737 คน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1–1 ลิเวอร์พูล (20 ตุลาคม ค.ศ. 2019)[4] |
จำนวนผู้ชมต่ำสุด | 10,020 คน บอร์นมัท 0–1 เบิร์นลีย์ (21 ธันวาคม ค.ศ. 2019) ไม่นับรวมการแข่งขันหลังจากหยุดพักการแข่งขันของฤดูกาล เพราะมีการจำกัดจำนวนคนในสนามให้อยู่ได้ไม่เกิน 300 เนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพ |
จำนวนผู้ชมรวม | 11,322,096 คน[4] |
จำนวนผู้ชมเฉลี่ย | 39,312 คน[4] |
← 2018–19 2020–21 → |
ฤดูกาลมีการหยุดการแข่งขันชั่วคราวเป็นเวลามากกว่าสามเดือน หลังมีการตัดสินจากพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2020 หลังพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาในผู้เล่นและทีมงานเนื่องจากเกิดการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา ในตอนแรกนั้นจะกลับมาแข่งขันในวันที่ 4 เมษายน แต่ก็ได้ขยายไปช่วงกลางมิถุนายน[3] การแข่งขันกลับมาในวันที่ 17 มิถุนายน และเริ่มการแข่งขันเต็มรูปแบบในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์วันที่ 19–21 มิถุนายน[5]
ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรกที่ใช้ระบบวีเออาร์[6] มีการเปลี่ยนกฏกติกาใหม่สำหรับการส่งบอลย้อนหลัง, จุดโทษ, แฮนด์บอลและการเปลี่ยนตัว[7]
พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เป็นการเริ่มต้นสัญญาฉบับใหม่ของการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ระยะเวลาสามปี โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือ การแข่งขันจำนวนแปดนัดจะถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เวลา 19:45 น. (เวลาท้องถิ่น) วันเสาร์ตลอดฤดูกาลโดย สกายสปอร์ตส[8] นอกจากนี้ แอมะซอน ยังได้ถ่ายทอดสดจำนวนสองนัดในเดือนธันวาคม รวมถึง เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี ซึ่งครั้งแรกที่นัดดังกล่าวได้ถ่ายทอดสดทั่วประเทศ[9] ส่วนประเทศไทยนั้น ทรูวิชั่นส์ กลับมาเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง โดยเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี[10]
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2019 เลสเตอร์ซิตี ทำลายสถิติของพรีเมียร์ลีกและลีกสูงสุดของอังกฤษ โดยทำสถิติเป็นทีมเยือนที่ชนะในลีกด้วยจำนวนประตูเยอะที่สุดและเทียบเท่าสถิติชนะในพรีเมียร์ลีกด้วยจำนวนประตูเยอะที่สุด เมื่อพวกเขาเอาชนะ เซาแทมป์ตัน 9–0 ที่ เซนต์แมรีส์สเตเดียม[11]
เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2020 ในนัดการแข่งขันที่ แมนเชสเตอร์ซิตี ชนะ แอสตันวิลลา ด้วยผลประตูรวม 6–1 เซร์ฆิโอ อาเกวโร ได้ทำลายสถิติของ ตีแยรี อ็องรี เป็นผู้เล่นต่างประเทศที่ทำประตูสูงสุด[12] และเขายังได้ทำลายสถิติเป็นผู้เล่นที่ทำแฮต-ทริกส์มากที่สุด (12) แทนที่ของ แอลัน เชียเรอร์[13]
พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรกที่มีการพักช่วงกลางฤดูกาลในเดือนกุมภาพันธ์ มีสามนัดจากสิบนัดแข่งขันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์วันที่ 8–9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 อีกหกนัดแข่งขันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์วันที่ 14–17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 และนัดที่สิบ นัดที่แมนเชสเตอร์ซิตีพบกับ เวสต์แฮมยูไนเต็ด มีการเลื่อนการแข่งขันจากวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ไปวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 เนื่องจากพายุคีรา นัดการแข่งขันในวันเดียวกันนั้นแข่งในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อไม่ให้การถ่ายทอดสดทับซ้อนกัน[14]
ในระหว่างฤดูกาล ลิเวอร์พูล ทำสถิติเป็นทีมที่ชนะติดต่อกันมากที่สุด 18 นัด[15] ก่อนจะแพ้ให้กับ วอตฟอร์ด เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ปัจจุบัน ลิเวอร์พูลกำลังทำสถิติชนะในบ้านติดต่อกัน 23 นัด[16] และทำสถิตินำห่าง 23 คะแนนในตารางเมื่อทุกทีมแข่งเท่ากัน (สถิติ ณ วันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 2020)[17][18]
เพื่อการแสดงออกความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหลัง การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชื่อของผู้เล่นบนหลังเสื้อของพวกเขานั้นแทนที่ด้วย 'แบล็กไลฟส์แมตเทอร์' ใน 12 นัดแรกของการเริ่มต้นฤดูกาลอีกครั้ง พรีเมียร์ลีกยังให้การสนับสนุนสำหรับผู้เล่นคนใดที่ 'คุกเข่า' ก่อนหรือระหว่างการแข่งขัน[19]
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2020 แมนเชสเตอร์ซิตี แพ้ต่อ เชลซี ด้วยผลประตูรวม 2–1 ที่สนามกีฬาสแตมฟอร์ดบริดจ์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ชนะเลิศลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี และชนะเลิศพรีเมียร์ลีกครั้งแรก[20] ลิเวอร์พูลยังสร้างสถิติเป็นทีมที่ชนะเลิศลีกสูงสุดโดยที่ยังเหลือเกมการแข่งขันมากที่สุด (เหลือเจ็ดเกมก่อนจบฤดูกาล) และ เป็นทีมที่ชนะเลิศลีกสูงสุดช้าที่สุด (เป็นทีมเดียวที่ชนะเลิศลีกสูงสุดในเดือนมิถุนายน)[21] ในเกมการแข่งขันถัดมา แมนเชสเตอร์ซิตีและแอสตันวิลลา ได้ตั้งแถวเกียรติยศปรบมือให้แก่ลิเวอร์พูลที่ สนามกีฬาอัลติฮัดและแอนฟีลด์[22]
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 นอริชซิตีเป็นทีมแรกที่ตกชั้นไป แชมเปียนชิป หลังแพ้เวสต์แฮมยูไนเต็ดที่สนามแคร์โรว์โรดด้วยผลประตูรวม 0–4 ขณะที่ยังเหลือเกมการแข่งขันอีกสามนัด[23]
ตั้งแต่เดือนมีนาคม พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ได้รับผลกกระทบจากการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา[24] โดยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม นัดการแข่งขันระหว่าง แมนเชสเตอร์ซิตี พบกับ อาร์เซนอล ได้ถูกเลื่อนออกไปก่อน ซึ่งแต่เดิมนั้นมีกำหนดแข่งในวันถัดไป หลังจากมีการเลื่อนมาก่อนหน้านี้เนื่องจาก แมนเชสเตอร์ซิตี ต้องลงแข่งในรายการ อีเอฟแอลคัพ 2020 นัดชิงชนะเลิศ สาเหตุมาจากผู้เล่นจำนวนหนึ่งของอาร์เซนอลได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดกับ เอวานเกโลส มารินาคิส เจ้าของ โอลิมเบียโกส ซึ่งเขาติดเชื้อไวรัสโคโรนา หลังทดสอบการตรวจเลือดแล้วมีผลเป็นบวก โดยทั้งสองทีมได้พบกันในรายการยูโรปาลีกเมื่อ 13 วันก่อน[25] นี่เป็นฤดูกาลแรกของแข่งขันฟุตบอลอังกฤษ ที่มีการหยุดการแข่งขัน ตั้งแต่ ฤดูกาล 1939–40 ซึ่งในฤดูกาลดังกล่าวถูกยกเลิกหลังแข่งขันไปแค่สามนัด เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง[26]
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม มีการเปิดเผยว่าผู้เล่นของเลสเตอร์ซิตีสามคนนั้นถูกกักตัว[27] แมนเชสเตอร์ซิตีประกาศว่า แบ็งฌาแม็ง แมนดี กองหลังของทีมถูกกักตัวหลังสมาชิกในครอบครัวแสดงอาการป่วยจากไวรัส[28] ต่อมาในตอนเย็น มีการยืนยันว่า มิเกล อาร์เตตา ผู้จัดการทีมของอาร์เซนอล ติดเชื้อไวรัสโคโรนาหลังตรวจเลือดแล้วมีผลเป็นบวก[29] ทำให้การแข่งขันระหว่าง ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน กับ อาร์เซนอล ในวันที่ 14 มีนาคม ที่อาแม็กซ์สเตเดียม ถูกเลื่อนออกไปก่อน[30] เมื่อวันที่ 13 มีนาคม เชลซี ประกาศว่า แคลลัม ฮัดสัน-โอดอย ปีกของทีม ติดเชื้อไวรัสโคโรนาหลังตรวจเลือดแล้วมีผลเป็นบวก[31]
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม การประชุมฉุกเฉินระหว่าง พรีเมียร์ลีก, สมาคมฟุตบอล (หรือ เอฟเอ), อิงกลิชฟุตบอลลีกและเอฟเอวีเมนส์ซูเปอร์ลีก หลังการประชุม มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ระงับการแข่งขันฟุตบอลอาชีพในอังกฤษ อย่างน้อยจนถึงวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2020[2] เมื่อวันที่ 19 มีนาคม การระงับได้ถูกขยายออกไปอย่างน้อยจนถึงวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2020[32] ในเวลาเดียวกัน สมาคมฟุตบอล ตกลงขยายการแข่งขันในฤดูกาลนี้ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เลยกำหนดเดิมคือวันที่ 1 มิถุนายน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2020 แมตต์ แฮนคอก เลขาธิการแห่งรัฐเพื่อการดูแลสุขภาพและสังคม เรียกร้องให้ผู้เล่นในพรีเมียร์ลีกลดค่าจ้างของตัวเองระหว่างการระบาดทั่ว[33] สมาคมนักฟุตบอลอาชีพ ปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว เพราะพวกเขารู้สึกว่าจะทำให้มีผลกระทบต่อ กระทรวงการคลัง ด้วยการสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้[34] หลายสโมสร รวมไปถึง วอตฟอร์ด, เซาแทมป์ตันและเวสต์แฮมยูไนเต็ด ตกลงที่ชะลอการจ่ายค่าจ้างให้กับผู้เล่น[35] ต่อมาในเดือนเมษายน พรีเมียร์ลีกได้ทำแผน เรียกว่า โปรเจก รีสตาร์ต เป้าหมายคือแข่งขันนัดที่เหลือจำนวน 92 นัดในช่วงระยะเวลาหกสัปดาห์ ณ สนามกลางที่ได้รับการอนุมัติ[36] วอตฟอร์ด, แอสตันวิลลาและไบรตัน เป็นทีมที่อยู่ใกล้ท้ายตาราง ให้ความคิดเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะให้แข่งขันในสนามกลาง ในขณะที่มีสถานะที่เสี่ยงจะตกชั้น แต่จะได้เปรียบถ้าไม่มีการตกชั้น[37][38] ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2020 ผู้เล่นอนุญาตให้ฝึกซ้อมเป็นกลุ่ม เพื่อเตรียมตัวการกลับมาแข่งขันอีกครั้งของลีก พวกเขาได้รับอนุญาตให้อยู่ในกลุ่มได้ไม่เกินห้าคน พร้อมกับให้ช่วงเวลาในการฝึกซ้อมของแต่ละผู้เล่นไม่เกิน 75 นาที และต้องปฏิบัติตามกฏการเว้นระยะห่างทางสังคมในช่วงเวลาการฝึกซ้อม[39] เมื่อวันที่ 17 และ 18 พฤษภาคม ผู้เล่นและทีมงานทั้งหมดถูกตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 มีหกคนมีผลตรวจเลือดเป็นบวก รวมไปถึง เอเดรียน มาริอัปปา ผู้เล่นของวอตฟอร์ดและ เอียน โวน ผู้ช่วยผู้จัดการทีมเบิร์นลีย์[40][41][42] ต่อมาในเดือนพฤษภาคม แอรอน แรมสเดล ผู้เล่นของบอร์นมัท มีผลตรวจเลือดเป็นบวก[43]
ผู้เล่นจำนวนหนึ่ง รวมไปถึง ราฮีม สเตอร์ลิงกับเซร์ฆิโอ อาเกวโรของแมนเชสเตอร์ซิตี และแอรอน เครสเวลล์ของเวสต์แฮมยูไนเต็ด แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในแคมเปญการเริ่มการแข่งขันใหม่อีกครั้ง แดนนี โรสของนิวคาสเซิลยูไนเต็ดเรียกการตัดสินใจที่จะเริ่มใหม่ว่าเป็น "เรื่องตลก"[44][45] ทรอย ดีนีย์ของวอตฟอร์ดกล่าวว่า เขาจะไม่กลับมาซ้อมเพราะกลัวจะกระทบต่อสุขภาพของครอบครัวของเขา[46] อึงโกโล ก็องเตของเชลซีพลาดการซ้อมเพราะกังวลด้านความปลอดภัย[47] เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม สโมสรในพรีเมียร์ลีก ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้สามารถซ้อมโดยมีการสัมผัสตัวได้[48] ไทโรน มิงส์ของแอสตันวิลลา กล่าวว่า เหล่าผู้เล่นไม่เคยได้รับการปรึกษาเกี่ยวกับการเริ่มกลับมาแข่งขันใหม่เลยและเพราะว่ามัน "ขับเคลื่อนด้วยเงิน"[49]
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม สโมสรในพรีเมียร์ลีกตกลงที่จะกลับมาแข่งขันต่อในวันที่ 17 มิถุนายน[50] เริ่มต้นด้วยนัดตกค้างสองเกม ได้แก่ แมนเชสเตอร์ซิตี พบกับ อาร์เซนอล และ แอสตันวิลลา พบกับ เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด[51] แล้วเริ่มการแข่งขันเต็มรูปแบบในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์วันที่ 19–21 มิถุนายน ซึ่งหยุดไปตั้งแต่เดือนมีนาคม ในช่วงแรกการแข่งขันนัดที่เหลือนั้นจะแข่งโดยไม่มีผู้ชมในสนาม และส่วนหนึ่งของการกลับมาแข่งขันต่อ พรีเมียร์ลีกยังได้อนุญาตให้ บีบีซีสปอร์ต ถ่ายทอดสดฟุตบอลจำนวนสี่นัด เป็นครั้งแรกที่ช่องดังกล่าวถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ตั้งแต่ก่อตั้งลีกเมื่อปี ค.ศ. 1992 ซึ่ง[52] นอกจากนี้ ช่องฟรีทีวี พิก (มี สกาย เป็นเจ้าของ) จะถ่ายทอดสด 25 นัดที่เหลือ[53] แอมะซอนไพร์ม ยังได้จัดสรรการถ่ายทอดสดฟุตบอลจำนวนสี่นัดซึ่งสามารถชมได้โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าสมาชิก[54]
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พรีเมียร์ลีกประกาศอนุญาตให้ทีมใส่ชื่อผู้เล่นตัวสำรองได้ถึงเก้าคนต่อนัด จากปกติเจ็ดคน และสามารถเปลี่ยนตัวได้ห้าคนจากเดิมสามคน[55]
ดีลอยต์ บริษัทผู้ให้บริการทางการเงิน ประมาณการว่าสโมสรในพรีเมียร์ลีกจะสูญเสียรายได้จำนวน 1 พันล้านปอนด์ในฤดูกาล 2019–20 และอีก 500 ล้านปอนด์ สำหรับการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ถ่ายทอดสดและรายได้จากในวันแข่งขัน[56]
มีการตรวจหาเชื้อไวรัสในวันที่ 11 และ 12 มิถุนายน พบผู้มีผลตรวจเลือดเป็นบวกสองคนโดยไม่เปิดเผยชื่อ โดนคนหนึ่งเป็นผู้เล่นจากนอริชซิตีซึ่งจำเป็นต้องกักตัว ทำให้ไม่สามารถลงแข่งขันได้ พบผู้มีผลตรวจเลือดเป็นบวกจำนวน 16 คน จากการตรวจเลือดทั้งหมด 8,687 เคส[57]
ก่อนการกลับมาแข่งขันกันอีกครั้ง พรีเมียร์ลีกได้จัดทำแนวทางที่จะต้องปฏิบัติตามในทุกนัด โดยทุกนัดจะต้องแข่งขันโดยไม่มีผู้ชม จำกัดเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในสนามได้ไม่เกิน 300 คน ทุกสนามถูกแบ่งออกเป็นสามโซน ได้แก่ โซนสีแดง (ในสนามและเขตเทคนิค), โซนสีเหลือง (อัฒจันทร์) และโซนสีเขียว (ด้านนอกสนาม) โดยมีข้อจำกัดว่าใครได้รับอนุญาตให้เข้าโซนไหนได้บ้าง การตั้งแถวบนสนามของผู้เล่นและทีมงานต้องยืนสลับฟันปลาและไม่มีการจับมือก่อนแข่งขัน มีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบนธงของมุมธง, เสาประตู, ป้ายเปลี่ยนตัวและลูกบอล ก่อนและหลังการแข่งขันทุกครั้ง ผู้เล่นและทีมงานผู้ฝึกสอนระหว่างการเดินทางไปแข่งขัน ต้องรักษาระยะห่างทางสังคม การสัมภาษณ์หลังการแข่งขันต้องทำบนสนามและการแถลงข่าวต้องทำแบบออนไลน์[58]
ทีมที่เข้าแข่งขันในฤดูกาลนี้มีทั้งหมด 20 ทีม โดยแบ่งเป็น 17 ทีมมาจากฤดูกาลก่อนหน้านี้และ 3 ทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมาจากอีเอฟแอลแชมเปียนชิป ทีมที่เลื่อนชั้น ได้แก่ นอริชซิตี, เชฟฟีลด์ยูไนเต็ดและแอสตันวิลลา นอริชซิตีและแอสตันวิลลา กลับมาแข่งขั้นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้งหลังตกชั้นไปสามปี ขณะที่เชฟฟีลด์ยูไนเต็ดกลับมาหลังตกชั้นไปสิบสองปี โดยทั้งสามทีมแทนที่ คาร์ดิฟฟ์ซิตี, ฟูลัม (ทั้งสองทีมตกชั้นหลังแข่งขันในพรีเมียร์ลีกแค่หนึ่งฤดูกาล) และฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ (ตกชั้นหลังแข่งขันในพรีเมียร์ลีกแค่สองฤดูกาล) การตกชั้นของคาร์ดิฟฟ์ซิตีทำให้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ฤดูกาล 2010–11 ที่ไม่มีทีมจากเวลส์เข้าแข่งขัน
ทีม | ผู้จัดการทีม | กัปตัน | ผู้ผลิตเสื้อ | ผู้สนับสนุน (อก) | ผู้สนับสนุน (แขนซ้าย) |
---|---|---|---|---|---|
อาร์เซนอล | มิเกล อาร์เตตา | ปีแยร์-แอเมอริก โอบาเมอย็องก์ | อาดิดาส | เอมิเรตส์[60] | วิสิตรวันดา[61] |
แอสตันวิลลา | ดีน สมิท | แจ็ก กรีลิช | แคปปา[62] | ดับบลิว88[63] | บีอาร์88 [64] |
บอร์นมัท | เอ็ดดี ฮาว | ไซมอน ฟรานซิส | อัมโบร[65] | เอ็ม88[66] | |
ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน | แกรแฮม พอตเตอร์ | ลูวิส ดังก์ | ไนกี้[67] | อเมริกันเอ็กซ์เพรส[67] | เจดี[68] |
เบิร์นลีย์ | ชอน ไดช์ | เบน มี | อัมโบร | เลิฟเบ็ต[69] | |
เชลซี | แฟรงก์ แลมพาร์ด | เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา | ไนกี้[70] | โยโกฮามะไทรส์[71] | ฮุนได[72] |
คริสตัลพาเลซ | รอย ฮอดจ์สัน | ลูคา มิลิวอเยวิช | พูมา[73] | แมนเบ็ตเอ็กซ์[74] | Dongqiudi |
เอฟเวอร์ตัน | การ์โล อันเชลอตตี | เซมัส โคลแมน | อัมโบร[75] | สปอร์ตเปซา[76] | แอ็งกรีเบิดส์[77] |
เลสเตอร์ซิตี | เบรนดัน ร็อดเจอส์ | เวส มอร์แกน | อาดิดาส[78] | คิง เพาเวอร์[79] | เบียร์ไซ่ง่อน[80] |
ลิเวอร์พูล | เยือร์เกิน คล็อพ | จอร์แดน เฮนเดอร์สัน | นิวบาลานซ์[81] | สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด[82] | เวสเทิร์นยูเนียน[83] |
แมนเชสเตอร์ซิตี | แป็ป กวาร์ดิออลา | ดาบิด ซิลบา | พูมา[84] | เอทิฮัดแอร์เวส์[85] | เน็กซ์เซนไทร[86] |
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ | แฮร์รี แมไกวร์[87] | อาดิดาส[88] | เชฟโรเลต[89] | โคห์เลอร์[90] |
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | สตีฟ บรูซ | จามาล ลาสเซลส์ | พูมา[91] | ฟัน88[92] | รอประกาศ |
นอริชซิตี | ดานีเอิล ฟาร์เคอ | แกรนต์ แฮนลีย์ | เอร์เรอา | ดาฟาเบท[93] | เบสต์เฟรนส์[94] |
เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด | คริส วิลเดอร์ | บิลลี ชาร์ป | อาดิดาส | ยูเนียนสแตนดาร์ดกรุป[95] | |
เซาแทมป์ตัน | รัล์ฟ ฮาเซินฮึทเทิล | ปีแยร์-เอมีล เฮยบีแยร์ | อันเดอร์อาร์เมอร์[96] | แอลดีสปอตส์[97] | เวอร์จินมีเดีย[98] |
ทอตนัมฮอตสเปอร์ | โชเซ มูรีนโย | อูว์โก โยริส | ไนกี้[99] | เอไอเอ[100] | ไม่มี |
วอตฟอร์ด | เฮย์เดน มัลลินส์ (รักษาการ) | ทรอย ดีนีย์ | อาดิดาส[101] | สปอตส์เบ็ตดอตไอโอ[102] | บิตคอยน์[103] |
เวสต์แฮมยูไนเต็ด | เดวิด มอยส์ | มาร์ก โนเบิล | อัมโบร[104] | เบ็ตเวย์[105] | บาสเซ็ตแอนด์โกลด์[106] |
วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | นือนู เอสปีรีตู ซังตู | คอเนอร์ โคอาดี | อาดิดาส[107] | แมนเบ็ตเอ็กซ์[108] | คอยน์ดีล[109] |
ทีม | ผู้จัดการที่ออก | สาเหตุที่ออก | วันที่ตำแหน่งว่าง | อันดับในตารางคะแนน | ผู้จัดการคนใหม่ | วันที่ได้รับการแต่งตั้ง |
---|---|---|---|---|---|---|
ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน | คริส ฮิวตัน[110] | ถูกไล่ออก | 13 พฤษภาคม 2019 | ก่อนฤดูกาล | แกรแฮม พอตเตอร์[111] | 20 พฤษภาคม 2019 |
เชลซี | เมารีซีโอ ซาร์รี[112] | เซ็นสัญญากับยูเวนตุส | 16 มิถุนายน 2019 | แฟรงก์ แลมพาร์ด[113] | 4 กรกฎาคม 2019 | |
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | ราฟาเอล เบนิเตซ[114] | สิ้นสุดสัญญา | 30 มิถุนายน 2019 | สตีฟ บรูซ | 17 กรกฎาคม 2019 | |
วอตฟอร์ด | ฆาบิ กราซิอา[115] | ถูกไล่ออก | 7 กันยายน 2019 | อันดับที่ 20 | กิเก ซันเชซ โฟลเรส[115] | 7 กันยายน 2019 |
ทอตนัมฮอตสเปอร์ | เมาริซิโอ โปเชติโน[116] | 19 พฤศจิกายน 2019 | อันดับที่ 14 | โชเซ มูรีนโย[117] | 20 พฤศจิกายน 2019 | |
อาร์เซนอล | อูไน เอเมรี[118] | 29 พฤศจิกายน 2019 | อันดับที่ 8 | มิเกล อาร์เตตา[119] | 20 ธันวาคม 2019 | |
วอตฟอร์ด | กิเก ซันเชซ โฟลเรส[120] | 1 ธันวาคม 2019 | อันดับที่ 20 | ไนเจล เพียร์สัน[121] | 6 ธันวาคม 2019 | |
เอฟเวอร์ตัน | มาร์กู ซิลวา[122] | 5 ธันวาคม 2019 | อันดับที่ 18 | การ์โล อันเชลอตตี[123] | 21 ธันวาคม 2019 | |
เวสต์แฮมยูไนเต็ด | มานูเอล เปเลกรินิ[124] | 28 ธันวาคม 2019 | อันดับที่ 17 | เดวิด มอยส์[125] | 29 ธันวาคม 2019 | |
วอตฟอร์ด | ไนเจล เพียร์สัน[126] | 19 กรกฎาคม 2020 | อันดับที่ 17 | เฮย์เดน มัลลินส์ (รักษาการ)[127] | 19 กรกฎาคม 2020 |
อันดับ | ทีม | เล่น | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ได้ | เสีย | ต่าง | คะแนน | การผ่านเข้ารอบหรือการตกชั้น |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | ลิเวอร์พูล (C) | 38 | 32 | 3 | 3 | 85 | 33 | +52 | 99 | ผ่านเข้าสู่แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม |
2 | แมนเชสเตอร์ซิตี | 38 | 26 | 3 | 9 | 102 | 35 | +67 | 81 | |
3 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 38 | 18 | 12 | 8 | 66 | 36 | +30 | 66 | |
4 | เชลซี | 38 | 20 | 6 | 12 | 69 | 54 | +15 | 66 | |
5 | เลสเตอร์ซิตี | 38 | 18 | 8 | 12 | 67 | 41 | +26 | 62 | ผ่านเข้าสู่ยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม |
6 | ทอตนัมฮอตสเปอร์ | 38 | 16 | 11 | 11 | 61 | 47 | +14 | 59 | ผ่านเข้าสู่ยูโรปาลีก รอบคัดเลือกรอบสอง[a] |
7 | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | 38 | 15 | 14 | 9 | 51 | 40 | +11 | 59 | |
8 | อาร์เซนอล | 38 | 14 | 14 | 10 | 56 | 48 | +8 | 56 | ผ่านเข้าสู่ยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม[b] |
9 | เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด | 38 | 14 | 12 | 12 | 39 | 39 | 0 | 54 | |
10 | เบิร์นลีย์ | 38 | 15 | 9 | 14 | 43 | 50 | −7 | 54 | |
11 | เซาแทมป์ตัน | 38 | 15 | 7 | 16 | 51 | 60 | −9 | 52 | |
12 | เอฟเวอร์ตัน | 38 | 13 | 10 | 15 | 44 | 56 | −12 | 49 | |
13 | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | 38 | 11 | 11 | 16 | 38 | 58 | −20 | 44 | |
14 | คริสตัลพาเลซ | 38 | 11 | 10 | 17 | 31 | 50 | −19 | 43 | |
15 | ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน | 38 | 9 | 14 | 15 | 39 | 54 | −15 | 41 | |
16 | เวสต์แฮมยูไนเต็ด | 38 | 10 | 9 | 19 | 49 | 62 | −13 | 39 | |
17 | แอสตันวิลลา | 38 | 9 | 8 | 21 | 41 | 67 | −26 | 35 | |
18 | บอร์นมัท (R) | 38 | 9 | 7 | 22 | 40 | 65 | −25 | 34 | ตกชั้นสู่อีเอฟแอลแชมเปียนชิป |
19 | วอตฟอร์ด (R) | 38 | 8 | 10 | 20 | 36 | 64 | −28 | 34 | |
20 | นอริชซิตี (R) | 38 | 5 | 6 | 27 | 26 | 75 | −49 | 21 |
เหย้า / เยือน | ARS | AVL | BOU | BHA | BUR | CHE | CRY | EVE | LEI | LIV | MCI | MUN | NEW | NOR | SHU | SOU | TOT | WAT | WHU | WOL |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อาร์เซนอล | — | 3–2 | 1–0 | 1–2 | 2–1 | 1–2 | 2–2 | 3–2 | 1–1 | 2–1 | 0–3 | 2–0 | 4–0 | 4–0 | 1–1 | 2–2 | 2–2 | 3–2 | 1–0 | 1–1 |
แอสตันวิลลา | 1–0 | — | 1–2 | 2–1 | 2–2 | 1–2 | 2–0 | 2–0 | 1–4 | 1–2 | 1–6 | 0–3 | 2–0 | 1–0 | 0–0 | 1–3 | 2–3 | 2–1 | 0–0 | 0–1 |
บอร์นมัท | 1–1 | 2–1 | — | 3–1 | 0–1 | 2–2 | 0–2 | 3–1 | 4–1 | 0–3 | 1–3 | 1–0 | 1–4 | 0–0 | 1–1 | 0–2 | 0–0 | 0–3 | 2–2 | 1–2 |
ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน | 2–1 | 1–1 | 2–0 | — | 1–1 | 1–1 | 0–1 | 3–2 | 0–2 | 1–3 | 0–5 | 0–3 | 0–0 | 2–0 | 0–1 | 0–2 | 3–0 | 1–1 | 1–1 | 2–2 |
เบิร์นลีย์ | 0–0 | 1–2 | 3–0 | 1–2 | — | 2–4 | 0–2 | 1–0 | 2–1 | 0–3 | 1–4 | 0–2 | 1–0 | 2–0 | 1–1 | 3–0 | 1–1 | 1–0 | 3–0 | 1–1 |
เชลซี | 2–2 | 2–1 | 0–1 | 2–0 | 3–0 | — | 2–0 | 4–0 | 1–1 | 1–2 | 2–1 | 0–2 | 1–0 | 1–0 | 2–2 | 0–2 | 2–1 | 3–0 | 0–1 | 2–0 |
คริสตัลพาเลซ | 1–1 | 1–0 | 1–0 | 1–1 | 0–1 | 2–3 | — | 0–0 | 0–2 | 1–2 | 0–2 | 0–2 | 1–0 | 2–0 | 0–1 | 0–2 | 1–1 | 1–0 | 2–1 | 1–1 |
เอฟเวอร์ตัน | 0–0 | 1–1 | 1–3 | 1–0 | 1–0 | 3–1 | 3–1 | — | 2–1 | 0–0 | 1–3 | 1–1 | 2–2 | 0–2 | 0–2 | 1–1 | 1–1 | 1–0 | 2–0 | 3–2 |
เลสเตอร์ซิตี | 2–0 | 4–0 | 3–1 | 0–0 | 2–1 | 2–2 | 3–0 | 2–1 | — | 0–4 | 0–1 | 0–2 | 5–0 | 1–1 | 2–0 | 1–2 | 2–1 | 2–0 | 4–1 | 0–0 |
ลิเวอร์พูล | 3–1 | 2–0 | 2–1 | 2–1 | 1–1 | 5–3 | 4–0 | 5–2 | 2–1 | — | 3–1 | 2–0 | 3–1 | 4–1 | 2–0 | 4–0 | 2–1 | 2–0 | 3–2 | 1–0 |
แมนเชสเตอร์ซิตี | 3–0 | 3–0 | 2–1 | 4–0 | 5–0 | 2–1 | 2–2 | 2–1 | 3–1 | 4–0 | — | 1–2 | 5–0 | 5–0 | 2–0 | 2–1 | 2–2 | 8–0 | 2–0 | 0–2 |
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 1–1 | 2–2 | 5–2 | 3–1 | 0–2 | 4–0 | 1–2 | 1–1 | 1–0 | 1–1 | 2–0 | — | 4–1 | 4–0 | 3–0 | 2–2 | 2–1 | 3–0 | 1–1 | 0–0 |
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | 0–1 | 1–1 | 2–1 | 0–0 | 0–0 | 1–0 | 1–0 | 1–2 | 0–3 | 1–3 | 2–2 | 1–0 | — | 0–0 | 3–0 | 2–1 | 1–3 | 1–1 | 2–2 | 1–1 |
นอริชซิตี | 2–2 | 1–5 | 1–0 | 0–1 | 0–2 | 2–3 | 1–1 | 0–1 | 1–0 | 0–1 | 3–2 | 1–3 | 3–1 | — | 1–2 | 0–3 | 2–2 | 0–2 | 0–4 | 1–2 |
เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด | 1–0 | 2–0 | 2–1 | 1–1 | 3–0 | 3–0 | 1–0 | 0–1 | 1–2 | 0–1 | 0–1 | 3–3 | 0–2 | 1–0 | — | 0–1 | 3–1 | 1–1 | 1–0 | 1–0 |
เซาแทมป์ตัน | 0–2 | 2–0 | 1–3 | 1–1 | 1–2 | 1–4 | 1–1 | 1–2 | 0–9 | 1–2 | 1–0 | 1–1 | 0–1 | 2–1 | 3–1 | — | 1–0 | 2–1 | 0–1 | 2–3 |
ทอตนัมฮอตสเปอร์ | 2–1 | 3–1 | 3–2 | 2–1 | 5–0 | 0–2 | 4–0 | 1–0 | 3–0 | 0–1 | 2–0 | 1–1 | 0–1 | 2–1 | 1–1 | 2–1 | — | 1–1 | 2–0 | 2–3 |
วอตฟอร์ด | 2–2 | 3–0 | 0–0 | 0–3 | 0–3 | 1–2 | 0–0 | 2–3 | 1–1 | 3–0 | 0–4 | 2–0 | 2–1 | 2–1 | 0–0 | 1–3 | 0–0 | — | 1–3 | 2–1 |
เวสต์แฮมยูไนเต็ด | 1–3 | 1–1 | 4–0 | 3–3 | 0–1 | 3–2 | 1–2 | 1–1 | 1–2 | 0–2 | 0–5 | 2–0 | 2–3 | 2–0 | 1–1 | 3–1 | 2–3 | 3–1 | — | 0–2 |
วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | 0–2 | 2–1 | 1–0 | 0–0 | 1–1 | 2–5 | 2–0 | 3–0 | 0–0 | 1–2 | 3–2 | 1–1 | 1–1 | 3–0 | 1–1 | 1–1 | 1–2 | 2–0 | 2–0 | — |
อันดับ | ผู้เล่น | สโมสร | ประตู[129] |
---|---|---|---|
1 | เจมี วาร์ดี | เลสเตอร์ซิตี | 23 |
2 | ปีแยร์-แอเมอริก โอบาเมอย็องก์ | อาร์เซนอล | 22 |
แดนนี อิงส์ | เซาแทมป์ตัน | ||
4 | ราฮีม สเตอร์ลิง | แมนเชสเตอร์ซิตี | 20 |
5 | มุฮัมมัด เศาะลาห์ | ลิเวอร์พูล | 19 |
6 | แฮร์รี เคน | ทอตนัมฮอตสเปอร์ | 18 |
ซาดีโย มาเน | ลิเวอร์พูล | ||
8 | ราอุล ฆิเมเนซ | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | 17 |
อ็องตอนี มาร์ซียาล | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | ||
มาร์คัส แรชฟอร์ด | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | ||
ผู้เล่น | ทีม | พบกับทีม | ผล | วันที่ |
---|---|---|---|---|
ราฮีม สเตอร์ลิง | แมนเชสเตอร์ซิตี | เวสต์แฮมยูไนเต็ด | 5–0 (A)[130] | 10 สิงหาคม 2019 |
ตีมู ปุกกี | นอริชซิตี | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | 3–1 (H)[131] | 17 สิงหาคม 2019 |
แทมมี อับราฮัม | เชลซี | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | 5–2 (A)[132] | 14 กันยายน 2019 |
บือร์นาร์ดู ซิลวา | แมนเชสเตอร์ซิตี | วอตฟอร์ด | 8–0 (H)[133] | 21 กันยายน 2019 |
อาโยเซ เปเรซ | เลสเตอร์ซิตี | เซาแทมป์ตัน | 9–0 (A)[134] | 25 ตุลาคม 2019 |
เจมี วาร์ดี | ||||
คริสเตียน พูลิซิช | เชลซี | เบิร์นลีย์ | 4–2 (A)[135] | 26 ตุลาคม 2019 |
เซร์ฆิโอ อาเกวโร | แมนเชสเตอร์ซิตี | แอสตันวิลลา | 6–1 (A)[136] | 12 มกราคม 2020 |
อ็องตอนี มาร์ซียาล | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด | 3–0 (H)[137] | 24 มิถุนายน 2020 |
มีชาอิล อันโตนีโอ4 | เวสต์แฮมยูไนเต็ด | นอริชซิตี | 4–0 (A)[138] | 11 กรกฎาคม 2020 |
ราฮีม สเตอร์ลิง | แมนเชสเตอร์ซิตี | ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน | 5–0 (A)[139] | 11 กรกฎาคม 2020 |
4 ผู้เล่นที่ทำ 4 ประตู; (H) – เหย้า ; (A) – เยือน
อันดับ | ผู้เล่น | สโมสร | การผ่านบอล[140] |
---|---|---|---|
1 | เกฟิน เดอ เบรยเนอ | แมนเชสเตอร์ซิตี | 20 |
2 | เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ | ลิเวอร์พูล | 13 |
3 | แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน | ลิเวอร์พูล | 12 |
4 | มุฮัมมัด เศาะลาห์ | ลิเวอร์พูล | 10 |
ดาบิด ซิลบา | แมนเชสเตอร์ซิตี | ||
ซน ฮึง-มิน | ทอตนัมฮอตสเปอร์ | ||
7 | ริยาฎ มะห์รัซ | แมนเชสเตอร์ซิตี | 9 |
อาดามา ตราโอเร | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | ||
9 | ฮาร์วีย์ บาร์นส์ | เลสเตอร์ซิตี | 8 |
โรแบร์ตู ฟีร์มีนู | ลิเวอร์พูล |
อันดับ | ผู้เล่น | สโมสร | จำนวนคลีนชีตส์[141] |
---|---|---|---|
1 | แอแดร์ซง | แมนเชสเตอร์ซิตี | 16 |
2 | นิก โพป | เบิร์นลีย์ | 15 |
3 | อาลีซง | ลิเวอร์พูล | 13 |
ดาบิด เด เฆอา | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | ||
ดีน เฮนเดอร์สัน | เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด | ||
รุย ปาตรีซียู | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | ||
แคสเปอร์ สไมเกิล | เลสเตอร์ซิตี | ||
8 | มาร์ติน ดูบรัฟกา | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | 11 |
9 | บิเซนเต กวยตา | คริสตัลพาเลซ | 10 |
10 | เบน ฟอสเตอร์ | วอตฟอร์ด | 9 |
จอร์แดน พิกฟอร์ด | เอฟเวอร์ตัน | ||
แมทิว ไรอัน | ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน |
เดือน | ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน | ผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือน | ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือน | อ้างอิง | |||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ผู้จัดการทีม | สโมสร | ผู้เล่น | สโมสร | ผู้เล่น | สโมสร | ||
สิงหาคม | เยือร์เกิน คล็อพ | ลิเวอร์พูล | ตีมู ปุกกี | นอริชซิตี | ฮาร์วีย์ บาร์นส์ | เลสเตอร์ซิตี | [146][147][148] |
กันยายน | ปีแยร์-แอเมอริก โอบาเมอย็องก์ | อาร์เซนอล | มุสซา เฌเนโป | เซาแทมป์ตัน | [149][150][151] | ||
ตุลาคม | แฟรงก์ แลมพาร์ด | เชลซี | เจมี วาร์ดี | เลสเตอร์ซิตี | แมตตี ลองสตัฟฟ์ | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | [152][153][154] |
พฤศจิกายน | เยือร์เกิน คล็อพ | ลิเวอร์พูล | ซาดีโย มาเน | ลิเวอร์พูล | เกฟิน เดอ เบรยเนอ | แมนเชสเตอร์ซิตี | [155][156][157] |
ธันวาคม | เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ | ซน ฮึง-มิน | ทอตนัมฮอตสเปอร์ | [158][159][160] | |||
มกราคม | เซร์ฆิโอ อาเกวโร | แมนเชสเตอร์ซิตี | แอลีเรซอ แจฮอนแบฆช์ | ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน | [161][162][163] | ||
กุมภาพันธ์ | ชอน ไดช์ | เบิร์นลีย์ | บรูนู ฟือร์นังดึช | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | มาเตจ วีดรา | เบิร์นลีย์ | [164][165][166] |
มิถุนายน | นูนู อึชปีรีตู ซังตู | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | บรูนู ฟือร์นังดึช | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | [167][168][169] |
รางวัล | ผู้ชนะเลิศ | สโมสร |
---|---|---|
นักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล | จอร์แดน เฮนเดอร์สัน[170] | ลิเวอร์พูล |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.