Remove ads
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จอร์แดน ไบรอัน เฮนเดอร์สัน เอ็มบีอี (อังกฤษ: Jordan Brian Henderson; เกิด 17 มิถุนายน ค.ศ. 1990) เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกองกลางให้แก่อาเอฟเซ อายักซ์ (สโมสรในเอเรอดีวีซี) และทีมชาติอังกฤษ
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | จอร์แดน ไบรอัน เฮนเดอร์สัน[1] | ||
วันเกิด | [2] | 17 มิถุนายน ค.ศ. 1990||
สถานที่เกิด | ซันเดอร์แลนด์ อังกฤษ | ||
ส่วนสูง | 1.82 เมตร (6 ฟุต 0 นิ้ว)[3] | ||
ตำแหน่ง | กองกลาง | ||
ข้อมูลสโมสร | |||
สโมสรปัจจุบัน | อายักซ์ | ||
หมายเลข | 6 | ||
สโมสรเยาวชน | |||
1998–2008 | ซันเดอร์แลนด์ | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) |
2008–2011 | ซันเดอร์แลนด์ | 71 | (4) |
2009 | → คอเวนทรีซิตี (ยืมตัว) | 10 | (1) |
2011–2023 | ลิเวอร์พูล | 360 | (29) |
2023–2024 | อัลอิตติฟาก | 17 | (0) |
2024– | อายักซ์ | 12 | (0) |
ทีมชาติ‡ | |||
2009 | อังกฤษ อายุไม่เกิน 19 ปี | 1 | (0) |
2009 | อังกฤษ อายุไม่เกิน 20 ปี | 1 | (0) |
2010–2013 | อังกฤษ อายุไม่เกิน 21 ปี | 27 | (4) |
2010– | อังกฤษ | 81 | (3) |
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 17 มกราคม 2024 ‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2023 |
เฮนเดอร์สันเคยเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 2008 โดยทำประตูไป 4 ประตู ปัจจุบันเขาได้ย้ายมาเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลใน ค.ศ. 2011 โดยสวมเสื้อหมายเลข 14 และเป็นรองกัปตันทีมลิเวอร์พูลใน ค.ศ. 2014 และในวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ลิเวอร์พูลแต่งตั้งเฮนเดอร์สันให้เป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูลแทนสตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมที่ย้ายไปอยู่แอลเอ แกลักซี
ในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ เฮนเดอร์สันลงแข่งมากกว่า 50 นัด ตั้งแต่ ค.ศ. 2010 ลงแข่งใน 4 ทัวร์นาเมนต์ใหญ่คือ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012, 2016 และฟุตบอลโลก 2014 และฟุตบอลโลก 2018 เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลอังกฤษแห่งปี 2 ครั้ง ในระดับอายุต่ำกว่า 21 ปี และรุ่นใหญ่ ถือเป็นนักฟุตบอลอังกฤษคนแรกที่ได้สองรุ่นควบกัน[4]
เฮนเดอร์สัน เติบโตมาจากระบบเยาวชนของ ซันเดอร์แลนด์ สโมสรที่เขาอยู่ด้วยตั้งแต่อายุ 7 ขวบ
ก่อนที่จะได้มีโอกาสประเดิมสนามให้ทีมแมวดำในเกมพบกับ เชลซี ในเดือนพฤศจิกายน 2008 เฮนเดอร์สันทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพาซันเดอร์แลนด์ ยู 18 คว้าแชมป์ลีกเยาวชนมาครองได้สำเร็จ
เฮนเดอร์สัน กลับมาเล่นกับต้นสังกัดจริงอย่างซันเดอร์แลนด์ อีกครั้ง รอบนี้เขาถูกดันขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัว โดยเล่นในตำแหน่งปีกขวา และด้วยผลงานที่เล่นได้อย่างสม่ำเสมอ ทีมแมวดำจึงตอบแทนเขาด้วยการมอบสัญญา 5 ปีให้รวมถึงเขายังได้รับเลือกให้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของซันเดอร์แลนด์ในปีนั้นด้วย
ฤดูกาล 2010-11 เฮนเดอร์สันยังคงเป็นตัวหลักของซันเดอร์แลนด์อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าอายุจะยังน้อยก็ตามโดย สตีฟ บรู้ซ บอสใหญ่แมวดำปรับเขามาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง ซึ่งทำให้ฟอร์มการเล่นของ เฮนเดอร์สัน ยิ่งโดดเด่นเข้าไปใหญ่เพราะตัวเขาเองมีทักษะในการจ่ายบอลและการอ่านเกม ที่ชาญฉลาดอยู่ในตัวอยู่แล้ว
เฮนเดอร์สัน ลงสนามช่วยทีมแมวดำไปครบ 38 นัดไม่มีขาดเรียกว่าเป็นหัวใจของทีมแมวดำอย่างแท้จริงและเขาก็คว้าตำแหน่งนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรมาครองได้อีกครั้งเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน
เฮนเดอร์สันอำลาถิ่นสเตเดียมออฟไลต์ โดยทิ้งผลงานการรับใช้ทีมบ้านเกิดเอาไว้ที่ 79 นัดและทำไปทั้งหมด 5 ประตู
เฮนเดอร์สัน ถูกส่งตัวไปขัดเกลาฝีเท้ากับ คอเวนทรีซิตี ในเดือนมกราคมปี 2009 ซึ่งที่นั่นเขาได้รับโอกาสลงสนามไปทั้งหมด 13 นัด ทำได้ 1 ประตูจากทุกถ้วยและน่าจะมีสถิติการลงสนามที่ดีกว่า นั้นด้วย ถ้าไม่ได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องพักยาวไปเสียก่อน
ในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2011 จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ย้ายจากซันเดอร์แลนด์มาอยู่กับลิเวอร์พูลด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ โดยเฮนเดอร์สันได้สวมเสื้อหมายเลข 14 พร้อมกับความคาดหวังว่าจะเป็น สตีเวน เจอร์ราร์ด คนต่อไปแห่งถิ่นแอนฟีลด์
ในวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 2011 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2011–12 เฮนเดอร์สัน ลงสนามเป็นนัดแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับทีมเก่าของเขา ซันเดอร์แลนด์ โดยเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2011 เฮนเดอร์สัน ลงสนามนัดที่สอง ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ อาร์เซนอล ที่เอมิเรตส์สเตเดียม 2-0 ต่อมา ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2011 เฮนเดอร์สัน ทำประตูแรกในสีเสื้อของลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ โบลตันวอนเดอเรอส์ 3-1
ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 เฮนเดอร์สัน ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง ในลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เจอกับ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ เฮนเดอร์สัน ได้พาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 มาครอง จากการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ผลประตูรวม 3-2 และเป็นแชมป์แรกของ เฮนเดอร์สัน นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ เฮนเดอร์สัน ได้ลงสนามครบ 90 นาที สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 1-2 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์เอฟเอคัพ อย่างน่าเสียดาย
ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ลงเล่นที่แอนฟีลด์นัดสุดท้ายในพรีเมียร์ลีกเจอกับ เชลซี อีกครั้ง โดย เฮนเดอร์สัน ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 2-0 ก่อนที่ ลิเวอร์พูล ล้างแค้น เชลซี ได้สำเร็จ 4-1 จบฤดูกาล เฮนเดอร์สัน ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 2 ประตูจาก 37 นัด
ในเดือนสิงหาคม 2012 เฮนเดอร์สัน มีโอกาสย้ายไปอยู่กับ ฟูลัม แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อไป
ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 เฮนเดอร์สัน ลงสนามเป็นตัวจริงนัดแรกในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ สวอนซีซิตี 0-0 ต่อมา ในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2012 เฮนเดอร์สัน ทำประตูแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในบอลยุโรป ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ อูดิเนเซ 1-0 ในยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2012–13
ในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีกในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอริชซิตี 5-0 ต่อมา ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ได้เปิดบอลให้ ลุยส์ ซัวเรซ ทำประตูขึ้นนำ 1-0 ก่อนที่ในครึ่งหลัง เฮนเดอร์สัน จะเป็นคนทำประตูที่สอง ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ อาร์เซนอล ที่เอมิเรตส์สเตเดียม 2-2 ต่อมา ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แอสตันวิลลา ที่วิลลาพาร์ก 2-1 ต่อมา ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 6-0 จบฤดูกาล เฮนเดอร์สัน ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 5 ประตูจาก 30 นัด
ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2013 ลีกคัพ รอบ 2 เฮนเดอร์สัน ได้ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอตส์เคาน์ตี ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 4-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 3 ลีกคัพ ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ ที่สเตเดียมออฟไลต์ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2013 เฮนเดอร์สัน ได้ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 5-0[5] [6]
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 4-3 ต่อมา ในวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน ได้ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 4-0 ต่อมา ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน โดนใบแดงไล่ออกจากสนามเป็นครั้งแรกในฟุตบอลอาชีพ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 3-2 ทำให้ เฮนเดอร์สันโดนแบน 3 นัด ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด เป็นนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ซิตี โดย เฮนเดอร์สัน ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย[7] จบฤดูกาล เฮนเดอร์สัน ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 4 ประตูจาก 35 นัด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009
ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2014 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2014–15 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ เซาแธมป์ตัน เฮนเดอร์สันได้เปิดบอลให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ทำประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 2-1[8] ต่อมา ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สันได้เปิดบอลให้ สเตอร์ลิง ทำประตูให้ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 3-0[9]
ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2014 สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ได้แต่งตั้ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ให้เป็นรองกัปตันทีมลิเวอร์พูลแทน ดาเนียล อักเกอร์ อดีตรองกัปตันทีมที่ย้ายทีมออกไป[10]
ในวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สันเปิดบอลให้ แอดัม ลัลลานา ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 1-0 ก่อนที่ในครึ่งหลัง เฮนเดอร์สัน จะเป็นคนทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 2-1[11] ต่อมา ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน ได้ทำประตูแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ ลูโดโกเร็ตส์ ราซกราด จาก บัลแกเรีย 2-2[12] ต่อมา ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน ได้ลงสนามนัดที่ 150 ให้กับ ลิเวอร์พูล และทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี ที่คิงเพาเวอร์สเตเดียม 3-1[13]
ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูลแทน สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ไม่ได้ลงสนามและทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 2-1[14] ต่อมา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูลอีกครั้งและได้ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เบิร์นลีย์ 2-0[15] ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน สวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูลและทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สวอนซีซิตี ที่ลิเบอร์ตีสเตเดียม 1-0[16] [17] ต่อมา ในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน ได้ยิงจุดโทษตีไข่แตกไล่ อาร์เซนอล แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-4[18] ต่อมา ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน ได้ตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล ไปจนถึงปี 2020 พร้อมค่าเหนื่อยเพิ่มเป็น 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์[19] [20]
ในวันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ได้แต่งตั้ง เฮนเดอร์สัน ให้เป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูลแทน สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมที่ย้ายไปอยู่ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี[21] ต่อมา ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สันเปิดบอลให้ คริสตีย็อง แบนเตเก ทำประตูให้แรกในสีเสื้อของลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ บอร์นมัท 1-0 แต่สุดท้าย เฮนเดอร์สัน มีอาการบาดเจ็บที่ส้นเท้าซ้าย ต่อมา ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สันเดินทางไปที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอาการบาดเจ็บที่เท้าของเขา ต่อมา เฮนเดอร์สันเดินทางกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากบินไปรักษาอาการเจ็บที่ส้นเท้าซ้าย และลงซ้อมกับเพื่อนร่วมทีม อย่างไรก็ตาม 2 วันต่อมา เฮนเดอร์สันโชคร้ายได้รับบาดเจ็บหนักที่กระดูกฝ่าเท้าข้างขวาแตก และคาดว่าต้องใช้เวลาพักฟื้นถึง 2 เดือน
ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สันกลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน โรแบร์ตู ฟีร์มีนู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 1-0 ต่อมา ในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2015 เฮนเดอร์สัน ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 2-2[22] ต่อมา ในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2016 เฮนเดอร์สัน ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริชซิตี ที่แคร์โรว์โรด 5-4[23]
ในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 2016 เฮนเดอร์สันมีอาการบาดเจ็บที่เอ็นยึดข้อเข่าด้านนอกในยูฟ่ายูโรปาลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ที่ซิกนัล อิดูนา พาร์ค สเตเดียม 1-1 และคาดว่าต้องใช้เวลาพักฟื้นถึง 6-8 สัปดาห์ ต่อมา ในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 พรีเมียร์ลีก นัดปิดฤดูกาล เฮนเดอร์สัน กลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยลงสนามเป็นตัวสำรอง ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน ที่เดอะฮอว์ทอนส์ 1-1
ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2016 เฮนเดอร์สันทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2016–17 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ 2-1[24] และประตูนี้ของเฮนเดอร์สันทำให้ได้รับการโหวตเป็นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายนจากพรีเมียร์ลีก[25] ต่อมา ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 เฮนเดอร์สันลงเล่นนัดสุดท้ายในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-0 หลังจากนั้น เฮนเดอร์สันมีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่ส้นเท้า ส่งผลให้เฮนเดอร์สันหมดสิทธิ์ลงเล่นตลอดทั้งฤดูกาลแล้ว
ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2017 เฮนเดอร์สันทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017–18 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี ที่คิงเพาเวอร์สเตเดียม 3-2[26]
ในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2018 เฮนเดอร์สันตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล[27] ต่อมา ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 เฮนเดอร์สัน โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ วอตฟอร์ด ที่วิคาริจโรด 3-0
ในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 2019 เฮนเดอร์สันทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 3-1[28] ต่อมา ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2019 ลิเวอร์พูล เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่วันดาเมโตรโปลิตาโน ในมาดริด, ประเทศสเปน สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 ได้สำเร็จ[29] ทำให้ เฮนเดอร์สันเป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูลคนที่ 5 ที่ได้ชูถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2019 ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 ลิเวอร์พูล แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 เจอกับ เชลซี แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2018–19 ที่สนามโวดาโฟนพาร์ก, อิสตันบูล ประเทศตุรกี สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 5-4 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ สมัยที่ 4 ได้สำเร็จ[30] ต่อมา ในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2019 เฮนเดอร์สันทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1[31]
ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 นัดชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ ฟลาเม็งกู ตัวแทน คอนเมบอล ในฐานะแชมป์เก่าของ โกปาลิเบร์ตาโดเรส ที่สนามกีฬาแห่งชาติคาลิฟา ในโดฮา, ประเทศกาตาร์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟลาเม็งกู ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก สมัยแรกได้สำเร็จ[32] ทำให้ เฮนเดอร์สันเป็นกัปตันทีมชาวอังกฤษคนแรกที่ได้ชูถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ภายในปีเดียวกัน ต่อมา ในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2020 เฮนเดอร์สันทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ วูลฟ์แฮมตันวันเดอเรอส์ ที่สนามกีฬาโมลีนิวส์ 2-1[33] ต่อมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 เฮนเดอร์สันทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เซาแทมป์ตัน 4-0[34]
ในวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 เฮนเดอร์สันทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน ที่สนามกีฬาอเมริกันเอ็กซ์เพรสคอมมูนิตี 3-1[35] จบฤดูกาล เฮนเดอร์สันช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีได้สำเร็จ[36] ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ เฮนเดอร์สัน คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (เอฟดับเบิ้ลยูเอ)[37] เฮนเดอร์สันยังได้ติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ร่วมกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน, เฟอร์จิล ฟัน ไดก์ และ ซาดีโย มาเน 4 นักเตะของลิเวอร์พูล อีกด้วย[38]
ในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2020 เฮนเดอร์สันทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020–21 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 7-0[39] ต่อมาในปี 2021 เฮนเดอร์สันได้รับบาดเจ็บหนัก ส่งผลให้ เฮนเดอร์สันต้องพักยาวตลอดทั้งฤดูกาลแล้ว
ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2021 เฮนเดอร์สันตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูลถึงปี 2025[40] ต่อมา ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2021 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2021–22 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม B เฮนเดอร์สันทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2021–22 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอซี มิลาน จากอิตาลี 3-2[41] ต่อมา ในวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2021 เฮนเดอร์สันทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021–22 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน 2-2 ต่อมา ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2021 เฮนเดอร์สันทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสันพาร์ก 4-1[42]
ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 อีเอฟแอลคัพ 2022 นัดชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 11-10 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์อีเอฟแอลคัพ สมัยที่ 9 ได้สำเร็จ[43] ต่อมา ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2022 ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 6-5 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์เอฟเอคัพ สมัยที่ 8 ได้สำเร็จ[44] ต่อมา ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 พรีเมียร์ลีก นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ เป็นนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ซิตี ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ และต้องลุ้นให้ แมนเชสเตอร์ซิตี ไม่ชนะ แอสตันวิลลา ด้วย ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย ลิเวอร์พูล เอาชนะ วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 3-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ แอสตันวิลลา 3-2 ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย[45]
ในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2022 เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2022 ลิเวอร์พูล เจอกับ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่คิงเพาเวอร์สเตเดียม สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 3-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์คอมมิวนิตีชีลด์ สมัยที่ 16 ได้สำเร็จ[46]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 เฮนเดอร์สันลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เป็นนัดแรก ในนัดที่เจอกับ ฝรั่งเศส โดยลงสนามเป็นตัวจริงในตำแหน่งกองกลางคู่กับ สตีเวน เจอร์ราร์ด
ทีมชาติอังกฤษได้เรียกตัว จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ติดรายชื่อชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ที่โปแลนด์และยูเครนแทน แฟรงก์ แลมพาร์ด ที่มีอาการบาดเจ็บ เฮนเดอร์สัน ลงเล่นนัดแรกให้ทีมชาติ โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองแทน สก็อต พาร์กเกอร์ ในนัดที่เสมอกับ ฝรั่งเศส 1-1 และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่มดี อังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (เสมอ ฝรั่งเศส 1-1, ชนะ สวีเดน 3-2 และชนะ ยูเครน 1-0) โดยพาทีมเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย เฮนเดอร์สัน ลงมาเป็นตัวสำรองแทน สก็อต พาร์กเกอร์ อีกครั้งในช่วงต่อเวลาพิเศษในนัดที่เจอกับ อิตาลี แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ 2-4 หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลยูโร
ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ทีมชาติอังกฤษได้เรียกตัว จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล โดย อังกฤษ ได้อยู่กลุ่มดี ร่วมกับ อุรุกวัย, คอสตาริกา และ อิตาลี ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014 เฮนเดอร์สัน ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในฟุตบอลโลก กลุ่มดี ทั้ง 2 นัดในนัดที่แพ้ให้กับ อิตาลี และ อุรุกวัย 1-2 สุดท้าย อังกฤษ ก็ต้องตกรอบแรก ได้อันดับสุดท้ายของกลุ่มดี เสมอ 1 แพ้ 2 (แพ้ อิตาลี 1-2, แพ้ อุรุกวัย 1-2 และ เสมอ คอสตาริกา 0-0) ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่บราซิลเพียงรอบแรกเท่านั้น และเป็นครั้งแรกในรอบ 56 ปีที่อังกฤษตกรอบแรกฟุตบอลโลก
ทีมชาติอังกฤษเรียกตัวเฮนเดอร์สันติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ที่ฝรั่งเศส โดย อังกฤษ อยู่กลุ่มบี ร่วมกับ รัสเซีย, เวลส์ และ สโลวาเกีย คว้าอันดับ 2 ของกลุ่มบี ชนะ 1 เสมอ 2 โดยพาทีมเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับ ไอซ์แลนด์ แต่สุดท้าย อังกฤษ เป็นฝ่ายแพ้ไป 1-2 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่ฝรั่งเศสเพียงเท่านี้
ทีมชาติอังกฤษเรียกตัวเฮนเดอร์สันติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย โดย อังกฤษ ได้อยู่กลุ่มจี ร่วมกับ เบลเยียม, ปานามา และ ตูนิเซีย โดย อังกฤษ ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย คว้าอันดับ 2 ของกลุ่มจี ชนะ 2 แพ้ 1 สุดท้าย อังกฤษ เป็นฝ่ายแพ้ โครเอเชีย 1-2 ในรอบรองชนะเลิศ ต่อมาก็พ่ายแพ้ เบลเยียม 0-2 ทำให้ทีมชาติอังกฤษคว้าอันดับ 4 ต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่รัสเซียเพียงเท่านี้
ทีมชาติอังกฤษเรียกตัวเฮนเดอร์สันติดรายชื่อชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 โดย อังกฤษ ได้อยู่กลุ่มดี ร่วมกับ โครเอเชีย, เช็ก และ สกอตแลนด์ สุดท้าย อังกฤษ ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย คว้าอันดับ 1 ของกลุ่มดี ชนะ 2 เสมอ 1 โดยรอบ 16 ทีมสุดท้าย อังกฤษ เอาชนะ เยอรมนี 2-0 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับยูเครน โดย เฮนเดอร์สันทำประตูแรกในนามทีมชาติ อังกฤษ เอาชนะ ยูเครน 4-0 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศเจอกับ เดนมาร์ก และเอาชนะไป 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ และเข้าชิงชนะเลิศกับ อิตาลี แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษ หลังเสมอ 1-1 ใน 90 นาที ทำให้ อังกฤษ พลาดโอกาสคว้าแชมป์ยูโร อย่างน่าเสียดาย
ทีมชาติอังกฤษเรียกตัวเฮนเดอร์สันติดรายชื่อชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ โดย อังกฤษ ได้อยู่กลุ่มบี ร่วมกับ อิหร่าน, สหรัฐอเมริกา และ เวลส์ โดย อังกฤษ ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย คว้าอันดับ 1 ของกลุ่มบี ชนะ 2 เสมอ 1 โดยรอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับ เซเนกัล เฮนเดอร์สันทำประตูแรกในศึกฟุตบอลโลก อังกฤษ เอาชนะ เซเนกัล 3-0 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับแชมป์เก่า ฝรั่งเศส แต่สุดท้าย อังกฤษ เป็นฝ่ายแพ้ไป 1-2 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่กาตาร์เพียงเท่านี้
สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | เอฟเอคัพ | ลีกคัพ | ยุโรป | อื่นๆ | รวม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ดิวิชัน | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ||
ซันเดอร์แลนด์ | 2008–09[47] | พรีเมียร์ลีก | 1 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | — | — | 2 | 0 | ||
2009–10[48] | พรีเมียร์ลีก | 33 | 1 | 2 | 0 | 3 | 1 | — | — | 38 | 2 | |||
2010–11[49] | พรีเมียร์ลีก | 37 | 3 | 1 | 0 | 1 | 0 | — | — | 39 | 3 | |||
รวม | 71 | 4 | 3 | 0 | 5 | 1 | — | — | 79 | 5 | ||||
คอเวนทรีซิตี (ยืมตัว) | 2008–09[47] | แชมเปียนชิป | 10 | 1 | 3 | 0 | — | — | — | 13 | 1 | |||
ลิเวอร์พูล | 2011–12[50] | พรีเมียร์ลีก | 37 | 2 | 5 | 0 | 6 | 0 | — | — | 48 | 2 | ||
2012–13[51] | พรีเมียร์ลีก | 30 | 5 | 2 | 0 | 2 | 0 | 10[a] | 1 | — | 44 | 6 | ||
2013–14[52] | พรีเมียร์ลีก | 35 | 4 | 3 | 0 | 2 | 1 | — | — | 40 | 5 | |||
2014–15[53] | พรีเมียร์ลีก | 37 | 6 | 7 | 0 | 4 | 0 | 6[b] | 1 | — | 54 | 7 | ||
2015–16[54] | พรีเมียร์ลีก | 17 | 2 | 0 | 0 | 3 | 0 | 6[a] | 0 | — | 26 | 2 | ||
2016–17[55] | พรีเมียร์ลีก | 24 | 1 | 0 | 0 | 3 | 0 | — | — | 27 | 1 | |||
2017–18[56] | พรีเมียร์ลีก | 27 | 1 | 1 | 0 | 1 | 0 | 12[b] | 0 | — | 41 | 1 | ||
2018–19[57] | พรีเมียร์ลีก | 32 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 11[b] | 0 | — | 44 | 1 | ||
2019–20[58] | พรีเมียร์ลีก | 30 | 4 | 0 | 0 | 0 | 0 | 6[b] | 0 | 4[c] | 0 | 40 | 4 | |
2020–21[59] | พรีเมียร์ลีก | 21 | 1 | 1 | 0 | 0 | 0 | 6[b] | 0 | 0 | 0 | 28 | 1 | |
2021–22[60] | พรีเมียร์ลีก | 35 | 2 | 5 | 0 | 5 | 0 | 12[b] | 1 | 0 | 0 | 57 | 3 | |
2022–23[61] | พรีเมียร์ลีก | 35 | 0 | 2 | 0 | 1 | 0 | 4[b] | 0 | 1[d] | 0 | 43 | 0 | |
รวม | 360 | 29 | 26 | 0 | 28 | 1 | 73 | 3 | 5 | 0 | 492 | 33 | ||
รวมทั้งหมด | 441 | 34 | 32 | 0 | 33 | 2 | 73 | 3 | 5 | 0 | 584 | 39 |
ทีมชาติ | ปี | ลงเล่น | ประตู |
---|---|---|---|
อังกฤษ | 2010 | 1 | 0 |
2012 | 4 | 0 | |
2013 | 2 | 0 | |
2014 | 11 | 0 | |
2015 | 4 | 0 | |
2016 | 10 | 0 | |
2017 | 4 | 0 | |
2018 | 12 | 0 | |
2019 | 7 | 0 | |
2020 | 3 | 0 | |
2021 | 10 | 2 | |
2022 | 6 | 1 | |
2023 | 1 | 0 | |
รวม | 75 | 3 |
ลำดับ | วันที่ | สนาม | นัดที่ | คู่แข่ง | ประตู | ผล | รายการแข่งขัน | อ้างอิง |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | 3 กรกฎาคม 2021 | สตาดิโอ โอลิมปิโก โรม อิตาลี | 62 | ยูเครน | 4–0 | 4–0 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 | [63] |
2 | 12 พฤศจิกายน 2021 | Wembley Stadium, London, England | 68 | แอลเบเนีย | 3–0 | 5–0 | 2022 FIFA World Cup qualification | [64] |
3 | 4 ธันวาคม 2022 | Al Bayt Stadium, Al Khor, Qatar | 73 | เซเนกัล | 1–0 | 3–0 | 2022 FIFA World Cup | [65] |
ลิเวอร์พูล
อังกฤษ
รางวัลส่วนตัว
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.