Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกโอแฮร์ (Chicago O'Hare International Airport) ตั้งอยู่ที่ ชิคาโก, รัฐอิลลินอย, สหรัฐอเมริกา ห่างจากตัวเมืองชิคาโกไปทางตัวะนตกเฉียงเหนือ 27 กิโลเมตร (17 ไมล์) เป็นท่าอากาศยานหลักของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ และเป็นท่าอากาศยานรองของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ บริหารงานโดยกรมขนส่งทางอากาศเมืองชิคาโก (City of Chicago Department of Aviation)
Chicago O'Hare International Airport | |||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ข้อมูลสำคัญ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||
การใช้งาน | สาธารณะ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||
เจ้าของ | City of Chicago | ||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผู้ดำเนินงาน | Chicago Airport System | ||||||||||||||||||||||||||||||||||
พื้นที่บริการ | Chicago, Illinois, USA | ||||||||||||||||||||||||||||||||||
ฐานการบิน |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||
เหนือระดับน้ำทะเล | 668 ฟุต / 204 เมตร | ||||||||||||||||||||||||||||||||||
เว็บไซต์ | flychicago.com/Ohare/... | ||||||||||||||||||||||||||||||||||
แผนที่ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||
ทางวิ่ง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||
ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||
สถิติ (2009) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้าปี พ.ศ. 2548 โอแฮร์เคยเป็นท่าอากาศยานที่มีความหนาแน่นที่สุด ในกรณีการขึ้น-ลงของเครื่องบิน เนื่องจากในปีนั้นกรมการบินสหรัฐอเมิรกาได้ลดเที่ยวบินลง[3] เพื่อลดความล่าช้า จึงทำให้ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์-แจ็คสัน แอตแลนตากลายมาเป็นท่าอากาศยานที่มีความหนาแน่นที่สุด ส่วนโอแฮร์ตกมาเป็นอันดับที่ 2 และยังเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ด้วยจำนวนผู้โดยสาร 76,248,911 คน ในปีพ.ศ. 2549 ลดลง 0.3% จากปีพ.ศ. 2548 [4] ท่าอากาศยานโอแฮร์ยังให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศกว่า 60 เส้นทางบิน ในปีพ.ศ. 2548 โอแฮร์จัดเป็นประตูสู่สหรัฐอเมริกาลำดับที่ 4 เป็นรองจาก ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี ในนิวยอร์ก, ท่าอากาศยานนานาชาติลอสแอนเจลิส และท่าอากาศยานนานาชาติไมอามี ซึ่งมีจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศมาใช้บริการมากกว่า
ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นท่าอากาศยานยอดเยี่ยมของอเมริกาเหนือตลอดช่วง 9 ปีที่ผ่านมาจากการจัดอันดับของนิตยสาร Business Traveler Magazine (พ.ศ. 2541- 2546) และ Global Traveler Magazine (พ.ศ. 2548-2549) สร้างประวัติศาสตร์การเป็นท่าอากาศยานชั้นนำของโอแฮร์[5]
ถึงแม้ว่าโอแฮร์จะเป็นท่าอากาศยานหลัก แต่ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานอันดับสอง อยู่ใกล้กับย่านเศรษฐกิจของชิคาโก (Chicago Loop) มากกว่า
ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2485-2486 เป็นโรงงานผลิตเครื่องดักลาส ซี-54 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุที่เลือกที่ดินบริเวณนี้ก็เพราะว่าอยู่ใกล้กับตัวเมืองและการคมนาคมขนส่ง ด้วยพื้นที่ขนาด 180,000 ตารางเมตร (ประมาณ 2 ล้านตารางฟุต) ต้องการคมนาคมเข้าออกสะดวกสำหรับแรงงานจากเมืองที่กลายมาเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ และมีทางรถไฟรองรับ ชุมชนออร์คาร์ด เพลส (Orchard Place) เป็นชุมชนเล็กๆที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นมาก่อน จึงเรียกชื่อบริเวณนี้ว่าท่าอากาศยานออร์คาร์ด เพลส/ดักลาส ฟิลด์ (Orchard Place Airport/Douglas Field) ในช่วงระหว่างสงคราม (และเป็นที่มาของรหัส IATA - ORD) และยังเป็นคลังสรรพาวุธของการบิน 803 ซึ่งเก็บเครื่องบินหายาก หรือเครื่องบินรุ่นทดลองไว้ รวมทั้งเครื่องบินของฝ่ายข้าศึกที่ยึดมาได้ โดยเครื่องบินประวัติศาสตตร์เหล่านั้นได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์อากาศยานแห่งชาติ (National Air Museum) ในภายหลัง
สัญญาของบริษัทดักลาส แอร์คราฟต์ สิ้นสุดลงในปีพ.ศ. 2488 และแม้ว่าตามแผนการจะสร้างที่ผลิตเครื่องบินพาณิชย์ แต่บริษัทก็เลือกที่ผลิตจากทางภาคตะวันตกมากกว่า และถึงแม้บริษัทดักลาสจะออกจากพื้นที่ไป แต่ชื่อของท่าอากาศยานยังคงใช้ท่าอากาศยานออร์คาร์ด เพลส และในปีพ.ศ. 2488 นั้นเอง เมืองชิคาโกได้เข้ามาใช้พื้นที่แห่งนี้สำหรับรองรับความต้องการการบินในอนาคต และถึงแม้ว่ารหัสสนามบิน IATA จะยังคงใช้ ORD ที่มีที่มาจากชื่อเดิม แต่ก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อท่าอากาศยานใหม่ในปีพ.ศ. 2492 ตามชื่อของ เอ็ดเวิร์ด บุตช์ โอแฮร์ (Edward "Butch" O'Hare) นักบินเครื่องบินรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้ซึ่งได้รับเหรียญกล้าหาญ Medal of Honor
จนกระทั่งช่วงต้นทศวรรษ 1950 (พ.ศ. 2493) ท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโกมิดเวย์ ซึ่งเป็นท่าอากาศยายหลักของชิคาโกมาตั้งแต่พ.ศ. 2474 นั้นคับแคบและหนาแน่น แม้ว่าจะได้มีการขยายแล้วก็ตาม และยังไม่สามารถรองรับเครื่องบินเจ็ตรุ่นใหม่ได้ เมืองชิคาโกและการท่าอากาศยานสหรัฐอเมริกา (FAA) หันมาพัฒนาโอแฮร์ให้เป็นท่าอากาศยานหลักของชิคาโกแทน เที่ยวบินพาณาชย์เที่ยวแรกเริ่มให้บริการในปีพ.ศ. 2498 หลังจากนั้นได้สร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศขึ้นในปีพ.ศ. 2501 แต่เที่ยวภายภายในประเทศเส้นทางหลักยังคงใช้ที่มิดเวย์จนกระทั่งการขยายของโอแอร์แล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2505 การย้ายที่บินภายในประเทศจากมิดเวย์มายังโอแฮร์ ทำให้โอแฮร์กลายเป็นท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดของโลก รองรับผู้โดยสาร 10 ล้านคนต่อปี และในระยะเวลาเพียง 2 ปี จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในปีพ.ศ. 2540 จำนวนผู้โดยสารถึงระดับ 70 ล้านคน และขณะนี้เพิ่มเป็น 80 ล้านคนต่อปี
ปริมาณการใช้บริการจำนวนมากและปัญหาความหนาแน่นทำให้มีการยกเลิกเที่ยวบิน และทำให้เกิดความล่าช้าที่โอแฮร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบินทั่วสหรัฐอเมริกา มีรายงานอย่างเป็นทางการว่าโอแฮร์เป็นท่าอากาศยานที่ตรงต่อเวลาน้อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยวัดจากสัดส่วนของเที่ยวบินที่เกิดความล่าช้า ในปีพ.ศ. 2547 ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์ มีข้อตกลงร่วมกันที่จะปรับเปลี่ยนตารางเวลาบินเพื่อลดความคับคั่งทั้งขาเข้าและขาออก และเพราะการจราจรทั้งขาเข้า ขาออก และท่าอากาศยานบริเวณใกล้เคียง เจ้าหน้าที่หอบังคับการบินของโอแฮร์และเจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นๆต้องทำงานหนักมากที่สุดในโลก เนื่องด้วยปริมาณเที่ยวบินจำนวนมากต่อชั่วโมง
เมืองชิคาโกได้อนุมัติวงเงินทุน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของท่าอากาศยานอีกร้อยละ 60 และลดความล่าช้าลงประมาณร้อยละ 79[6] โดยแผนงานนี้ได้รับอนุมัติจากการท่าอากาศยานสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งเกี่ยงข้องกับการขยายพื้นที่ของท่าอากาศยานและอาคารผู้โดยสาร โดยจะมีทางวิ่ง 4 เส้น ที่สร้างเพิ่ม และรื้อถอนออกไป 3 เส้น ซึ่งจะทำให้มีทางวิ่งขนานกันทั้งหมด 8 เส้น คล้ายกับกรณีของดัลลาส โดยจะทำให้โอแฮร์ขยายขีดความสามารถที่จำกัดเพื่อที่โอแฮร์จะไม่เพลี้ยงพล้ำให้กับท่าอากาศยานใดๆ ในกรณีของจำนวนผู้โดยสารในอนาคต แผนการปรับปรุงนี้ได้เริ่มลงมือก่อสร้างแล้ว หลังจากที่เกิดความล่าช้ามานาน และทางวิ่งใหม่เส้นแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2551-2552 และจะขยายอาคารผู้โดยสาร 3 และ 5 ส่วนอาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะตั้งอยู่สุดทางฝั่งตะวันตกของพื้นที่ พร้อมกับทางเข้าออกใหม่ อย่าไรก็ตามจะต้องมีการเวนคืนที่ดินบางส่วน ประมาณ 2,800 ครัวเรือน โครงการนี้จะทำให้ท่าอากาศยานแห่งนี้สามารถรองรับการจราจรได้มากกว่า 3,800 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ประมาณ 2,700 เที่ยวบินต่อวัน และจะทำให้ความสามารถในการรองรับจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
มีการรวมตัวกันของชุมชนเบนเซนวิลล์ และเอลก์กรูฟวิลเลจ ในรัฐอิลลินอย ขึ้นเป็นคณะกรรมการชุมชนรอบบเมืองโอแฮร์ (Suburban O'Hare Commission)[7] เพื่อต่อต้านแผนปรับปรุงท่าอากาศยาน เพราะจะทำให้บ้านเรือน และธุรกิจร้านค้าต้องย้ายออกไปจากพื้นที่ ถึงแม้ว่าข้อเรียกร้องจะไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก แต่ก็ได้คำสั่งศาลให้คุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการขยายท่าอากาศยานออกไปก่อน อย่างไรก็ตามคำสั่งคุ้มครองก็ยกเลิกไปในภายหลังไม่นานนัก นอกจากนี้ทางคณะกกรมการชุมชนได้ยื่นข้อเสนอให้หันไปพัฒนาท่าอากาศยานอับราฮัม ลิงคอล์น เนชั่นเนลแทน เพื่อลดความแออัดของโอแฮร์ แต่ไม่มีสายการบินใดตอบรับข้อเสนอนี้
ในปีพ.ศ. 2538 เมืองชิคาโก และเมืองแกรี่ ในรัฐอินดีแอนา ได้จับมือกันตั้งกรรมการบริหารท่าอากาศยานนานาชาติแกรี่/ชิคาโกขึ้นมาปรับปรุงท่าอากาศยานแห่งนี้ขึ้นมาเป็นท่าอากาศยานอันดับ 3 ที่รองรับเมืองชิคาโก แต่แผนปฏิบัตินี้มีขนาดเล็กกว่าข้อเสนอปรับปรุงท่าอากาศยานอับบราฮัม ลินคอล์น แต่แกรี่/ชิคาโกก็มีความพร้อมตรงที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าชิคาโกมิดเวย์ รวมทั้งมีทางวิ่งให้บริการที่ยาวกว่าทางวิ่งที่ยาวที่สุดของชิคาโกมิดเวย์ อย่างไรก็ตามรัฐบาลรัฐอิลลินอยก็ไม่ได้เห็นพ้องกับเมืองชิคาโกเท่าใดนัก มีเพียงผู้ว่าการรัฐอินเดียนา มิตช์ แดเนียลส์ ที่ให้การสนับสนุนเงินทุนพัฒนาท่าอากาศยาน ซึ่งขณะนี้กำลังก่อสร้างขยายขนาดทางวิ่งอยู่ และองค์กรการบินสหรัฐอเมริกา (FAA) ก็เห็นชอบกับโครงการนี้ และเห็นความจำเป็นในการขยายขีดความสามารถทั้งของโอแฮร์ และแกรี่/ชิคาโก เพื่อรองรับเมืองชิคาโก
นอกจากนี้ยังมีท่าอากาศยานนานาชาติชิคาโก/ร็อคฟอร์ด ในเมืองร็อคฟอร์ด ที่มีความพยายามเสนอตัวเป็นทางเลือกเพื่อลดความแออัดของโอแฮร์ ปัญหาที่สำคัญของท่าอากาศยานแห่งนี้ก็คือ การจราจรระหว่างท่าอากาศยานกับโอแฮร์กับตัวเมืองชิคาโก ที่ยังไม่พร้อมที่ระรองรับการขยายตัว แต่นายกเทศมนตรีคนปัจจุบันของเมืองร็อคฟอร์ด แลร์รี่ มอร์ริสซีย์ ก็ได้เร่งสร้างระบบรถไฟความเร็วสูงระหว่างชิคาโก/ร็อคฟอร์ดและโอแฮร์ เพื่อสร้างโอกาสของท่าอากาศยานในอนาคต
ท่าอากาศยานนานาชาติเจเนรัลมิตเชลล์ ในมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน เป็นท่าอากาศยานอีกแห่งหนึ่งที่เสนอตัวเป็นทางเลือกของเมืองชิคาโก และเมืองทางตอนเหนือของอิลลินอยส์ และยังมีระบบรถไฟแอมแทร็ก เชื่อมต่อระหว่างท่าอากาศยานมิตเชลล์และเมืองชิคาโกอยู่แล้ว
ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์มีอาคารผู้โดยสาร 4 หลัง โดยกำลังพิจารณาก่อสร้างเพิ่มอีก 2 หลังหรือมากกว่า และมีความเป็นไปได้สูงที่จะสร้างกลุ่มอาคารผู้โดยสารทางฝั่งตะวันตกเพิ่มเติม
เที่ยวบินระหว่างประเทศจะให้บริการที่อาคารผู้โดยสาร 5
อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศเดิมที่สร้างเมื่อปีพ.ศ. 2498 ถูกแทนที่ด้วยอาคารผู้โดยสาร 1 ในปัจจุบันเมื่อปีพ.ศ. 2530 ซึ่งออกแบบโดยเฮลมุต ยาห์น
อาคารผู้โดยสาร 2 สร้างขึ้นเมื่อครั้งที่มีการขยายท่าอากาศยานในปีพ.ศ. 2505 พร้อมกับอาคารผู้โดยสาร 3
เที่ยวบินระหว่างประเทศจะให้บริการที่อาคารผู้โดยสาร 5
อาคารผู้โดยสาร 3 สร้างเมื่อพ.ศ. 2505 และได้มีการต่อเติมในปีพ.ศ. 2526 ในส่วนของคองคอส แอล ขณะนี้กำลังมีการปรับปรุงคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีพ.ศ. 2550
อาคารผู้โดยสาร 4 เคยใช้เป็นอาคารผู้โดยสารระหว่างเทศในช่วงพ.ศ. 2527 - 2536 ตั้งอยู่บริเวณชั้นล่างของอาคารจอดรถ โดยผู้โดยสารระหว่างประเทศจะเชคอินที่อาคารผู้โดยสาร 4 จากนั้นจะนั่งรถบัสไปยังเครื่องบินโดยสาร จนกระทั่งอาคารผู้โดยสาร 5 เปิดให้บริการ อาคารผู้โดยสาร 4 จึงปรับเปลี่ยนเป็นอาคารรถโดยสารของระบบขนส่งชิคาโก รถบริการของโรงแรม และระบบขนส่งอื่นๆ
อาคารผู้โดยสาร 5 จะให้บริการสำหรับเที่ยวระหว่างประเทศทุกเที่ยวบิน ยกเว้นเที่ยวบินที่มาจากท่าอากาศยานที่มีศูนย์ตรวจเชคล่วงหน้าของศุลกากรสหรัฐอเมริกา (US border preclearance)
มีทางวิ่งทั้งหมด 6 เส้น วางตัวขนานกันอยู่ 3 คู่ ใน 3 ทิศทาง ทางวิ่งที่ยาวที่สุด คือ ทางวิ่ง 14R/32L ขนาด 3,962 x 60 เมตร (13,000 x 200 ฟุต) ทางวิ่ง 14L, 14R, 27L และ 27R ใช้ระบบลงจอด (Instrument Landing System) ระดับที่ 3 ส่วนทางวิ่งที่เหลือยกเว้นทางวิ่ง 04L ใช้เต็มระบบ
ทางวิ่งของโอแฮร์มีจุดตัดของทางวิ่งจำนวนมาก และสามารถก่อให้เกิดปัญหาได้จากภาวะที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย หรือการจราจรที่คับคั่ง หรือกระแสลม ดังนั้นเจ้าหน้าหอบังคับการบินจึงต้องรอจนกว่าทางวิ่งจะว่างโดยตลอด ถึงจะอนุญาตให้ทางวิ่งอีกเส้นที่ตัดกันใช้งานได้ และหากเจ้าหน้าที่หอบังคับการบินทำงานผิดพลาด ก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และในช่วงหลายปีหลังมาอุบัติเหตุที่เครื่องบินเกือบจะเฉี่ยวหรือชน หรือต้องหักหลบจนเครื่องไถลออกนอกทางวิ่งอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นแผนปรับปรุงที่ผ่านการอนุมัติไปแล้ว ก็จะช่วยแก้ปัญหากรณีนี้ไปได้อย่างมาก
ทางวิ่ง 3 ใน 4 เส้นเริ่มแรกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2486 ได้มีการปรับเปลี่ยนให้ตรงตามมาตรฐานปัจจุบัน แล้วก็ได้มีการสร้างทางวิ่งเพิ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2498, 2512 และ 2514 จนกระทั่งปีพ.ศ. 2546 ทางวิ่งเท่า 18/36 ได้ยกเลิกการใช้งานเป็นการถาวร ปัจจุบันเป็นทางขับ GG แทน
แผนปรับปรุงท่าอากาศยาน จะรือถอนทางวิ่งที่วางตัวตามทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ และสร้างทางวิ่งที่วางตัวตามทิศตะวันออก-ตะวันตก เพิ่มขึ้นอีก 4 เส้น พร้อมทั้งขยายทางวิ่งเดิมทีวางตัวตามทิศตะวันออก-ตะวันตก 2 เส้น ส่วนทางวิ่งที่วางตัวตามทิศตะวันตกเฉียงใต้-ตะวันออกเฉียงเหนือ ยังคงใช้งานตามเดิม
ในบางครั้งทางวิ่ง 32L จะใช้ในช่วงที่สั้นลงจากความยาวจริงสำหรับนำเครื่องขึ้น โดยเครื่องบินจะขับเครื่องเข้าสู่ทางวิ่งจากทางขับ T10 (กรณีปกติ) หรือจากทางขับ M (กรณีอื่น) การใช้รูปแบบนี้ทำให้ทางวิ่งไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ แต่ก็ทำให้ทางวิ่ง 09R/27L สามารถใช้งานไปได้พร้อมกัน
เนื่องจากมาตรการควบคุมเสียง โอแฮร์จึงได้รับอนุญาตให้ใช้ได้เพียงทางวิ่งเดียวระหว่างเวลา 24.00 - 06.00 น.
ทางวิ่งใหม่ตามแผนปรับปรุงท่าอากาศยานได้เตรียมให้สามารถรองรับเครื่องเอ 380 ได้ โดยก่อสร้างให้แข็งแรงขึ้นและกว้างขึ้นเพื่อรองรับเครื่องบนขนาดใหญ่ได้ และเนื่องจากแผนปรับปรุง นับตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา ทางวิ่ง 09R/27L ได้เปลี่ยนชื่อเป็น 10/28 และนับตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ทางวิ่ง 9L/27R จะเปลี่ยนเป็น 9R/27L และประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ทางวิ่งเส้นใหม่ด้านเหนือ จะเรียกว่า 9L/27R[8]
กลุ่มอาคารคลังสินค้าอยูทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2527 แทนอาคารคลังสินค้าเดิมที่อยู่ตรงที่อาคารผู้โดยสาร 5 ในปัจจุบัน โรงผลิตเครื่องบินดักลาสเดิมที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกผนวกเข้ากับกองบินรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (Air National Guard) และกองบินสำรอง (Air Force Reserve) แต่ก็ได้ปิดตัวลงไปเมื่อปีพ.ศ. 2541 และขณะอยู่ระหว่างการก่อสร้างเป็นอาคารคลังสินค้า และอาคารผู้โดยสารเที่ยวบินเช่าเหมาลำ บริเวณที่จอดเครื่องบินประกอบด้วยโรงจอดหลายหลังและมีขนาดจุเครื่องบินโบอิง 747ได้
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.