Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฟุตบอลทีมชาติซาอุดีอาระเบีย (อาหรับ: المنتخب العربي السعودي لكرة القدم) เป็นทีมฟุตบอลประจำชาติของประเทศซาอุดีอาระเบียในการแข่งขันระหว่างประเทศ อยู่ภายใต้การดูแลของสหพันธ์ฟุตบอลซาอุดีอาระเบีย มีฉายาคือ อัลศอกรฺ (Al-Saqour) หรือภาษาอังกฤษคือ The Falcons (นกเหยี่ยว) และ อัลอัคฎอร (Al-Akhdar) หรือภาษาอังกฤษคือ The Green ซึ่งมาจากสีประจำทีมคือสีเขียว ซาอุดีอาระเบียได้ลงแข่งขันทั้งในรายการของสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ และสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย
ฉายา | الأخضر ("สีเขียว") الصقور الخضر ("เหยี่ยวเขียว") الصقور العربية ("เหยี่ยวอาหรับ") เศรษฐีน้ำมัน (ในภาษาไทย) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
สมาคม | สหพันธ์ฟุตบอลซาอุดีอาระเบีย | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สมาพันธ์ย่อย | ดับเบิลยูเอเอฟเอฟ (เอเชียตะวันตก) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สมาพันธ์ | เอเอฟซี (เอเชีย) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
หัวหน้าผู้ฝึกสอน | แอร์เว เรอนาร์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
กัปตัน | ซัลมาน อัลฟะร็อจญ์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ติดทีมชาติสูงสุด | มุฮัมมัด อัดดะเอียะอ์ (178)[1] | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ทำประตูสูงสุด | มาญิด อับดุลลอฮ์ (72)[2] | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รหัสฟีฟ่า | KSA | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อันดับฟีฟ่า | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อันดับปัจจุบัน | 59 (19 ธันวาคม 2024)[3] | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อันดับสูงสุด | 21 (กรกฎาคม ค.ศ. 2004) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อันดับต่ำสุด | 126 (ธันวาคม ค.ศ. 2012) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เลบานอน 1–1 ซาอุดีอาระเบีย (เบรุต ประเทศเลบานอน; 18 มกราคม ค.ศ. 1957) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ชนะสูงสุด | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ติมอร์-เลสเต 0–10 ซาอุดีอาระเบีย (ดิลี ประเทศติมอร์ตะวันออก; 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แพ้สูงสุด | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สหสาธารณรัฐอาหรับ 13–0 ซาอุดีอาระเบีย (กาซาบล็องกา ประเทศโมร็อกโก; 3 กันยายน ค.ศ. 1961) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ฟุตบอลโลก | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เข้าร่วม | 6 (ครั้งแรกใน 1994) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผลงานดีที่สุด | รอบคัดเลือก 16 ทีม (1994) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เอเชียนคัพ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เข้าร่วม | 10 (ครั้งแรกใน 1984) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ (1984, 1988, 1996) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อาหรับคัพ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เข้าร่วม | 7 (ครั้งแรกใน 1985) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ (1998, 2002) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อาเรเบียนกัลฟ์คัพ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เข้าร่วม | 24 (ครั้งแรกใน 1970) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ (1994, 2002, 2003) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เข้าร่วม | 4 (ครั้งแรกใน 1992) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผลงานดีที่สุด | รองชนะเลิศ (1992) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เกียรติยศ
|
ซาอุดีอาระเบียเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในทวีปเอเชีย[4][5] โดยชนะเลิศการแข่งขันเอเชียนคัพ 3 สมัย (ค.ศ. 1984, 1988 และ 1996) และเป็นหนึ่งในสองทีมที่เข้าชิงชนะเลิศรายการนี้มากที่สุด 6 ครั้ง และพวกเขายังคว้าเหรียญเงินในเอเชียนเกมส์ 1986 ซาอุดีอาระเบียเข้าร่วมฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 6 ครั้ง และยังเป็นชาติแรกในเอเชียที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศการแข่งขันของฟีฟ่าในนามทีมชาติชุดใหญ่ โดยเข้าชิงชนะเลิศรายการ คิงฟาฮัด คัพ ใน ค.ศ. 1992 ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ "ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ" โดยมีเพียงอีกสองชาติที่ทำสถิติดังกล่าวได้จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ออสเตรเลีย ใน ค.ศ. 1997 (ซึ่งลงแข่งขันในนามสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนียในขณะนั้น) และญี่ปุ่นใน ค.ศ. 2001
ซาอุดีอาระเบียลงแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1994 โดยเอาชนะเบลเยียม และโมร็อกโกได้ในรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะเข้าไปแพ้สวีเดนในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่งผลให้พวกเขาเป็นทีมจากชาติอาหรับประเทศที่สองที่เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก ต่อจากโมร็อกโกในฟุตบอลโลก 1986 และเป็นหนึ่งในห้าทีมของเอเชียที่ทำได้ (ร่วมกับญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และเกาหลีเหนือ)
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ซาอุดีอาระเบียสร้างความประหลาดใจด้วยการเอาชนะทีมแชมป์อย่างอาร์เจนตินาในนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่มด้วยผลประตู 2–1 ถือเป็นครั้งแรกที่อาร์เจนตินาแพ้ชาติจากทวีปเอเชียในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อย่างไรก็ตาม พวกเขาตกรอบแบ่งกลุ่มจากการแพ้อีกสองนัดถัดมาและจบอันดับสุดท้าย ซาอุดีอาระเบียจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันสองรายการสำคัญคือ เอเชียนคัพ 2027 และ ฟุตบอลโลก 2034 ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันสองรายการดังกล่าว
ฟุตบอลทีมชาติซาอุดีอาระเบียมีจุดเริ่มต้นใน ค.ศ. 1951 จากการรวมตัวของผู้เล่นจากสโมสรกีฬาอัล-เวห์ดา เมกกะ และ สโมสรฟุตบอลอัลอะฮ์ลี (ญิดดะฮ์) เพื่อลงแข่งขันเกมกระชับมิตรพบกับทีมจากกระทรวงสาธารณสุขจากประเทศอียิปต์ ในวันที่ 27 มิถุนายน ณ เมืองญิดดะฮ์ และทั้งสองทีมได้แข่งขันกันอีกครั้งในวันต่อมา โดยซาอุดีอาระเบียใช้ผู้เล่นของสโมสรฟุตบอลอัล อิติตฮัด และ สโมสรฟุตบอลอัลฮิลาล ต่อมาในเดือนสิงหาคม เจ้าชาย อับดุลลาห์ บิน ไฟซาล อัล ซาอุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้จัดการแข่งขันกระชับมิตรกับอียิปต์เป็นครั้งที่สาม และถือเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดในการจัดตั้งทีมฟุตบอลเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศ
ใน ค.ศ. 1953 ซาอุดีอาระเบียก็ได้ก่อตั้งทีมฟุตบอลขึ้น และได้เดินทางไปแข่งขันกระชับมิตรระหว่างประเทศเป็นครั้งแรก ณ กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย ในวโรกาสที่สมเด็จพระราชาธิบดีซะอูด บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด เสด็จขึ้นครองราชย์[6] ต่อมาใน ค.ศ. 1957 ซาอุดีอาระเบียได้ร่วมแข่งขันรายการแพนอาหรับเกมส์ ที่เบรุต ประเทศเลบานอน โดยสมเด็จพระราชาธิบดีซะอูด บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด ได้รับเชิญให้เสด็จไปร่วมพิธีเปิด ณ สนาม คามิลล์ ชามูน สปอร์ตส์ ซิตี สเตเดียม ร่วมกับ คามิลล์ ชามูน ประธานาธิบดีเลบานอน และในนัดเปิดสนามเป็นการแข่งขันระหว่างซาอุดีอาระเบีย และเลบานอน โดยเสมอกันไป 1–1 และซาอุดีอาระเบียตกรอบแบ่งกลุ่ม
สหพันธ์ฟุตบอลซาอุดีอาระเบีย ได้ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1956 ทว่าหลังจากนั้น ซาอุดีอาระเบียไม่ได้ร่วมแข่งขันในรายการสำคัญใด ๆ จนกระทั่งเอเชียนคัพ 1984 ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งพวกเขาคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยแรก เอาชนะจีนในรอบชิงชนะเลิศ 2–0 และพวกเขากลายเป็นหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในทวีปเอเชียนับตั้งแต่นั้น โดยเข้าชิงชนะเลิศเอเชียนคัพได้อีก 4 ครั้งติดต่อกัน และคว้าแชมป์เพิ่มได้อีกสองครั้งในปี 1988 (ชนะจุดโทษเกาหลีใต้) และ 1996 (ชนะจุดโทษสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และได้ร่วมแข่งขันเอเชียนคัพทุกครั้งนับตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน แต่ยังไม่สามารถคว้าแชมป์เพิ่มได้ โดยผลงานดีสุดคือการเข้าชิงชนะเลิศในเอเชียนคัพ 2007 แพ้อิรัก 0–1
พวกเขาเข้าร่วมฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายสมัยแรกในฟุตบอลโลก 1994 ภายใต้ผู้ฝึกสอนชาวอาร์เจนตินา ฆอร์เก โซลารี และผู้เล่นพรสวรรค์สูงอย่าง ซะอีด อัลอุวัยรอน และ ซามี อัลญาบิร พาทีมผ่านเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนจะแพ้สวีเดน 1–3 และพวกเขาเข้าร่วมฟุตบอลโลกในอีกสามครั้งถัดมา แต่ไม่สามารถชนะในรอบแบ่งกลุ่มแม้แต้นัดเดียว และไม่ได้เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 2010 และ 2014 ก่อนจะกลับมาแข่งขันในฟุตบอลโลก 2018 แพ้เจ้าภาพอย่างรัสเซียในนัดเปิดสนาม 0–5[7] ซึ่งถือเป็นการชนะด้วยผลประตูที่มากที่สุดเป็นอันดับสองตลอดกาลของชาติเจ้าภาพในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย[8] นับตั้งแต่อิตาลีเจ้าภาพฟุตบอลโลก 1934 เอาชนะสหรัฐ 7–1[9] ซาอุดีอาระเบียตกรอบแรกอีกครั้งหลังจากแพ้อุรุกวัยไปอย่างสูสี 0–1[10] แม้พวกเขาจะเอาชนะอียิปต์ได้ในนัดสุดท้าย 2–1[11] ในครั้งนี้ซาอุดีอาระเบียมีผลงานในฟุตบอลโลกที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งพวกเขาแพ้เยอรมนี 0–8 และจบในอันดับ 32 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายจากการจัดอันดับรวมเมื่อจบการแข่งขัน[12] อย่างไรก็ตาม พวกเขายังได้รับเสียงชื่นชมจากการชนะได้หนึ่งนัดในครั้งนี้ นับเป็นชัยชนะครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1994[13]
ซาอุดีอาระเบียลงแข่งขันเอเชียนคัพ 2019 ด้วยความคาดหวังว่าจะทำผลงานได้ดีขึ้น แต่พวกเขาจบอันดับสองของกลุ่ม หลังจากแพ้กาตาร์ในรอบสุดท้าย[14] ส่งผลให้พวกเขาต้องพบกับทีมใหญ่อย่างญี่ปุ่นและแพ้ไป 0–1 แม้พวกเขาจะเล่นได้ดีกว่าตลอดทั้งเกม ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2019 ซาอุดีอาระเบียได้แข่งขันกับปาเลสไตน์ ที่เวสต์แบงก์เป็นครั้งแรก โดยก่อนหน้านี้การแข่งขันระหว่างสองทีมจะจัดขึ้น ณ ประเทศที่สาม การแข่งขันดังกล่าวถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของซาอุดีอาระเบียและอิสราเอล ทว่าก็ได้รับการวิจารณ์จากองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์ว่าจะเป็นการสนับสนุนอำนาจอธิปไตยในเขตเวสต์แบงก์[15] ทั้งสองทีมเสมอกันไป 0–0
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 3 ซาอุดีอาระเบียอยู่ในกลุ่มบีร่วมกับญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, จีน, โอมาน และเวียดนาม พวกเขาสามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายได้หลังจากที่ออสเตรเลียเปิดบ้านแพ้ญี่ปุ่น 0–2 โดยอยู่ร่วมกลุ่มกับอาร์เจนตินา โปแลนด์ และเม็กซิโก และตกรอบแรกจากผลงานชนะหนึ่งนัดและแพ้สองนัด แม้จะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในนัดแรกจากการชนะอาร์เจนตินา
ซาอุดีอาระเบียภายใต้ผู้ฝึกสอนคนใหม่อย่างโรแบร์โต มันชีนี ลงแข่งขันเอเชียนคัพ 2023 โดยอยู่กลุ่มเอฟ พวกเขาเอาชนะโอมานในนัดแรก 2–1 และชนะคีร์กีซสถาน 2–0 ซึ่งคู่แข่งได้รับใบแดงถึงสองคน[16] และเสมอไทยในนัดสุดท้าย 0–0 ซาอุดีอาระเบียเข้าไปพบเกาหลีใต้ในรอบ 16 ทีม พวกเขาได้ประตูออกนำกไปก่อนจากอับดุลลอฮ์ เราะดีฟ ในครึ่งเวลาแรก แต่พลาดเสียประตูตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 99 จากโช กยู-ซ็อง พวกเขาตกรอบจากการแพ้การดวลจุดโทษ 2–4[17]
ซาอุดีอาระเบียเป็นทีมอันดับ 1 ของกลุ่มในฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 มีผลงานคือชนะ 4 นัด และเสมอ 1 นัด ผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือก – รอบที่ 3 โดยเสมออินโดนีเซียในนัดแรกที่ญิดดะฮ์ 1–1 นำมาซึ่งเสียงวิจารณ์จากผู้สนับสนุน และบุกไปชนะจีน 2–1 จากสองประตูของฮัสซัน คาเด และกลับมาเปิดบ้านแพ้ญี่ปุ่น 0–2 ตามด้วยการเสมอบาห์เรน 0–0 ส่งผลให้มันชีนีพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2024 และเออร์เว เรอนาร์ด กลับมาคุมทีมเป็นครั้งที่สอง สถานการณ์ของซาอุดีอาระเบียยังไม่ดีขึ้น เมื่อพวกเขาบุกไปเสมอออสเตรเลีย 0–0 และบุกไปแพ้อินโดนีเซียอย่างเหนือความคาดหมาย 0–2 ทำให้พวกเขาปิดท้ายปี 2024 ด้วยการอยู่ในอันดับ 4 ของกลุ่ม
อิหร่านถือเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของซาอุดีอาระเบียด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ และการแข่งขันได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สืบเนื่องจากความขัดแย้งจากการแบ่งแยกลัทธิทางศาสนา ซาอุดีอาระเบียมีผลงานการพบกันที่เป็นรองเล็กน้อย โดยชนะ 4 ครั้ง เสมอ 6 ครั้ง และแพ้ 5 ครั้ง และการพบกันของทั้งสองชาติถือเป็นหนึ่งในสิบการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศซึ่งได้รับอิทธิพลจากการเมืองที่ดุเดือดที่สุด[18]
อิรักถือเป็นคู่แข่งที่สำคัญเช่นกัน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากทศวรรษ 1970 จากเหตุการณ์สงครามอ่าว ซึ่งอิรักได้รุกรานพันธมิตรของซาอุดีอาระเบีย และนับแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองชาติก็ไม่แน่นอนนัก โดยมีทั้งการพัฒนาความสัมพันธ์ในเชิงบวกสลับกับความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดจนถึงปัจจุบัน โดยอิรักเกือบจะถอนตัวจากการแข่งขัน กัลฟ์ คัพ ออฟ เนชั่นส์ ใน ค.ศ. 2013 หลังจากได้รับการปฏิเสธการเป็นเจ้าภาพ โดยอิรักเชื่อว่าซาอุดีอาระเบียเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
คู่แข่งชาติอื่น ๆ ของซาอุดีอาระเบียได้แก่ กาตาร์, คูเวต และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ตั้งแต่อดีต ซาอุดีอาระเบียมักจะลงเล่นที่สนาม คิง ฟาฮัด อินเตอร์เนชันแนล สเตเดียม ตั้งอยู่ในกรุงรียาด เป็นหนึ่งในสนามกีฬาที่มีหลังคาขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีฉายาว่า "The Pearl" หรือ ไข่มุก โดยเป็นสยามเหย้าในการแข่งขันรายการสำคัญของทีมชาติซาอุดีอาระเบียทั้งในการแข่งขันระดับภูมิภาครวมถึงฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก
นับตั้งแต่ทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา ซาอุดีอาระเบียมีการใช้สนามอื่น ๆ มากขึ้น ในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก พวกเขาลงเล่นที่ สนามปรินซ์ โมฮาเหม็ด บิน ฟาฮัด สเตเดียม ในอัดดัมมาน และในฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก พวกเขาใช้สนาม ไฟซาล บิน ฟาฮัด และนับตั้งแต่ทศวรรษ 2010 ซาอุดีอาระเบียลงเล่นที่คิงอับดุลลอห์สปอร์ตซิตี ในรียาด ซึ่งเป็นสนามที่สร้างขึ้นใหม่ความจุกว่า 60,000 ทีนั่ง
รายชื่อผู้เล่น 26 คนที่ถูกเรียกตัวเพื่อลงแข่งขันรายการ เอเชียนคัพ 2023[19]ระหว่างวันที่ 16 – 25 มกราคม พ.ศ. 2567
# | ตำแหน่ง | ผู้เล่น | วันเกิด (อายุ) | ลงเล่น | ประตู | สโมสร |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | GK | เนาวาฟ อัลอะกีดี | 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 | 4 | 0 | อันนัศร์ |
2 | DF | Fawaz Al-Sqoor | 23 เมษายน ค.ศ. 1996 | 4 | 0 | อัชชะบาบ |
3 | DF | Awn Al-Saluli | 2 กันยายน ค.ศ. 1998 | 2 | 0 | Al-Taawoun |
4 | DF | Ali Lajami | 24 เมษายน ค.ศ. 1996 | 4 | 0 | อันนัศร์ |
5 | DF | อะลี อาล บุลัยฮี | 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 | 47 | 1 | อัลฮิลาล |
6 | MF | Eid Al-Muwallad | 14 ธันวาคม ค.ศ. 2001 | 1 | 0 | Al-Okhdood |
7 | MF | Mukhtar Ali | 30 ตุลาคม ค.ศ. 1997 | 6 | 0 | Al-Fateh |
8 | MF | อับดุลอิลาฮ์ อัลมาลกี | 11 ตุลาคม ค.ศ. 1994 | 32 | 0 | อัลฮิลาล |
9 | FW | ฟิรอส อัลบุร็อยกาน | 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 | 36 | 6 | อัลอะฮ์ลี |
10 | MF | ซาลิม อัดเดาซะรี | 19 สิงหาคม ค.ศ. 1991 | 78 | 22 | อัลฮิลาล |
11 | FW | ศอเลียะห์ อัชชะฮ์รี | 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 | 29 | 15 | อัลฮิลาล |
12 | DF | Saud Abdulhamid | 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 | 31 | 1 | อัลฮิลาล |
13 | DF | Hassan Kadesh | 27 กันยายน ค.ศ. 1992 | 3 | 0 | อัลอิตติฮาด |
14 | MF | Abbas Al-Hassan | 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 | 2 | 0 | Al-Fateh |
15 | MF | Abdullah Al-Khaibari | 16 สิงหาคม ค.ศ. 1996 | 18 | 0 | อันนัศร์ |
16 | MF | ซามี อันนัจญ์อี | 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 | 18 | 2 | อันนัศร์ |
17 | DF | ฮัสซาน อัตตัมบักตี | 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1999 | 26 | 0 | อัลฮิลาล |
18 | MF | Abdulrahman Ghareeb | 31 มีนาคม ค.ศ. 1997 | 21 | 2 | อันนัศร์ |
19 | MF | Fahad Al-Muwallad | 14 กันยายน ค.ศ. 1994 | 76 | 17 | อัชชะบาบ |
20 | FW | Abdullah Radif | 20 มกราคม ค.ศ. 2003 | 7 | 1 | Al-Shabab |
21 | GK | Raghed Al-Najjar | 20 ธันวาคม ค.ศ. 1996 | 0 | 0 | อันนัศร์ |
22 | GK | Ahmed Al-Kassar | 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1991 | 0 | 0 | Al-Fayha |
23 | MF | มุฮัมมัด กันนู | 22 กันยายน ค.ศ. 1994 | 47 | 2 | อัลฮิลาล |
24 | MF | นาศิร อัดเดาซะรี | 19 ธันวาคม ค.ศ. 1998 | 16 | 0 | อัลฮิลาล |
25 | MF | Ayman Yahya | 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2001 | 10 | 0 | อันนัศร์ |
26 | MF | Faisal Al-Ghamdi | 13 สิงหาคม ค.ศ. 2001 | 4 | 0 | อัลอิตติฮาด |
ผู้ฝึกสอน | จาก | ถึง |
---|---|---|
อับดุลเราะห์มาน เฟาซี | 1957 | 1961 |
อะลี ชาอวช | 1967 | 1969 |
จอร์จ สกินเนอร์ | 1970 | 1970 |
โมฮัมเหม็ด เชตา | 1970 | 1972 |
ตาฮา อิสมาอิล | 1972 | 1974 |
Abdo Saleh El Wahsh | 1974 | 1974 |
เฟเรนซ์ ปุสกัส | 1975 | 1975 |
บิล แม็คแกร์รี | 1976 | 1977 |
แดนนี อัลลิสัน | 1978 | 1978 |
เดวิด วู้ดฟิลด์ | 1979 | 1979 |
รูเบนส์ มิเนลลี | 1980 | 1980 |
มาริโอ ซากัลโล | 1981 | 1984 |
เคาะห์ลีล อิบรอฮีม อัลซะยานี | 1984 | 1986 |
การ์ลูส ฌูแซร์ กัสติลโญ่ | 1986 | 1986 |
ออสวัลโด | 1987 | 1987 |
รอนนี อเลน | 1988 | 1988 |
การ์ลูส กัลเล็ตติ | 1988 | 1988 |
โอมาร์ บอร์ราส | 1988 | 1988 |
การ์ลูส อัลแบร์โต ปาร์เรย์รา | 1988 | 1990 |
เมติน ตูเรล | 1990 | 1990 |
เคลาดินโญ่ การ์เซีย | 1990 | 1992 |
เวโลโซ | 1992 | 1992 |
เนลสัน โรซา มาร์ตินส์ | 1992 | 1992 |
แคนดิญโญ่ | 1993 | 1993 |
ลีโอ บีนฮัคเคอร์ | 1993 | 1994 |
โมฮัมเหม็ด อัลเคาะห์ราชี | 1994 | 1994 |
อิโว เวิร์ทมันน์ | 1994 | 1994 |
ฆอร์เก โซลารี | 1994 | 1994 |
โมฮัมเหม็ด อัลเคาะห์ราชี | 1995 | 1995 |
เซ มาริโอ | 1995 | 1996 |
เนโล วินกาดา | 1996 | 1997 |
ฮันเซล วัลเดม | 1996 | 1997 |
อ็อตโต ฟิตส์เตอร์ | 1998 | 1998 |
การ์ลูส อัลแบร์โต ปาร์เรย์รา | 1998 | 1998 |
โมฮัมเหม็ด อัลเคาะห์ราชี | มิถุนายน 1998 | มิถุนายน 1998 |
อ็อตโต ฟิตส์เตอร์ | 1999 | กุมภาพันธ์ 1999 |
มิลาน มาคาลา | พฤษภาคม 1999 | 2000 |
นาศิร อัลโญฮัร | 2000 | 2000 |
สโลโบดัน ซานทรัช | สิงหาคม 2001 | สิงหาคม 2001 |
นาศิร อัลโญฮัร | สิงหาคม 2001 | กรกฎาคม 2002 |
เจอร์ราร์ด ฟาน เดอ เลม | สิงหาคม 2002 | สิงหาคม 2004 |
มาร์ติน คูปมัน | 2002 | 2002 |
นาศิร อัลโญฮัร | กันยายน 2004 | พฤศจิกายน 2004 |
กาเบรียล กัลเดรอน | พฤศจิกายน 2004 | ธันวาคม 2005 |
มาร์กอส ปาเกตา | 2006 | 2007 |
เอลิโอ ดอส อันฌูส | มีนาคม 2007 | มิถุนายน 2008 |
นาศิร อัลโญฮัร | มิถุยายน 2008 | กุมภาพันธ์ 2009 |
ฌูแซร์ เปเซโร | กุมภาพันธ์ 2009 | มกราคม 2011 |
นาศิร อัลโญฮัร | มกราคม 2011 | กุมภาพันธ์ 2011 |
โรเจริโอ รอเลนโซ | มิถุนายน 2011 | กรกฎาคม 2011 |
แฟรงก์ ไรจ์การ์ด | สิงหาคม 2011 | มกราคม 2013 |
ฆวน รามอน โลเปซ กาโร | มกราคม 2013 | ธันวาคม 2014 |
คอสมิน โอลาโรอู | ธันวาคม 2014 | มกราคม 2015 |
Faisal Al Baden | มีนาคม 2015 | สิงหาคม 2015 |
แบร์ต ฟัน มาร์ไวก์ | กันยายน 2015 | กันยายน 2017 |
Edgardo Bauza | กันยายน 2017 | พฤศจิกายน 2017 |
Juan Antonio Pizzi | พฤศจิกายน 2017 | 2019 |
Youssef Anbar | 2019 | 2019 |
แอร์เว เรอนาร์ | 2019 | 2023 |
Laurent Bonadéi | 2021 | 2021 |
Saad Al-Shehri | 2023 | 2023 |
โรแบร์โต มันชีนี | 2023 | 2024 |
แอร์เว เรอนาร์ | 2024 |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.