เจียง ไคเชก
From Wikipedia, the free encyclopedia
เจียง ไคเชก (อักษรโรมัน: Chiang Kai-shek; 31 ตุลาคม ค.ศ. 1887 — 5 เมษายน ค.ศ. 1975) หรือชื่อตามภาษาจีนมาตรฐาน คือ เจี่ยง จงเจิ้ง (蔣中正) หรือ เจี่ยง เจี้ยฉือ (蔣介石) เป็นชาวจีนที่เป็นนักการเมืองฝ่ายชาตินิยม นักปฏิวัติ และผู้นำทหารที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำแห่งสาธารณรัฐจีนในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1928 ถึง ค.ศ. 1975 ครั้งแรกในจีนแผ่นดินใหญ่จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1949 ต่อมาที่เกาะไต้หวันจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรม
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
ฯพณฯ จอมพลสูงสุด เจียง ไคเชก | |
---|---|
蔣中正 蔣介石 | |
เจียง ไคเชกในปี ค.ศ. 1943 | |
ประธานรัฐบาลจีนชาตินิยม | |
ดำรงตำแหน่ง 10 ตุลาคม 1928 – 15 ธันวาคม 1931 | |
หัวหน้ารัฐบาล | ถาน หยานไข่ ซ่ง จื่อเหวิน |
ก่อนหน้า | กู้ เหวย์จฺวิน (รักษาการ) |
ถัดไป | หลิน เซิน |
ดำรงตำแหน่ง 10 ตุลาคม 1943 – 20 พฤษภาคม 1948 รักษาการตั้งแต่ 1 สิงหาคม 1943 จนถึง 10 ตุลาคม 1943 | |
หัวหน้ารัฐบาล | ซ่ง จื่อเหวิน |
ก่อนหน้า | หลิน เซิน |
ถัดไป | เขาเอง (ในฐานะประธานาธิบดีสาธารณรัฐจีน) |
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจีน | |
ดำรงตำแหน่ง 20 พฤษภาคม 1948 – 21 มกราคม 1949 | |
หัวหน้ารัฐบาล | จาง ฉฺวิน เวิง เหวินฮ่าว ซุน เคอ |
รองประธานาธิบดี | หลี่ จงเหริน |
ก่อนหน้า | เขาเอง (ในฐานะประธานรัฐบาลจีนชาตินิยม) |
ถัดไป | หลี่ จงเหริน (รักษาการ) |
ดำรงตำแหน่ง 1 มีนาคม 1950 – 5 เมษายน 1975 | |
หัวหน้ารัฐบาล | หยาน ซีชาน เฉิน เฉิง ยฺหวี หงจฺวิน หยาน เจียก้าน เจี่ยง จิงกั๋ว |
รองประธานาธิบดี | หลี่ จงเหริน เฉิน เฉิง หยาน เจียก้าน |
ก่อนหน้า | หลี่ จงเหริน (รักษาการ) |
ถัดไป | หยาน เจียก้าน |
นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐจีน | |
ดำรงตำแหน่ง 4 ธันวาคม 1930 – 15 ธันวาคม 1931 | |
ประธานาธิบดี | ตนเอง |
ก่อนหน้า | ซ่ง จื่อเหวิน |
ถัดไป | เฉิน หมิงชู |
ดำรงตำแหน่ง 7 ธันวาคม 1935 – 1 มกราคม 1938 | |
ประธานาธิบดี | หลิน เซิน |
ก่อนหน้า | วาง จิงเว่ย์ |
ถัดไป | ข่ง เสียงซี |
ดำรงตำแหน่ง 20 พฤศจิกายน 1939 – 31 พฤษภาคม 1945 | |
ประธานาธิบดี | หลิน เซิน |
ก่อนหน้า | ข่ง เสียงซี |
ถัดไป | ซ่ง จื่อเหวิน |
รักษาการนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐจีน | |
ดำรงตำแหน่ง 1 มีนาคม 1947 – 18 เมษายน 1947 | |
ประธานาธิบดี | เขาเอง |
ก่อนหน้า | ซ่ง จื่อเหวิน |
ถัดไป | จาง ฉฺวิน |
ประธานพรรคก๊กมินตั๋ง | |
ดำรงตำแหน่ง 12 พฤษภาคม 1936 – 1 เมษายน 1938 | |
ก่อนหน้า | หู ฮั่นหมิน |
ดำรงตำแหน่ง 6 กรกฎาคม 1926 – 11 มีนาคม 1927 | |
ก่อนหน้า | จาง เหรินเจี๋ย |
ถัดไป | อู๋ จื้อฮุย และ หลี่ ฉือเฉิง |
ผู้อำนวยการใหญ่พรรคก๊กมินตั๋ง | |
ดำรงตำแหน่ง 1 เมษายน 1938 – 5 เมษายน 1975 | |
ก่อนหน้า | หู ฮั่นหมิน |
ถัดไป | เจี่ยง จิงกั๋ว (ในฐานะประธานพรรคก๊กมินตั่ง) |
ประธานคณะกรรมการกิจการทหาร | |
ดำรงตำแหน่ง 15 ธันวาคม 1931 – 31 พฤษภาคม 1946 | |
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง |
ถัดไป | ยกเลิกตำแหน่ง |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 31 ตุลาคม ค.ศ. 1887(1887-10-31) เฟิงหัว เจ้อเจียง จักรวรรดิชิง |
เสียชีวิต | 5 เมษายน ค.ศ. 1975(1975-04-05) (87 ปี) ไทเป ไต้หวัน สาธารณรัฐจีน |
ศาสนา | คริสต์โปรเตสแตนต์ (สายเมทอดิสต์)[1] |
พรรคการเมือง | พรรคก๊กมินตั๋ง |
คู่สมรส | ซ่ง เหม่ย์หลิง |
บุตร | เจี่ยง จิงกั๋ว เจี๋ยง เหว่ย์กั๋ว |
ศิษย์เก่า | โรงเรียนนายร้อยทหารบกแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น |
อาชีพ | ทหาร (จอมพล), นักการเมือง |
รางวัล | เครื่องอิสริยาภรณ์เกียรติคุณแห่งชาติ, เครื่องอิสริยาภรณ์ตะวันฉาย ฟ้าใส, ชั้นที่ 1 เครื่องอิสริยาภรณ์คนโทศักดิ์สิทธิ์, ลีเจียนออฟเมอริต |
ลายมือชื่อ | |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | สาธารณรัฐจีน |
สังกัด | กองทัพบก |
ประจำการ | 1911–1975 |
ยศ | จอมพลสูงสุด (特級上將) |
ผ่านศึก | การปฏิวัติซินไฮ่, การกรีฑาทัพขึ้นเหนือ, สงครามจีน-ธิเบต, กบฎคูมูล, วิกฤติการณ์โซเวียตในซินเจียง, สงครามกลางเมืองจีน, สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง, Kuomintang Islamic Insurgency in China (1950–1958) |
เขาเกิดในมณฑลเจ๊เกี๋ยง (เจ้อเจียง) เจียงเป็นสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) และเป็นนายทหารระดับยศร้อยโทของดร.ซุน ยัตเซ็นในการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจรัฐบาลเป่ย์หยางและรวมชาติจีนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยความช่วยเหลือจากโซเวียตและคอมมิวนิสต์ (พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC)) เจียงได้จัดตั้งกองทัพใหม่ให้อยู่ภายใต้รัฐบาลชาตินิยมกวางตุ้งของดร.ซุน และหัวหน้าโรงเรียนการทหารหวงผู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีน (จากที่เขาขึ้นดำรงตำแหน่งที่เป็นที่รู้จักกันคือ จอมพลสูงสุด) เขานำการกรีฑาทัพขึ้นเหนือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1926 ถึง 1928 ก่อนที่จะเอาชนะกลุ่มพันธมิตรขุนศึกต่าง ๆ และรวมชาติจีนให้อยู่ภายใต้รัฐบาลชาตินิยมใหม่ ครึ่งทางของการทัพ ความเป็นพันธมิตรของพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้แตกหักกันและเจียงได้ทำการปราบปรามคอมมิวนิสต์ภายในพรรค ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งในที่สุดเขาได้ประสบความพ่ายแพ้ในปี ค.ศ. 1949
ในฐานะที่เป็นผู้นำแห่งสาธารณรัฐจีนในทศวรรษหนานจิง เจียงพยายามที่จะรักษาความสมดุลที่ยากลำบากระหว่างการปรับปรุงจีนให้มีความทันสมัย ในขณะเดียวกันก็ทุ่มเททรัพยากรเพื่อปกป้องประเทศชาติจากภัยคุกคามจากญี่ปุ่นที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงได้พยายามหลีกเลี่ยงการทำสงครามกับญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันก็ได้ทำสงครามปราบปรามคอมมิวนิสต์จีนต่อไป เขาได้ถูกจับตัวในอุบัติการณ์ซีอานและจำเป็นต้องจัดตั้งแนวร่วมต่อต้านญี่ปุ่นกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายหลังจากเหตุการณ์สะพานมาร์โค โปโลในปี ค.ศ. 1937 เขาได้ระดมพลทหารจีนสำหรับสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง เป็นเวลาแปดปีที่เขานำสงครามต่อต้านกับศัตรูที่มีความได้เปรียบที่เหนือกว่ามาก ส่วนใหญ่มาจากเมืองหลวงฉงชิ่งในยามสงคราม ในฐานะผู้นำของฝ่ายสัมพันธมิตรที่สำคัญ เจียงได้เข้าพบกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ วินสตัน เชอร์ชิล และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ในการประชุมไคโรเพื่อประชุมหารือเกี่ยวกับการยอมจำนนของญี่ปุ่น ไม่นานหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เขาก็ได้เริ่มทำสงครามกลางเมืองอีกครั้งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำโดยเหมา เจ๋อตง ฝ่ายชาตินิยมของเจียงส่วนใหญ่ได้ประสบความพ่ายแพ้ในการรบแตกหักไม่กี่ครั้งในปี ค.ศ. 1948
ในปี ค.ศ. 1949 รัฐบาลและกองทัพของเจียงได้หลบหนีไปยังไต้หวันซึ่งเจียงได้ประกาศบังคับใช้กฎอัยการศึกและปราบปรามผู้ที่มีความคิดเห็นต่างทางการเมืองในช่วงความน่าสะพรึงสีขาว การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงการปฏิรูปสังคมและความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ เจียงได้รับชัยชนะการเลือกตั้งถึงห้าครั้งในระยะเวลาหกปีในฐานะประธานาธิบดีสาธารณรัฐจีน และเป็นอธิบดีทั่วไปของพรรคก๊กมินตั๋งจนกระทั่งเขาถึงแก่อสัญกรรม สามปีในวาระที่ห้าในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีและเพียงหนึ่งปีก่อนที่เหมาจะถึงแก่อสัญกรรมเช่นกัน
หนึ่งในประมุขแห่งรัฐที่ไม่ใช่พระมหากษัตริย์ที่ดำรงตำแหน่งที่ยาวนานที่สุดในศตวรรษที่ 20 เจียงเป็นผู้ปกครองที่ไม่ใช่พระมหากษัตริย์ที่ดำรงตำแหน่งที่ยาวนานที่สุดในจีน เป็นเวลายาวนานถึง 46 ปี เช่นเดียวกับเหมา เขาได้ถูกมองว่าเป็นบุคคลที่ได้มีการโต้เถียงมากที่สุด ผู้ที่สนับสนุนเขาต่างได้ยกย่องเขาถึงการมีบทบาทสำคัญในการรวมประเทศจีนให้เป็นหนึ่งและเป็นผู้นำจีนต่อต้านญี่ปุ่น รวมทั้งการต่อต้านการรุกรานของโซเวียต-คอมมิวนิสต์ ผู้กล่าวร้ายและนักวิจารณ์ต่างประณามเขาว่าเป็นเผด็จการที่ด้านหน้าของระบอบลัทธิอำนาจนิยมที่ได้ทำการปราบปรามฝ่ายศัตรูทางการเมืองอย่างไร้ความปราณี