คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
วินสตัน เชอร์ชิล
อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
เซอร์ วินสตัน เลนเนิร์ด สเปนเซอร์ เชอร์ชิล (อังกฤษ: Sir Winston Leonard Spencer Churchill;[a] 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1874 – 24 มกราคม ค.ศ. 1965) เป็นรัฐบุรุษ นายทหาร และนักเขียนชาวบริติชผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรตั้งแต่ ค.ศ. 1941 ถึง 1945 (ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง) และอีกครั้งตั้งแต่ ค.ศ. 1951 ถึง 1955 ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1900 ถึง 1964 เป็นเวลาประมาณ 62 ปี เขาเป็นสมาชิกสมาชิกรัฐสภา (สหราชอาณาจักร) (MP) และเป็นผู้แทนของเขตเลือกตั้งทั้งหมด 5 เขตในช่วงเวลานั้น ในด้านอุดมการณ์ เขาเป็นผู้ยึดมั่นในเสรีนิยมทางเศรษฐกิจและจักรวรรดินิยม ตลอดอาชีพส่วนใหญ่ของเขา เขาเป็นสมาชิกของพรรคอนุรักษนิยม ซึ่งเขาเป็นผู้นำตั้งแต่ ค.ศ. 1940 ถึง 1955 เขาเป็นสมาชิกพรรคเสรีนิยมตั้งแต่ ค.ศ. 1904 to 1924.
Remove ads
ด้วยเชื้อสายผสมระหว่างอังกฤษและอเมริกัน เชอร์ชิลเกิดในออกซฟอร์ดเชอร์ในตระกูลสเปนเซอร์ผู้มั่งคั่งและเป็นชนชั้นสูง เขาเข้าร่วมกองทัพบกบริติชใน ค.ศ. 1895 และเข้าร่วมปฏิบัติการในบริติชอินเดีย สงครามมะฮ์ดีและสงครามบูร์ครั้งที่สอง โดยได้รับชื่อเสียงในฐานะนักข่าวสงครามและเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทัพของเขา ได้รับเลือกเป็นสมาชิกรัฐสภาพรรคอนุรักษนิยมใน ค.ศ. 1900 แต่ย้ายไปสังกัดพรรคเสรีนิยมใน ค.ศ. 1904 ในรัฐบาลเสรีนิยมของเอช. เอช. แอสควิธ เชอร์ชิลดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการค้าและต่อมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยสนับสนุนการปฏิรูปเรือนจำและประกันสังคมของแรงงาน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาดูแลการทัพกัลลิโพลี แต่หลังจากที่มันพิสูจน์แล้วว่าเป็นหายนะ เขาถูกลดตำแหน่งเป็นสมุหดัชชีแลงแคสเตอร์ เขาลาออกจากตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1915 และเข้าร่วมกองทหารรอยัลสกอตส์ฟิวซิเลียส์ (Royal Scots Fusiliers) ที่แนวรบด้านตะวันตกเป็นเวลาหกเดือน ใน ค.ศ. 1917 เขากลับเข้ารับตำแหน่งในรัฐบาลภายใต้เดวิด ลอยด์ จอร์จ และดำรงตำแหน่งติดต่อกันในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุทธภัณฑ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบิน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาณานิคม โดยดูแลสนธิสัญญาอังกฤษ-ไอร์แลนด์และนโยบายต่างประเทศของอังกฤษในตะวันออกกลาง หลังไม่ได้เป็นสมาชิกรัฐสภาเป็นเวลาสองปี เขาดำรงตำแหน่งสมุหพระคลังในรัฐบาลอนุรักษนิยมของสแตนลีย์ บอลดวิน โดยใน ค.ศ. 1925 เขานำเงินปอนด์สเตอร์ลิงกลับเข้าสู่มาตราทองคำ ส่งผลให้เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรตกต่ำลง
ในช่วง "ปีแห่งความโดดเดี่ยว" ที่เขาไม่ได้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลในทศวรรษ 1930 เชอร์ชิลเป็นผู้นำการเรียกร้องให้มีการเสริมสร้างกองทัพเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากแสนยนิยมในนาซีเยอรมนี เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น เขาได้รับแต่งตั้งกลับไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 เขาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สืบต่อจากเนวิล เชมเบอร์ลิน เชอร์ชิลจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติและดูแลการมีส่วนร่วมของอังกฤษในความพยายามทำสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตรต่อฝ่ายอักษะ ซึ่งส่งผลให้ได้รับชัยชนะใน ค.ศ. 1945 หลังพรรคอนุรักษนิยมพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1945 เขากลายเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ท่ามกลางสงครามเย็นที่กำลังก่อตัวกับสหภาพโซเวียต เขาเตือนต่อสาธารณะเกี่ยวกับ "ม่านเหล็ก" แห่งอิทธิพลของโซเวียตในยุโรปและส่งเสริมความเป็นเอกภาพของยุโรป ระหว่างวาระการดำรงตำแหน่งของเขา เขาเขียนหนังสือหลายเล่มที่เล่าถึงประสบการณ์ของเขาในช่วงสงคราม เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ค.ศ. 1953 เขาแพ้การเลือกตั้งใน ค.ศ. 1950 แต่ได้รับเลือกกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งใน ค.ศ. 1951 วาระที่สองของเขาหมกมุ่นอยู่กับกิจการต่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์อังกฤษ-อเมริกาและการรักษาส่วนที่เหลืออยู่ของจักรวรรดิบริติช โดยอินเดียไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอีกต่อไป ในประเทศ นโยบายหลักของรัฐบาลของเขาคือโครงการสร้างบ้านขนาดใหญ่ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ด้วยสุขภาพที่ถดถอย เชอร์ชิลลาออกจากตำแหน่งใน ค.ศ. 1955 แต่ยังคงดำรงตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาจนถึง ค.ศ. 1964 เมื่อเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1965 เขาได้รับการจัดรัฐพิธีศพอย่างสมเกียรติ
เชอร์ชิล หนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 20 ยังคงได้รับความนิยมในสหราชอาณาจักรและประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอื่น ๆ ทั่วไปแล้ว เขาถูกมองว่าเป็นผู้นำในยามสงครามที่นำมาซึ่งชัยชนะ ผู้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องประชาธิปไตยเสรีนิยมจากการแพร่กระจายของลัทธิฟาสซิสต์ เขาเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ในบางครั้งเกี่ยวกับลัทธิจักรวรรดินิยมของเขาและความเห็นบางอย่างเกี่ยวกับเชื้อชาติ นอกเหนือจากการตัดสินใจในสงครามบางอย่าง เช่น การทิ้งระเบิดแบบปูพรม แต่กระนั้นนักประวัติศาสตร์ก็ยังจัดเชอร์ชิลให้เป็นหนึ่งในนายกรัฐมนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษ
Remove ads
ชีวิตวัยเยาว์
สรุป
มุมมอง
วินสตันเกิดเมื่อ 30 พฤศจิกายน 1874 ที่วังเบลนิม[2][3] เกิดมาในครอบครัวชนชั้นสูงซึ่งสืบทอดบรรดาศักดิ์ดยุกแห่งมาร์ลบะระ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของตระกูลสเปนเซอร์[4] ตระกูลขุนนางเก่าแก่ ด้วยเหตุนี้บิดาเขาและตัวเขาจึงใช้นามสกุลว่า "สเปนเซอร์-เชอร์ชิล"[5]

บรรพบุรุษของเขา จอร์จ สเปนเซอร์ ได้เปลี่ยนไปใช้นามสกุล สเปนเซอร์-เชอร์ชิล เมื่อได้ขึ้นเป็นดยุกแห่งมาร์ลบะระในปี 1817 โดยบิดาของวินสตันคือ ลอร์ด รันดอล์ฟ เชอร์ชิล นั้นเป็นนักการเมืองซึ่งเป็นบุตรของจอห์น สเปนเซอร์-เชอร์ชิล ดยุกที่ 7 แห่งมาร์ลบะระ ส่วนมารดาของเขา ท่านหญิงรันดอล์ฟ เชอร์ชิล เป็นบุตรสาวของเศรษฐีชาวอเมริกันนามว่าลีโอนาร์ด เจอโรม
เมื่ออายุได้สองขวบ เขาได้ย้ายไปอาศัยในดับลินในไอร์แลนด์ ซึ่งปู่ของเขาได้รับแต่งตั้งเป็นอุปราชของที่นั่นและแต่งตั้งบิดาของเขาเป็นเลขาส่วนตัว ซึ่งในช่วงเวลานี้ มารดาของเขาได้ให้กำเนิดบุตรคนที่สอง คือ จอห์น สเตรนจ์ สเปนเซอร์-เชอร์ชิล จากการที่วินสตันเป็นหลานของอุปราช ทำให้เขาได้เห็นการสวนสนามบ่อย ๆ ในที่ทำงานของปู่ (ปัจจุบันคือทำเนียบประธานาธิบดีไอร์แลนด์) ทำให้วินสตันตัวน้อยเกิดความชอบทหารขึ้น[6][7]
ในขณะที่อยู่ในดับลิน วินสตันมีพี่เลี้ยงคอยสอนการเขียนอ่านและวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยเหตุที่วินสตันไม่ค่อยได้เจอพ่อแม่ ทำให้เขาสนิทสนมกับพี่เลี้ยง นางเอลิซาเบธ อันน์ เอเวอเรสต์ เป็นอย่างมาก นางเป็นทั้งพี่เลี้ยง, พยาบาล และแม่นม[8] โดยทั้งสองมักจะพากันไปเล่นที่สวนสาธารณะฟีนิกซ์เสมอ ๆ[9][10]
วินสตันในวัยเด็กนั้น มีนิสัยดื้อและไม่ชอบเชื่อฟังใคร ดังนั้นเมื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนเขาจึงมีผลการเรียนไม่ดี[11]เขาเข้าศึกษาในโรงเรียนเอกชนสามแห่ง คือ โรงเรียนเซนต์จอร์จในเบิร์กเชอร์, โรงเรียนบรันสวิกใกล้กับไบรตัน และ โรงเรียนฮาร์โรวในลอนดอนซึ่งเป็นโรงเรียนที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย ที่ฮาร์โรวนี้ เขาได้เข้าเป็นสมาชิกในหน่วยปืนไรเฟิลฮาร์โรว[12] ในขณะที่เรียนอยู่ที่ฮาร์โรว วินสตันเป็นเด็กอ้วนเตี้ยผมแดงและพูดติดอ่าง ถึงจะมีผลการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์เป็นอันดับหนึ่งในชั้นเรียน แต่ผลการเรียนรวมกลับเป็นอันดับที่โหล่ในห้องบ๊วยของชั้นและก็ติดอันดับนี้เรื่อยมา แม้ว่าการเรียนจะทำได้ไม่ดีแต่วินสตันกลับชอบวิชาภาษาอังกฤษ ในช่วงที่เขาเรียนอยู่ฮาร์โรวนี้ มารดาของเขาแทบจะไม่มาเยี่ยมเลยถึงขนาดที่เขาต้องเขียนจดหมายไปขอให้ทางบ้านมาเยี่ยมบ้างหรือไม่ก็ยอมให้เขากลับไปบ้าน ยิ่งความสัมพันธ์กับบิดานั้นยิ่งห่างเหิน[13] บิดาของเขาถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ 24 มกราคม 1895 ในวัย 45 ปี การตายของบิดานั้นได้ทำให้วินสตันฉุกคิดขึ้นได้ว่า เขาอาจจะต้องตายเมื่ออายุยังไม่มากเหมือนบิดา ดังนั้นเขาจึงควรรีบทำอะไรซักอย่างเพื่อจารึกชื่อเขาลงในประวัติศาสตร์[14]
Remove ads
ราชการทหาร
สรุป
มุมมอง

หลังจากวินสตันออกจากแฮร์โรวในปี 1893 เขาก็เข้าเรียนต่อในราชวิทยาลัยการทหาร เมืองแซนด์เฮิสต์ ซึ่งเขาต้องสอบถึงสามครั้งกว่าจะผ่านเข้าเรียน โดยเขาเข้าเรียนในหมวดทหารม้าแทนที่จะเป็นทหารราบ เนื่องจากทหารม้าต้องการผลการเรียนที่ต่ำกว่าและเขาไม่อยากเรียนคณิตศาสตร์อีก เขาจบการศึกษาเป็นคนที่ 8 ของห้องเรียนซึ่งมี 150 คนในเดือนธันวาคม 1894[15] และแม้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถโอนย้ายไปหมวดทหารราบตามที่บิดาหวังไว้ แต่เขากลับเลือกที่จะสังกัดทหารม้าและได้ยศเป็นร้อยตรีประจำ กรมทหาร 4th Queen's Own Hussars ในเดือนกุมภาพันธ์ 1895[12] ซึ่งปีเดียวกันนี้เขาได้เดินทางไปยังคิวบาเพื่อสังเกตการณ์การต่อสู้ระหว่างกองทัพสเปนกับฝ่ายกองกำลังปลดแอกคิวบา ระหว่างอยู่ที่คิวบานี้เองเขาได้สูบฮาวานาซิการ์และสูบเรื่อยมาตลอดชีวิตเขา ในปี 1941 เขาได้รับโปรดเกล้าเป็นกรณีพิเศษเป็นผู้พันประจำกรมทหาร 4th Hussars ซึ่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้รับโปรดเกล้าให้อวยยศนี้ขึ้นอีกเป็นผู้บัญชาการ ซึ่งปกติ สิทธิพิเศษนี้มีแต่สำหรับพระบรมวงศ์เท่านั้น
วินสตันได้รับค่าตอบแทนในยศร้อยตรีประจำ 4th Hussars ปีละ 300 ปอนด์ อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าเขาต้องการอย่างน้อยปีละ 500 (เทียบเท่า £55,000 ในปี 2012[16]) เพื่อให้เขามีวิถีชีวิตที่ดีเทียบเท่านายทหารคนอื่น ๆ ในหน่วย แม้ว่ามารดาจะส่งเงินให้เขาปีละ 400 ปอนด์แต่ก็ไม่พอเนื่องจากเขาเป็นคนมือเติบ วินสตันไม่สนใจการเลื่อนยศมากนักเหมือนที่ทหารคนอื่น ๆ เป็น เขาต้องการเป็นผู้สื่อข่าวสายทหารโดยต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในปฏิบัติการต่าง ๆ[17] โดยอาศัยเส้นสายของครอบครัวที่มีอยู่ในสังคมชั้นสูง เขาเป็นผู้สื่อข่าวให้แก่หนังสือพิมพ์ในลอนดอนเป็นระยะเวลากว่าเจ็ดปี[18] นอกจากนี้ยังมีงานเขียนเกี่ยวกับปฏิบัติการต่าง ๆ เป็นของตนเอง
ประจำการในอินเดีย
ต้นเดือนตุลาคม 1896 เขาถูกโอนย้ายไปประจำการยังบริติชราช ในขณะที่เรือกำลังเทียบท่าที่มุมไบ เขาประสบอุบัติเหตุทำให้ข้อไหล่ขวาหลุด ทำให้เขาใช้แขนขวาได้ไม่เต็มที่ไปตลอดชีวิต เขาเคยเป็นนักโปโลมือหนึ่งในหน่วย[19] แม้หลังบาดเจ็บเขาก็ยังคงเล่นโปโลต่อไปแต่ใช้สายหนังหิ้วแขนขวาแทน[20]
ในปีเดียวกันเขาก็เดินทางไปบังคาลอร์ในฐานะนายทหารหนุ่ม ในหนังสือของเขาอธิบายว่า บังคาลอร์เป็นเมืองที่มีสภาพอากาศเยี่ยม และที่อยู่ของเขาเป็นวังสีชมพูขาวใจกลางสวนหย่อมงดงามรายล้อม มีคนใช้ชื่อโธพิ, มีคนสวน, มียาม และมีคนหามน้ำ ในบังคาลอร์นี้เองที่เขาได้พบกับสตรีชื่อ พาเมลลา พลอว์เดน (Pamela Plowden) ลูกสาวของคนใช้และเป็นรักแรกของเขา[21] วินสตันยังได้อธิบายถึงสตรีชาวอังกฤษในอินเดียว่าพวกหล่อนนั้นไม่เป็นที่พึงประสงค์เพราะมีความมั่นใจในความงามของตนเองจนเกินไป จดหมายที่เขาเขียนถึงบ้านยังแสดงให้เห็นว่า เขาพยายามเป็นกลางและหลีกเลี่ยงประเด็นการเมืองอังกฤษซึ่งกำลังมีความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย คือฝ่ายค้านที่มีลอร์ดโรสเบรีกับโจเซฟ เชมเบอร์ลิน และฝ่ายรัฐบาลลอร์ดลันสดาวน์ที่ต้องการเพิ่มงบประมาณกองทัพ[20]
Remove ads
งานการเมือง
สรุป
มุมมอง

สมาชิกสภาสมัยแรก
ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1900 เขาชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.จากโอลด์แฮม[22] หลังจากชนะการเลือกตั้งเขาก็เริ่มเดินสายปราศรัยทั้งในเกาะบริเตนและสหรัฐอเมริกา สร้างรายได้ให้แก่เขาถึง 10,000 ปอนด์ (เทียบเท่า 980,000 ปอนด์ในปัจจุบัน) นอกจากนี้ระหว่างปี 1903 ถึง 1905 เขายังได้ร่วมเขียนหนังสือชีวประวัติสองเล่มของบิดา ลอร์ดรันดอล์ฟ เชอร์ชิล[23]
วาระแรกในรัฐสภา วินสตันไปสมาคมอยู่กับพรรคอนุรักษนิยมซึ่งในขณะนั้นเป็นเสียงข้างน้อยนำโดย ลอร์ดฮิวจ์ เซซิล ซึ่งมีชื่อเรียกลำลองในสภาว่า "พวกฮิวจ์" วินสตันได้อภิปรายคัดค้านรายจ่ายด้านการทหารของรัฐบาล[24] ตลอดจนคัดค้านการเสนอให้ขึ้นภาษีของรัฐมนตรีโจเซฟ เชมเบอร์ลิน การคัดค้านของวินสตันก็เพื่อหวังรักษาอิทธิพลทางเศรษฐกิจของอังกฤษ ในขณะที่พวกฮิวจ์ส่วนใหญ่ดูจะสนับสนุนนโยบายขึ้นภาษี ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปวินสตันก็ยังสามารถรักษาเก้าอี้ ส.ส.ของตนเองไว้ได้ แต่ด้วยความขัดแย้งเรื่องนโยบายภาษีกับพรรคอนุรักษนิยม เขาก็ตัดสินใจครั้งสำคัญโดยย้ายไปสังกัดพรรคเสรีนิยมแทน ในฐานะสมาชิกพรรคเสรีนิยม เขายังคงสนับสนุนแนวคิดเรื่องเขตการค้าเสรี และเมื่อพรรคเสรีนิยมได้เป็นรัฐบาลที่นำโดยเซอร์เฮนรี แคมป์เบล-แบนเนอร์มัน ในปี 1905 วินสตันก็ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการอาณานิคม ดูแลนิคมแอฟริกาใต้ภายหลังสงครามโบเออร์ และมีส่วนร่างรัฐธรรมนูญทรานส์วาลซึ่งหวังนำเสถียรภาพมาสู่นิคมแอฟริกาใต้ วินสตันได้สูญเสียเก้าอี้ส.ส.จากโอลด์แฮมไปในการเลือกตั้งปี 1906
การเรียกร้องเอกราชของอินเดีย
ส.ส. วินสตันเป็นบุคคลที่ต่อต้านความเคลื่อนไหวต่าง ๆ เพื่อปลดแอกอินเดียรวมถึงต่อต้านกฎหมายที่จะให้เอกราชแก่อินเดีย ในปี 1920 เขากล่าวว่า "คานธีควรจะถูกมัดมือมัดเท้าไว้หน้าประตูเมืองเดลี แล้วก็ปล่อยให้ช้างตัวเบ้อเร่อเหยียบ"[25][26] ยังมีเอกสารระบุในภายหลังอีกว่า วินสตันอยากจะเห็นคานธีอดอาหารให้ตาย ๆ ไปซะ[27] วินสตันเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มที่มีชื่อว่า สันนิบาตป้องกันอินเดีย (India Defence League) เป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อธำรงไว้ซึ่งอิทธิพลของอังกฤษในอินเดีย ในปี 1930 วินสตันออกมาประกาศว่า กลุ่มคนและทุกอย่างของลัทธิคานธีจะต้องถูกจับกุมและถูกทำลาย[28] วินสตันถึงขนาดแตกหักกับนายกรัฐมนตรีบอลดวินที่จะเริ่มกระบวนการให้เอกราชแก่อินเดีย โดยกล่าวว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งใด ๆ ในรัฐบาลอีกตราบใดที่บอลดวินยังเป็นนายกฯอยู่
นายกรัฐมนตรีสมัยแรก (ค.ศ. 1940–45)
หวนคืนสู่กระทรวงทหารเรือ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น ในวันที่ 3 กันยายน 1939 วันที่สหราชอาณาจักรประกาศสงครามต่อเยอรมัน วินสตันได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงทหารเรือ ตำแหน่งเดิมกับที่เขาเคยดำรงตำแหน่งในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเป็นเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะรัฐมนตรีฝ่ายสงคราม (War cabinet) ในรัฐบาลของเชมเบอร์ลิน[29][30] ในตำแหน่งนี้ วินสตันได้พิสูจน์ตนเองเป็นรัฐมนตรีมือดีในยุคที่เรียกว่า "สงครามลวง" ตอนแรกวินสตันเสนอแผนจะส่งกองเรือทะลวงเข้าไปในทะเลบอลติก แต่ก็เปลี่ยนแผนเป็นการวางทุ่นระเบิดเส้นทางเดินเรือไม่ให้นอร์เวย์สามารถส่งแร่เหล็กออกจากเมืองนาร์วิกไปป้อนอุตสาหกรรมทหารของเยอรมันได้ ซึ่งจะบีบเยอรมันให้เปิดฉากโจมตีนอร์เวย์ เป็นโอกาสดีที่ราชนาวีอังกฤษจะมีชัยเหนือกองเรือเยอรมัน[31] อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเชมเบอร์ลินตลอดจนคณะรัฐมนตรีฝ่ายสงครามคัดค้านแผนการนี้ทำให้แผนล่าช้าออกไป แผนวางทุ่นระเบิดอันมีชื่อว่า "ปฏิบัติการวิลเฟรด" นี้เริ่มขึ้นในวันที่ 8 เมษายน 1940 เพียงวันเดียวก่อนที่เยอรมันจะประสบความสำเร็จในการบุกครองนอร์เวย์[32]
สุนทรพจน์ "เราจักไม่มีวันยอมแพ้"
ในวันที่ 10 พฤษภาคม 1940 ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเยอรมนีจะเข้าบุกฝรั่งเศสด้วยกลยุทธ์บลิทซ์ครีกผ่านกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ หลังจากความล้มเหลวของปฏิบัติการในประเทศนอร์เวย์ ผู้คนก็สูญเสียความเชื่อมั่นในรัฐบาลของเชมเบอร์ลิน ทำให้เชมเบอร์ลินตัดสินใจลาออก ตัวเต็งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปอย่างเอิร์ลแห่งฮาลิแฟกซ์ก็ถอนตัว เนื่องจากเขาไม่เชื่อมั่นว่าตัวเขาซึ่งมาจากสภาขุนนางจะสามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน แม้ว่าโดยจารีตประเพณีแล้วนายกรัฐมนตรีจะมิทูลเกล้าฯ เสนอชื่อนายกฯ คนต่อไป แต่เชมเบอร์ลินต้องการใครซักคนที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งสามพรรคในสภาสามัญชน จึงเกิดการหารือกันระหว่างเชมเบอร์ลิน, ลอร์ดฮาลิแฟกซ์, วินสตัน และเดวิด มาเกรสสัน ในที่สุดพระเจ้าจอร์จที่ 6 ก็ทรงเสนอชื่อวินสตันขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยสิ่งแรกที่วินสตันทำคือการเขียนจดหมายขอบคุณเชมเบอร์ลินที่สนับสนุนเขา[33]
ตอนปลายของยุทธการที่ฝรั่งเศส กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษในภาคพื้นทวีปต่างพ่ายแพ้ต่อเยอรมัน หมู่เกาะอังกฤษตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้คนต่างหวาดผวาต่อการรุกรานโดยนาซีเยอรมนี ทันใดนั้นก็เกิดปาฏิหาริย์แห่งดันเคิร์กขึ้นซึ่งช่วยทหารไว้กว่าสามแสนนาย ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1940 นายกรัฐมนตรีวินสตันได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาสามัญชน สุนทรพจน์นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ We shall fight on the beaches ซึ่งบางส่วนของสุนทรพจน์ดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็นวลีที่ดีที่สุดแห่งยุค

...วันนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ขอสภาให้กำหนดบ่ายวันนี้เป็นวาระพิเศษเพื่อกล่าวแถลง ผมมีความลำบากใจเป็นอย่างมากที่จะต้องประกาศหายนะทางการทหารที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเรา...รากเหง้า แก่น และมันสมองของกองทัพบริติช...ดูเหมือนกำลังจะพังทลายลงในสนามรบ...ปาฏิหาริย์การปลดปล่อยซึ่งสำเร็จได้จากความกล้าหาญ จากความบากบั่น กลายเป็นที่ประจักษ์แก่เราทุกคน และราชนาวีด้วยความช่วยเหลือของชาวเรือพาณิชย์นับไม่ถ้วน ได้ใช้เรือทุกชนิดเกือบพันลำ นำพากว่า 335,000 นายทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษ ให้รอดพ้นจากปากมัจจุราชและความอัปยศ...มีคนบอกว่าแฮร์ฮิตเลอร์มีแผนรุกรานหมู่เกาะอังกฤษ ข้อนี้ก็เคยคิดกันมาก่อนหลายครั้ง...เราจะขอพิสูจน์ตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของเรา และเราจะผ่านพ้นภัยทรราชนี้...
แม้ว่าพื้นที่มากมายในยุโรปและรัฐเก่าแก่ขึ้นชื่อได้พ่ายแพ้หรืออาจตกอยู่ใต้เงื้อมมือของเกสตาโพและระบอบนาซีที่น่ารังเกียจก็ตาม เราจะอ่อนล้าหรือล้มเหลวไม่ได้
เราจักก้าวเดินไปถึงจุดจบ เราจักสู้ในฝรั่งเศส เราจักสู้ในท้องทะเลและมหาสมุทร เราจักสู้ด้วยความเชื่อมั่นและพลังที่เติบใหญ่ในท้องนภา เราจักปกป้องเกาะของเราไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร เราจักสู้บนชายหาด เราจักสู้บนลานบิน เราจักสู้บนท้องทุ่งและท้องถนน เราจักสู้ในหุบเขา เราจักไม่มีวันยอมแพ้...
Remove ads
ชีวิตช่วงหลัง: ค.ศ. 1955–1965
จิตรกร นักประวัติศาสตร์ และนักเขียน
สรุป
มุมมอง

เชอร์ชิลเป็นนักเขียนที่ผลิตผลงานมาก ได้แก่ นวนิยาย (Savrola), ชีวประวัติ 2 เล่ม, บันทึกความทรงจำ, ประวัติศาสตร์ และบทความข่าว ผลงานที่มีชื่อเสียง 2 เล่มคือ บันทึกความทรงจำ The Second World War 6 เล่ม และ A History of the English-Speaking Peoples 4 เล่ม[34] ใน ค.ศ. 1953 เชอร์ชิลได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม "สำหรับความเชี่ยวชาญในการบรรยายประวัติศาสตร์และชีวประวัติ" และคำปราศรัย[35]

เขาใช้นามปากกา "วินสตัน เอส. เชอร์ชิล" (Winston S. Churchill) หรือ "วินสตัน สเปนเซอร์ เชอร์ชิล" (Winston Spencer Churchill) เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับนักเขียนนวนิยายชาวอเมริกันที่มีชื่อเดียวกัน ซึ่งเขาก็มีจดหมายโต้ตอบอย่างฉันมิตรด้วย[36] เป็นเวลาหลายปีที่เขาอาศัยบทความข่าวของตนเป็นอย่างมาก เพื่อบรรเทาความกังวลทางการเงิน[37]
เชอร์ชิลกลายเป็นจิตรกรมือสมัครเล่นที่ประสบความสำเร็จ เริ่มต้นหลังลาออกจากกองทัพเรือใน ค.ศ. 1915[38] โดยใช้นามแฝง "Charles Morin"[39] เขาวาดภาพถึงร้อยกว่าภาพ โดยมีหลายภาพที่จัดแสดงในสตูดิโอที่ชาร์ตเวลล์และในชุดสะสมส่วนตัว[40]
เชอร์ชิงเป็นช่างปูนมือสมัครเล่นที่ก่อสร้างอาคารและกำแพงสวนที่ชาร์ตเวลล์[39] เขาเข้าร่วม Amalgamated Union of Building Trade Workers bแต่ถูกขับออกหลังเข้าเป็นสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยม[39] เขายังเพาะพันธุ์ผีเสื้อด้วย[41] เขาเป็นที่รู้จักจากการรักสัตว์และมีสัตว์เลี้ยงบางตัวเสมอ ส่วนใหญ่เป็นแมว แต่บางครั้งก็มีสุนัข, สุกร, แกะ, แบนแทม, แพะ และลูกสุนัขจิ้งจอก กับตัวอื่น ๆ[42]
Remove ads
สิ่งสืบทอดและการประเมิน
ครอบครัวและบรรพบุรุษ
เชอร์ชิลแต่งงานกับคลีเมนไทน์ โฮซีเออร์ (Clementine Hozier) ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1908[43] ทั้งคู่อยู่ด้วยกันเป็นเวลา 57 ปี[44] เชอร์ชิลตระหนักดีถึงความตึงเครียดในอาชีพทางการเมือง ส่งผลต่อการแต่งงานของเขา[45] Colville รายงานว่า เขามีความรักชั่วครู่กับ Doris Castlerosse ในคริสต์ทศวรรษ 1930[46] กระนั้น แอนดรูว์ รอเบิตส์ไม่นับเรื่องนี้[47]
ไดอานา ลูกคนแรกของเชอร์ชิล เกิดในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1909[48] แรนดอล์ฟ ลูกคนที่ 2 เกิดในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1911[49] ซาราห์ ลูกคนที่ 3 เกิดในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1914[50] และแมรีโกลด์ ลูกคนที่ 4 เกิดในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918[51] แมรีโกลด์เสียชีวิตจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1921[52] จากนั้นในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1922 จึงมีการให้กำเนิดแมรี ลูกคนสุดท้องของเชอร์ชิล ภายหลังในเดือนั้น ครอบครัวเชอร์ชิลซื้อบ้านชาร์ตเวลล์ ซึ่งภายหลังกลายเป็นบ้านของครอบครัวจนกระทั่งวินสตันเสียชีวิตใน ค.ศ. 1965[53] เจนกินส์รายงานว่า เชอร์ชิลเป็น "พ่อที่กระตือรือร้นและรักลูก" แต่เป็นคนที่คาดหวังลูกมากเกินไป[54]
Remove ads
หมายเหตุ
- The surname is the double-barrelled Spencer Churchill (unhyphenated), but he is known by the surname Churchill. His father dropped the Spencer.[1]
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads