Loading AI tools
รัฐในทวีปยุโรปตอนกลาง ดำรงอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1920 ถึง ค.ศ. 1946 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ราชอาณาจักรฮังการี (ฮังการี: Magyar Királyság) เป็นชื่ออย่างเป็นทางการของรัฐฮังการีระหว่าง ค.ศ. 1920 จนถึง ค.ศ. 1946 ราชอาณาจักรดำรงอยู่กระทั่งความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง และการประกาศสาธารณรัฐฮังการีที่ 2 แม้ว่าในช่วงเวลานี้ฮังการีจะปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย แต่กระนั้นก็ยังไม่มีพระมหากษัตริย์ มีเพียงผู้สำเร็จราชการ มิกโลช โฮร์ตี ซึ่งเป็นพลเรือเอกแห่งอดีตจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ที่ยังคงเป็นประมุขแห่งรัฐ หลังจากการปกครองแบบอนุรักษนิยมเป็นเวลานานตั้งแต่ ค.ศ. 1920 จนถึง ค.ศ. 1944 ประเทศก็ตกอยู่ภายใต้การครอบงำโดยนาซีเยอรมนีใน ค.ศ. 1944 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังปฏิบัติการทางทหารในเดือนมีนาคม ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการถูกแทนที่โดยผู้นำฟาสซิสต์ แฟแร็นตส์ ซาลอชี แห่งพรรคแอร์โรว์ครอสส์ในเดือนตุลาคม แต่ต่อมากองกำลังนาซีได้ถูกขับไล่ออกจากฮังการีโดยกองกำลังโซเวียต ทำให้ประเทศตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียต และมีการล้มเลิกระบอบราชาธิปไตยใน ค.ศ. 1946 ในทางประวัติศาสตร์แล้ว จะมีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างยุคสมัยอื่น ๆ ที่ใช้ชื่อราชอาณาจักรฮังการีเหมือนกัน ดังนั้นคำว่า ยุคผู้สำเร็จราชการ หรือ ยุคโฮร์ตี จึงมักถูกใช้อธิบายเพื่อบ่งบอกถึงช่วงเวลานี้[10]
บทความนี้อาจขยายความได้โดยการแปลบทความที่ตรงกันในภาษาสเปน คลิกที่ [ขยาย] เพื่อศึกษาแนวทางการแปล
|
ราชอาณาจักรฮังการี | |||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1920–1946 | |||||||||||||||||||||||||||||||
ราชอาณาจักรฮังการีใน ค.ศ. 1942 | |||||||||||||||||||||||||||||||
เขตการปกครองของฮังการี ค.ศ. 1942 | |||||||||||||||||||||||||||||||
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | บูดาเปสต์ | ||||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาราชการ | ฮังการี | ||||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาพื้นเมือง | รูซึน[1][2] (ในซับคาร์เพเทีย) | ||||||||||||||||||||||||||||||
ภาษาทั่วไป | โรมาเนีย • เยอรมัน • สโลวัก • โครเอเชีย • เซอร์เบีย • ยิดดิช • สโลวีเนีย • โรมานี[3] | ||||||||||||||||||||||||||||||
กลุ่มชาติพันธุ์ (1941)[3] | |||||||||||||||||||||||||||||||
ศาสนา (1941)[3] | รายการ
| ||||||||||||||||||||||||||||||
เดมะนิม | ชาวฮังการี | ||||||||||||||||||||||||||||||
การปกครอง | รัฐผู้สำเร็จราชการภายใต้ลัทธิอำนาจนิยม (1920-1944) รัฐฮังการีนิยม รัฐพรรคการเมืองเดียวภายใต้ระบอบเผด็จการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ (1944-1945) คณะเปลี่ยนผ่านภายใต้รัฐบาลผสม (1945-1946) | ||||||||||||||||||||||||||||||
พระมหากษัตริย์ | |||||||||||||||||||||||||||||||
• 1920-1946 | ว่าง [หมายเหตุ 1] | ||||||||||||||||||||||||||||||
ประมุขแห่งรัฐ | |||||||||||||||||||||||||||||||
• 1920-1944 | มิกโลช โฮร์ตี[หมายเหตุ 2] | ||||||||||||||||||||||||||||||
• 1944-1945 | แฟแร็นตส์ ซาลอชี[หมายเหตุ 3] | ||||||||||||||||||||||||||||||
• 1945-1946 | สภาแห่งชาติชั้นสูง[หมายเหตุ 4] | ||||||||||||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรี | |||||||||||||||||||||||||||||||
• 1920 (คนแรก) | กาโรย ฮูซาร์ | ||||||||||||||||||||||||||||||
• 1945-1946 (คนสุดท้าย) | โซลตาน ทิลดี | ||||||||||||||||||||||||||||||
สภานิติบัญญัติ | สภานิติบัญญัติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
• สภาสูง | แฟลเชอฮาซ (Felsőház) | ||||||||||||||||||||||||||||||
• สภาล่าง | เกปวีแชเลอฮาซ (Képviselőház) | ||||||||||||||||||||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | ระหว่างสงคราม · สงครามโลกครั้งที่สอง | ||||||||||||||||||||||||||||||
29 กุมภาพันธ์ 1920 | |||||||||||||||||||||||||||||||
4 มิถุนายน 1920 | |||||||||||||||||||||||||||||||
• วิกฤตอีสเตอร์ | 26 มีนาคม 1921 | ||||||||||||||||||||||||||||||
• การเดินขบวนในบูดาเปสต์ | 21 ตุลาคม 1921 | ||||||||||||||||||||||||||||||
2 พฤศจิกายน 1938 | |||||||||||||||||||||||||||||||
• บุกครองซับคาร์เพเทีย | 14 มีนาคม 1939 | ||||||||||||||||||||||||||||||
30 สิงหาคม 1940 | |||||||||||||||||||||||||||||||
11 เมษายน 1941 | |||||||||||||||||||||||||||||||
27 มิถุนายน 1941 | |||||||||||||||||||||||||||||||
19 มีนาคม 1944 | |||||||||||||||||||||||||||||||
16 ตุลาคม 1944 | |||||||||||||||||||||||||||||||
1 กุมภาพันธ์ 1946 | |||||||||||||||||||||||||||||||
พื้นที่ | |||||||||||||||||||||||||||||||
1920[4] | 92,833 ตารางกิโลเมตร (35,843 ตารางไมล์) | ||||||||||||||||||||||||||||||
1930[5] | 93,073 ตารางกิโลเมตร (35,936 ตารางไมล์) | ||||||||||||||||||||||||||||||
1941[6] | 172,149 ตารางกิโลเมตร (66,467 ตารางไมล์) | ||||||||||||||||||||||||||||||
ประชากร | |||||||||||||||||||||||||||||||
• 1920[7] | 7,980,143 | ||||||||||||||||||||||||||||||
• 1930[8] | 8,688,319 | ||||||||||||||||||||||||||||||
• 1941[9] | 14,669,100 | ||||||||||||||||||||||||||||||
สกุลเงิน | โกโรนอ (1920-1927) แป็งเกอ (1927-1946) | ||||||||||||||||||||||||||||||
เขตเวลา | UTC+1 (CET) | ||||||||||||||||||||||||||||||
UTC+2 (CEST) | |||||||||||||||||||||||||||||||
[หมายเหตุ 5] | |||||||||||||||||||||||||||||||
ขับรถด้าน | ขวา (ตั้งแต่ ค.ศ. 1941) | ||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | โครเอเชีย ฮังการี โรมาเนีย เซอร์เบีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย ยูเครน | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
หลังจากความพ่ายแพ้ทางทหารของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีในปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1919 บรรดาพรรคอนุรักษนิยมต่างเห็นชอบให้มีการฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตยฮังการีขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่กองทัพและกลุ่มขวาจัดปฏิเสธการกลับมาของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค จึงมีการสถาปนาตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนขึ้นเป็นการชั่วคราวในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1920[11] ลักษณะการปกครองของผู้สำเร็จราชการโฮร์ตีนั้นเป็นแบบอนุรักษนิยม[12] ชาตินิยม และต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง[13] ระบอบผู้สำเร็จราชการได้รับการสนับสนุนโดยพันธมิตรอนุรักษนิยมที่ไม่มั่นคงและฝ่ายขวาจัด[14] นโยบายระหว่างประเทศของฮังการีในช่วงเวลานี้มีลักษณะเฉพาะคือ การแก้ไขหรือการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วนของสนธิสัญญาสันติภาพ เพื่อให้ได้เงื่อนไขที่แตกต่างจากในอดีตและเพื่อต่อต้านบอลเชวิค ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ ซึ่งต่อมาจะรวมทั้งการต่อต้านชาวยิว และการปฏิเสธการปกครองในระบอบประชาธิปไตยด้วย[15] ในเดือนพฤศจิกายน มีการลงนามในสนธิสัญญาทรียานง ซึ่งถูกกำหนดไว้โดยประเทศผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยภายในเนื้อหาของสนธิสัญญาระบุถึงการที่ฮังการีจะต้องสูญเสียดินแดนและประชากรจำนวนสองในสามให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน[16] ส่งผลให้การเมืองฮังการีในสมัยระหว่างสงครามถูกครอบงำจากการสูญเสียดินแดนตามสนธิสัญญานี้ ซึ่งทำให้ชาวฮังการีมากกว่าสามล้านคนอยู่นอกเขตแดนใหม่ของราชอาณาจักร[17] การแก้ไขพรมแดนไม่เพียงแต่จะเป็นการรวมอำนาจทางการเมืองของชาติเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการขาดการปฏิรูปภายในด้วย[18] การสิ้นสุดสมัยแห่งความไม่มั่นคงหลังการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลอิชต์วาน แบตแลน[19][20] ผู้ลงสมัครซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษนิยมและกลุ่มขวาจัด[21] การนำนโยบายทางต่างประเทศอันสงบมาใช้และการยุติความไม่มั่นคงภายใน ทำให้ประเทศฮังการีสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติได้ใน ค.ศ. 1922[22] จากเสถียรภาพทางการเมืองที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทำให้ฮังการีสามารถเจรจากับสถาบันการเงินของต่างประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น[23] ด้วยการสนับสนุนของโฮร์ตี ทำให้แบตแลนสามารถควบคุมการเลือกตั้งและการครอบงำพรรคร่วมรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้รัฐบาลของเขาสามารถอยู่ในอำนาจได้เป็นเวลาสิบปี โดยที่ไม่มีการต่อต้านใด ๆ เลย แรงสนับสนุนของรัฐบาลแบธแลนไม่ได้มาจากพรรคการเมืองเพียงเท่านั้น แต่ยังมาจากนักบวช ชนชั้นนายทุน และเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในชนบทอีกด้วย[24] แม้ว่าประเทศจะมีลักษณะการปกครองในรูปแบบรัฐสภา แต่ก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ยังคงเป็นระบอบเผด็จการอนุรักษนิยม[25] ฮังการีถูกครอบงำโดยชนชั้นสูงและข้าราชการซึ่งส่วนใหญ่มีภูมิฐานจากชนชั้นสูง[26] หลังจากช่วงระยะเวลาสั้น ๆ อันเนื่องมาจากการปฏิวัติใน ค.ศ. 1919 ชนชั้นสูงก็สามารถนำอำนาจกลับคืนมาได้อีกครั้ง และฟื้นฟูระบอบการเมืองและสภาพสังคมให้กลับไปเป็นแบบในช่วงก่อนสงครามโลก[26] กลุ่มแรงงานในเมืองและชาวนา ซึ่งเป็นจำนวนสองในสามของประชากรทั้งหมด ต่างไม่มีอิทธิพลในรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย[26] และการวางตัวเป็นกลางของพวกสังคมนิยม ทำให้ผู้คนในช่วงปลายทศวรรษถัดมา เริ่มมีแนวคิดหัวรุนแรงจนกลายเป็นฟาสซิสต์[27]
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมขนานใหญ่ ซึ่งทำให้รูปแบบทางการเมืองของรัฐบาลแบตแลนเกิดปัญหา[28] ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้สำเร็จราชการโฮร์ตีและนักการเมืองชั้นนำจึงตัดสินใจเข้าพบกับจูลอ เกิมเบิช ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มขวาจัดและเป็นบุคคลที่น่าจะทำให้มวลชนสงบลงได้มากที่สุด[29] เมื่อเกิมเบิชได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เขาจึงค่อย ๆ วางผู้สนับสนุนของเขาไว้ในตำแหน่งสำคัญทั้งในส่วนของรัฐบาลและกองทัพ[30] หลังจากที่แบตแลนลาออกจากตำแหน่ง ระบอบผู้สำเร็จราชการเริ่มได้รับความสำคัญมากขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก ค.ศ. 1935 เป็นต้นไป[31] โฮร์ตีกลายเป็นผู้ชี้ขาดทางการเมืองระดับชาติ ทั้งเพราะรัฐบาลที่เริ่มเสื่อมถอยมากขึ้น เนื่องจากความแตกแยกระหว่างพรรคอนุรักษนิยมกับกลุ่มขวาจัด และเพราะแรงสนับสนุนที่เขาได้รับจากกลุ่มฝ่ายขวาส่วนใหญ่ในประเทศ[32] โฮร์ตีจึงพยายามรักษาสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่ายไว้[31] ในช่วงแปดปีของการปกครองโดยระบอบผู้สำเร็จราชการ อิทธิพลของเยอรมนีและความนิยมของจักรวรรดิไรช์เริ่มแพร่กระจายสู่ประชากรส่วนหนึ่ง ทำให้การเมืองภายในประเทศเริ่มเกิดความรุนแรง และได้โน้มน้าวให้ผู้คนเชื่อว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูรูปแบบอนุรักษนิยมให้เหมือนดังในช่วงทศวรรษ 1920[33] เยอรมนีสามารถบรรเทาวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้ ดังนั้นโฮร์ตีจึงเล็งเห็นว่าเยอรมนีน่าจะสามารถสนับสนุนฮังการีให้บรรลุความปรารถนาในการแก้ไขดินแดนได้ แต่มันกลับพังทลายลง เมื่อฮังการีเริ่มกลายเป็นรัฐในอารักขาของเยอรมนีทีละน้อย[33] รัฐบาลฮังการีประสบความล้มเหลวในความพยายามที่จะสกัดกั้นอิทธิพลของเยอรมนีและฝ่ายขวาของประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปฏิเสธที่จะละทิ้งความทะเยอทะยานในการแก้ไขดินแดน ซึ่งความสำเร็จนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับทางรัฐบาลเบอร์ลินด้วย ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มขวาจัดในฮังการี[34]
แต่ด้วยความร่วมมือระหว่างเยอรมนีและอิตาลี ส่งผลให้ประเทศสามารถกู้คืนดินแดนส่วนหนึ่งที่เสียไปให้แก่เชโกสโลวาเกียกลับมาได้ตามการอนุญาโตตุลาการเวียนนาครั้งที่หนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1938[35] ซี่งในช่วงเวลานี้เอง ที่เยอรมนีเริ่มมีบทบาทในการเมืองฮังการี[36] ความปรารถนาของประชาชนในการเปลี่ยนแปลง เจตคติเชิงปฏิกิริยาต่อรัฐบาลที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ความอ่อนแอลงของฝ่ายซ้าย และอำนาจของขบวนการฟาสซิสต์ในยุโรปนั้น เอื้อประโยชน์ต่อการเติบโตขึ้นของกลุ่มฝ่ายขวาจัดที่คัดค้านการปฏิรูป[37] ในการอนุญาโตตุลาการเวียนนาครั้งที่สอง ซึ่งมีผู้ตัดสินคืออิตาลีและเยอรมนีใน ค.ศ. 1940 ทำให้ฮังการีได้รับดินแดนทางตอนเหนือของทรานซิลเวเนียจากโรมาเนีย[38] ประเทศเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่สองโดยอยู่ฝ่ายอักษะ ซึ่งหันไปต่อต้านยูโกสลาเวียและมีส่วนช่วยในการบุกครองสหภาพโซเวียตเมื่อปลายเดือนมิถุนายน และพันธมิตรตะวันตกในเดือนธันวาคม[31] อย่างไรก็ตาม เมื่อฝ่ายอักษะเริ่มพ่ายแพ้แก่กองทัพโซเวียต ทำให้ฮังการีพยายามเปลี่ยนฝ่ายในช่วงปลายสงครามแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากความปรารถนาที่จะรักษาดินแดนที่เคยสูญเสียไปและระบบสังคมที่ล้าสมัย อีกทั้งรัฐบาลก็ไม่เต็มใจที่จะต่อต้านสหภาพโซเวียต[39] เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนฝ่ายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอิตาลี เยอรมนีจึงบุกครองประเทศโดยปราศจากการต่อต้านในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944[40] คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งดูแลโดยตัวแทนจากนาซีเยอรมนีได้ทำการปฏิรูปกองทัพและเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อสนับสนุนความพยายามในการทำสงครามของเยอรมนีและยุติปัญหาชาวยิว[41] พวกนาซีได้ทำการรัฐประหารรัฐบาล อันเป็นการสิ้นสุดลงของระบอบผู้สำเร็จราชการที่นำโดยโฮร์ตี และได้มอบอำนาจให้แก่ แฟแร็นตส์ ซาลอชี ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคแอร์โรว์ครอสส์[42] แต่ท้ายที่สุดกองทัพโซเวียตก็สามารถขับไล่นาซีเยอรมนีออกจากดินแดนฮังการีได้เมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1945[43] เป็นเหตุให้การผนวกดินแดนของฮังการีในการอนุญาโตตุลาการเวียนนาทั้งสองครั้งถูกประกาศว่าเป็นโมฆะภายหลังสงคราม[44]
ด้วยประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำให้การกระจายที่ดินยังคงไม่เท่าเทียมกันอย่างมาก[45] โดยทั่วไปแล้ว ชาวนาฮังการีต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้น[45] การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศได้รับการสนับสนุนเพื่อพยายามลดจำนวนประชากรล้นเกินในชนบท แต่ก็ไม่เคยเติบโตมากพอที่จะลดจำนวนประชากรในภาคการเกษตรได้[46] ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจชองฮังการีอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรม ราคาธัญพืชซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของฮังการีทรุดตัวลงในตลาดโลก[47] วิกฤตการณ์ร้ายแรงทางเศรษฐกิจส่งผลให้อิทธิพลของฟาสซิสต์อิตาลีและเยอรมนีเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งสองประเทศต่างเป็นคู่ค้าหลักของผลผลิตทางการเกษตรเพียงไม่กี่รายในประเทศ ซึ่งไม่ถูกครอบงำโดยตลาดต่างประเทศอีกต่อไป[48] ใน ค.ศ. 1938 เยอรมนีเริ่มควบคุมการนำเข้าและส่งออกของฮังการีถึง 50 % แล้ว[49] การค้าขายกับเยอรมนีที่เพิ่มขึ้นและการเริ่มต้นนโยบายการเสริมกำลังอาวุธ ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงครึ่งหลังทศวรรษ 1930 ได้[42] อย่างไรก็ตาม สภาพความเป็นอยู่และการทำงานของคนงานในอุตสาหกรรมยังคงย่ำแย่ แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธมีส่วนช่วยในการขจัดการว่างงานไปได้แทบทั้งหมด[50] สำหรับประชากรชาวยิวใน ค.ศ. 1930 ซึ่งคิดเป็น 5.1 % ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ[51] ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านอุตสากรรม พาณิชยกรรม และการเงินของประเทศ[52] ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 จนถึงต้นทศวรรษ 1940 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติต่อชาวยิว ซึ่งจำกัดสิทธิต่าง ๆ ของชาวยิวอย่างเห็นได้ชัด ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มไม่มั่นคง[53] ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวทั้งหมด 565,000 คน ถูกสังหารในดินแดนของฮังการี[54]
ในข่วงปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1919 กองทัพโรมาเนียได้บุกฝ่าแนวรบของกองทัพแดงฮังการี[55] รัฐบาลโซเวียตจึงมอบอำนาจให้กับรัฐบาลประชาธิปไตยสังคมนิยมสายกลางใหม่ที่ไม่สามารถป้องกันการบุกครองของโรมาเนียได้[55] จากนั้นรัฐบาลใหม่ก็ถูกแทนที่โดยรัฐบาลอนุรักษนิยม ซึ่งได้รับการยอมรับจากโรมาเนีย[55][56] ฝ่ายกองทัพแห่งชาตินำโดยพลเรือเอก มิกโลช โฮร์ตี ได้รวบรวมกำลังพลจากเมืองแซแก็ด ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกองทัพฝรั่งเศส เคลื่อนพลเข้าสู่เมืองหลวงหลังจากที่กองทัพโรมาเนียถอนกำลังออกจากประเทศในช่วงต้นฤดูหนาว[55][57][58][59] ฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ ฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ และกลุ่มผู้นิยมระบอบราชาธิปไตยได้ก่อความน่าสะพรึงกลัวขาวขึ้นในภูมิภาคตะวันตกของประเทศตั้งแต่ช่วงปลายฤดูร้อนหลังการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการี[58] เพื่อลบล้างมรดกจากยุคคอมมิวนิสต์ทั้งหมด[55][60][61] ด้วยเหตุนี้ การกดขี่ข่มเหงต่อสมาชิกของขบวนการฝ่ายซ้ายและชาวยิวจึงแพร่กระจายไปทั่วประเทศ[62][60][63][64][58][59][หมายเหตุ 1] กองกำลังกึ่งทหารใช้วิธีการกวาดล้างผู้ต่อต้านซึ่งไม่ต่างจากการก่ออาชญากรรม โดยมีการกรรโชก[11] การโจรกรรม การทรมาน และการฆาตกรรม ซึ่งพวกเขาได้อ้างถึงการกระทำว่าเป็นเพราะเหตุผลทางการเมือง[66] อำนาจยังคงอยู่ในมือของฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายขวาจัด ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มขุนนาง ข้าราชการ และทหาร[14][67] ชาวนาที่เอือมระอากับการกดขี่ของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ (ยกเว้นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม) ยอมรับการกลับมาของระบอบคณาธิปไตยเพื่อแลกกับการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย[68] อย่างไรก็ตาม กองกำลังกึ่งทหารเริ่มผ่อนคลายความรุนแรงลงเมื่อสิ้นสุดสมัยแห่งการปฏิวัติ[69] โดยทั่วไปแล้ว การเมืองของประเทศเริ่มเอนเอียงไปทางฝ่ายขวาในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังการล่มสลายของรัฐบาลปฏิวัติคอมมิวนิสต์[70]
ภายใต้แรงกดดันจากไตรภาคี[58] การเลือกตั้งครั้งใหม่ถูกจัดขึ้นพร้อมกับการสำรวจสำมะโนประชากร และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่ให้สิทธิการเลือกตั้งแก่สตรี[71][11] จากผลการเลือกตั้งในเดือนมกราคม ค.ศ. 1920 ทำให้มีพรรคการเมืองฝ่ายขวาขนาดใหญ่เกิดขึ้น 2 พรรค[58] ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกภายในระหว่างฝ่ายขวาอนุรักษนิยมและฝ่ายมูลวิวัติ[71][72]
ใน ค.ศ. 1920 กฎหมายฉบับแรกได้ยกเลิกมาตรการทั้งหมดที่ตราขึ้นโดยรัฐบาลปฏิวัติของมิฮาย กาโรยี และเบ-ลอ กุน[73][72] ฝ่ายอนุรักษนิยมสนับสนุนการฟื้นฟูราชบัลลังก์ของพระเจ้าคาร์ลที่ 4 แห่งฮังการี ขณะที่กองทัพและกลุ่มมูลวิวัติฝ่ายขวาแม้จะสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นกัน แต่กระนั้นได้ปฏิเสธการกลับมาของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค จึงมีการตัดสินใจตั้งระบอบผู้สำเร็จราชการชั่วคราวซึ่งมีอำนาจมากขึ้นมาแทน[11][74][75][76][หมายเหตุ 2] ฝ่ายกองทัพและกองกำลังกึ่งทหารเข้ายึดอาคารรัฐสภาระหว่างการเลือกตั้ง[11] และแต่งตั้งมิกโลช โฮร์ตี ตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่ายกองทัพขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแห่งฮังการี[72] ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มีนาคม[76][74][77] นั่นจึงทำให้เขากลายเป็นประมุขแห่งรัฐฮังการีคนเดียวตลอดสมัยระหว่างสงคราม และดำรงตำแหน่งจนกระทั่งเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944[74]
ระหว่างที่โฮร์ตีดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ฝ่ายมูลวิวัติได้กำหนดนโนบายทางการเมืองของตนในรัฐสภาไว้หลายประการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอนุมัติการปฏิรูปที่ดินบางส่วน การออกกฎหมายต่อต้านชาวยิว ซึ่งเป็นครั้งแรกในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติลง[78] และการฟื้นฟูการลงโทษทางร่างกายสำหรับอาชญากรรมบางประเภท[79] ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรมทางสังคมในยุคนั้น[80] การที่รัฐสภาให้สัตยาบันในสนธิสัญญาทรียานงเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน และลงนามในวันที่ 4 มิถุนายน[81][82][หมายเหตุ 3] ซึ่งสนธิสัญญาฉบับนี้ถูกกำหนดไว้โดยประเทศผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะมีการปฏิเสธในบางหัวข้อที่กำหนด ทำให้ประเทศต้องสูญเสียดินแดนและประชากรประมาณสองในสามของราชอาณาจักรเดิม[82][16][84] ความพยายามของนายกรัฐมนตรีปาล แตแลกี (Pál Teleki) ที่จะจำกัดการสูญเสียเพื่อแลกกับผลประโยชน์แก่ฝรั่งเศสและการให้ความช่วยเหลือโปแลนด์ในสงครามโปแลนด์-โซเวียตประสบความล้มเหลว[84][85] ทั้งในรัฐบาลและรัฐสภาต่างถูกครอบงำโดยบุคคลที่มีประสบการณ์ทางการเมืองต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นชนชั้นนายทุนมากกว่าชนชั้นสูง และเป็นบุคคลผู้มีอายุน้อยกว่ากลุ่มผู้ปกครองในช่วงก่อนสงครามทั้งสิ้น แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปในช่วง ค.ศ. 1921 เมื่อรัฐบาลสายอนุรักษนิยมของอิชต์วาน แบตแลน (István Bethlen) ขึ้นสู่อำนาจ[86]
ภายหลังการฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตยของฮังการี ประเทศได้เข้าสู่ปีแห่งความวุ่นวายครั้งใหญ่[87][88] สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของฮังการีร้ายแรงเป็นอย่างมาก[82] อดีตพระมหากษัตริย์แห่งฮังการี (พระเจ้าคาร์ลที่ 4) ทรงพยายามฟื้นฟูราชบัลลังก์ถึงสองครั้งใน ค.ศ. 1921 แต่ไม่สำเร็จ[87][89][90][76][หมายเหตุ 4] รัฐบาลซึ่งขาดอำนาจที่เข้มแข็งยังคงปล่อยให้ความน่าสะพรึงกลัวของกองกำลังกึ่งทหารที่ต่อต้านชาวยิว นักสังคมนิยม และปัญญาชนฝ่ายซ้ายดำเนินต่อไป[87] ผู้อพยพจำนวนมากจากดินแดนที่สูญเสียประมาณ 300,000 ถึง 400,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง[91][92] ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญสำหรับฮังการี[87] ดังนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1921 รัฐบาลจึงออกคำสั่งห้ามการเข้ามาของผู้อพยพรายใหม่จำนวนมหาศาล แต่ปัญหาก็ไม่ได้หยุดลง เนื่องจากมีการปล่อยให้ผู้อพยพเข้ามาหลายพันคนในแต่ละเดือน[93] ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวชนชั้นกลางผู้ยากไร้ ทหารปลดประจำการ และข้าราชการจากดินแดนที่สูญเสีย[92] กลุ่มคนเหล่านี้ให้การสนับสนุนฝ่ายฟาสซิสต์ ซึ่งพวกเขาปรารถนาที่จะนำรูปแบบการเมืองระบอบเผด็จการมาใช้ โดยพวกเขาหวังจะเจริญก้าวหน้าในระบอบนี้[94] ประเทศต้อนรับทหารผู้อพยพประมาณ 17,000 คน ขณะที่สนธิสัญญาสันติภาพจำกัดจำนวนทหารผู้อพยพเพียง 1,700 คน นั่นแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีอำนาจควบคุมกองทัพเพียงเล็กน้อยเท่านั้น[95] ความต้องการของผู้อพยพต่อการจ้างงานของรัฐและความเป็นไปไม่ได้ในการรับผู้อพยพเพิ่ม กระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง[หมายเหตุ 5] ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจทั้งสำหรับรัฐและผู้อพยพ[96] การที่ประชากรชาวยิวมีความสำคัญยิ่งต่อระบบอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ของประเทศและความล้มเหลวของผู้อพยพในการแข่งขันกับชาวยิว ทำให้กระแสการต่อต้านชาวยิวปะทุขึ้นในหมู่ผู้อพยพและเกิดการเรียกร้องการจ้างงานของรัฐอย่างต่อเนื่อง[97] สถานการณ์ความไม่มั่นคงภายในประเทศทำให้นักธุรกิจต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุนในฮังการี แม้ตอนนี้รัฐบาลจะไม่ถูกคุกคามโดยขบวนการชาวนาแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลยังคงประสบความขัดแย้งกับคนงานที่ถูกกดขี่[64] และชนชั้นกลางที่เอือมระอากับการทดลองทางสังคมและกองกำลังกึ่งทหาร[87] การยุติความน่าสะพรึงกลัวทำให้รัฐบาลได้รับการยอมรับในระดับสากลและความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจอีกด้วย[64][88][หมายเหตุ 6]
การสิ้นสุดสมัยแห่งความไม่มั่นคงหลังการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลอิชต์วาน แบตแลน[19][20] ผู้สมัครเลือกตั้งซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษนิยม (เนื่องจากเขาถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นสมาชิกจากตระกูลขุนนางชั้นสูงด้วย) ฝ่ายขวามูลวิวัติ (เนื่องจากแบตแลนมีแนวคิดแบบเทววิทยาปฏิรูปและเป็นหนึ่งในผู้อพยพจากดินแดนทรานซิลเวเนียที่สูญเสีย)[19] นักการเมืองผู้มีประสบการณ์[98] และนักปฏิบัตินิยม[99] ทำให้ในเวลาไม่นานแบตแลนกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลเหนือกว่าโฮร์ตี[100][37] (แบตแลนเริ่มมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคอนุรักษนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ[101] แม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายขวามูลวิวัติก็ตาม)[102][21][103] ทัศนคติแบบอนุรักษนิยมเสรีของแบตแลนเป็นตัวกลางระหว่างทั้งสองฝ่ายที่สนับสนุนระบอบการปกครองแบบอนุรักษนิยมและฝ่ายขวามูลวิวัติ ซึ่งถือเป็นนโยบายภายในประเทศในช่วงระยะเวลาอันยาวนานของแบตแลนในฐานะนายกรัฐมนตรี[21] โดยพื้นฐานแล้ว รัฐบาลใหม่นี้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงปฏิกิริยา พร้อมทั้งฟื้นฟูระบบการเมืองและรูปแบบสังคมให้กลับไปเป็นดังช่วงก่อนสงครามโลก[64][101][19][104]
แบตแลนตัดสินใจระงับการก่อกวนของฝ่ายขวาจัดก่อน[22][105] โดยการติดสินบนบุคคลสำคัญบางคน ซึ่งเขาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาล[21] กองกำลังกึ่งทหารได้รับมอบหมายให้กักขังคนงาน ชาวนา และข่มขู่ฝ่ายค้านทางการเมือง[102] โดยพวกเขาได้กระทำการจนเกินกว่าเหตุและกลายเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่อชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษนิยมที่ต่อต้านการปฏิวัติ[106] การดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลเป็นไปอย่างเชื่องช้าและใช้เวลาดำเนินการเกือบสองปี ส่วนหนึ่งเพราะกองกำลังกึ่งทหารมีผู้สนับสนุนที่มีอำนาจทั้งในฝ่ายกองทัพและฝ่ายบริหารพลเรือน ซึ่งรวมถึงตัวของผู้สำเร็จราชการอย่างโฮร์ตีด้วย[11] (ซึ่งพวกเขาได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมสำหรับอาชญากรรมทั้งหมดของกองกำลังกึ่งทหารในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1921)[107] ในช่วงกลางทศวรรษ 1920 กองกำลังกึ่งทหารในชนบทถูกรวมเข้ากับกองพลตระเวนภายใต้การควบคุมของกองทัพและถูกยุบตัวลงไปโดยส่วนใหญ่[108] ด้วยการควบคุมที่เพียงพอจากทางกองทัพและตำรวจ รัฐบาลจึงแสดงความมุ่งมั่นที่จะยุบเลิกกองกำลังกึ่งทหารทั้งหมดภายในสิ้นปี 1921[109][หมายเหตุ 7] เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ รัฐบาลจึงเพิ่มงบประมาณทางทหารโดยไม่สนใจถึงข้อจำกัดที่กำหนดโดยสนธิสัญญาสันติภาพ[111] เจ้าหน้าที่ทหารส่วนหนึ่งได้รับตำแหน่งในฝ่ายบริหารพลเรือน[106] เจ้าหน้าที่ลับทั่วไปถูกควบคุมโดยทหารผ่านศึกอนุรักษนิยมในสมัยจักรวรรดิมากกว่าผู้บัญชาการทหารที่ต่อต้านการปฏิวัติ[112] เมื่อ ค.ศ. 1922 รัฐบาลประสบความสำเร็จในการยุติความน่าสะพรึงกลัวของกองกำลังกึ่งทหารได้ในที่สุด[113][114] ด้วยนโยบายต่างประเทศที่สันติและการยุติความไม่มั่นคงภายใน แบตแลนจึงสามารถนำพาประเทศเข้าสู่สันนิบาตชาติได้ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1922[22][37][78][115] อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายขวามูลวิวัติ ทำให้แบตแลนรับประกันชัยชนะในอดีตได้เป็นการชั่วคราว[116]
ด้วยรัฐเผชิญกับการล้มละลายอย่างถึงขีดสุด เนื่องจากรายได้ของประเทศไม่เพียงพอ แบตแลนจึงขายทองคำและทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศก้อนสุดท้าย เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับธุรกิจและครอบคลุมงบประมาณแผ่นดินระหว่าง ค.ศ. 1921 ถึง ค.ศ. 1923[23][หมายเหตุ 8] จากเสถียรภาพทางการเมืองที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทำให้ฮังการีสามารถเจรจากับสถาบันการเงินของต่างประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น[23] การเป็นสมาชิกสันนิบาตชาติทำให้ประเทศได้รับสินเชื่อการรักษาเสถียรภาพระหว่างประเทศจำนวน 250 ล้านโกโรนอใน ค.ศ. 1924[22][37][78][115] อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเหล่านี้ส่งผลให้เกิดแรงกดดันในการชำระหนี้เก่าและการขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง โดยหนี้ภายนอกเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดชะงักในช่วงทศวรรษของแบตแลน ซึ่งอยู่ที่ 70 % ของจีดีพีใน ค.ศ. 1931[23] กลยุทธ์ของแบตแลนขึ้นอยู่กับการรักษาสินเชื่อระหว่างประเทศ ซึ่งเขาสามารถรักษาไว้ได้ตลอดทศวรรษ 1920[23][117] แม้ว่าผู้คนภายในประเทศหรือตัวของแบตแลนเองจะมีความเกลียดชังชาวยิว แต่เขาก็ยังแสวงหาความร่วมมือจากชนชั้นนายทุนชาวยิวในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงคราม[118] การปกครองในสมัยนี้ยังคงทัศนคติต่อต้านยิวเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นชนชั้นสูงยิวที่ให้ความร่วมมือแก่รัฐบาล[118]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920 ผู้สำเร็จราชการ มิกโลช โฮร์ตี ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง ได้ลงนามในสนธิสัญญาทรียานง ซึ่งเป็นการยินยอมสละดินแดนส่วนใหญ่ของอดีตจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี[81][82] ทำให้ฮังการีสูญเสียดินแดนคิดเป็น 72 % ของดินแดนเดิม (จาก 282,870 ตารางกิโลเมตร เป็น 92,963 ตารางกิโลเมตร)[81][82] และประชากรลดลงจาก 18.2 ล้านคน เป็น 7.98 ล้านคน[16] ประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการเสียดินแดนของฮังการี คือ ออสเตรีย, เชโกสโลวาเกีย, โรมาเนีย (ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับดินแดนมากที่สุด ทั้งทรานซิลเวเนียทั้งหมด บานัตส่วนใหญ่ และดินแดนอื่น ๆ),[119] และยูโกสลาเวีย[16][85] อีกทั้งฮังการียังสูญเสียพื้นที่ทางออกทะเลเพียงแห่งเดียวของประเทศอย่างเมืองท่าฟีอูเมให้กับอิตาลี[16][85] ชาวฮังการีราวสองถึงสามล้านคน (คิดเป็นหนึ่งในสามของประชากร)[85][81] กลายเป็นส่วนหนึ่งของประชากรในประเทศเพื่อนบ้าน[82] ซึ่งผู้คนเหล่านี้สนับสนุนในความปรารถนาที่จะกู้คืนดินแดนที่เสียไป[16] เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายเป็นศัตรูกับทางการบูดาเปสต์ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์[120] ในบางกรณี ก็มีการแบ่งพรมแดนของภูมิภาคที่มีชาวฮังการีอาศัยเป็นส่วนใหญ่[85] เช่นเดียวกับกรณีของเชโกสโลวาเกีย[120] ประชากรชาวฮังการีจำนวนมากบางส่วนถูกแยกออกจากดินแดนราชอาณาจักรเพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น[85]
อย่างไรก็ดี สนธิสัญญายังคงกำหนดประชากรองค์รวมของประเทศให้เป็นมาตรฐาน[91] โดยประกอบด้วยชาวฮังการี 89.8 % ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลานั้น[16][121] สำหรับชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ คือ ชาวเยอรมัน ซึ่งคิดเป็น 6.8 % ของประชากรทั้งหมด[16] ส่วนชนกลุ่มน้อยสโลวัก โรมาเนีย และโครเอเชียก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน แต่มีสัดส่วนที่น้อยกว่า[16] ทำให้ปัญหาชนกลุ่มน้อย ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุดปัญหาหนึ่งในภูมิภาค ได้รับการแก้ปัญหาโดยสนธิสัญญาสันติภาพฉบับนี้[121]
นอกจากการสูญเสียทางดินแดนและเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่งแล้ว สนธิสัญญายังได้จํากัดกำลังพลของฮังการีไว้อีกด้วย โดยกองทัพบกไม่สามารถมีกำลังพลเกิน 35,000 นาย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอาสาสมัครมิใช่ทหารชำนาญการ ส่วนกองทหารรักษาการณ์และตํารวจสามารถมีเจ้าหน้าที่ได้ไม่เกิน 12,000 นาย[84] ในขณะที่สามประเทศเพื่อนบ้านของฮังการี (เชโกสโลวาเกีย ยูโกสลาเวีย และโรมาเนีย) ที่รวมกันแล้วมีกำลังพลประมาณ 5 แสนนาย กองทัพฮังการีไม่ได้รับอนุญาตให้มีหน่วยการบิน หน่วยรถถัง หน่วยปืนใหญ่หนัก กองเสนาธิการทหาร หรือแม้แต่กําหนดการรับราชการทหารภาคบังคับ[84]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.