Remove ads
พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งออสเตรีย-ฮังการี จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 (เยอรมัน: Karl Franz Josef Ludwig Hubert Georg Otto Maria, ฮังการี: Károly Ferenc József Lajos Hubert György Ottó Mária; 17 สิงหาคม ค.ศ. 1887 – 1 เมษายน ค.ศ. 1922) ทรงเป็นจักรพรรดิแห่งออสเตรียและกษัตริย์แห่งฮังการี (ในพระนามกาโรยที่ 4) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1916 ถึง ค.ศ. 1918 หลังจากที่ราชวงศ์ถูกโค่นอำนาจ
จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 | |||||
---|---|---|---|---|---|
จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 ในปี 1919 | |||||
จักรพรรดิแห่งออสเตรีย พระมหากษัตริย์แห่งฮังการี (อ่านต่อ...) | |||||
ครองราชย์ | 21 พฤศจิกายน 1916 – 12 พฤศจิกายน 1918 | ||||
ราชาภิเษก | 30 ธันวาคม 1916, บูดาเปสต์ | ||||
ก่อนหน้า | จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 | ||||
ถัดไป | ล้มเลิกราชาธิปไตย (อาร์ชดยุกโยเซ็ฟ เอากุสท์แห่งออสเตรีย ในฐานะผู้สำเร็จราชการ) | ||||
ประมุขแห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค-ลอแรน | |||||
ครองราชย์ | 21 พฤศจิกายน 1916 – 1 เมษายน 1922 | ||||
ถัดไป | อ็อทโท ฟ็อน ฮาพส์บวร์ค | ||||
พระราชสมภพ | 17 สิงหาคม ค.ศ. 1887 ปราสาทแพร์เซินบวร์ค, แพร์เซินบวร์ค-ก็อทสด็อล์ฟ, จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี | ||||
สวรรคต | 1 เมษายน ค.ศ. 1922 ปี) ฟุงชาล, มาเดรา, ประเทศโปรตุเกส | (34||||
คู่อภิเษก | ซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มา (สมรส 1911) | ||||
พระราชบุตร |
| ||||
| |||||
ราชวงศ์ | ฮาพส์บวร์ค-ลอแรน | ||||
พระราชบิดา | อาร์ชดยุกอ็อทโท ฟรันทซ์แห่งออสเตรีย | ||||
พระราชมารดา | เจ้าหญิงมาเรีย โยเซฟาแห่งซัคเซิน | ||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก | ||||
ลายพระอภิไธย |
จักรพรรดิคาร์ลเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1887 ณ ปราสาทแพร์เซินบวร์ค ประเทศออสเตรีย ในช่วงแรก ทรงพระนามว่าอาร์ชดยุกคาร์ลแห่งออสเตรีย เป็นพระราชโอรสองค์โตใน อาร์ชดยุกอ็อทโท ฟรันทซ์แห่งออสเตรีย และ เจ้าหญิงมาเรีย โยเซฟาแห่งซัคเซิน (ค.ศ. 1867–1944) และเป็นพระภาติยะในอาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์แห่งออสเตรีย เมื่อทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงเข้ารับการศึกษาทางคาทอลิกอย่างเข้มงวด
อาร์ชดยุกคาร์ลทรงได้รับตำแหน่งค์รัชทายาทแห่งออสเตรีย-ฮังการี หลังจากที่อาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดินันด์ พระปิตุลาสิ้นพระชนม์จากการลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเยโว บอสเนีย เมื่อปี ค.ศ. 1914 ซึ่งเป็นจุดชนวนของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 พระองค์ทรงได้เถลิงวัลย์ราชสมบัติต่อจากจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของอาร์ชดยุกคาร์ล ลูทวิช พระอัยกาของพระองค์ พระองค์จึงทรงได้เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพออสเตรีย-ฮังการีอีกด้วย
ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1916 นอกจากพระองค์จะทรงเป็นแม่ทัพแห่งกองทัพราชนาวีออสเตรีย-ฮังการีแล้ว ยังทรงเป็นผู้บังคับบัญชาการกองทัพราชนาวีทั้งหมดแทนอาร์ชดยุกฟรีดริช พระปิตุลาของพระองค์
ในปี ค.ศ. 1917 พระองค์ทรงมีการติดต่อเจรจาสันติภาพกับประเทศฝรั่งเศสอย่างลับๆ และยังส่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของพระองค์ กราฟ แซร์นิน ไปเจรจาเพื่อเจริญความสัมพันธไมตรีกับประเทศเยอรมนี ส่วนพระองค์ก็ทรงกระชับเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส โดยเสด็จไปยังประเทศฝรั่งเศสพร้อมกับเจ้าชายซิคซ์ทุสท์แห่งบูร์บง-ปาร์มา ซึ่งเป็นสมาชิกของกองทัพราชนาวีเบลเยี่ยม และเป็นพระเชษฐาในจักรพรรดินีซีตา พระชายาของพระองค์ด้วย ในขณะที่ทั้งสองพระองค์ทรงอยู่ที่ฝรั่งเศสนั้น ข่าวก็ถูกเผยแพร่เกี่ยวกับการเจรจาเจริญสันติสัมพันธไมตรี เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1918 พระองค์จึงรีบออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับการเจรจานี้เลย ทำให้นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ฌอร์ฌ เกลม็องโซ ส่งพระราชสาส์นมาถึงพระองค์ และรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ทำให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศประกาศลาออกจากตำแหน่ง ที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทำให้กองทัพราชนาวีของพระองค์เป็นที่พึ่งพาของกองทัพราชนาวีเยอรมัน ซึ่งเป็นเรื่องทีผิดในสายตาของกองทัพอื่นๆ
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ถูกล้มล้างโดยความวุ่นวายภายใน ในช่วงเวลาสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมาพร้อมกับความตึงเครียดของหลายๆ กลุ่ม ซึ่ง ณ จุดนี้ นายวูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ ได้เรียกร้องให้จักรวรรดิให้ความเป็นเอกราช และตั้งใจแน่วแน่ในการปกครองบ้านเมือง ดังนั้นพระองค์จึงทรงเห็นด้วยที่จะลงประชามติต่อสภาอิมพีเรียล และอนุญาตให้มีการก่อตั้งสมาพันธรัฐของแต่ละกลุ่มในรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปนั้นได้อยู่เหนือการควบคุม และไม่ขึ้นตรงสภากลางในกรุงเวียนนา
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พระองค์ทรงแจกจ่ายการประกาศอย่างเป็นทางการของออสเตรียให้กับกลุ่มสหพันธ์ทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม เลขานุการของรัฐ โรเบิร์ต แลนซิ่ง ตอบกลับมาว่า เช็ก สโลวัก และ สลาฟใต้ จะเข้าร่วมมือ (ที่จริงแล้ว รัฐบาลชั่วคราวของประเทศเชโกสโลวาเกียเข้าร่วมมือในวันที่ 14 ตุลาคม) เพราะฉะนั้น การเป็นเอกราชของแต่ละชาติไม่ค่อยยืนยาวนัก
ด้วยความที่จะรักษาความเป็นจักรวรรดิ การประกาศความเป็นเอกราช ซึ่งพระองค์จะต้องมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นอย่างไม่แน่ไม่นอน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ประเทศฮังการีประกาศยุติความสัมพันธ์สหภาพระหว่างออสเตรียและฮังการี ทำให้เกิดจุดจบของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในที่สุด และพระองค์ทรงไม่ยอมรับโดยสภาเยอรมัน-ออสเตรีย นายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายของพระองค์ ไฮน์ริซ ลามัช ได้แนะนำพระองค์ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไป
ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดของสงครามโลก พระองค์ทรงประกาศว่าจะทรงยอมรับให้ประกาศเอกราชแก่ประชาชน ซึ่งประชาชนยังคงมีความจงรักภักดี อีก 3 วันต่อมา พระองค์ประกาศเอกราชแก่ฮังการี และทรงหวังที่จะกลับมาครองราชย์ในออสเตรียเพียงประเทศเดียว แต่วันต่อมา ก่อให้เกิดสาธารณรัฐออสเตรียขึ้น พระองค์จึงทรงอพยพไปที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการลี้ภัย ต่อมาในปี ค.ศ. 1919 สภาของออสเตรียล้มเลิกกฎหมาย และเนรเทศราชวงศ์อิมพีเรียลออกนอกประเทศ และล้มล้างราชบัลลังก์ได้ในที่สุด
ประชาชนที่จงรักภักดีต่อพระองค์ในประเทศฮังการี พระองค์ยังคงเป็นกษัตริย์แห่งฮังการี แต่ไม่สามารถกลับไปปกครองได้ เนื่องจากสถานการณ์ไม่อำนวย เพราะเพิ่งสิ้นสุดสงครามโลก พระองค์จึงทรงแต่งตั้งพลเรือเอกมิกโลช ฮอร์ตี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งพลเรือเอกฮอร์ตีมุ่งหวังที่จะสถาปนาราชวงศ์อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ล้มเหลว ดังนั้น พระองค์จึงได้ครองราชย์แต่ในนามตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 เป็นต้นมา
จักรพรรดิคาร์ลทรงใช้เวลาช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่เกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส ซึ่งเป็นเกาะที่พระราชวงศ์อิมพีเรียลออสเตรียทรงพักผ่อนกันเป็นประจำ พระองค์ได้ประทับอยู่ที่นั่นเรื่อยมาจนเสด็จสวรรคตด้วยโรคปอดบวม เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1922 ซึ่งเป็นช่วงที่พระองค์และพระราชวงศ์ทรงอพยพและพักผ่อนที่เกาะมาไดรา พระศพของพระองค์ฝังไว้ที่โบสถ์ Igreja Nossa Senhora do Monte ในเกาะมาไดรา พระองค์เป็นพระบรมศานุวงศ์ออสเตรียพระองค์เดียวที่ไม่ได้ทรงฝังพระศพไว้ที่ วิหารฮาพส์บวร์ค อิมพีเรียลคริปต์ ในกรุงเวียนนา ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพพระราชวงศ์ออสเตรียทุกพระองค์ รวมไปถึงจักรพรรดินีซีตา พระชายาของพระองค์ด้วย
ก่อนถึงวันที่เสด็จสวรรคตนั้น พระองค์ทรงเป็นครูสอนศาสนา ทรงเผยแพร่ศาสนาให้แก่ประชาชนในเกาะมาเดรา พระองค์จึงได้ชื่อว่าเป็นนักบุญแห่งมาเดราอีกด้วย (St. Karl of Madeira) ส่วนพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ได้ทรงประทับอยู่ร่วมกันบนเกาะจนจักรพรรดิคาร์ลสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลายจึงเสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์
จักรพรรดิอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มา เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1911 ทั้งสองพระองค์มีพระราชโอรส 5 พระองค์ และพระราชธิดา 3 พระองค์ รวมทั้งสิ้น 8 พระองค์ ดังนี้
By the Grace of God, His Imperial and Royal Apostolic Majesty Karl Franz Josef Ludwig Hubert Georg Maria, Karl the first, Emperor of Austria, Apostolic King of Hungary, of this name the Fourth, King of Bohemia, Dalmatia, Croatia, Slavonia, and Galicia, Lodomeria, and Illyria; King of Jerusalem etc., Archduke of Austria; Grand Duke of Tuscany and Cracow, Duke of Salzburg, of Styria, of Carinthia, of Carniola and of the Bukovina; Grand Prince of Transylvania; Margrave of Moravia; Duke of Upper and Lower Silesia, of Modena, Parma, Piacenza and Guastalla, of Auschwtiz and Zator, of Teschen, Friuli, Ragusa and Zara; Princely Count of Habsburg and Tyrol, of Kyburg, Gorizia and Gradisca; Prince of Trent and Brixen; Margrave of Upper and Lower Lusatia and in Istria; Count of Hohenems, Feldkirch, Bregenz, Sonnenberg, etc.; Lord of Trieste, of Cattaro, and in the Wendish Mark; Grand Voivode (Grand Duke) of the Voivodship (Duchy) of Serbia
โดยพระคุณของพระเจ้า คาร์ล ฟรันทซ์ โยเซ็ฟ ลุดวิก ฮูแบร์ท เกออร์ค มาเรีย, คาร์ลที่ 1, จักรพรรดิแห่งออสเตรีย, และคาร์ลที่ 4, กษัตริย์แห่งฮังการี ซึ่งเปรียบเสมือนเบื้องขวาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า, กษัตริย์แห่งโบฮีเมีย, ดาลมาเทีย, โครเอเชีย, สโลเวเนีย, และ กาลิเซีย, โลโดเมเรีย, และ อิลีเรีย, กษัตริย์แห่งเยรูซาเลม, อาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย, แกรนด์ดยุก แห่งตอสคานาและคราโคว, ดยุกแห่งซัลทซ์บวร์ค, สตีเรีย, คารินเทีย, คาร์นิโอลา, และ บูกิโนวา, เจ้าชายแห่งทรานซิลเวเนีย, มาร์คกราฟแห่งมอเรเวีย, ดยุกแห่งซีลีเซีย, โมเดนา, ปาร์มา, ปีอาเซนซาและกูแอสตาลลา, เอาช์วิทซ์และเซเตอร์, เทเซิน, ฟรีอูลี รากูซาและซารา, เคานท์แห่งฮาพส์บวร์คและทิโรล, ไคยบวร์ค, โกริเซียและกราดิสกา, เจ้าชายแห่งเทรนต์และไบร์เซิน, มาร์คกราฟแห่งลูซาเทียและอิสเตรีย, เคานท์แห่งโบเฮเนิมส์, เฟลด์เคิร์ช, เบรเกนซ์, ซอนเนอแบร์ค, ลอร์ดแห่งทรีเอสต์, คาททาโร, และ เวนดิช มาร์ค, แกรนด์ดยุกแห่งเซอร์เบีย...
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Karl I of Austria
ก่อนหน้า | จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 | จักรพรรดิแห่งออสเตรีย (20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 – 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918) (อ้างสิทธิ์ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 – 1 เมษายน ค.ศ. 1922) |
มกุฎราชกุมารอ็อทโท ผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ | ||
ฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 | กษัตริย์แห่งฮังการี (20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 – 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918) (อ้างสิทธิ์ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 – 1 เมษายน ค.ศ. 1922) |
มกุฎราชกุมารอ็อทโท ผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ | ||
ฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 | กษัตริย์แห่งโบฮีเมีย (20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 – 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918) (อ้างสิทธิ์ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 – 1 เมษายน ค.ศ. 1922) |
มกุฎราชกุมารอ็อทโท ผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ | ||
อาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์ | อาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย-เอ็สเทอ ดยุกแห่งโมเดนา (28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 – 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918) (อ้างสิทธิ์ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 – 1 เมษายน ค.ศ. 1922) |
อาร์ชดยุกโรแบร์ท |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.