Loading AI tools
สมาชิกราชวงศ์ไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (28 เมษายน พ.ศ. 2406 – 10 มีนาคม พ.ศ. 2490) เป็นพระราชวงศ์สยาม อภิรัฐมนตรี นายพล นักปราชญ์ และพหูสูต นอกจากนี้พระองค์ยังได้รับการยกย่องว่าเป็น "นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม"[3]เนื่องจากพระปรีชาสามารถด้านงานช่างของพระองค์
บทความนี้อาศัยการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิมากเกินไป |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 เจ้าฟ้าชั้นโท | |||||||||
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ | |||||||||
ดำรงตำแหน่ง | 12 มกราคม พ.ศ. 2477[1][2] - 2 มีนาคม พ.ศ. 2478[2] | ||||||||
รัชสมัย | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||||||||
นายกรัฐมนตรี | พระยาพหลพลพยุหเสนา | ||||||||
เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ | |||||||||
ดำรงตำแหน่ง 21 มีนาคม พ.ศ. 2435 – 23 ธันวาคม พ.ศ. 2437 | |||||||||
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||||||||
ก่อนหน้า | สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระจักรพรรดิพงษ์ | ||||||||
ถัดไป | พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศิริธัชสังกาศ | ||||||||
เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ | |||||||||
ดำรงตำแหน่ง 1 เมษายน พ.ศ. 2435 – 20 มีนาคม พ.ศ. 2436 | |||||||||
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||||||||
ก่อนหน้า | สถาปนากระทรวง | ||||||||
ถัดไป | พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ | ||||||||
ดำรงตำแหน่ง 2 กันยายน พ.ศ. 2444 – 12 มิถุนายน พ.ศ. 2450 | |||||||||
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||||||||
ก่อนหน้า | เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ | ||||||||
ถัดไป | พระยาสุริยานุวัตร | ||||||||
เสนาบดีกระทรวงกลาโหม | |||||||||
ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2437 – 2 กันยายน พ.ศ. 2442 | |||||||||
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||||||||
ก่อนหน้า | เจ้าพระยาพลเทพ (ในฐานะ สมุหพระกลาโหม) | ||||||||
ถัดไป | พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม | ||||||||
เสนาบดีกระทรวงวัง | |||||||||
ดำรงตำแหน่ง 13 มิถุนายน พ.ศ. 2448 – กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2452 | |||||||||
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||||||||
ก่อนหน้า | พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา | ||||||||
ถัดไป | พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ | ||||||||
อภิรัฐมนตรี | |||||||||
ดำรงตำแหน่ง 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 – 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 | |||||||||
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||||||||
องคมนตรี | |||||||||
ดำรงตำแหน่ง 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2430 – พ.ศ. 2435 | |||||||||
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||||||||
ผู้บัญชาการกรมยุทธยาธิการ | |||||||||
ดำรงตำแหน่ง มีนาคม พ.ศ. 2439 – เมษายน พ.ศ. 2442 | |||||||||
เสนาบดี | พระองค์เอง | ||||||||
ก่อนหน้า | สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช | ||||||||
ถัดไป | สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช | ||||||||
ประสูติ | 28 เมษายน พ.ศ. 2406 จังหวัดพระนคร ประเทศสยาม (ปัจจุบัน กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย) | ||||||||
สิ้นพระชนม์ | 10 มีนาคม พ.ศ. 2490 (83 ปี) วังคลองเตย จังหวัดพระนคร ประเทศไทย (ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์ตำหนักปลายเนิน กรุงเทพมหานคร) | ||||||||
พระราชทานเพลิง | 19 เมษายน พ.ศ. 2493 พระเมรุ ท้องสนามหลวง | ||||||||
หม่อม | หม่อมราชวงศ์ปลื้ม ศิริวงศ์ มาลัย เศวตามร์ หม่อมราชวงศ์โต งอนรถ | ||||||||
| |||||||||
พระบุตร | 9 องค์ | ||||||||
ราชวงศ์ | จักรี | ||||||||
ราชสกุล | จิตรพงศ์ | ||||||||
พระบิดา | พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||||||||
พระมารดา | พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย | ||||||||
ศาสนา | เถรวาท | ||||||||
อาชีพ | ทหาร นักการเมือง ศิลปิน นักวิชาการ | ||||||||
ลายพระอภิไธย | |||||||||
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |||||||||
รับใช้ | สยาม | ||||||||
แผนก/ | กองทัพสยาม | ||||||||
ชั้นยศ | พลเอก | ||||||||
บังคับบัญชา | รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ | ||||||||
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 63 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย ประสูติเมื่อวันอังคาร ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6 ปีกุน เบญจศก จ.ศ. 1225 ตรงกับวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2406 แรกประสูติมีสกุลยศเป็นพระองค์เจ้า และได้รับพระราชทานพระนามจากสมเด็จพระบรมชนกนาถโดยมีพระราชหัตถเลขา ดังนี้[4]
"สมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยามผู้พระบิดา ขอตั้งนามบุตรชายที่ประสูติจากหญิงแฉ่พรรณรายผู้มารดา ในวันอังคาร เดือน 6 ขึ้น 11 ค่ำ ปีกุนเบญจศกนั้นว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิตรเจริญ สิงหนาม ขอจงมีความเจริญชนมายุ พรรณ สุข พล ปฏิภาณ ศุภสารสมบัติ สุวรรณหิรัญรัตนยศบริวารศฤงคารศักดานุภาพ ตระบะเดชพิเศษคุณสุนทรศรีสวัสดิ พิพัฒนมงคลพิบุลยผลทุกประการ เทอญ"
เมื่อครั้งที่สมเด็จพระบรมชนกนาถสวรรคต พระองค์มีพระชันษาเพียง 5 ปี แต่ทรงจำถึงตอนหนึ่งว่า "สมเด็จพระราชบิดาทรงประทับนั่งที่เก้าอี้ที่หมุนได้ ทรงฉลองพระองค์สีแดงสด"
ในปี พ.ศ. 2428 ได้รับการสถาปนาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนนริศรานุวัติวงษ[5] นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีพระราชดำริว่า หม่อมเจ้าพรรณราย พระมารดาในพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนนริศรานุวัติวงษนั้น นับเป็นพระเจ้าหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระขนิษฐาร่วมพระชนกในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี (สมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ดังนั้น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนนริศรานุวัติวงษจึงมีพระอัยการ่วมกับพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการสถาปนา พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนนริศรานุวัติวงษ ขึ้นเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัติวงษ พร้อมกันนี้ทรงสถาปนาพระเชษฐภคินีในพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนนริศรานุวัติวงษ ขึ้นเป็น พระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนขัตติยกัลยา ด้วย[6]
นอกจากนี้พระองค์ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรี[7][8] เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2430
หลังจากที่ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ[9] เสนาบดีกระทรวงพระคลัง เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ ผู้บัญชาการทหารเรือ จนกระทั่งได้รับพระราชทานพระยศเป็น พลโท เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำริเห็นควรที่จะสถาปนาให้ดำรงพระอิสริยยศที่ "กรมหลวง" ได้ กอปรกับการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ ซึ่งเป็นพระโสทรานุชา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนาพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัติวงษขึ้นเป็นเจ้าฟ้าต่างกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัตติวงษ์ เมื่อ ปี พ.ศ. 2448[10]
เมื่อ พ.ศ. 2452 พระองค์ประชวรด้วยโรคพระหทัยโตขณะที่ยังทรงรับราชการในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง จึงได้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามที่ทรงขอ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ด้วยพระโรคที่พระองค์เป็นอยู่นั้นไม่เอื้ออำนวยให้พระองค์ทรงสามารถรับราชการในตำแหน่งที่สำคัญ ๆ ได้ แต่พระองค์ก็ยังคงรับราชการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงออกแบบงานต่าง ๆ ตามพระราชประสงค์ เช่น พระโกศพระบรมอัฐิและพระวิมานทองคำลงยาราชาวดีสำหรับประดิษฐานพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการเลื่อนกรมสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัตติวงษ์ ขึ้นเป็นกรมพระ มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า[11] สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ มหามกุฏพงศ์นฤบดินทร ปรมินทรานุชาธิเบนทร์ ปรเมนทรราชปิตุลา สวามิภักดิ์สยามวิชิต สรรพศิลปสิทธิวิทยาธร สุรจิตรกรศุภโกศล ประพนธปรีชาชาญโบราณคดี สังคีตวาทิตวิธีวิจารณ์ มโหฬารสีตลัธยาศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณานุวัติ ขัตติยเดชานุภาพบพิตร
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นอภิรัฐมนตรี[12] ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2475[13]
วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2488 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีพระราชโองการให้เลื่อนเป็นกรมพระยา มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ มหามกุฎพงศนฤบดินทร์ ปรมินทรานุชาธิเบนทร์ อัฐเมนทรราชอัยยกา สวามิภักดิ์สยามวิชิต สรรพศิลปสิทธิวิทยาธร สุรจิตรกรศุภโกศล ประพนธปรีชาชาญโบราณคดี สังคีตวาทิตวิธิวิจารณ์ มโหฬารสีตลัธยาศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณานุวัตน์ ขัตติยเดชานุภาพบพิตร ทรงศักดินา 50000[14]
ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่กับงานศิลปะและวิทยาการจนพระกำลังพระปัญญาเสื่อมลงทุกที ด้วยทรงพระชราด้วยโรคภัยเบียดเบียน คือ โรคพระหทัยโต หลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคเส้นพระโลหิตแข็ง วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2490 จึงสิ้นพระชนม์โดยสงบ ขณะมีพระชันษาได้ 83 ปี นับเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีพระชันษาสูงที่สุด และเป็นพระองค์เดียวที่มีพระชนม์ชีพมาถึงรัชสมัยรัชกาลที่ 9 ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนักมีกำหนด 15 วัน[15] และพระราชทานพระโกศทองใหญ่ ประดับพุ่มเฟื่อง แทนพระโกศทองน้อยที่ทรงพระศพอยู่แต่เดิม เป็นการเพิ่มพระเกียรติยศขึ้นเป็นพิเศษ โดยมีพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2493 โดยใช้พระเมรุองค์เดียวกับพระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล[16]
ทรงดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีหลายกระทรวง ประกอบไปด้วย กระทรวงโยธาธิการ[17][18] กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงกลาโหม กระทรวงวัง[19] ทั้งยังดำรงตำแหน่งองคมนตรีและรัฐมนตรีสภา[20] และสมาชิกสภาการคลัง[21]
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรีที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน อุปนายกราชบัณฑิตยสภา แผนกศิลปากร และพระองค์ยังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับการพระราชวงศ์ มีหน้าที่สนองพระเดชพระคุณในพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระราชวงศ์พระองค์ใดที่มีกิจที่ไม่ต้องกราบบังคมทูลพระกรุณาก็ให้ติดต่อกราบบังคมทูลต่อพระองค์แทน[22] นอกจากนี้ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จยังต่างประเทศ พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2476[23] จนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ พระองค์จึงพ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
งานสถาปัตยกรรมที่โปรดทำมากคือ แบบพระเมรุ โดยตรัสว่า "เป็นงานที่ทำขึ้นใช้ชั่วคราวแล้วรื้อทิ้งไป เป็นโอกาสได้ทดลองใช้ปัญญาความคิดแผลงได้เต็มที่ จะผิดพลาดไปบ้างก็ไม่สู้กระไร ระวังเพียงอย่างเดียวคือเรื่องทุนเท่านั้น"
งานด้านสถาปัตยกรรมเป็นงานที่พระองค์ทรงพิถีพิถันอย่างมาก เพราะตรัสว่า "ต้องระวังเพราะสร้างขึ้นก็เพื่อความพอใจ ความเพลิดเพลินตา ไม่ใช่สร้างขึ้นเพื่ออยากจะรื้อทิ้ง ทุนรอนที่เสียไปก็ใช่จะเอาคืนมาได้ ผลที่สุดก็ต้องทิ้งไว้เป็นอนุสาวรีย์สำหรับขายความอาย"
ฯลฯ
มีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น โคลงประกอบภาพจิตรกรรมภาพพระราชพงศาวดาร โคลงประกอบเรื่องรามเกียรติ์ ทรงพระนิพนธ์เมื่องานฉลองพระนครครบรอบร้อยปี, ลายพระหัตถ์โต้ตอบประทานบุคคลต่าง ๆ เช่น จดหมายเวรโต้ตอบกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ลายพระหัตถ์ประทานความรู้ในลักษณะจดหมายโต้ตอบพระสารประเสริฐและพระยาอนุมานราชธน เรื่องภาษาและประเพณี ลายพระหัตถ์โต้ตอบเหล่านี้ เป็นเหมือนคลังความรู้สำหรับผู้สนใจใฝ่ศึกษาค้นคว้าทั่วไป
ทรงสนพระทัยทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล โดยเฉพาะดนตรีไทยนั้นทรงฝึกฝนมาแต่พระเยาว์ ทรงถนัดเล่นปี่พาทย์และระนาดมากกว่าเครื่องดนตรีอื่น ๆ
ทรงนิพนธ์บทละครดึกดำบรรพ์ไว้หลายเรื่อง เช่น
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเป็นต้นราชสกุลจิตรพงศ์ มีหม่อม 3 ท่าน ได้แก่
โดยมีพระโอรสธิดารวมทั้งหมด 9 พระองค์ เป็นชาย 5 พระองค์ และหญิง 4 พระองค์
พระรูป | พระนาม | หม่อมมารดา | ประสูติ | สิ้นชีพิตักษัย | คู่สมรส |
---|---|---|---|---|---|
1. หม่อมเจ้าหญิงปลื้มจิตร (ท่านหญิงเอื้อย) | หม่อมราชวงศ์ปลื้ม | 6 มกราคม พ.ศ. 2433 | 29 ธันวาคม พ.ศ. 2459 | ||
2. หม่อมเจ้าอ้าย (ท่านชายอ้าย) | ที่ 1 ในหม่อมมาลัย | ไม่ทราบปี | 5 กันยายน พ.ศ. 2446 | ||
3. หม่อมเจ้าเจริญใจ (ท่านชายยี่) | ที่ 2 ในหม่อมมาลัย | 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2440 | 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 | หม่อมอ่อน | |
4. หม่อมเจ้าสาม (ท่านชายสาม) | ที่ 1 ในหม่อมราชวงศ์โต | พ.ศ. 2447 | พ.ศ. 2447 | ||
5. หม่อมเจ้าหญิงประโลมจิตร ไชยันต์ (ท่านหญิงอี่) | ที่ 2 ในหม่อมราชวงศ์โต | 8 มีนาคม พ.ศ. 2448 | 31 ตุลาคม พ.ศ. 2513 | หม่อมเจ้าตระนักนิธิผล ไชยันต์ | |
ไฟล์:หม่อมเจ้าดวงจิตร.JPG | 6. หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตร (ท่านหญิงอาม) | ที่ 3 ในหม่อมราชวงศ์โต | 26 กันยายน พ.ศ. 2451 | 6 กันยายน พ.ศ. 2548 | |
7. หม่อมเจ้ายาใจ (ท่านชายไส) | ที่ 4 ในหม่อมราชวงศ์โต | 28 ธันวาคม พ.ศ. 2453 | 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 | หม่อมจักลิน (ดูบัวส์) | |
8. หม่อมเจ้าเพลารถ (ท่านชายงั่ว) | ที่ 5 ในหม่อมราชวงศ์โต | 3 ธันวาคม พ.ศ. 2457 | 26 มีนาคม พ.ศ. 2537 | หม่อมเจ้ากุมารีเฉลิมลักษณ์ (ดิศกุล) | |
9. หม่อมเจ้าหญิงกรณิกา (ท่านหญิงไอ) | ที่ 6 ในหม่อมราชวงศ์โต | 11 ธันวาคม พ.ศ. 2459 | 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 | ||
พลเอก นายกองตรี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ | |
---|---|
รับใช้ | ไทย |
แผนก/ | กองทัพบกสยาม |
ชั้นยศ | พลเอก |
พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลต่างๆ ดังนี้[28]
วันที่ 28 เมษายนเป็นวันครบรอบวันประสูติของพระองค์ ทุกปีจะมีงาน "วันนริศ" ณ ตำหนักปลายเนิน คลองเตย มีการแสดงละคร การบรรเลงเพลงพระนิพนธ์ การตั้งแสดงงานฝีพระหัตถ์บางชิ้น และการมอบ "ทุนนริศรานุวัดติวงศ์" แก่นักศึกษาในสาขาวิชาศิลปะ
เนื่องในวาระฉลองวันประสูติครบ 100 พรรษาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2506 องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้ประกาศยกย่องให้พระองค์เป็นบุคคลสำคัญของโลกประจำปี พ.ศ. 2506 นับเป็นบุคคลไทยคนที่ 2 ที่ได้รับการยกย่องดังกล่าว[53]
พงศาวลีของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.