คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี

ทีมฟุตบอลตัวแทนของประเทศเยอรมนี จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี
Remove ads

ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี (เยอรมัน: Deutsche Fußballnationalmannschaft) เป็นทีมฟุตบอลของประเทศเยอรมนีในการแข่งขันระหว่างประเทศ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสมาคมฟุตบอลเยอรมัน (ก่อตั้งใน ค.ศ. 1900) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งของสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (ฟีฟ่า) และสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) โดยลงแข่งขันทางการนัดแรกใน ค.ศ. 1908 และภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ฟีฟ่าได้ให้การรับรองทีมเยอรมนีตะวันตก (สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี), ทีมซาร์ลันด์ และทีมเยอรมนีตะวันออก (สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี) ในการแข่งขันทางการ[9] เยอรมนีตะวันตกลงเล่นในฐานะตัวแทนของสมาคมฟุตบอลเยอรมันระหว่าง ค.ศ. 1949–1990 ในขณะที่ทีมซาร์ลันด์เป็นตัวแทนของรัฐซาร์ลันด์ตั้งแต่ ค.ศ. 1950–56 และทีมชาติเยอรมนีตะวันออกเป็นตัวแทนของประเทศเยอรมนีตะวันออกตั้งแต่ ค.ศ. 1952–1990 ก่อนที่ทีมชาติเยอรมนีอย่างในปัจจุบันจะก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1990 จากการรวมประเทศเยอรมนี

ข้อมูลเบื้องต้น ฉายา, สมาคม ...
Remove ads

เยอรมนีเป็นหนึ่งในชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการแข่งขันนานาชาติ โดยชนะเลิศฟุตบอลโลกสี่สมัย (ฟุตบอลโลก 1954, 1974, 1990 และ 2014) ซึ่งเป็นสถิติมากที่สุดอันดับสองร่วมกับอิตาลี และเป็นรองเพียงบราซิล (ห้าสมัย) และชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปสามสมัย (ค.ศ. 1972, 1980 และ 1996) ซึ่งเป็นสถิติอันดับสองรองจากสเปน และยังชนะเลิศฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพอีกหนึ่งครั้ง (2017)[10] พวกเขายังคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศในฟุตบอลโลกสี่ครั้ง และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปอีกสามครั้ง และอันดับสามในฟุตบอลโลกอีกสี่ครั้ง ทีมเยอรมนีตะวันออกยังคว้าเหรียญทองในฟุตบอลโอลิมปิกฤดูร้อน 1976[11] เยอรมนีเป็นเพียงหนึ่งในสามชาติที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลชายของฟีฟ่าแบบ 11 คนในทุกช่วงอายุ (อีกสองทีมคือบราซิลและฝรั่งเศส) จากการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในนามทีมชาติชุดใหญ่, ฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี, ฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี, แชมป์ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ และเหรียญทองโอลิมปิก พวกเขายังเป็นหนึ่งในสองชาติ (อีกทีมหนึ่งคือสเปน) ที่ชนะเลิศฟุตบอลโลกทั้งในทีมชายและทีมหญิง[12]

เยอรมนีเป็นชาติที่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลกมากที่สุดเมื่อนับรวมทั้งทีมชายและทีมหญิง โดยทีมชายคว้าแชมป์สี่สมัยและทีมหญิงเป็นแชมป์สองสมัย หลังจบการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 เยอรมนีกลายเป็นทีมที่มีอันดับโลกอีโลสูงที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ด้วยคะแนน 2,223 คะแนน[13] พวกเขายังเป็นชาติเดียวในยุโรปที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลโลกในทวีปอเมริกา

Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

ยุคแรก (1899–1942)

Thumb
ทีมชาติเยอรมนีในปี 1908

เมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1897 เยอรมนีจัดการแข่งขันครั้งฟุตบอลนัดแรกขึ้นในเมืองฮัมบวร์ค ผลปรากฏว่าเดนมาร์กชนะทีมสมาคมฮัมบวร์ค-อัลโทนาไปได้ 5–0[14][15] ในช่วงระหว่างปี 1899 ถึง 1901 ก่อนมีการก่อตั้งทีมชาติอย่างเป็นทางการ มีการแข่งขันนานาชาติอย่างไม่เป็นทางการอีก 5 นัดระหว่างทีมคัดเลือกจากเยอรมนีและอังกฤษซึ่งเยอรมนีแพ้ไปอย่างยับเยินทุกนัดรวมถึงการแพ้ด้วยผลประตู 0–12 ณ สนามไวต์ฮาร์ตเลนต่อมาอีก 8 ปี ภายหลังการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลเยอรมัน (DFB) ใน ค.ศ. 1900 มีการแข่งขันนัดแรกอย่างเป็นทางการของเยอรมนีเมื่อวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1908 พบกับสวิตเซอร์แลนด์ที่เมืองบาเซิล โดยเยอรมนีแพ้ 3–5[16] ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดของเยอรมนีในการแข่งขันทางการเกิดขึ้นในอีกหนึ่งปีหลังจากนั้น เมื่อพวกเขาแพ้ต่อทีมสมัครเล่นของอังกฤษถึง 0–9 การแข่งขันครั้งนี้ได้รับการบันทึกโดยสมาคมฟุตยอลเยอรมัน แต่ไม่ได้รับการรับรองโดยฟีฟ่า เนื่องจากมีการใช้ผู้เล่นสมัครเล่นหลายราย[17] ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นความเป็นอริระหว่างอังกฤษและเยอรมนี[18] ยูลีอุส เฮิร์สช์ เป็นผู้เล่นชาวยิวคนแรกที่เป็นตัวแทนทีมชาติเยอรมนีหลังเข้าร่วมทีมในปี 1911[19] และยิง 4 ประตูในนัดที่พบกับเนเธอร์แลนด์ในปี 1912[20] เขากลายเป็นผู้เล่นเยอรมนีคนแรกที่ยิงได้ถึง 4 ประตูในนัดเดียว[21]

Thumb
กอทท์ฟรีด ฟุช ผู้ยิง 10 ประตูในนัดเดียวซึ่งเป็นสถิติตลอดกาลของทีมชาติเยอรมนี

ต่อมา กอทท์ฟรีด ฟุช สร้างสถิติทำ 10 ประตูในนัดที่เยอรมนีชนะทีมจักรวรรดิรัสเซีย 16–0 ในกีฬาโอลิมปิก 1912 ที่ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นสถิติมาอย่างยาวนานจนถึงปี 2001[22] ก่อนจะถูกทำลายโดยผู้เล่นชาวออสเตรเลีย อาร์ชี ทอมป์สัน ซึ่งทำคนเดียว 13 ประตูในนัดที่ทีมชาติออสเตรเลียชนะหมู่เกาะซามัวไปได้ถึง 31–0 แต่ฟุชยังเป็นเจ้าของสถิติทำประตูมากที่สุดในนัดเดียวของเยอรมนีจนถึงปัจจุบัน[23]

ในยุคแรก นักเตะทีมชาติทุกคนถูกคัดเลือกโดยตรงจากสมาคมฟุตบอลเนื่องจากยังไม่มีผู้ฝึกสอนที่เหมาะสม ผู้จัดการทีมคนแรกคือ อ็อตโต เนิร์ซ ครูจากโรงเรียนมันไฮม์และอดีตนายทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งคุมทีมตั้งแต่ปี 1926–1936[24] รัฐบาลเยอรมนีไม่มีงบประมาณให้ทีมชาติเดินทางไปร่วมแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก ณ ประเทศอุรุกวัย ในปี 1930 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เยอรมนีเข้าร่วมฟุตบอลโลกครั้งแรกของพวกเขาในปี 1934 และคว้าอันดับ 3 หลังจากนั้นทีมมีผลงานย่ำแย่ในโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 ที่กรุงเบอร์ลิน ทำให้ เซ็พพ์ แฮร์แบร์เกอร์ เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม โดยมีผลงานที่เป็นที่จดจำคือการรวบรวมผู้เล่น 11 ตัวจริงที่มีผลงานโดดเด่นจนได้รับฉายากจากสื่อในประเทศว่า Breslau Elf (Breslau Eleven) ซึ่งมีผลงานสำคัญคือการเอาชนะเดนมาร์ก 8–0[25]

ภายหลังออสเตรียกลายเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีจากเหตุการณ์อันชลุสในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1938 ส่งผลให้ฟุตบอลทีมชาติออสเตรียซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น ถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันฟุตบอลโลก 1938 แม้จะผ่านรอบคัดเลือกแล้ว และด้วยเหตุผลทางการเมืองรัฐบาลนาซีออกคำสั่งให้ผู้เล่นตัวหลักจากออสเตรียประมาณหกราย เข้าร่วมแข่งขันในนามทีมชาติเยอรมนีเพื่อความสามัคคี เยอรมนีชุดนั้นเริ่มต้นฟุตบอลโลก 1938 ด้วยการเสมอสวิตเซอร์แลนด์ 1–1 และแพ้ในนัดแข่งใหม่ที่ปารีส 2–4 เป็นครั้งแรกที่พวกเขาไม่สามารถผ่านรอบแรกของการแข่งขันได้ ซึ่งนี่เป็นสถิติต่อเนื่องมาอย่างยาวนาจนถึงฟุตบอลโลก 2018 และ 2022 ซึ่งพวกเขาตกรอบแบ่งกลุ่ม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีลงแข่งขันในนามทีมชาติจำนวน 30 นัดระหว่างเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 ถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1942 ก่อนที่การแข่งขันฟุตบอลจะถูกระงับ และผู้เล่นเกือบทุกคนจะต้องเข้าร่วมกองทัพ ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้เล่นตัวหลักของเยอรมนีได้รับความคุ้มครองจากกองทัพอากาศ ที่ต้องการปกป้องนักฟุตบอลในช่วงสงคราม

ปาฏิหาริย์แห่งเบิร์นและแชมป์โลกสมัยแรก (1954)

ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง มีรัฐที่เกิดขึ้นใหม่ คือ เยอรมนีตะวันตก ซาร์ลันด์ และเยอรมนีตะวันออก โดยเยอรมนีถูกฟีฟ่าห้ามลงแข่งขันจนถึงปี 1950

Thumb
ฟริตซ์ วอลเตอร์ (ซ้ายมือ) กัปตันทีมชาติเยอรมนีตะวันตกในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1954 ซึ่งพวกเขาคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยแรก

เยอรมนีตะวันตกนำโดย ฟริตซ์ วอลเตอร์ เป็นกัปตันทีมในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1954 ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งพบกับทีมเต็งอย่างทีมชาติฮังการีในรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะแพ้ไป 3–8 ก่อนที่ทั้งสองทีมจะมาพบกันอีกครั้งในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเยอรมนีถูกมองว่าเป็นรองเนื่องจากก่อนหน้านั้นทีมชาติฮังการีมีสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันทุกรายการรวม 32 นัด แต่เยอรมนีตะวันตกเอาชนะไปได้ 3–2 อย่างเหนือความคาดหมาย โดยเฮลมุท ราห์น เป็นผู้ทำประตูชัยในช่วงท้ายเกม ส่งผลให้เยอรมนีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้เป็นสมัยแรกในนามเยอรมนีตะวันตก[26] และความสำเร็จในครั้งนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็น "ปาฏิหาริย์แห่งเบิร์น" (Das Wunder von Bern)

การแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์ (1958–1970)

ภายหลังจากเยอรมนีตะวันตกทำได้เพียงคว้าอันดับ 4 ในฟุตบอลโลก 1958 และตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 1962 สมาคมจึงมีการเปลี่ยนแปลงโดยเริ่มมีการจ้างทีมงานอาชีพและคัดทีมจากลีกท้องถิ่นเข้าสู่บุนเดิสลีกาที่เปิดใหม่ (ในปี 1963) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ทีมชาติ

ในฟุตบอลโลก 1966 เยอรมนีตะวันตกผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้โดยเอาชนะโซเวียตได้ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะเข้าไปพบกับทีมชาติอังกฤษเจ้าภาพในช่วงต่อเวลาพิเศษ และประตูแรกของเจฟฟ์ เฮิร์สท์ ถือเป็นหนึ่งในประตูที่มีการโต้เถียงกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลก[27][28] โดยผู้กำกับเส้นส่งสัญญาณว่าลูกฟุตบอลได้ข้ามเส้นไปแล้วหลังจากกระเด้งลงมาจากคานประตู แต่เมื่อดูภาพรีเพลย์ซ้ำอีกครั้งดูเหมือนลูกบอลยังไม่ข้ามเส้นไปทั้งใบ[29][30] จากนั้นเฮิร์สต์ก็ยิงประตูเพิ่มให้อังกฤษเอาชนะไป 4–2[31]

ในฟุตบอลโลก 1970 เยอรมนีตะวันตกเอาชนะอังกฤษคืนได้ 3–2 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย[32] แต่ไปแพ้อิตาลี 3–4 ในช่วงต่อเวลาพิเศษรอบรองชนะเลิศ ซึ่งมีการทำประตูกันมากถึง 5 ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ และจัดเป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่น่าตื่นเต้นที่สุดนัดหนึ่งรวมทั้งได้รับขนานนามว่าเป็น "เกมแห่งศตวรรษ" [33] เยอรมนีตะวันตกจบการแข่งขันด้วยอันดับ 3 และผู้ทำประตูสูงสุดในรายการได้แก่ แกร์ท มึลเลอร์ (10 ประตู)

แชมป์ยุโรปสมัยแรก และ แชมป์โลกสมัยที่สอง

Thumb
ว็อล์ฟกัง โอเวรัท (ซ้ายมือ) กับ แกร์ท มึลเลอร์ (ขวามือ) กำลังชูถ้วยฟุตบอลโลก 1974

ในปี 1971 ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ เป็นกัปตันทีมชาติเยอรมนีตะวันตกและพาทีมคว้าแชมป์ยูโร 1972 โดยเอาชนะสหภาพโซเวียต 3–0 คว้าแชมป์ได้เป็นสมัยแรก

Thumb
การแข่งขันฟุตบอลโลก 1974 รอบชิงชนะเลิศระหว่างเยอรมนีตะวันตกและเนเธอร์แลนด์ ณ เมืองมิวนิก

ต่อมา พวกเขาเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 1974 และสามารถคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่สอง หลังจากชนะเนเธอร์แลนด์ 2–1 ในรอบชิงชนะเลิศที่เมืองมิวนิก ในรายการนี้เยอรมนีได้ส่งทีมเข้าแข่งขัน 2 ทีมได้แก่ เยอรมนีตะวันออก และเยอรมนีตะวันตก ซึ่งทั้งสองทีมพบกันในรอบแบ่งกลุ่มและเยอรมนีตะวันออกเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 1–0 ก่อนที่เยอรมนีตะวันตกจะสามารถผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศและคว้าแชมป์ไปได้[34]

ล้มเหลวในการป้องกันแชมป์สองรายการใหญ่ (1976–1980)

เยอรมนีตะวันตกไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้ในการแข่งขันสองรายการต่อมา โดยแพ้เชโกสโลวาเกีย 3-5 ในการดวลจุดโทษนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 1976[35] และนับตั้งแต่นั้น เยอรมนีไม่แพ้การดวลจุดโทษให้กับทีมใดอีกเลยในการแข่งขันรายการใหญ่[36] ในฟุตบอลโลก 1978 เยอรมนีตะวันตกตกรอบแบ่งกลุ่มหลังแพ้ออสเตรีย 2–3 และ จุปป์ เดอร์วอลล์ เข้ามารับตำแหน่งผู้ฝึกสอนต่อ

เดอร์วอลล์พาทีมประสบความสำเร็จในการกลับมาชนะเลิศฟุตบอลยูโร 1980 เป็นสมัยที่สอง ซึ่งเยอรมนีตะวันตกเอาชนะเบลเยียมไปได้ 2–1 ในนัดชิงชนะเลิศ ต่อมา เยอรมนีตะวันตกผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1982 แต่แพ้อิตาลี 1–3 ในช่วงเวลาดังกล่าว แกร์ท มึลเลอร์ ทำสถิติทำ 14 ประตูในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2 สมัย และจำนวน 10 ประตูที่เขาทำได้ในฟุตบอลโลก 1970 ถือเป็นสถิติสูงที่สุดอันดับ 3 ในฟุตบอลโลก (ต่อมาถูกทำลายโดยโรนัลโดในฟุตบอลโลก 2006 และอีกครั้งในฟุตบอลโลก 2014 โดย มีโรสลัฟ โคลเซอ)[37]

การคุมทีมของฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ (1984–1990)

หลังจากเยอรมนีตะวันตกตกรอบแรกในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1984 ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม โดยเยอรมนีตะวันตกผ่านเข้าชิงชนะเลิศในฟุตบอลโลก 1986 ก่อนจะแพ้อาร์เจนตินาซึ่งนำโดยดิเอโก มาราโดนา ไป 2–3 และในสองปีถัดมา เยอรมนีตะวันตกในฐานะเจ้าภาพยูโร 1988 ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศก่อนจะแพ้เนเธอร์แลนด์ 1–2

Thumb
ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ ใน ค.ศ. 1990

ในฟุตบอลโลก 1990 เยอรมนีตะวันตกคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่ 3 ซึ่งเป็นการผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ทีมชุดนั้นมีกัปตันทีมคือ โลธาร์ มัทเธอุส เยอรมนีเอาชนะยูโกสลาเวีย (4–1), สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (5–1), เชโกสโลวาเกีย (1–0) และเอาชนะคู่ปรับอย่างอังกฤษในรอบรองชนะเลิศจากการดวลจุดโทษภายหลังเสมอกัน 1–1 พวกเขาสามารถแก้มือด้วยการเอาชนะอาร์เจนตินาในรอบชิงชนะเลิศ 1–0 จากประตูของอันเดรอัส เบรเมอ[38] และฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ถือเป็นบุคคลแรกที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ทั้งในฐานะกัปตันทีมและผู้จัดการทีม[39] ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเป็นกัปตันทีมอยู่ในทีมชุดที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1974[40] นอกจากนี้ เขายังกลายเป็นคนที่สองต่อจาก มารียู ซากาลู ชาวบราซิลที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกทั้งในฐานะผู้เล่นและผู้จัดการทีม

หลังรวมประเทศ

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 หลังการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน เยอรมนีตะวันออกและเยอรมนีตะวันตกจับสลากมาอยู่กลุ่มเดียวกันในยูโร 1992 รอบคัดเลือกกลุ่ม 5 โดยในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1990 สมาคมฟุตบอลแห่งเยอรมันตะวันออก (Deutscher Fußball-Verband) ได้รวมเข้ากับ DFB และทีมเยอรมนีตะวันออกได้ยุติบทบาทลงอย่างเป็นทางการ โดยเล่นนัดสุดท้ายในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1990 ทีมชาติเยอรมนีที่รวมกันเป็นหนึ่งมีการปรับโครงสร้างของลีกฟุตบอลภายในประเทศในปี 1991–92 เกมแรกอย่างเป็นทางการหลังจากรวมตัวกันคือการพบกับสวีเดนในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1990[41] ในการแข่งขันกระชับมิตรซึ่งเยอรมนีชนะ 3–1 หลังจบฟุตบอลโลก 1990 เบ็คเคินเบาเออร์ได้ประกาศวางมือและผู้ที่มารับตำแหน่งต่อคือ แบร์ตี โฟกตส์ โดยได้พาทีมประเดิมในฟุตบอลยูโร 1992 แต่พ่ายให้กับเดนมาร์กในรอบชิงชนะเลิศไป 0–2 ต่อมาในฟุตบอลโลก 1994 เยอรมนีตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยแพ้บัลแกเรีย 1–2

เยอรมนีคว้าแชมป์รายการแรกหลังรวมประเทศได้ในยูโร 1996 ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 3 (นับรวมสมัยเยอรมนีตะวันตก) โดยชนะทีมชาติอังกฤษเจ้าภาพในรอบรองชนะเลิศ[42] ก่อนจะเอาชนะทีมชาติเช็กเกียในช่วงต่อเวลาพิเศษ (golden goal)[43] อย่างไรก็ตาม ในฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส เยอรมนีตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายโดยแพ้ให้กับโครเอเชีย 0–3 ซึ่งประตูทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากกองหลังเยอรมนีได้รับใบแดง[44] แบร์ตี้ โฟ้กตส์ได้ประกาศลาออก และผู้ที่มาทำหน้าที่แทนได้แก่ เอริช ริบเบ็ค[45]

ยุคของ อ็อลลีเวอร์ คาห์น และมิชชาเอล บัลลัค (2000–2006)

ในฟุตบอลยูโร 2000 เยอรมนีตกรอบแรก เริ่มจากพ่ายทีมชาติอังกฤษ 0–1, พ่ายโปรตุเกส 0–3 และเสมอโรมาเนีย ริบเบ็ค ได้ลาออกและรูดี เฟิลเลอร์ เข้ามารับตำแหน่งต่อ ต่อมา เยอรมนีเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 โดยมีนักเตะชื่อดัง เช่น อ็อลลีเวอร์ คาห์น, มิชชาเอล บัลลัค และมีโรสลัฟ โคลเซอเป็นกำลังหลัก โดยก่อนเริ่มรายการ ความคาดหวังไม่ค่อยสูงนักเนื่องจากพวกเขาทำผลงานไม่ค่อยดีในรอบคัดเลือก แต่ทีมก็ผ่านรอบแบ่งกลุ่มเข้าสู่รอบตัดเชือกโดยชนะ 1–0 ได้ในสามนัดถัดมา (พบปารากวัย, สหรัฐ และเกาหลีใต้เจ้าภาพร่วมตามลำดับ) และเข้าชิงชนะเลิศก่อนจะแพ้บราซิล 0–2 จากประตูของโรนัลโด[46] แต่อ็อลลีเวอร์ คาห์น ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันซึ่งถือเป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลกที่ผู้รักษาประตูได้รับรางวัลนี้[47]

เยอรมนีตกรอบแรกในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 โดยเสมอ 2 นัด และแพ้เช็กเกียในรอบแบ่งกลุ่ม[48] รูดี เฟิลเลอร์ลาออก[49] และเยือร์เกิน คลีนส์มัน เข้ามารับช่วงต่อ เขาพาทีมผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนีเป็นเจ้าภาพโดยแพ้อิตาลีในช่วงต่อเวลา 0–2[50] แต่ยังคว้าอันดับสามได้โดยชนะโปรตุเกส 3–1[51][52]

โยอาคิม เลิฟ และแชมป์โลกสมัยที่ 4 (2006–2021)

โยอาคิม เลิฟ อดีตผู้ช่วยผู้จัดการทีมเข้ามารับตำแหน่งต่อจากคลีนส์มัน และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 แต่แพ้สเปน 0–1 ต่อมา ในฟุตบอลโลก 2010 เยอรมนีเข้าสู่รอบตัดเชือกโดยเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม ก่อนจะชนะอังกฤษ 4–1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งนัดนั้นมีกรณีปัญหาที่ถกเถียงกันจากประตูของ แฟรงก์ แลมพาร์ด ที่ทำประตูได้แต่ผู้ตัดสินกลับไม่ให้เป็นประตู[53][54] เยอรมนีชนะอาร์เจนตินา 4–0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะแพ้สเปนในรอบรองชนะเลิศ 0–1[55] และเอาชนะอุรุกวัย 3–2 ในนัดชิงอันดับที่ 3 และโทมัส มึลเลอร์ ได้รับรางวัลรองเท้าทองคำ (FIFA World Cup Golden Boot) และรางวัลนักเตะดาวรุ่งผู้มีผลงานโดดเด่น (Best Young Player Award)

Thumb
ทีมชาติเยอรมนีในฟุตบอลยูโร 2012

ต่อมา ในฟุตบอลยชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 เยอรมนีชนะโปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ และเดนมาร์กได้ทั้ง 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม ตามด้วยการชนะกรีซในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และสร้างสถิติชนะรวด 15 นัดในการแข่งขันทุกรายการในขณะนั้นก่อนจะไปแพ้อิตาลี 1–2 ในรอบรองชนะเลิศ[56]

ฟุตบอลโลก 2014

Thumb
ทีมชาติเยอรมนีฉลองแชมป์ฟุตบอลโลก 2014

เยอรมนีคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่ 4 ในฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล โดยทำผลงานยอดเยี่ยมตั้งแต่รอบคัดเลือก โดยในรอบแบ่งพวกเขาอยู่ร่วมกับสหรัฐอเมริกา, กานา และโปรตุเกส และทำผลงานชนะ 2 นัด และเสมอ 1 นัด ต่อมา ใน 16 ทีมสุดท้ายพวกเขาชนะแอลจีเรีย 2–1 จากประตูของเมซุท เออซิล ในนาทีสุดท้ายช่วงต่อเวลาพิเศษ ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย และชนะฝรั่งเศส 1–0 จากประตูของ มัทซ์ ฮุมเมิลส์ ทำสถิติเป็นทีมแรกที่เข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 4 สมัยติดต่อกัน

ในรอบรองชนะเลิศ เยอรมนีถล่มเอาชนะบราซิลไปถึง 7–1 โดยพวกเขาใช้เวลาเพียง 30 นาทีแรกในการทำ 5 ประตู และถือเป็นความพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดของบราซิลในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย[57] และเป็นการแพ้ที่ยับเยินที่สุดในทุกรายการนับตั้งแต่ปี 1920[58] เยอรมนีสร้างสถิติใหม่หลายรายการ ได้แก่: เป็นทีมแรกที่ยิงได้ 7 ประตูในการแข่งขันรอบแพ้คัดออกในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย, เป็นทีมที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการยิง 5 ประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย (และใช้เวลาเพียง 400 วินาที ในการทำ 4 ประตูแรก), เป็นทีมแรกที่ยิง 5 ประตูในครึ่งเวลาแรกในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย และเป็นทีมที่ทำประตูรวมในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมากที่สุดนับตั้งแต่จัดการแข่งขันครั้งแรกในปี 1930 (223 ประตู) นอกจากนี้ มีโรสลัฟ โคลเซอ ยังเป็นผู้เล่นที่ทำประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้มากที่สุดตลอดกาล (16 ประตู)[59] การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2014 ณ กรุงรีโอเดจาเนโร โดยเยอรมนีเอาชนะอาร์เจนตินาคู่แข่งสำคัญที่นำโดย ลิโอเนล เมสซิไปได้ 1–0[60] จากประตูชัยของ มารีโอ เกิทเซอ ในช่วงต่อเวลา ซึ่งถือเป็นการชนะอาร์เจนตินาในฟุตบอลโลก 4 ครั้งติดต่อกัน[61] พร้อมทำสถิติเป็นทีมจากยุโรปเพียงชาติเดียวที่คว้าแชมป์โลกที่ทวีปอเมริกาใต้[62]

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 และคอนเฟเดอเรชัน คัพ 2017

ภายหลังจากคว้าแชมป์โลก ทีมเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งโดยผู้เล่นหลายคนได้อำลาทีมชาติ เช่น ฟิลลิพ ลาห์ม, มีโรสลัฟ โคลเซอ และแพร์ แมร์เทิสอัคเคอร์ ก่อนเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 เยอรมนีทำผลงานในรอบคัดเลือกช่วงแรกได้ไม่ดีนักพวกเขาขนะสกอตแลนด์ด้วยผลประตู 2–1 แต่ในนัดต่อมาพวกเขาแพ้โปแลนด์ 0–2 ซึ่งเป็นการแพ้โปแลนด์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และเสมอไอร์แลนด์ 1–1 ตามมาด้วยการชนะยิบรอลตาร์ 4–0 พวกเขาลงแข่งขันนัดสุดท้ายของปีด้วยการชนะสเปน 1–0 ในเกมกระชับมิตร พวกเขาทำผลงานได้ดีขึ้นใน ค.ศ. 2015 ด้วยการบุกไปชนะจอร์เจีย 2–0 และชนะยิบรอลตาร์อย่างขาดลอย 7–0 และกลับมาเปิดบ้านชนะโปแลนด์ 3–1 ตามด้วยการบุกไปชนะสกอตแลนด์ 3–2 และแม้จะบุกไปแพ้ไอร์แลนด์ แต่พวกเขายังผ่านเข้ารอบสุดท้ายในฐานะทีมอันดับหนึ่งจากการชนะจอร์เจียในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 2015 เยอรมนีมีกำหนดแข่งขันเกมกระชับมิตรกับฝรั้่งเศสในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ท่ามกลางเหตุโจมตีในปารีสซึ่งเกิดขึ้นบริเวณใกล้เคียงสนามสตาดเดอฟร็องส์ การแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของฝรั่งเศส 2–0 และเยอรมนีต้องยกเลิกการแข่งขันในนัดต่อมาที่พบกับเนเธอร์แลนด์ ณ เมืองฮันโนเฟอร์ เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย โดยฝ่ายจัดการแข่งขันได้รับโทรศัพท์ข่มขู่ก่อนเริ่มเกม

เยอรมนีเริ่มต้นการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ด้วยการชนะยูเครน 2–0 ตามด้วยการเสมอโปแลนด์ 0–0 และเอาชนะไอร์แลนด์เหนือ 1–0 ตามด้วยการชนะสโลวาเกียในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 3–0 รวมทั้งชนะอิตาลีได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการดวลจุดโทษ 6–5 หลังจากเสมอกันในช่วงต่อเวลา 1–1 นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เยอรมนีเอาชนะอิตาลีในการแข่งขันระดับเมเจอร์[63] แต่พวกเขาต้องตกรอบรองชนะเลิศโดยแพ้ฝรั่งเศสเจ้าภาพไป 0–2 และถือเป็นการแพ้ฝรั่งเศสในการแข่งขันรายการใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ 58 ปี[64] เยอรมนีกลับมาประสบความสำเร็จในรายการใหญ่อีกครั้งโดยคว้าแชมป์ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2017 ณ เมืองเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ประเทศรัสเซีย เอาชนะชิลีในรอบชิงชนะเลิศ 1–0 ด้วยประตูจาก ลาร์ส สตินเดิล คว้าแชมป์เป็นสมัยแรก[65]

ฟุตบอลโลก 2018, ยูฟ่าเนชันส์ลีก และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020

แม้ว่าจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในการแข่งขันรอบคัดเลือก และชนะเลิศคอนเฟเดอเรชันคัพในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ถือเป็นความล้มเหลวอย่างแท้จริงโดยพวกเขาตกรอบแบ่งกลุ่ม ในนัดแรกของกลุ่มเอฟ พวกเขาแพ้เม็กซิโก 0–1 ซึ่งถือเป็นการแพ้ในนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่มเป็นครั้งแรกตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1982[66] ในนัดต่อมาพวกเขาเอาชนะสวีเดนได้ 2–1 จากประตูในช่วงท้ายเกมของโทนี โครส แต่แพ้ให้กับเกาหลีใต้ในนัดสุดท้าย 0–2 และถือเป็นการตกรอบที่เร็วที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายของพวกเขานับตั้งแต่ปี 1938 และเป็นการตกรอบแบ่งกลุ่มครั้งแรกนับตั้งแต่การแข่งขันปรับรูปแบบมาใช้ระบบใหม่ในการเล่นรอบแบ่งกลุ่มในปี 1950[67] เยอรมนียังเป็นแชมป์เก่าทีมที่ห้าที่ตกรอบแรกในฟุตบอลโลกครั้งถัดมา ต่อจาก บราซิลในฟุตบอลโลก 1966, ฝรั่งเศสในฟุตบอลโลก 2002, อิตาลีในฟุตบอลโลก 2010 และ สเปนในฟุตบอลโลก 2014[68][69]

หลังจากนั้น เยอรมนียังคงมีผลงานย่ำแย่ในยูฟ่าเนชันส์ลีก ซึ่งพวกเขาอยู่ในลีกเอร่วมกับกับฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ โดยในนัดแรกพวกเขาเสมอฝรั่งเศส 0–0 ตามด้วยแพ้เนเธอร์แลนด์ 0–3[70] และพ่ายแพ้ต่อเนื่องให้กับฝรั่งเศส 1–2 ส่งผลให้เยอรมนีต้องแพ้เป็นนัดที่ 4 จากการแข่งขันรายการใหญ่ 6 นัดหลังสุด[71] ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถผ่านเข้าสู่ยูฟ่าเนชันส์ลีก 2019 รอบสุดท้าย ต่อมา ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 สมาคมฟุตบอลเยอรมันได้ประกาศว่า โยอาคิม เลิฟ จะยุติบทบาทภายหลังจบฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 และ ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค จะเข้ามารับตำแหน่งต่อ[72] เยอรมนีลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ในเดือนมิถุนายน โดยอยู่ในกลุ่มเอฟร่วมกับโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และฮังการี และผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนจะแพ้อังกฤษ 0–2 และเป็นการยุติบทบาทผู้จัดการทีม 15 ปีของเลิฟ[73][74]

2021–ปัจจุบัน: ยุคใหม่

Thumb
ทีมชาติเยอรมนีในฟุตบอลโลก 2022

ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค เข้ารับตำแหน่งหลังจบยูโร 2020 และพาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โดยชนะรวด 5 นัดในการพบกับ ลิกเตนสไตน์, อาร์มีเนีย, ไอซ์แลนด์, โรมาเนีย และ นอร์ทมาซิโดเนีย โดยในวันที่ 11 ตุลาคม เยอรมนีเป็นชาติแรกที่ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ หลังจากบุกไปชนะ นอร์ทมาซิโดเนีย 4–0 ต่อมา ในวันที่ 12 พฤศจิกายน หลังจากชนะลิกเตนสไตน์ 9–0 ฟลิคเป็นผู้จัดการทีมชาติเยอรมนีคนแรกที่พาทีมชนะรวด 6 นัดแรกในการคุมทีม[75] ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เยอรมนีอยู่ร่วมกลุ่มกับสเปน ญี่ปุ่น และคอสตาริกา และพวกเขาทำผลงานน่าผิดหวังอีกครั้งโดยตกรอบแบ่งกลุ่มจากการมี 4 คะแนน และยังตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2022–23[76]

จากผลงานอันย่ำแย่ ส่งผลให้ฟลิคถูกปลดในเดือนกันยายน ค.ศ. 2023 และถูกแทนที่โดยยูลีอาน นาเกิลส์มัน[77] เขาพาทีมทำผลงานได้ไม่ดีนักในช่วงแรก โดยชนะได้เพียงหนึ่งนัดจากสี่นัด แต่เมื่อเข้าสู่ ค.ศ. 2024 ทีมมีผลงานที่ดีขึ้น เริ่มจากการชนะฝรั่งเศส (2–0) และ เนเธอร์แลนด์ (2–1) ในการแข่งขันกระชับมิตร โดยในเกมที่พบกับฝรั่งเศส โฟลรีอาน เวียทซ์ ทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ทำประตูได้เร็วที่สุดหลังเริ่มการแข่งขันให้แก่ทีมชาติเยอรมนี โดยใช้เวลาเพียงแค่ 7 วินาที ต่อมา เยอรมนีลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 ในฐานะเจ้าภาพ ผ่านรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเป็นอันดับหนึ่งจากการชนะสกอตแลนด์ 5–1, ชนะฮังการี 2–0 และเสมอสวิตเซอร์แลนด์ ตามด้วยการเอาชนะเดนมาร์กในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 2–0 แต่พวกเขาตกรอบก่อนรองชนะเลิศจากการแพ้สเปนด้วยผลประตู 1–2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ โดยเยอรมนียังไม่สามารถเอาชนะสเปนในการแข่งขันทางการได้เลย นับตั้งแต่มีการรวมประเทศเยอรมนี[78]

เยอรมนีลงแข่งขันยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2024–25 ในครั้งนี้อยู่ในกลุ่ม 3 ของลีกเอ ร่วมกับฮังการี, เนเธอร์แลนด์ และบอสเนีย พวกเขาผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศหลังจากแข่งขันไปเพียง 4 นัด จากผลงานชนะ 3 นัด และ เสมอ 1 นัด เยอรมนีลงแข่งขันรอบ 8 ทีมกับคู่ปรับอย่างอิตาลีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2025 ในนัดแรกพวกเขาบุกไปเยือนที่มิลานวันที่ 20 มีนาคม และเอาชนะด้วยผลประตู 2–1 จากนั้นกลับมาเล่นนัดที่สองที่ดอร์ทมุนท์และเสมอด้วยผลประตู 3–3 เอาชนะไปด้วยผลรวมสองนัด 5–4 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปพบกับโปรตุเกสในเดือนมิถุนายน[79]

Remove ads

ภาพลักษณ์ทีม

สรุป
มุมมอง

ชุดแข่งและสัญลักษณ์

ผู้ผลิตชุดแข่ง

ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้ผลิตชุดแข่ง, ช่วงปี ...

ข้อตกลงชุดแข่ง

ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้ผลิตชุด, ช่วงปี ...

ชุดแข่งในแต่ละปี

ชุดเหย้า[87]

Thumb
Thumb
1908
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1934
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1938 [88]
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1954
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1962
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1966
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1970
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1974
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1978
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร 1980
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก 1982
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
1984
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1986
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร 1988 และ ฟุตบอลโลก 1990
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
1992
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1994
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
1996
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1998
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
2000
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
2002
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
2004
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
2006
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
2008
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
2010
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
2012
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
2014
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
2016
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ
2017
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
2018

ชุดเยือน[87]

Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1954 – 1958
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1966 – 1970
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1974 – 1978
Thumb
Thumb
ยูโร 1980 – ฟุตบอลโลก 1982
Thumb
Thumb
ยูโร 1984
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก 1986
Thumb
Thumb
ยูโร 1988 – ฟุตบอลโลก 1990
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
1992
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1994
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
1996
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
1998
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
2000
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
2002
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
2004
Thumb
Thumb
Thumb
ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ
2005
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
2006
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
2008
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
2010
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
2012
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
2014
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ยูโร
2016
Thumb
Thumb
Thumb
Thumb
ฟุตบอลโลก
2018

สนามแข่ง

Thumb
สนามโอลึมพีอาชตาดีอ็อน ณ กรุงเบอร์ลิน

ทีมชาติเยอรมนีใช้สนามแข่งขันในหลายเมืองทั่วประเทศซึ่งเปลี่ยนแปลงตามรายการแข่งขัน, สภาพอากาศ, คู่แข่ง และปัจจัยอื่น ๆ ที่ผ่านมาเยอรมนีใช้สนามแข่งขันจากเมืองต่าง ๆ รวม 43 เมืองด้วยกันรวมถึงสนามกีฬาในกรุงเวียนนา, ประเทศออสเตรีย ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีในอดีตจำนวน 3 นัด ในช่วงระหว่างปี 1938-42

เยอรมนีมักจะใช้สนามกีฬาของกรุงเบอร์ลินเป็นสนามเหย้าหลัก (42 นัด) ซึ่งเป็นสนามนัดเหย้านัดแรกของเยอรมนีในปี 1908 ซึ่งพบกับทีมชาติอังกฤษ สนามในเมืองอื่นๆ ที่ทีมชาติเยอรมนีใช้ในฐานะเจ้าบ้าน ได้แก่ ฮัมบวร์ค (34 นัด), ชตุทท์การ์ท (32 นัด), ฮันโนเฟอร์ (28 นัด) และดอร์ทมุนด์ ส่วนสนามแข่งขันที่โดดเด่นอีกแห่งอยู่ที่มิวนิก ซึ่งเป็นสถานที่จัดการแข่งขันนัดสำคัญหลายรายการรวมถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1974 ซึ่งเยอรมนีตะวันตกเอาชนะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ไปได้[89][90]

Remove ads

สถิติต่าง ๆ

สรุป
มุมมอง

สถิติฟุตบอลโลก

  ชนะเลิศ    รองชนะเลิศ    อันดับที่สาม    อันดับที่สี่  

ข้อมูลเพิ่มเติม สถิติในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย, สถิติในรอบคัดเลือก ...
* นัดที่เสมอ รวมนัดแพ้คัดออกที่ตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ
** กรอบสีแดง หมายถึง การแข่งขันที่ชาตินี้เป็นเจ้าภาพ

นอกจากนี้แล้วทีมชาติเยอรมนี ถือเป็นทีมแรกจากทวีปยุโรปที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในทวีปอเมริกาใต้ได้ (ฟุตบอลโลก 2014 ณ ประเทศบราซิล)[91]และยังเป็นทีมที่เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกมากที่สุดจำนวน 8 ครั้ง[92]

สถิติคอนเฟเดอเรชันส์คัพ

ข้อมูลเพิ่มเติม การแข่งขันคอนเฟเดอเรชันส์คัพ, ปี ...

สถิติฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

ข้อมูลเพิ่มเติม ปี, รอบ ...
Remove ads

ผู้เล่น

สรุป
มุมมอง

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน

รายชื่อผู้เล่นที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขัน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024[96]

จำนวนนัดที่ลงเล่นให้ทีมชาติและจำนวนประตูที่ยิงได้นับถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2024 หลังแข่งขันกับ กรีซ[97]
ข้อมูลเพิ่มเติม 0#0, ตำแหน่ง ...

อดีตผู้เล่นคนสำคัญ

Thumb
มานูเอ็ล น็อยเออร์ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งคนปัจจุบัน

หมายเหตุ:(!)=เคยเล่นให้กับทีมชาติเยอรมนีตะวันออกมาก่อน

Remove ads

สถิติสำคัญของผู้เล่น

ณ วันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2024[98]
รายชื่อผู้เล่นที่เป็นตัวหนา คือผู้เล่นที่ยังคงเล่นอยู่ในปัจจุบัน

ผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุด

Thumb
โลธาร์ มัทเธอุส เจ้าของสถิติลงสนามให้ทีมชาติเยอรมนีจำนวน 150 นัด
ข้อมูลเพิ่มเติม อันดับ, ผู้เล่น ...

ผู้ทำประตูสูงสุด

Thumb
มีโรสลัฟ โคลเซอ ผู้ทำประตูสูงที่สุดตลอดกาลของทีมชาติเยอรมนี
ข้อมูลเพิ่มเติม อันดับ, ผู้เล่น ...

ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปี

Remove ads

เกียรติประวัติ

ข้อมูลเพิ่มเติม การแข่งขัน, รวม ...

ประวัติอันดับโลกของทีมชาติเยอรมนี

อ้างอิงจากสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ:[104]

1993 1994 1995 1996 1997 1998 1999 2000 2001 2002 2003 2004 2005 2006 2007 2008 2009 2010 2011 2012 2013 2014 2015 2016 2017 2018 2019
1 5 2 2 2 3 5 11 12 4 12 19 17 6 5 2 6 3 3 2 2 1 4 3 1 16 15
Remove ads

ดูเพิ่ม

หมายเหตุ

  1. ในเยอรมนีมักเรียกว่า Die Nationalmannschaft (ทีมชาติ), DFB-Elf (เดเอ็ฟเบ สิบเอ็ด), DFB-Auswahl (เดเอ็ฟเบ ผู้ถูกเลือก) หรือ Nationalelf (ชาติที่สิบเอ็ด) ในขณะที่สื่อมวลชนต่างประเทศมักเรียกว่า Die Mannschaft (หมายถึง: ทีม)[1] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 เดเอ็ฟเบได้กำหนดให้ใช้เป็นชื่อเล่นอย่างเป็นทางการ[2]
  2. ทางสมาคมฟุตบอลอังกฤษไม่ถือเป็นการแข่งขันระดับนานาชาติ และไม่ปรากฏในบันทึกสถิติของทีมชาติอังกฤษ
    Remove ads

    อ้างอิง

    แหล่งข้อมูลอื่น

    Loading content...
    Loading related searches...

    Wikiwand - on

    Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

    Remove ads