Loading AI tools
ประธานาธิบดีรัสเซีย (อยู่ในวาระ: ค.ศ. 1999–2008 และ 2012–ปัจจุบัน) จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วลาดีมีร์ วลาดีมีโรวิช ปูติน (รัสเซีย: Владимир Владимирович Путин, สัทอักษรสากล: [vlɐˈdʲimʲɪr vlɐˈdʲimʲɪrəvʲɪtɕ ˈputʲɪn] ( ฟังเสียง); อังกฤษ: Vladimir Vladimirovich Putin; เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /ˈputɪn/) เป็นนักการเมืองชาวรัสเซียผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่สองและคนปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ค.ศ. 2012 และเคยดำรงตำแหน่งระหว่าง ค.ศ. 2000 ถึง 2008 ปูตินยังเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐนตรีใน ค.ศ. 1999 ถึง 2000 และ ค.ศ. 2008 ถึง 2012 จึงถือได้ว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีมาต่อเนื่องตั้งแต่ ค.ศ. 1999 ปูตินเป็นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดเป็นอันดับสองในยุโรปรองจาก อาเลียกซันดร์ ลูกาแชนกา ของเบลารุส
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
วลาดีมีร์ ปูติน | |
---|---|
Владимир Путин | |
ปูตินในปี ค.ศ. 2023 | |
ประธานาธิบดีรัสเซีย | |
เริ่มดำรงตำแหน่ง 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 | |
นายกรัฐมนตรี | ดมีตรี เมดเวเดฟ มีฮาอิล มีชุสติน |
ก่อนหน้า | ดมีตรี เมดเวเดฟ |
ดำรงตำแหน่ง 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 – 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 รักษาการ: 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 – 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 | |
ก่อนหน้า | บอริส เยลต์ซิน |
ถัดไป | ดมีตรี เมดเวเดฟ |
นายกรัฐมนตรีรัสเซีย | |
ดำรงตำแหน่ง 9 สิงหาคม ค.ศ. 1999 – 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 | |
ประธานาธิบดี | บอริส เยลต์ซิน |
ก่อนหน้า | เซียร์เกย์ สเตปาชิน |
ถัดไป | มิฮาอิล คัสยานอฟ |
ดำรงตำแหน่ง 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 – 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 | |
ประธานาธิบดี | ดมีตรี เมดเวเดฟ |
ก่อนหน้า | วิคตอร์ ซุบคอฟ |
ถัดไป | ดมีตรี เมดเวเดฟ |
เลขาธิการสภาความมั่นคง | |
ดำรงตำแหน่ง 9 มีนาคม ค.ศ. 1999 – 9 สิงหาคม ค.ศ. 1999 | |
ประธานาธิบดี | บอริส เยลต์ซิน |
ก่อนหน้า | นีโคเลย์ บอร์ดูชา |
ถัดไป | เชียร์เกย์ อีวานอฟ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | เลนินกราด สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย สหภาพโซเวียต | 7 ตุลาคม ค.ศ. 1952
ศาสนา | รัสเซียออร์โธด็อกซ์ |
คู่สมรส | ลุดมีลา ปูตินา (1983–2014) |
บุตร | อย่างน้อย 2 คน |
การศึกษา | มหาวิทยาลัยรัฐเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก (LLB) สถาบันเหมืองแร่เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก (PhD) |
ลายมือชื่อ | |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | สหภาพโซเวียต |
สังกัด | เคจีบี |
ประจำการ | ค.ศ. 1975–1991 |
ยศ | พันเอก[1] |
ปูตินเคยเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองต่างประเทศแห่งคณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐเป็นเวลา 16 ปี ก่อนจะลาออกในปี 1991 เพื่อเริ่มต้นอาชีพทางการเมืองในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เขาย้ายไปมอสโกในปี 1996 เพื่อร่วมงานกับ บอริส แฟตแมน ประธานาธิบดีในขณะนั้น ปูตินยังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการแห่งหน่วยความมั่นคงกลาง และเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงในช่วงสั้น ๆ ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1999 เขารักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 เมื่อเยลต์ซินลาออกจากตำแหน่ง ก่อนจะได้ชนะการเลือกตั้งสมัยแรกและขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในอีกสี่เดือนต่อมา และชนะการเลือกตั้งสมัยที่สองใน ค.ศ. 2004
เนื่องจากถูกจำกัดสมัยการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ปูตินจึงไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สาม หลังชัยชนะของผู้สืบทอดเขา ดมีตรี เมดเวเดฟ ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 2008 เมดเวเดฟได้เสนอชื่อปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี ปูตินดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2008 ต่อมา ในเดือนกันยายน 2011 ปูตินและเมดเวเดฟตกลงกันว่าปูตินจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สามไม่ติดต่อกันในการเลือกตั้งปี 2012 ซึ่งเขาชนะรอบแรกเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2012[2][3] โดยถูกกล่าวหาเรื่องการฉ้อโกงและตามมาด้วยการประท้วง ก่อนจะได้รับเลือกอีกครั้งเป็นสมัยที่สี่ ใน ค.ศ. 2018 ต่อมา ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 ภายหลังการลงประชามติ ปูตินลงนามในกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงการอนุญาตให้ตัวเขาลงเลือกตั้งได้อีกสองสมัยซึ่งอาจขยายเวลาการดำรงตำแหน่งของเขาไปถึง ค.ศ. 2036 [4][5]
ปูตินได้รับชื่อเสียงว่านำพาเสถียรภาพทางการเมือง[6] ระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา เศรษฐกิจรัสเซียเติบโตขึ้นเก้าปีต่อเนื่อง เห็นได้จากจีดีพีแบบอำนาจซื้อ เพิ่มขึ้น 72% (หกเท่าในราคาตลาด)[7][8] ความยากจนลดลงมากกว่า 50%[9][10][11] และค่าจ้างรายเดือนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 80 เป็น 640 ดอลลาร์สหรัฐ[7][12][13] ความสำเร็จนี้คาดว่ามาจากการจัดการเศรษฐกิจมหภาค การปฏิรูปนโยบายการคลังอย่างสำคัญและประจวบกับราคาน้ำมันที่สูง การไหลบ่าเข้ามาของทุนและการเข้าถึงเงินทุนภายนอกราคาถูกเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลัน[14] ซึ่งนักวิเคราะห์อธิบายว่า น่าประทับใจ[15][16]
ระหว่างดำรงตำแหน่ง ปูตินผ่านกฎหมายปฏิรูปขั้นพื้นฐานหลายฉบับ รวมทั้งภาษีเงินได้อัตราเดียว การลดภาษีกำไร และประมวลที่ดินและกฎหมายใหม่[15][17] เขาทุ่มเทความพยายามอย่างมากในการพัฒนานโยบายพลังงานของรัสเซีย โดยยืนยันตำแหน่งของรัฐเซียเป็นอภิมหาอำนาจด้านพลังงาน[18][19] ซึ่งรวมถึงการฟื้นฟูอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ในประเทศและการริเริ่มการก่อสร้างท่อส่งออกหลักหลายแห่ง รวมทั้งเอสโปและนอร์ดสตรีม เช่นเดียวกับเมกะโปรเจกต์อื่น ๆ ในรัสเซีย ในการดำรงตำแหน่งสมัยที่สาม ปูตินลงนามในสนธิสัญญาการผนวกไครเมีย และสนับสนุนการทำสงครามในภูมิภาคตะวันออกของยูเครนด้วยการรุกรานทางทหารหลายครั้ง ส่งผลให้เกิดการคว่ำบาตรระหว่างประเทศและวิกฤตการณ์ทางการเงินในรัสเซีย[20] นอกจากนี้ เขายังสั่งการให้ทหารเข้าแทรกแซงในซีเรียเพื่อต่อต้านรัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์[21] และในวาระการดำรงตำแหน่งสมัยที่สี่ ได้เกิดวิกฤตการณ์รัสเซีย–ยูเครน และเขาเป็นผู้สั่งการให้กองทัพเข้าโจมตียูเครนนำไปสู่การเกิดสงครามเต็มรูปแบบใน ค.ศ. 2022[22] ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ริเริ่มการไต่สวนคดีอาชญากรรมสงครามจากเหตุการณ์ดังกล่าว ต่อมา ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2022 ปูตินอนุมัติการผนวกภาคใต้และภาคตะวันออกของยูเครนเข้ากับรัสเซียซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
ขณะที่การปฏิรูปและพฤติการณ์หลายอย่างระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีถูกวิจารณ์โดยผู้สังเกตการณ์ตะวันตกและผู้ต่อต้านภายในประเทศว่าไม่เป็นประชาธิปไตย[23] การดูแลการฟื้นฟูระเบียบและเสถียรภาพของปูตินทำให้เขาได้รับความนิยมในสังคมรัสเซีย ปูตินมักสนับสนุนภาพลักษณ์ชายทรหดในสื่อ โดยแสดงความสามารถทางกายของเขาและเข้าร่วมในกิจกรรมวิสามัญหรืออันตราย เช่น กีฬาเอกซ์ตรีมและปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ป่า[24] ปูตินเป็นนักยูโดและนักกีฬาแซมโบ เคยเป็นแชมป์เลนินกราดสมัยวัยเยาว์ ปูตินมีส่วนสำคัญในการพัฒนากีฬารัสเซีย ที่โดดเด่นคือ ช่วยให้นครโซชีชนะการประกวดเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2014 นอกจากนี้ นิตยสารฟอบส์ได้จัดอันดับให้เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกในปี 2013 ถึง 2015 โดยฟอบส์ได้อธิบายว่าเขาเป็น "บุรุษเพียงไม่กี่คนของโลกที่ทรงอิทธิพลพอจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ"[25]
วลาดีมีร์ ปูตินในวัยเด็ก เป็นช่วงที่หนังสายลับได้รับความนิยมจึงเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับปูติน ในสมัยนั้นมีอาชีพอยู่เพียงสองประเภทที่สามารถเป็นสายลับได้คือต้องเป็นทหารหรือจบนิติศาสตร์
วลาดีมีร์ ปูตินได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเลนินกราด สาขานิติศาสตร์ จบมาเขาได้ทำงานกับหน่วยสายลับได้ประจำหน่วยข่าวกรองสายลับและได้ถูกส่งไปประจำที่ประเทศเยอรมนีตะวันออก ภายหลังสหภาพโซเวียตล่มสลายเขาจึงลาออกจากเคจีบี แล้วกลับไปอยู่กับอาจารย์ที่ชื่อว่า ดร. อนาโตลี ซับซัค และช่วยหาเสียงจน ดร. อนาโตลี ซับซัคได้เป็นผู้ว่าการเลนินกราด เมื่อ ดร.อนาโตลี ซับซัค ไม่ได้รับเลือกตั้ง โดนข้อหาทุจริต แล้วปูตินเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ยอมทิ้งอาจารย์ไป ได้หาข้อมูลมาช่วยอาจารย์จนพ้นความผิด
ต่อมาเพื่อนร่วมรุ่นมาชวนปูตินไปทำงานในทำเนียบประธานาธิบดีเยลซินในกรุงมอสโก จึงได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยบอริส เยลต์ซิน เป็นประธานาธิบดี ต่อมาเยลต์ซินได้ลาออกแล้วให้ปูตินมารักษาการณ์แทน แล้วปูตินก็ได้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของรัสเซีย เพราะบอริส เยลต์ซินเป็นคนแนะนำ ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ในวันที่ 14 มีนาคม 2004
ต่อมา เดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 นิตยสารไทม์ได้เลือกให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี 2007 ด้วยเหตุผลว่าเขามีความเป็นผู้นำซึ่งเปลี่ยนความวุ่นวายในรัสเซียให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยนิตยสารไทมส์ ได้ขนานนามแก่ปูตินว่าเป็น "ซาร์แห่งรัสเซียใหม่" แม้ว่าปูตินจะสละตำแหน่งประธานาธิบดีให้แก่ ดมีตรี เมดเวเดฟแล้วก็ตาม แต่ปูตินก็ยังคงมีอำนาจและได้รับความนิยมอยู่[26]
ปูตินสมรสกับชาวเลนินกราดนามว่า ลุดมินา ชเกรบเนวา (Людми́ла Шкребнева) ในวันที่ 28 กรกฎาคม 1983 และทั้งสองได้ใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนีตะวันออกด้วยกันระหว่างปี 1985 ถึง 1990[27] ทั้งสองมีลูกสาวสองคน คือ มารียา ปูตีนา เกิดในเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก และ เยกาเจรีนา ปูตีนา เกิดในเดรสเดิน[28] ต่อมาในวันที่ 6 มิถุนายน 2013 ปูตินได้ออกมาแถลงว่า ชีวิตคู่ของเขาทั้งสองได้จบลงไปแล้ว ซึ่งทางทำเนียบเครมลินได้ออกมายืนยันในวันที่ 1 เมษายน 2014 ว่ากระบวนการหย่าได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์[29][30]
ปูตินเริ่มการทำงานในหน่วยเคจีบี (KGB) ในปี 1975 เมื่อจบการศึกษา โดยเข้ารับการฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งปีที่ โรงเรียนเคเกเบในออตา เลนินกราด อย่างไรก็ตาม ในรายงานการประเมินผลจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยได้ระบุว่าปูตินนั้นมีข้อบกพร่อง ว่าเขานั้นเป็นคนไม่เข้าสังคมและมีสัญชาติญาณต่อภัยอันตรายต่ำ[31] ต่อมาไปทำงานเป็นระยะเวลาสั้นๆที่กรมหลักที่สองแห่งคณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐ (หน่วยราชการลับฝ่ายโต้ตอบ) ก่อนที่ต่อมาจะย้ายไปยังกรมหลักที่หนึ่งฯ ซึ่งเขามีหน้าที่ที่จะต้องเฝ้าจับตามองชาวต่างประเทศและเจ้าหน้าที่กงสุลในเลนินกราด[32][33]
ระหว่างปี 1985 ถึง 1990 ปูตินได้เป็นเจ้าหน้าที่ KGB ที่ประจำการในเดรสเดิน เยอรมนีตะวันออก ในช่วงนั้น ปูตินได้ถูกมอบหมายให้สังกัดกรม S: หน่วยข่าวกรองและราชการลับสิ่งผิดกฎหมาย และเพื่อปกปิดตัวตนของเขา เบื้องบนจึงได้ระบุให้เขามีอาชีพเป็นล่าม หนึ่งในงานของปูตินคือการทำงานร่วมกับกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐของเยอรมนีตะวันออก ในการติดตามและสรรหาชาวต่างประเทศในเดรสเดินเพื่อรับเข้าเป็นบุคลากร คนที่เขาหาได้โดยส่วนมากเป็นคนที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเดรสเดิน จุดประสงค์การสรรหาคนก็เพื่อส่งคนเหล่านี้ไปเป็นสายลับในสหรัฐอเมริกา จากการที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนีถึง 15 ปีนี้เองทำให้ปูตินสามารถพูดภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่ว
เมื่อกำแพงเบอร์ลินพังทลายลง มีนักสิทธิมนุษยชนเดินขบวนประท้วงมายังอาคารของ KGB ในเบอร์ลิน ปูตินได้เผาทำลายเอกสารของ KGB และยื่นขอคำสั่งเร่งด่วนไปยังผู้บังคับบัญชาในกรุงมอสโก ซึ่งเขาก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า "มอสโกได้แต่เงียบ"[34] เมื่อรัฐบาลเยอรมนีตะวันออกล่มสลาย ปูตินก็ถูกเรียกตัวกลับไปอยู่ที่เลนินกราดในสหภาพโซเวียต ที่ซึ่งในปี 1991 เขาได้ควบตำแหน่งในภาควิชากิจการต่างประเทศของมหาวิทยาลัยเลนินกราด ตามบันทึกของรองอธิการบดี ยูรี มอลคานอฟ[33] ด้วยตำแหน่งใหม่นี้ ปูติดคอยจับตามองเหล่านักศึกษาที่มีแววเพื่อเฟ้นหาคนเข้าสังกัด และในช่วงนี้เองที่เขาได้พบกับ อนาโตลี ซ็อบจัก ซึ่งเป็นอดีตอาจารย์ของเขาอีกครั้งซึ่งกำลังดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเลนินกราด
ปูตินลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงขณะดำรงยศ พันโท ในวันที่ 20 สิงหาคม 1991[35] วันที่สองระหว่างความพยายามรัฐประหารเพื่อล้มล้างรัฐบาลของประธานาธิบดี มีฮาอิล กอร์บาชอฟ[36] ซึ่งหน่วย KGB ก็ร่วมสนับสนุนการรัฐประหาร ปูตินได้อธิบายเหตุผลการลาออกของเขาว่า "ทันทีที่รัฐประหารเริ่มขึ้น ผมก็ตัดสินใจทันทีว่าจะอยู่ข้างไหน" และในปี 1999 ปูตินก็ได้อธิบายว่าลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นเป็น "ทางตันที่ไกลจากกระแสหลักของความศิวิไลซ์"[37]
ในเดือนพฤษภาคม 1990 ปูตินได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาด้านกิจการต่างประเทศของนายกเทศมนตรีอนาโตลี ซ็อบจัก ต่อมาในเดือนมิถุนายน 1991 เขาก็ได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการความสัมพันธ์ภายนอกประจำสำนักนายกเทศมนตรีนครเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก รับผิดชอบงานพัฒนาความสัมพันธ์กับต่างประเทศและการลงทุนจากต่างชาติ[38] ในคณะกรรมการที่มีเขาเป็นประธานนี้ ปูตินได้เปิดโอกาสให้บุคคลจากภาคธุรกิจเข้ามาร่วมเป็นกรรมการ ในเดือนมีนาคม 1994 ปูตินได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานคนที่หนึ่งของฝ่ายบริหารเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 1995 ปูตินได้บริหารสาขาของพรรคนาชโดม – รซซียา (Our Home Is Russia) ในเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลที่ก่อตั้งโดยนายกรัฐมนตรี วีกเตอร์ เชอร์โนมีร์ดีน ซึ่งในฤดูร้อนของปีเดียวกันนั้น ปูตินได้เป็นผู้ทำหน้าที่จัดการนโยบายหาเสียงในการเลือกตั้งของพรรคฯ ปูตินเป็นหัวหน้าสาขาของพรรคนาชโดม – รซซียาประจำเซนต์ปีเตอส์เบิร์กจนถึงเดือนมิถุนายน 1997[39]
ถึงแม้เจ้านายของปูติน อนาโตลี ซ็อบจัก จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีในปี 1996 แต่ปูตินได้รับข้อเสนอตำแหน่งงานในคณะบริหารเซนต์ปีเตอร์เบิร์กชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม ปูตินได้ปฏิเสธตำแหน่งดังกล่าวไปเนื่องจากไม่ต้องการหักหลังนายเก่า เมื่อทราบว่าตนเองกำลังจะว่างงาน ปูตินจึงคิดจะเป็นคนขับรถแท็กซี่หรือทำงานพาร์ทไทม์เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่แล้วปูตินก็ได้รับคำเชิญจากพาเวล โบโรดีน หัวหน้าสำนักจัดการทรัพย์สินส่วนประธานาธิบดี ให้ไปเป็นผู้ช่วยของเขาในมอสโก ปูตินตอบรับคำเชิญดังกล่าวและย้ายไปยังกรุงมอสโกในเดือนมิถุนายน 1996 ในตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักจัดการทรัพย์สินส่วนประธานาธิบดี ต่อมาในเดือนมีนาคม 1997 ประธานาธิบดีเยลต์ซินได้แต่งตั้งปูตินเป็นรองเสนาธิการทำเนียบเครมลินควบตำแหน่งหัวหน้ากองบังคับการใหญ่สำนักจัดการทรัพย์สินส่วนประธานาธิบดี
ในวันที่ 9 สิงหาคม 1999 ปูตินได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี บอริส เยลต์ซิน ให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีลำดับที่หนึ่งจากสามลำดับ และภายหลังในวันเดียวกันนั้นได้รับแต่งตั้งให้รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรัสเซีย[40] ซึ่งประธานาธิบดีเยลต์ซินได้ประกาศด้วยว่า เขาอยากเห็นปูตินเป็นผู้สืบทอดทางการเมืองต่อจากเขา หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง สภาล่างได้มีเห็นชอบการแต่งตั้งปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 233 เสียง (คัดค้าน 84 เสียง, งดออกเสียง 17 เสียง)[41] ซึ่งทำให้ปูตินกลายเป็นผู้ที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังอยู่บนเส้นทางการเมืองระดับชาติได้เพียง 18 เดือน ซึ่งในตอนที่เขาได้รับแต่งตั้งนั้น เขาแทบจะไม่เป็นที่รู้จักของสาธารณชนมาก่อน และผู้คนไม่คาดหวังอะไรกับเขามากนักที่ติดภาพลักษณ์เป็นเด็กเส้นของเยลต์ซิน แล้วก็เหมือนกับนายกฯคนอื่นๆของเยลต์ซิน ปูตินไม่ได้เป็นคนเลือกสมาชิกคณะรัฐมนตรีด้วยตัวเอง คณะรัฐมนตรีของเขาถูกเลือกมาโดยประธานาธิบดี[42]
สุขภาพของประธานาธิบดีเยลต์ซินย่ำแย่ลงอย่างกะทันหัน คู่แข่งทางการเมืองของเยลต์ซินเริ่มออกปราศัยถึงบุคคลที่จะมาแทนที่เขา แต่พวกเขาก็ต้องพบกับความยากลำบากเมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นรักษาการประธานาธิบดี การรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย (law-and-order) ตลอดจนการเดินหน้าปฏิบัติการในสงครามเชชเนียครั้งที่สองถือเป็นภาพลักษณ์ทรงศักยภาพของปูติน นำมาซึ่งกระแสนิยมในตัวปูตินที่เพิ่มขึ้น และพาให้ปูตินสามารถยืนอยู่เหนือคู่แข่งทางการเมืองทั้งหมดได้
เนื่องจากเขาไม่ได้กำลังสังกัดอยู่กับพรรคการเมืองใด ปูตินได้ให้สัญญาที่จะสนับสนุนพรรคเอกภาพ[43] ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่พึ่งตั้งขึ้นใหม่และครองสัดส่วนเป็นอันดับสองของคะแนนเสียงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (23.3%) ในเดือนธันวาคม 1999 และจะตอบแทนปูตินในสภาเป็นการต่างตอบแทน
ในวันที่ 31 ธันวาคม 1999 ประธานาธิบดีเยลต์ซินประกาศลาออกอย่างไม่คาดคิด ซึ่งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทำให้ปูตินซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องขึ้นมาเป็นรักษาการประธานาธิบดี ซึ่งในระหว่างที่เขาเป็นรักษาการนี้ เขาได้เดินทางไปให้กำลังกองทหารในเชชเนีย
คำสั่งประธานาธิบดีฉบับแรก ได้รับการลงนามโดยปูตินในวันที่ 31 ธันวาคม 1999 โดยเป็นคำสั่งเรื่อง "คำรับรองแก่อดีตประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียและสมาชิกครอบครัว"[44][45] เพื่อเป็นที่มั่นใจได้ว่า "บรรดาข้อกล่าวหาการทุจริตที่มีต่อประธานาธิบดีที่พึ่งพ้นจากตำแหน่งไปและที่มีต่อญาติของท่าน" จะไม่ถูกสืบและดำเนินการต่ออีก[46] ซึ่งประเด็นนี้เคยถูกพุ่งเป้าไปที่บริษัทก่อสร้าง Mabetex ที่มีชื่อเยลต์ซินและครอบครัวเข้าไปพัวพัน และเมื่อการลาออกของเยลต์ซินมีผล การเลือกตั้งประธานาธิบดีจึงมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม 2000 ซึ่งปูตินชนะการลงคะแนนรอบแรกด้วยคะแนน 53%[47]
ปูตินเข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 7 พฤษภาคม 2000 และได้แต่งตั้งรัฐมนตรีคลัง มีฮาอิล คาซยานอฟ เป็นนายกรัฐมนตรี
บททดสอบแรกในตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 2000 เรือดำน้ำนิวเคลียร์ คูร์สก ขนาด 13,400 ตันที่อยู่ระหว่างการฝึกในทะเลเกิดการระเบิดขึ้นและจมลง ทำให้ลูกเรือเสียชีวิต 118 คน[48] โศกนาฎกรรมครั้งร้ายแรงนี้ก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ในตัวปูตินอย่างมาก เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายวันกว่าที่ปูตินจะกลับจากหยุดยาวพักผ่อน และกว่าเขาจะมาดูซากเรือก็กินเวลาอีกหลายวัน[48]
ในวาระแรกของการดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2000 ถึง 2004 ปูตินได้วางแนวทางในการแก้ไขภาวะความยากจนในประเทศ นอกจากนี้ปูตินยังได้ต่อรองกับชนชั้นนำในประเทศ ซึ่งปูตินเปิดทางให้ชนชั้นนำเหล่านี้ยังมีอิทธิพลได้อย่างเต็มเปี่ยม และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ชนชั้นนำเหล่านี้ก็หันมาสนับสนุนและกลายเป็นฐานอำนาจที่มั่นคงของปูติน[49] เกิดนักธุรกิจใหญ่โตขึ้นมากมายในรัสเซียซึ่งล้วนแต่เป็นพันธมิตรของปูติน
ไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2004 ปูตินได้ปลดคณะรัฐมนตรีของคาซยานอฟ และตั้งมีฮาอิล ฟรัดกอฟ ขึ้นมาเป็นนายกฯแทน และในวันที่ 14 มีนาคม 2004 ปูตินก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีติดต่อเป็นวาระที่สอง โดยได้รับคะแนนเสียงถึง 71%[47]
เนื่องจากรัฐธรรมนูญรัสเซียบัญญัติให้ประธานาธิบดีสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินสองวาระ ดังนั้นปูตินจึงเลือกให้ดมีตรี เมดเวเดฟ ซึ่งเป็นเพื่อนและอดีตเสนาธิการเครมลินของเขาเป็นตัวแทนของเขาในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน ซึ่งเมดเวเดฟก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ซึ่งในวันเดียวกันนั้นเองปูตินได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ปูตินยังสามารถคงอิทธิพลทางการเมืองการปกครองไว้ได้[50]
ปูตินอ้างว่า การเอาชนะความยากลำบากในวิกฤตเศรษฐกิจโลก เป็นหนึ่งในความสำเร็จสองอย่างของปูตินในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง[51] ความสำเร็จอีกอย่างคือการรักษาเสถียรภาพด้านขนาดประชากรในรัสเซียระหว่างปี 2008–2011 หลังจากที่รัสเซียต้องเผชิญกับภาวะจำนวนประชากรถดถอยมากว่าสองทศวรรษ[51] ในการประชุมใหญ่ของพรรคในวันที่ 24 กันยายน 2011 เมดเวเดฟก็ประกาศให้ปูตินเป็นผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม นักสังเกตการณ์จำนวนมากเชื่อว่าปูตินจะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีวาระที่สาม และเมดเวเดฟก็ถูกวางตัวให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไปหลังเมดเวเดฟลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม หลังผลการเลือกตั้งเมื่อ 4 ธันวาคม 2011 ได้ออกมาและปูตินเป็นผู้ชนะนั้น มีชาวรัสเซียหลายหมื่นคนออกมาประท้วงต่อต้านผลการเลือกตั้งและกล่าวหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปูตินเข้ามาปกครองประเทศ กลุ่มผู้ประท้วงได้ออกมาเรียกร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ[52]
ในปี ค.ศ. 2014 ประเทศยูเครนเกิดความวุ่นวายและก่อจลาจลขึ้นเพื่อขับไล่ประธานาธิบดีวิคเตอร์ ยานูคอวิช ซึ่งช่วงนี้เองประธานาธิบดีปูตินได้สั่งให้เคลื่อนกำลังทหารสู่ไครเมียโดยข้ออ้างว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์และพลเมืองเชื้อสายรัสเซียในไครเมีย[53] กองทหารรัสเซียสามารถเข้าควบคุมไครเมียได้ทั้งหมดในวันที่ 2 มีนาคม 2014 การกระทำนี้ถูกประณามจากบรรดาชาติสมาชิกนาโตอย่างรุนแรงและมีมาตรการคว่ำบาตรด้านพลังงานต่อรัสเซีย[53] หลังจากนั้นสองสัปดาห์ก็มีการลงประชามติว่าด้วยสถานภาพของไครเมียขึ้น โดยเสียงข้างมากกว่า 93% ของผู้มาใช้สิทธิต้องการให้ใครเมียแยกตัวออกจากยูเครนและเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย สนธิสัญญาผนวกดินแดนระหว่างไครเมียได้ลงนามเมื่อวันที่ 18 มีนาคม และรัฐสภารัสเซียให้การรับรองในวันที่ 21 มีนาคม[54] อย่างไรก็ตาม สิบสามชาติสมาชิกในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ลงมติให้ประกาศว่าการลงประชามตินั้นเป็นโมฆะ แต่รัสเซียในฐานะสมาชิกถาวรได้ใช้อำนาจยับยั้งและจีนงดออกเสียง[55][56] แม้ญัตติจะตกไปแต่ฝ่ายนาโตก็ไม่ลดความพยายาม ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2014 ได้มีมติเสียงข้างมากให้ประกาศว่า การลงประชามติดังกล่าวเป็นโมฆะ และสหประชาชาติมิอาจยอมรับการผนวกดินแดนไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย [57] จากมติดังกล่าวนำไปสู่การเพิ่มมาตรการลงโทษต่อรัสเซีย ฝ่ายนิยมรัสเซียได้แพร่เข้าไปในภาคใต้และภาคตะวันออกของยูเครน และกลายเป็นกองกำลังกบฎที่สนับสนุนโดยรัสเซีย
จากมาตรการลงโทษต่าง ๆ ต่อรัสเซียประกอบกับการที่ราคาน้ำมันโลกลดลงอย่างมาก ทำให้รัสเซียเผชิญกับกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่จากการที่รัสเซียเป็นคู่ค้าอันดับสามของสหภาพยุโรปและเป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ของยุโรป การลงโทษต่อรัสเซียก็ทำให้เศรษฐกิจในยุโรปถดถอยและเผชิญกับความเสี่ยงด้านวิกฤตพลังงาน[58]
ในวันที่ 30 กันยายน 2015 ประธานาธิบดีปูตินได้อนุมัติให้กองทัพรัสเซียทำการเข้าแทรกแทรงในสงครามกลางเมืองซีเรีย ภายหลังจากได้รับคำร้องขอสนับสนุนด้านการทหารจากรัฐบาลซีเรียเพื่อการปราบกบฎและกลุ่มญิฮาดในซีเรีย รัสเซียเข้าแทรกแทรงด้วยการทิ้งระเบิดทางอากาศ, การยิงขีปนาวุธ และใช้กำลังรบพิเศษทะลวงเข้าจัดการกับกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ซึ่งรวมถึงฝ่ายค้านซีเรีย, รัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์ (ไอซิส) และกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงอื่นๆ[59][60] ต่อมาปูตินได้ประกาศในวันที่ 14 มีนาคม 2016 ว่าปฏิบัติการในประเทศซีเรียนั้น "ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง" และสั่งการให้ถอนกองกำลังหลักของรัสเซียออกจากซีเรีย[61] แต่ยังคงเหลือกองทหารรัสเซียบางส่วนอยู่ในซีเรียเพื่อสู้กับกลุ่มต่อต้านฯและสนับสนุนรัฐบาลซีเรีย[62] ต่อมาในเดือนธันวาคม 2017 ปูตินได้เดินทางเยือนประเทศซีเรียเป็นครั้งแรกตั้งแต่การเข้าแทรกแซงของรัสเซีย
ในมุมมองของสาธารณชน ปูตินมีภาพลักษณ์ที่เป็นชายชาตรี องอาจ และน่าเกรงขาม ภาพลักษณ์เหล่านี้ไม่ได้ปรากฏเฉพาะในรัสเซียเท่านั้น แต่เป็นที่โจษจันในระดับโลก เขาโปรดปรานกีฬาผาดโผนและอันตรายต่างๆเช่นการล่าสัตว์[63] ปูตินมีความสามารถในการขับเครื่องบิน ทั้งเครื่องบินทั่วไปไปจนถึงเครื่องบินรบสมรรถนะสูง[64] นอกจากนี้ยังมีความเชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้หลายแขนง เช่น แซมโบ, ยูโด, คาราเต้ ซึ่งปูตินเคยเป็นแชมป์กีฬาแซมโบและยูโดของนครเลนินกราดด้วย[64] นอกจากนี้ยังมีความสามารถอื่นๆอีก อาทิ การขี่ม้า, ล่องแก่ง, การตกปลา ไปจนถึงการว่ายน้ำในแม่น้ำไซบีเรียที่เย็นยะเยือก ซึ่งมักจะปรากฏภาพที่เขาไม่ใส่เสื้อขณะทำกิจกรรมเหล่านี้[65] และยังสามารถดำน้ำลึก[66][67] หยุดเสือและหมีขั้วโลกด้วยปืนยิงยาสลบ[65][68], เป็นนักบินผู้ช่วยในเครื่องบินดับไฟป่า, ยิงลูกดอกใส่วาฬเพื่อการติดตาม[64][69], ขับรถสูตร[64][70] เป็นต้น
ตัวเลขอย่างเป็นทางการที่เปิดเผยระหว่างการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ ค.ศ. 2007 ระบุว่าปูตินมีทรัพย์สินประมาณ 3.7 ล้านรูเบิล (150,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ในบัญชีธนาคาร มีอพาร์ตเมนต์ 77.4 ตารางเมตรในเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก และทรัพย์สินจิปาถะอีกจำนวนหนึ่ง[71][72] ปูตินรายงานรายได้รวม 2 ล้านรูเบิล (ประมาณ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ใน ค.ศ. 2006 และใน ค.ศ. 2012 ปูตินรายงานรายได้ 3.6 ล้านรูเบิล (ประมาณ 113,000 ดอลลาร์สหรัฐ)[73][74]
เคยมีภาพถ่ายปูตินสวมนาฬิกาข้อมืหรูจำนวนหนึ่ง มูลค่ารวมประมาณ 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นรายได้ประมาณ 6 ปี[75][76] บางโอกาสเขามอบนาฬิกามูลค่าหลักพันดอลลาร์สหรัฐให้เป็นของขวัญแก่ชาวนาและคนงานโรงงาน[77]
นักการเมืองและนักหนังสือพิมพ์ฝ่ายค้านของรัสเซียระบุว่า ปูตินเป็นเจ้าของทรัพย์สินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐอย่างลับ ๆ[78][79] โดยเป็นเจ้าของหุ้นในบริษัทรัสเซียจำนวนหนึ่ง[80][81] รายงานของ Polygraph.info ตรวจสอบรายงานของนักวิเคราะห์ตะวันตก (1–1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) และรัสเซีย (40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซีไอเอ (40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และข้อโต้แย้งของสื่อรัสเซีย สรุปว่า ทรัพย์สินรวมของปูตินนั้นสรุปแน่ชัดไม่ได้ และการประเมินของผู้อำนวยการข่าวกรองสหรัฐยังไม่สมบูรณ์ แต่จากหลักฐานต่าง ๆ พบว่าสำนักข่าวกรองตะวันตกพบหลักฐานเกี่ยวกับทรัพย์สินของปูตินบ้างเหมือนกัน[82]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.