Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระยาศรีสิทธิสงคราม (10 พฤษภาคม พ.ศ. 2434 - 23 ตุลาคม พ.ศ. 2476) นามเดิม ดิ่น ท่าราบ เป็นนายทหารบกชาวไทย มีบทบาทสำคัญในฐานะแม่ทัพภาคที่ 1 ในเหตุการณ์กบฎบวรเดช
พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) | |
---|---|
รัฐมนตรี | |
ดำรงตำแหน่ง 18 มิถุนายน พ.ศ. 2476 – 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 | |
นายกรัฐมนตรี | พระยามโนปกรณ์นิติธาดา |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2434 อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ราชอาณาจักรสยาม |
เสียชีวิต | 23 ตุลาคม พ.ศ. 2476 (42 ปี) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ประเทศสยาม |
คู่สมรส | คุณหญิงตลับ ศรีสิทธิสงคราม |
บุตร | 4 คน |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | สยาม ไทย |
สังกัด | |
ประจำการ | พ.ศ. 2457 – 2476 |
ยศ | พันเอก |
บังคับบัญชา | กองทัพภาคที่1 |
ผ่านศึก | กบฎบวรเดช |
พระยาศรีสิทธิสงคราม มีนามเดิมว่า ดิ่น ท่าราบ เกิดที่ตำบลท่าราบ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ในครอบครัวชนชั้นกลางซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรม ดิ่นเป็นคนเรียนเก่ง สอบเข้านายร้อยทหารบก และจบการศึกษาได้ที่ 1 จึงได้ทุนการศึกษาไปศึกษาต่อที่จักรวรรดิเยอรมันรุ่นเดียวกับพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) และพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) ทั้งสามคนเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมนายร้อยในเมืองพ็อทซ์ดัมเป็นเวลาหนึ่งปี และเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยปรัสเซียในกรุงเบอร์ลิน[1] ในช่วงนี้ทั้งสามคนสนิทสนมกันมากจนได้รับฉายาจากพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอดิศรอุดมศักดิ์ ว่าเป็น "สามทหารเสือ" เช่นเดียวกับสามทหารเสือในนวนิยายของอาแล็กซ็องดร์ ดูว์มา
ระหว่างที่อยู่ทวีปยุโรปนี้ ประยูร ภมรมนตรี เริ่มเป็นตัวกลางชักชวนบุคคลต่างๆให้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ประยูรใช้เวลาตามจีบพระยาศรีสิทธิสงครามกว่าปีเศษจึงยอมร่วมมือ แต่มีเงื่อนไขว่าขอดูตัวผู้ที่จะเป็นหัวหน้าคณะก่อการเสียก่อน แต่เมื่อทราบผู้นำการก่อการคือสองเพื่อนสนิทของตน ดิ่นจึงขอถอนตัวโดยรับปากว่าจะไม่เอาความลับไปแพร่งพราย และจะติดตามดูอยู่จากวงนอกเท่านั้น[2]
ดิ่นอยู่ที่ยุโรปประมาณสิบปีแล้วจึงเดินทางกลับสยามและได้รับยศร้อยตรีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2457 และมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ตามลำดับ จนได้รับยศเป็นพันเอก เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2471 ขณะอายุได้ 37 ปี[3] แรกเป็นนายทหารประจำกรมเสนาธิการทหารบก ต่อมาได้เป็นหัวหน้าแผนกที่ 2 กรมเสนาธิการทหารบกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2473[4] และดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองทัพที่ 1 ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน[5] พระศรีสิทธิสงครามได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2474[6] ขณะอายุได้ 40 ปี พระยาศรีสิทธิสงครามเคยออกความเห็นว่าระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นไม่เหมาะสมแก่ยุคสมัย สมควรเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องเป็นวิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรง
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยาพหลพลพยุหเสนาชักชวนพระยาศรีสิทธิสงครามเข้าร่วมคณะราษฎร แต่พระยาศรีสิทธิฯก็ปฏิเสธไปเนื่องจากไม่ชอบวิธีการรุนแรงที่คณะราษฎรใช้เปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยาทรงสุรเดชไม่พอใจจึงสั่งย้ายพระยาศรีสิทธิฯไปประจำกระทรวงธรรมการ นัยว่าเป็นการลงโทษ
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2476 พระยาพหลฯกับพระยาทรงฯทะเลาะกันเรื่องงานจนวังปารุสก์แทบแตก พระยาทรงสุรเดช, พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ), พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) ปรึกษากันแล้วเห็นว่าถ้ารับราชการแล้วต้องมาทะเลาะกันแบบนี้ก็ลาออกดีกว่า ทั้งสามพระยาจึงลาออก ส่งผลให้พระยาพหลฯต้องลาออกตามเพื่อรักษามารยาท นั่นทำให้ตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลและกองทัพที่เคยเป็นของสี่เสือคณะราษฎรว่างลงทั้งหมด
นายกรัฐมนตรีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาปรึกษากับพันโทหลวงพิบูลสงคราม ได้ข้อสรุปว่าจะให้พันโทประยูรไปเชิญพลตรีพระยาพิไชยสงครามมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก, เชิญพันเอกพระยาศรีสิทธิสงครามมาเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก ส่วนตัวหลวงพิบูลจะขอเป็นเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พระยาพหลฯไม่คัดค้านจึงเป็นอันตกลงกันได้ ในที่สุดก็มีพระบรมราชานุญาติให้สี่ทหารเสือลาออกในวันที่ 18 มิถุนายน[7] และจะมีผลในวันที่ 24 มิถุนายน ระหว่างนี้ให้บุคลลที่จะได้รับแต่งตั้งรักษาราชการในตำแหน่งที่ว่างลงไปพลางก่อน
เมื่อกลับสู่กองทัพ พระยาศรีสิทธิสงครามเตรียมโยกย้ายนายทหารสายคณะราษฎรทั้งหมดออกจากตำแหน่งคุมกำลังพล การข่าวเรื่องนี้หลุดไปถึงหลวงพิบูลสงคราม ทำให้ในวันที่ 20 มิถุนายน พระยาพหลฯ หลวงพิบูลฯ และหลวงศุภชลาศัย ชิงก่อรัฐประหารล้มรัฐบาลพระยามโนปกรณนิติธาดา หลวงพิบูลบอกพันโทประยูรว่า "ประยูร จำเป็นต้องทำ ไม่มีทางเลี่ยง เพราะเจ้าคุณศรีสิทธิสงครามเล่นไม่ซื่อหักหลัง เตรียมสั่งย้ายนายทหารผู้กุมกำลังทั้งกองทัพ พวกก่อการจะถูกตัดตีนมือและถูกฆ่าตายในที่สุด"[2] ประยูรได้เขียนบันทึกไว้ว่า "ต่อมาอีก 2-3 วัน ท่านเจ้าคุณศรีสิทธิสงครามมาหาข้าพเจ้าที่บ้านบางซื่อ หน้าเหี้ยมเกรียม ตาแดงก่ำเป็นสายเลือด นั่งกัดกรามพูดว่าหลวงพิบูลสงครามเล่นสกปรก ท่านจะต้องกำจัด จะต้องฆ่าหลวงพิบูลสงคราม แต่จะต้องดูเหตุการณ์ไปก่อน ถ้าหลวงพิบูลล่วงเกินพระเจ้าแผ่นดินเมื่อใด ท่านเป็นลงมือเด็ดขาด..."[2] พระยาศรีสิทธิสงครามถูกโอนย้ายไปสังกัดกระทรวงธรรมการตามเดิม[8]
ในเหตุการณ์กบฏบวรเดชในเดือนตุลาคม 2476 พระยาศรีสิทธิสงครามเข้าร่วมด้วย มีฐานะเป็นแม่ทัพ รับหน้าที่เป็นกองระวังหลัง จนเมื่อทางฝ่ายกบฏเพลี่ยงพล้ำต่อรัฐบาล ในเวลาพลบค่ำของวันที่ 23 ตุลาคม ปีเดียวกัน พระยาศรีสิทธิสงครามถูกยิงเสียชีวิตใกล้กับที่สถานีรถไฟหินลับ จังหวัดสระบุรี โดยหน่วยของว่าที่ร้อยตรีตุ๊ จารุเสถียร จากนั้นร่างของพระยาศรีสิทธิสงครามได้ถูกส่งกลับกรุงเทพมหานคร โดยทำการฌาปนกิจอย่างเร่งด่วนที่วัดอภัยทายาราม หรือวัดมะกอก โดยที่ทางครอบครัวไม่ได้รับรู้มาก่อนเลย และกว่าจะได้อัฐิกลับคืนก็เป็นเวลาล่วงไป 3-4 ปีแล้ว อีกทั้งยังถูกคุกคามต่าง ๆ นานา ตลอดสมัยรัฐบาลหลวงพิบูลสงครามจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง กระทั่งวันที่ 27 มกราคม 2491 ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานคืนยศ บรรดาศักดิ์ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ย้อนหลังให้กับท่าน[9]
ชีวิตครอบครัวของพระยาศรีสิทธิสงคราม สมรสกับคุณหญิงศรีสิทธิสงคราม (ตลับ ท่าราบ - นามสกุลเดิม อ่ำสำราญ) มีบุตรธิดาทั้งหมด 4 คน ได้แก่ นางอัมโภช จุลานนท์ (มารดาของพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์), แพทย์หญิงโชติศรี ท่าราบ, นางอารีพันธ์ ประยูรโภคราช และนายชัยสิทธิ์ ท่าราบ[10][11]
ในปี พ.ศ. 2567 ได้มีการสร้างแอนิเมชันเรื่อง ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยมีตัวละคร พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) พากย์เสียงโดย วันชนะ สวัสดี
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.