Remove ads
ระดับชั้นยศของข้าราชการไทยในสมัยโบราณ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ในฐานันดรศักดิ์ไทย บรรดาศักดิ์ คือ ระดับชั้นหรือยศของข้าราชการไทยในสมัยโบราณ เทียบกับคำภาษาอังกฤษคือ Title
ระบบบรรดาศักดิ์ของขุนนางไทยนี้ ได้ตราออกมาเป็นกฎหมาย เรียกว่า พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน นาทหารหัวเมือง พ.ศ. 1998 ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กษัตริย์ผู้ครองกรุงศรีอยุธยา
บรรดาศักดิ์ของขุนนางไทยมีความแตกต่างกับตะวันตกเนื่องจากระบบที่แตกต่างกัน ขุนนางตะวันตกเป็นขุนนางสืบตระกูล และไม่ใช่ข้าราชการ แม้ว่าขุนนางบางคนรับราชการ แต่ขุนนางไทยเป็นข้าราชการ และตำแหน่งขุนนางผูกพันกับระบบราชการ ส่วนขุนนางตะวันตกนั้น ตำแหน่งขุนนาง ผูกพันกับการถือครองที่ดิน ที่ได้รับพระราชทานไว้แต่เดิม และส่วยสาอากร หรือผลประโยชน์ที่เกิดจากที่ดินนั้น ขุนนางตะวันตก จึงมีส่วนคล้ายกับเจ้าต่างกรม ของไทย ในส่วนของผลประโยชน์ในตำแหน่ง เช่น ส่วย กำลังคน เป็นต้น แต่เจ้าต่างกรมของไทย ก็ไม่ได้สืบตระกูล
ดังนั้น บรรดาศักดิ์ของขุนนางไทยจึงน่าจะเป็นชั้นยศ (Rank) มากกว่าเป็นบรรดาศักดิ์ (Title) ตามหลักการสมัยใหม่
ได้มีการประกาศยกเลิกบรรดาศักดิ์ของไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล[1] ต่อมาประกาศดังกล่าวก็ถูกยกเลิกในเวลาต่อมาเมื่อ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2487[2][3] และต่อมาได้มีพระราชบัญญัติคืนยศ บรรดาศักดิ์ เครื่องราชอิสสริยาภรณ์ และสิทธิในการรับเบี้ยหวัดบำเหน็จและบำนาญ พุทธศักราช 2489 เพื่อนิรโทษกรรมแก่ผู้ต้องโทษทางการเมือง[4] ในสมัยรัฐบาลของควง อภัยวงศ์ได้มีการประกาศใช้บรรดาศักดิ์อีกครั้ง จนถึง พ.ศ. 2491 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ยกเลิกบรรดาศักดิ์ การประกาศให้มีผู้ได้รับบรรดาศักดิ์กลับคืนมีปรากฏในราชกิจจานุเบกษาครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. 2512[5]
บรรดาศักดิ์ของขุนนางไทยจะมี ศักดินา ประกอบกับบรรดาศักดิ์นั้นด้วย ระบบขุนนางไทย ถือว่า ศักดินา สำคัญกว่า บรรดาศักดิ์ เพราะศักดินา จะใช้เป็นตัววัดในการปรับไหม และ พินัย ในกรณีขึ้นศาล[6]: 81 ระหว่างราษฎรด้วยกันยกเว้นคดีความหลวงให้เฆี่ยนโบยตี[7]: 70 เช่น พระไอยการลักษณะวิวาทตีด่ากัน ใน กฎหมายตราสามดวง กล่าวว่า
วิวาท บทที่ 36 ผู้ใดด่าผู้อื่นโดยด่าเฉพาะตัวของผู้นั้น ให้ปรับไหมตามบรรดาศักดิ์ หากได้ด่าถึงตระกูลให้ปรับไหมทวีคูณ[8]
บรรดาศักดิ์ใน พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน นาทหาร หัวเมือง นี้ ค่อนข้างสับสนและไม่เป็นระบบ คล้าย ๆ กับว่า ผู้ออกกฎหมายนึกอยากจะให้บรรดาศักดิ์ใด ศักดินาเท่าไหร่ ก็ใส่ลงไป โดยไม่ได้จัดเป็นระบบแต่อย่างใด (เพิ่มเติมวันที่ 4 มีนาคม 2550 ตามความเห็นไม่คิดว่าจะจัดไม่เป็นระบบแต่อย่างใด แต่เป็นลักษณะอย่าง เช่น เมืองตากเป็นเมืองเล็ก ๆ พระยาตากอาจถือศักดินาสูงสุดอยู่ในเมืองตาก หมายความว่าใหญ่สุดในเมืองตากทั้งศักดินาและบรรดาศักดิ์ แต่อย่างที่บอกไป เมืองตากเป็นเมืองเล็ก เป็นไปได้ว่าอาจมีศักดินาต่ำกว่ายศขุนของอยุธยาซึ่งถือว่าเป็นเมืองใหญ่ก็เป็นได้ ทั้งนี้ควรหาข้อมูลเปรียบเทียบตรงจุดนี้ให้กระจ่าง) ดังนั้น จึงมีขุนนางใน กรมช่างอาสาสิบหมู่ หรือ บางกรม ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา แต่ศักดินาต่ำกว่า 1,000 ซึ่งถือเป็นขุนนางระดับต่ำ
ในสมัยต่อมาได้มีการเพิ่มเติม บรรดาศักดิ์ต่าง ๆ จากทำเนียบพระไอยการนาพลเรือน นายหาร หัวเมือง ขึ้นอีกเป็นอันมาก
ขุนนางของไทยสมัยโบราณ ไม่เหมือนกับขุนนางในประเทศตะวันตก คือ ไม่ได้เป็นขุนนางสืบตระกูล[6]: 82 ผู้ที่ได้ครองบรรดาศักดิ์ก็อยู่ในบรรดาศักดิ์เฉพาะตนเท่านั้น จึงเทียบได้กับข้าราชการ หรือ ระบบชั้นยศของข้าราชการในสมัยปัจจุบัน ที่มีการแบ่งเป็นระดับต่างๆ แต่ขุนนางไทยในสมัยโบราณ จะมีราชทินนาม และ ศักดินา เพิ่มเติมแตกต่างจากข้าราชการในปัจจุบันที่มีเพียงชั้นยศเท่านั้น
บรรดาศักดิ์ จมื่น หรือ พระนาย นั้น เป็นบรรดาศักดิ์ หัวหน้ามหาดเล็ก ในกรมมหาดเล็ก ศักดินา 800-1000 เทียบได้เท่ากับ บรรดาศักดิ์ พระ ที่มีศักดินาใกล้เคียงกัน แต่จมื่นนั้น ได้รับการยกย่องมากกว่า[6]: 82 เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน และมักจะมีอายุยังน้อย อยู่ในระหว่าง 20-30 ปี มักเป็นลูกหลานของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่นำมาถวายตัวรับใช้ใกล้ชิด พระเจ้าแผ่นดิน และเป็นช่องทางเข้ารับราชการต่อไปในอนาคต
"ธรรมเนียมลำดับยศฝ่ายสยาม มีที่สังเกตอยู่ ๓ อย่าง ด้วยหมวกเสื้อและเครื่องนุ่งห่มอย่างหนึ่ง ด้วยคำนำหน้าชื่ออย่างหนึ่ง ด้วยศักดินาคืออำนาจที่จะหวงที่ดินเป็นที่ไร่นาของตัวอย่างหนึ่ง...อนึ่ง ประมาณศักดิ์ที่จะหวงนานั้น จะใช้ได้แต่ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินสยาม ที่จะใช้ทั่วไปเมืองอื่นได้ก็แต่คำนำหน้าชื่อ"[9]: 166
— พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบรมราชาธิบาย เรื่อง แหวนนพเก้า
บรรดาศักดิ์สมัยสุโขทัยคล้ายคลึงกับล้านนา[10]: 103 แต่ไม่ปรากฏว่าใช้บรรดาศักดิ์แบบสมัยอยุธยา บรรดาศักดิ์ขุนนางที่ปรากฏในศิลาจารึก เช่น[11]: 690 [12]: 236–237
หมายเหตุ:
บรรดาศักดิ์ขุนนางในสมัยอยุธยาตอนต้นแบ่งออกเป็น 8 ระดับ ดังนี้[18]
หมายเหตุ:
บรรดาศักดิ์ขุนนางในสมัยอยุธยาตาม พระไอยการนาพลเรือน นาทหาร หัวเมือง พ.ศ. 1998 แบ่งออกเป็น 8 ระดับ[6]: 81 [25]: 651 คือ
หมายเหตุ:
บรรดาศักดิ์ขุนนางสมัยกรุงธนบุรีจนถึงรัตนโกสินทร์ แบ่งออกเป็น 9 ระดับ[26] ดังนี้
หมายเหตุ:
ขุนนางนามเมือง หมายถึง การเรียกชื่อผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตามนามเมืองที่ปกครองแทนการเรียกนามบรรดาศักดิ์ หรือราชทินนามที่ได้รับพระราชทาน[30]: 328 เช่น
เมือง | ราชทินนามเจ้าเมือง | ชื่อขุนนางนามเมือง |
---|---|---|
พิษณุโลก | เจ้าพระยาสุรศรีพิศมาธิราช ฯ | เจ้าพระยาพิษณุโลก |
นครศรีธรรมราช | เจ้าพระยาศรีธรรมโศกราช ฯ | เจ้าพระยานคร, เจ้าพระยานครศรีธรรมราช |
นครราชสีมา | เจ้าพระยากำแหงสงคราม ฯ | เจ้าพระยานครราชสีมา, เจ้าพระยาโคราช |
สงขลา | พระยาวิเชียรคิรี | พระยาสงขลา |
ราชบุรี | พระอมรินฤๅไชย | พระราชบุรี |
การนำบรรดาศักดิ์ขุนนางมาเปรียบเทียบกับตำแหน่งข้าราชการปัจจุบันนั้นไม่สามารถเทียบกันได้ แม้อนุโลมเทียบก็เป็นไปได้ยาก โดยพิจารณาความแตกต่าง ดังนี้
ขอบเขตอำนาจขุนนางสมัยโบราณกับข้าราชการปัจจุบันมีความแตกต่างกัน เช่น การเปรียบเทียบการปกครองเมืองของเจ้าเมืองสมัยอยุธยาถือพระราชอาญาสิทธิ์ เสมือนกษัตริย์ในบ้านเมืองของตนเอง[31]: 39–43 และทำหน้าที่เป็นเมืองกันชน หรือเมืองหน้าด่านระหว่างราชธานี[32]: 38 แม้แต่เจ้าเมืองแต่ละเมืองก็มีความสูงศักดิ์ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับเมืองที่ไปปกครอง[12]: 153 ขณะที่ขอบเขตอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบันมีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น
ข้าราชการมีชั้นยศเท่ากันแต่ฐานันดรศักดิ์ย่อมไม่เท่ากัน เช่น ยศ เจ้าพระยา ในสมัยอยุธยามีการแบ่งฐานันดรศักดิ์เป็น 3 ระดับชั้น[33]: 107 คือ ระดับเอกอุ หรือเอกอุดม (ระดับสูงสุด) ระดับเอกมัธยม หรือเอกมอ (ระดับกลาง) และระดับเอกสามัญ หรือเอกสอ เช่น เจ้าพระยาพิษณุโลกกับเจ้าพระยาจักรีสมุหนายก เป็นเจ้าพระยาระดับเอกอุเท่ากัน[34]: 129 แต่เจ้าพระยานครศรีธรรมราชเป็นเจ้าพระยาระดับเอกสามัญ[33]: 107 แม้จะอนุโลมเทียบยศ เจ้าพระยา เสมอด้วยตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ในระบบปกครองปัจจุบัน[35]: 6 แต่ทำเนียบรายชื่อนายกรัฐมนตรีไทยปัจจุบัน ปรากฏว่ามียศสูงสุดเพียงชั้นพระยาเท่านั้น
บรรดาศักดิ์ข้าราชการสมัยโบราณไม่สำคัญเท่ากับศักดินา[36]: 159 ข้าราชการที่มีศักดินาสูงแต่บรรดาศักดิ์ต่ำกว่าย่อมมีศักดิ์สูงกว่า เช่น บรรดาศักดิ์ชั้นหลวงเจ้ากรม ศักดินา 1800 สูงกว่าชั้นพระยาเจ้ากรม ศักดินา 1000 หรือกรณีศักดินาเท่ากันแต่มีความสูงศักดิ์มากกว่าโดยพิจารณาจากตำแหน่ง เช่น เจ้าพระยามหาอุปราช ศักดินา 10000 แม้เท่าสมุหนายกและสมุหกลาโหม แต่มีศักดิ์สูงกว่า (สมัยรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยามหาอุปราช เปลี่ยนเป็นตำแหน่ง สมเด็จเจ้าพระยา มีศักดินาพิเศษ เกิน 10000 ขึ้นไป)[30]: 323 ในขณะที่ข้าราชการในปัจจุบันไม่มีศักดินาแล้ว
ข้าราชการที่มียศ และศักดินาเท่ากัน แต่มีความสูงศักดิ์ไม่เท่ากันอันเนื่องจากความแตกต่างของยุคสมัยและระบบการปกครอง เช่น สมัยอยุธยาตอนต้น ออกญา หรือพระยา หากเทียบกับสมัยอยุธยาตอนปลายจะเสมอด้วยยศ เจ้าพระยา[19]: 160 แต่ไม่ใช่เสมอยศ พระยา สมัยอยุธยาตอนปลาย หากเทียบเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดีกับเจ้าพระยามหานครผู้ครองหัวเมืองชั้นเอกฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ มีชั้นยศเป็นเป็นรองอัครมหาเสนาบดี และศักดินาเสมอเสนาบดีจตุสดมภ์ แต่ศักดิ์สูงกว่า เสนาบดีจตุสดมภ์[31]: 39–43
สมัยรัตนโกสินทร์ หากเทียบ เจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดีกับเจ้าพระยาเสนาบดีกระทรวง มีเพียงเสนาบดีกระทรวงกลาโหมและเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย 2 กระทรวงนี้เท่านั้นที่เสมอ อัครมหาเสนาบดี ต้องมียศ เจ้าพระยา และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระเจ้าแผ่นดินด้วย[37]: 287
ภายหลังการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ลดอำนาจและบทบาท เสนาบดีกระทรวง และเปลี่ยนคำว่า เสนาบดีกระทรวง เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวง[38]: 307 จึงไม่สามารถเทียบเคียงกันได้
ข้าราชการที่มีชั้นยศ และศักดินาเท่ากัน แต่ความสูงศักดิ์ย่อมไม่เท่ากันเสมอไป โดยพิจารณาจากเครื่องประกอบยศขุนนางและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทาน เช่น ยศเจ้าพระยาในสมัยอยุธยาในทำเนียบ 5 ตำแหน่ง ได้รับพระราชทานเครื่องยศเสมอเจ้าต่างกรม เจ้าพระยาเสนาบดีในสมัยรัตนโกสินทร์ได้รับพระราชทานกล่อกหมาก และหีบหมากเครื่องยศ เทียบเท่าเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ (ป.จ.ว.) และปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) เสมอด้วยเจ้าต่างกรมผู้ใหญ่ และเจ้าพระยาเสนาบดี[39]: 183 แต่ข้าราชการปัจจุบันไม่ได้รับพระราชทานเครื่องยศทุกตำแหน่งเสมอไป
ตำแหน่งข้าราชการบางชั้นยศเป็นตำแหน่งเฉพาะ เช่น เจ้าหมื่น (พระนาย) กรมมหาดเล็ก มียศสูงกว่าพระแต่ต่ำกว่าพระยา[40]: 134 ไม่เหมือนบรรดาศักดิ์ข้าราชการทั่วไป
แลถึงแม้ฃ้าราชการในพระราชสำนักนิ์จะมิได้เปนขุนนางในตำแหน่งนั้นใน พระราชสำนักนิ์ ตำแหน่งเหล่านั้นก็ต้องว่างเปล่าอยู่ ไม่ใช่ว่าผู้อื่นจะมาเปนได้...ตามประเพณีโบราณฃ้าราชการในพระราชฐานกับฃ้าราชการนอกเขาไม่ได้เคยเปรียบเทียบฤๅคิดแช่งขันกัน ตำแหน่งยศจึ่งมีชื่อเรียกแปลกๆ[40]: 134
ข้าราชการกรมมนตรีทั้ง ๖[41]: 47 ประกอบด้วย กรมธรรมการ กรมพระคชบาล กรมภูษามาลา กรมพราหมณ์หลวง กรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมพระอาลักษณ์ ซึ่งเป็นกรมขึ้นตรงต่อพระเจ้าแผ่นดินและอยู่นอกเขตอำนาจของจตุสดมภ์และสมุหนายก แม้มียศและศักดินาต่ำกว่าแต่มีศักดิ์น่าเกรงขามกว่าหน่วยงานราชการอื่นเนื่องจากมีความใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินมากกว่า
การเรียกผู้มีบรรดาศักดิ์ด้วยคำลำลอง คือ คำที่สามัญชน หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ใช้เรียกขานผู้มีบรรดาศักดิ์อย่างไม่เป็นทางการ มีดังนี้
บรรดาศักดิ์ | คำลำลอง |
---|---|
สมเด็จเจ้าพระยา | ท่านเจ้าคุณ, สมเด็จเจ้าคุณ, เจ้าคุณสมเด็จ, เจ้าคุณใหญ่[42] |
เจ้าพระยา | ท่านเจ้าคุณ, เจ้าคุณ (ใหญ่)[43] |
พระยา | เจ้าคุณ (เล็ก), คุณพระยา[44] |
ท้าวนาง | เจ้าคุณ, คุณท้าว[45] |
เจ้าหมื่น, จมื่น (มหาดเล็ก) | คุณพระนาย, พระนาย[46] |
พระ | คุณพระ[44] |
หลวง | คุณหลวง[44] |
ขุน | ท่านขุน[44] |
หมื่น | ท่านหมื่น[47] |
มหาดเล็กชั้นนายรองหุ้มแพร | ท่านรอง, คุณรอง, นายรอง (บางครั้งเรียกว่า ท่านขุน)[44] |
หลักการใช้คำกริยา ตาย สำหรับขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์ตาม ประกาศให้ใช้คำต่อแลคำตาย[48]: 351 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และคำอธิบายของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล[49]: 3 ดังนี้
คำ | ประเภท | ใช้กับ |
---|---|---|
ถึงพิราลัย, ถึงแก่พิราลัย | คำราชาศัพท์ | เจ้าประเทศราช, สมเด็จเจ้าพระยา, เจ้าคุณราชินิกุล (ราชสกุลฝ่ายพระราชินี)[49]: 3 |
ถึงอสัญกรรม, ถึงแก่อสัญกรรม | คำราชาศัพท์ | เจ้าพระยา นา ๑๐๐๐๐, เจ้าพระยาหรือเทียบเท่า, ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้า |
ถึงอนิจกรรม, ถึงแก่อนิจกรรม | คำราชาศัพท์ | พระยา, พระยาพานทอง[50]: 218 , ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประถมาภรณ์มงกุฎไทย[51]: 128 และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้าขึ้นไป[52]: 122 |
ถึงแก่กรรม | - | พระ, หลวง, ขุน, หมื่น, พัน, มหาดเล็กหลวง, จางวาง, นายเวร, ปลัดเวร |
ตาย | - | ผู้ไม่มีบรรดาศักดิ์ เช่น ไพร่หลวง ไพร่สม |
หมายเหตุ
ตัวอย่างอัตราค่าปรับไหมของขุนนางตามพระราชกำหนดกฎหมายเก่าศักราชกฎหมาย ๑๓๗๕ ตรงกับ พ.ศ. 2298 รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กำหนดไว้ดังนี้[54]: 106
บรรดาศักดิ์ | ศักดินา | อัตราเงินค่าปรับไหม |
---|---|---|
เจ้าพระยา | 10000 เอกอุ (ระดับสูงสุด) | 30 ชั่ง |
เจ้าพระยา | 10000 เอกมอ (มัธยมหรือระดับกลาง) | 30 ชั่ง |
พระยา | 10000 เอกสอ (ระดับสามัญ) | 20 ชั่ง |
พระ, หลวง | 5000 | 15 ชั่ง |
พระ, หลวง | 3000 | 12 ชั่ง |
พระ, หลวง (หัวเมือง) | 1700 – 2000 | 10 ชั่ง |
ขุน | 1200 – 1600 | 8 ชั่ง |
ขุน, หมื่น | 600, 800, 1000 | 6 ชั่ง |
- | 400 – 500 | 4 ชั่ง |
หมายเหตุ
บรรดาศักดิ์ สมเด็จเจ้าพระยา นั้น เพิ่งมามีครั้งแรกในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อมาในรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ได้สถาปนาขึ้นอีก 3 ท่าน หลังจากนั้น ก็ไม่มีผู้ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยาอีก สมเด็จเจ้าพระยาจึงมีเพียง 4 ท่าน คือ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการติดต่อกับประเทศตะวันตก ฝรั่งเทียบให้บรรดาศักดิ์ "สมเด็จเจ้าพระยา" เทียบเท่ากับ ขุนนางตะวันตกชั้น "Grand Duke" โดยหนังสือที่มีถึงสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) นั้นเรียกท่านว่า "แกรนด์ดยุก"
สมเด็จเจ้าพระยาในสมัยรัตนโกสินทร์มีศักดินา 30,000ไร่ เกือบเสมอกับ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยา ซึ่งทรงศักดินา 35,000 ไร่ จะได้รับพระราชทาน เครื่องประกอบอิสริยยศทำจาก ทองคำลงยาราชาวดี เสมอพระองค์เจ้าทรงกรม มีพระกลดกางกั้น มีพระแสงราชอาญาสิทธิ์ หากวายชนม์ ก็ให้ใช้คำว่า "ถึงแก่พิราลัย"
บรรดาศักดิ์ชั้นเจ้าพระยาเป็นบรรดาศักดิ์ขุนนางที่สูงที่สุดตามทำเนียบ พระไอยการนาพลเรือน[56]: 124 และทำเนียบ พระไอยการศักดินาทหารหัวเมือง[56]: 171 อนึ่งบรรดาศักดิ์ เจ้าพระยาชั้นเอก ยังแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ เจ้าพระยาชั้นเอกอุ (เอกอุดม) เจ้าพระยาชั้นเอกมอ (เอกมัธยม) และเจ้าพระยาชั้นเอกสอ (เอกสามัญ) ศักดินา 10000 เท่ากันทุกชั้น เจ้าพระยาจักรีสมุหนายกกับเจ้าพระยาสุรศรีเจ้าเมืองพิษณุโลกเป็นเจ้าพระยาชั้นเอกอุ (เอกอุดม) เท่ากัน[57]: 129:เชิงอรรถ ๑ ส่วนเจ้าพระยาศรีธรรมราช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเจ้าพระยาชั้นเอกสอ (เอกสามัญ)[58]: 107
บรรดาศักดิ์ชั้นเจ้าพระยาในสมัยอยุธยา มีเพียง 5 ตำแหน่ง ได้แก่
หมายเหตุ ตำแหน่งเจ้าพระยามหาอุปราชเห็นว่าจะตั้งขึ้นเพื่อพรางตำแหน่งเจ้าเสนาบดี ตอนหลังให้เลิกตามให้พระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล องค์รัชทายาทกระทำหน้าที่แทน ให้ทรงศักดินา ๑๐๐๐๐๐ เสมอสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ตำแหน่งเจ้าพระยามหาอุปราชจึงว่างไม่มีผู้ใดดำรงตำแหน่งนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1952 เป็นเพียงตำแหน่งที่มีในทำเนียบไว้เท่านั้น[57]: 85
หมายเหตุ เจ้าต่างกรมให้ศักดินาสูงกว่า 10000
ส่วน บรรดาศักดิ์ พระยา นั้น เป็นบรรดาศักดิ์ สำหรับขุนนางระดับสูง หัวหน้ากรมต่างๆ เจ้าเมืองชั้นโท และแม่ทัพสำคัญ ในพระไอยการฯ มีเพียง 33 ตำแหน่ง ดังนั้น จึงมีประเพณี พระราชทานเครื่องยศ (โปรดดูเรื่อง เครื่องราชอิสริยยศไทย) ประกอบกับบรรดาศักดิ์ด้วย โดย พระยาที่มีศักดินามากกว่า 5,000 จะได้รับพระราชทานพานทอง ประกอบเป็นเครื่องยศ จึงเรียกกันว่า พระยาพานทอง ซึ่งถือเป็นขุนนางระดับสูง ส่วนพระยาที่มีศักดินาต่ำกว่านี้ จะไม่ได้รับพระราชทานพานทอง (ปัจจุบันผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้น ทุติยจุลจอมเกล้า และ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ถือว่ามียศศักดิ์เทียบเท่ากับ พระยาพานทอง)
ในเรื่องนี้ จึงมีประเด็นความเชื่อ โดยบุตรขุนนางที่เกิดใหม่ บิดามักเอาพานทองไปรองรับทารกที่เกิดใหม่นั้น พร้อมอธิษฐานว่า ขอให้บุตรของตนมีวาสนาได้เป็นพระยาพานทองในอนาคต
ขุนนางที่มีศักดินา 10,000 ที่ถือว่าเป็นขุนนางระดับสูงนั้น นอกจาก เจ้าพระยา ทั้งห้าตำแหน่งนั้นแล้ว ในทำเนียบพระไอยการฯ ยังมีอีก 16 ตำแหน่ง แต่มีบรรดาศักดิ์ระดับต่ำกว่าเจ้าพระยา คือ
ขุนนางที่มีศักดินา 5,000 ตามพระไอยการฯ ซึ่งถือว่าเป็นขุนนางระดับสูง รองลงมาจากขุนนางศักดินา 10,000 มี 21 ตำแหน่ง ดังต่อไปนี้
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.