Loading AI tools
ความขัดแย้งทางทหารที่กำลังดำเนินอยู่ในยุโรปตะวันออกตั้งแต่ ค.ศ. 2022 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เป็นการยกระดับความรุนแรงของสงครามรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ พ.ศ. 2557 การรุกรานทำให้เกิดวิกฤตผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดของยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง[10][11] โดยมีชาวยูเครน 6.9 ล้านคนเดินทางออกนอกประเทศ[12] และหนึ่งในสามกลายเป็นประชากรพลัดถิ่น[13][14] ขณะเดียวกันรัสเซียเผชิญกับการอพยพออกนอกประเทศครั้งใหญ่สุดนับแต่การปฏิวัติเดือนตุลาคมในปี 2460[15] และยังทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารทั่วโลก[16][17]
เนื้อหาในบทความนี้ล้าสมัย โปรดปรับปรุงข้อมูลให้เป็นไปตามเหตุการณ์ปัจจุบันหรือล่าสุด ดูหน้าอภิปรายประกอบ |
การรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย พ.ศ. 2565 | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามรัสเซีย-ยูเครน | |||||||
สถานการณ์ทางทหาร ณ วันที่ 24 กันยายน ควบคุมโดยยูเครน ครอบครองโดยรัสเซีย | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
ยูเครน | |||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
หน่วยที่เกี่ยวข้อง | |||||||
การจัดขบวนรบ | การจัดขบวนรบ | ||||||
กำลัง | |||||||
| |||||||
การประมาณกำลัง ณ ช่วงเริ่มต้นของการรุกราน | |||||||
ความสูญเสีย | |||||||
จำนวนที่รายงานมีหลากหลายมาก ดูรายละเอียดที่ การบาดเจ็บล้มตายและผลกระทบด้านมนุษยธรรม |
ในช่วงเริ่มต้นของสงครามรัสเซีย-ยูเครนใน พ.ศ. 2557 รัสเซียได้ผนวกดินแดนไครเมีย และกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียเข้ายึดพื้นที่บางส่วนของภูมิภาคดอนบัส ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครน ทำให้เกิดสงครามระดับภูมิภาคที่นั่น[18][19] ใน พ.ศ. 2564 รัสเซียได้เริ่มต้นสร้างกองทัพขนาดใหญ่ตามแนวชายแดนที่มีพรมแดนติดกับยูเครน ซึ่งรวบรวมทหารได้ถึง 190,000 นาย พร้อมกับยุทโธปกรณ์ ในการออกอากาศก่อนการรุกรานไม่นาน วลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้สนับสนุนการเรียกร้องดินแดนคืน,[20] ตั้งคำถามเกี่ยวกับสิทธิในการมีสถานะเป็นมลรัฐของยูเครน[21][22] และกล่าวหาอย่างผิด ๆ [23] ว่ายูเครนถูกปกครองโดยนีโอนาซีซึ่งข่มเหงชนกลุ่มน้อยชาวรัสเซีย[24][25] ปูตินยังกล่าวอีกว่าองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (เนโท) เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัสเซีย โดยการขยายไปทางตะวันออกตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษ 2543 ซึ่งเนโทโต้แย้ง[26] รัสเซียเรียกร้องให้เนโทยุติการขยายตัวและกีดกันยูเครนจากการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรอย่างถาวร[27] สหรัฐและประเทศอื่น ๆ กล่าวหาว่ารัสเซียวางแผนโจมตีหรือรุกรานยูเครน ซึ่งเจ้าหน้าที่รัสเซียปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565[31]
ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 รัสเซียได้รับรองสาธารณรัฐประชาชนดอแนตสก์และสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์ซึ่งเป็นสองรัฐที่ประกาศตนเองในดอนบัสที่ควบคุมโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซีย[32] วันรุ่งขึ้น สภาสหพันธรัฐรัสเซียอนุญาตให้ใช้กำลังทหารในต่างประเทศ และกองทหารรัสเซียได้เข้าไปยังดินแดนทั้งสองอย่างเปิดเผย[33] การรุกรานเริ่มขึ้นในเช้าวันที่ 24 กุมภาพันธ์[34] เมื่อปูตินประกาศ "ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ" เพื่อ "ลบล้างอิทธิพลของนาซีออกจาก" ยูเครน[35][36] ไม่กี่นาทีต่อมา ขีปนาวุธและการโจมตีทางอากาศได้โจมตีทั่วยูเครน รวมทั้งเคียฟ เมืองหลวง ตามมาด้วยการโจมตีภาคพื้นดินขนาดใหญ่จากหลายทิศทาง[37][38] วอลอดือมือร์ แซแลนสกึย ประธานาธิบดียูเครน ตอบสนองโดยการประกาศใช้กฎอัยการศึกและการระดมพลทั่วไปของพลเมืองยูเครนชายทั้งหมดที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 60 ปี ซึ่งถูกห้ามไม่ให้ออกนอกประเทศ[39][40]
ในช่วงแรกของการรุกราน การโจมตีของรัสเซียได้เริ่มต้นขึ้นที่แนวรบด้านเหนือจากเบลารุสไปยังเคียฟ, แนวรบด้านตะวันออกเฉียงเหนือไปที่คาร์กิว, แนวรบด้านใต้จากไครเมีย และแนวรบด้านตะวันออกเฉียงใต้จากเมืองลูฮันสก์และดอแนตสก์[41][42] ช่วงเดือนมีนาคม การรุกของรัสเซียไปยังเคียฟหยุดชะงัก ท่ามกลางความสูญเสียและการต่อต้านอย่างแข็งแกร่งของยูเครน กองทหารรัสเซียก็ถอยทัพจากแคว้นเคียฟ ภายในวันที่ 3 เมษายน เมื่อวันที่ 8 เมษายน รัสเซียประกาศว่ากำลังของตนในยูเครนตอนใต้และตะวันออกจะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลอะเลคซันดร์ ดวอร์นีคอฟ และหน่วยบางหน่วยที่ถอนตัวออกจากยูเครนตอนเหนือก็ถูกส่งไปยังดอนบัสอีกครั้ง[43] เมื่อวันที่ 19 เมษายน รัสเซียได้เริ่มการโจมตีครั้งใหม่ในบริเวณแนวรบยาว 500 กิโลเมตร ซึ่งทอดยาวจากคาร์กิวไปยังดอแนตสก์และลูฮันสก์ ด้วยการโจมตีด้วยขีปนาวุธพร้อมกันที่มุ่งเป้าไปที่ทางตอนเหนือของเคียฟและเมืองลวิวในทางตะวันตกของยูเครน[44] เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม กองกำลังรัสเซียที่อยู่ใกล้เมืองคาร์กิวได้ถอนกำลังออกหลังจากการโจมตีตอบโต้ของยูเครน เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม มารีอูปอลถูกกองทหารรัสเซียยึดหลังจากการล้อมโรงงานเหล็กอาซอว์สตัลเป็นเวลานาน[45][46] วันที่ 19 เมษายน รัสเซียเปิดฉากการโจมตีรอบใหม่ในภูมิภาคดอนบัส โดยแคว้นลูฮันสก์ถูกยึดทั้งหมดในวันที่ 3 กรกฎาคม[47] กองกำลังรัสเซียยังคงทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายทางทหารและพลเรือนที่อยู่ห่างจากแนวหน้า[48][49] กองกำลังรัสเซียเปิดฉากการรุกโต้ตอบในภาคใต้เมื่อเดือนสิงหาคม และในภาคตะวันออกในเดือนกันยายน
การรุกรานได้รับการประณามอย่างกว้างขวางจากนานาชาติว่าเป็นการกระทำที่ก้าวร้าว[50][51] สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้มีมติที่เรียกร้องให้รัสเซียถอนกำลังทั้งหมด ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศสั่งให้รัสเซียระงับปฏิบัติการทางทหารและสภายุโรปขับไล่รัสเซีย หลายประเทศกำหนดมาตรการคว่ำบาตรใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของรัสเซียและทั่วโลก[52] และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการทหารแก่ยูเครน[53] การประท้วงเกิดขึ้นทั่วโลก; ผู้ที่อยู่ในรัสเซียถูกจับกุมเป็นจำนวนมากและมีการเซ็นเซอร์สื่อ,[54][55] รวมถึงการห้ามใช้คำว่า "สงคราม" และ "การรุกราน"[38] บริษัทหลายแห่งถอนผลิตภัณฑ์และบริการของตนออกจากรัสเซียและเบลารุส และสื่อที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐของรัสเซียถูกห้ามไม่ให้ออกอากาศและนำออกจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ศาลอาญาระหว่างประเทศเปิดการสอบสวนอาชญากรรมสงครามที่เกิดขึ้นในยูเครนตั้งแต่การปฏิวัติศักดิ์ศรีใน พ.ศ. 2556–2557 ไปจนถึงอาชญากรรมสงครามในการรุกราน พ.ศ. 2565[56]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อปี 2534 ยูเครนและรัสเซียก็ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดต่อกัน โดยยูเครนยินยอมที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์ในประเทศและยอมรับรายงานกรุงบูดาเปสต์เรื่องการประกันความมั่นคง[57] ภายใต้เงื่อนไขว่ารัสเซีย สหรัฐ และสหราชอาณาจักรจะต้องไม่ใช้กำลังเพื่อละเมิดดินแดนหรืออธิปไตยของยูเครน[58][59] ในปี 2542 รัสเซียเป็นผู้ลงนามกฎบัตรความมั่นคงยุโรป ซึ่งยืนยันว่าชาติยุโรปมีอิสระในการเลือกหรือเปลี่ยนการจัดการด้านความมั่นคงของตนเองได้[60] ประเทศยุโรปตะวันออกรวม 14 ประเทศเข้าร่วมกับเนโทซึ่งมีเหตุผลบางส่วนมาจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงส่วนภูมิภาคจากรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตรัฐธรรมนูญรัสเซียปี 2536 สงครามในอับฮาเซียหรือสงครามเชเชนครั้งที่ 1 ผู้นำรัสเซียอ้างว่าการรับสมาชิกเพิ่มของเนโทเป็นการละเมิดการรับประกันอย่างไม่เป็นทางการว่าเนโทจะไม่ขยายตัวมาทางตะวันออก[27][61]
ต่อมาใน พ.ศ. 2551 วลาดีมีร์ ปูติน ออกมาเรียกร้องต่อต้านไม่ให้ยูเครนเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือเนโท[62][63] เหตุการณ์นี้ทำให้มีนักวิเคราะห์มองว่า รัสเซียต้องการที่จะฟื้นฟูลัทธิเบรจเนฟ ซึ่งจำกัดอธิปไตยของยูเครนไว้ไม่ให้เหนือกว่าชาติอื่น ๆ ในกลุ่มกติกาสัญญาวอร์ซอ เมื่อครั้งที่ยูเครนยังอยู่ใต้อำนาจของสหภาพโซเวียต[64]
ในปี 2556 เกิดการประท้วงยูโรไมดาน ทำให้วิกตอร์ ยานูกอวึช ประธานาธิบดีของยูเครนในขณะนั้น เซ็นสัญญากับฝ่ายค้าน เพื่อจัดเลือกตั้งใหม่ ยานูกอวึชหลบหนีออกจากกรุงเคียฟก่อนที่จะถูกถอดถอนเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557[65][66][67] แต่ยังคงมีผู้นำจากบริเวณยูเครนตะวันออกที่ให้ความเคารพในตัวเขาอยู่[68] ทำให้เกิดความขัดแย้งนิยมรัสเซีย[69] ตามมาด้วยการผนวกไครเมียของประเทศรัสเซีย และนำไปสู่การจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนดอแนตสก์และลูฮันสก์ที่บริเวณดอนบัส[70][71]
นับตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 รัสเซียเริ่มเสริมกำลังทหารครั้งใหญ่ใกล้กับพรมแดนรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งตามมาด้วยการเสริมกำลังทหารครั้งที่สองระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ทั้งในรัสเซียและเบลารุส[73] ระหว่างการเสริมกำลังเหล่านี้ รัฐบาลรัสเซียได้ออกมาปฏิเสธหลายครั้งว่ามีแผนที่จะรุกรานหรือโจมตียูเครน[29][74] บรรดาผู้ที่ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าวรวมถึงดมีตรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาล ในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564, เซียร์เกย์ เรียบคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564,[28] อะนาโตลี อันโตนอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐ ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565[29] และ อะเลคซันดร์ ซเมเยฟสกี เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำเช็กเกีย ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565[30]
นีโคไล ปาตรูเชฟ หัวหน้าที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีปูติน[75] ซึ่งเชื่อว่าฝ่ายตะวันตกทำสงครามกับรัสเซียมาเป็นเวลาหลายปีโดยที่ไม่ได้ประกาศสงคราม[76] เป็นบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับปรับปรุงของรัสเซียซึ่งได้รับการเผยแพร่ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2564 โดยได้ระบุไว้ว่า รัสเซียอาจใช้ "วิธีการขั้นรุนแรง" เพื่อ "ขัดขวางหรือป้องกันการกระทำที่ไม่เป็นมิตรที่คุกคามอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนสหพันธรัฐรัสเซีย"[77][78]
ในช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 หลังจากที่รัสเซียออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าว สหรัฐได้เผยแพร่ข่าวกรองเกี่ยวกับแผนการรุกรานของรัสเซีย ซึ่งรวมไปถึงภาพถ่ายทางดาวเทียมที่แสดงถึงกองกำลังและยุทโธปกรณ์ของรัสเซียที่อยู่ใกล้กับพรมแดนรัสเซีย–ยูเครน[79] หน่วยข่าวกรองรายงานว่ามีการจัดทำรายชื่อสถานที่และบุคคลสำคัญที่จะถูกสังหารหรือถูกตัดรอนกำลังเมื่อมีการรุกราน[80] สหรัฐยังคงเผยแพร่รายงานที่คาดการณ์ถึงแผนการรุกรานยูเครนได้อย่างถูกต้องแม่นยำ[80]
กองทัพรัสเซียมีความพยายามที่จะเข้ายึดครองเมืองเคียฟ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของยูเครน โดยการเคลื่อนทัพหลักเข้ามาจากทางประเทศเบลารุส บุกเข้ามาตามฝั่งตะวันตกของแม่น้ำนีเปอร์เพื่อเข้าปิดล้อมเคียฟ โดยมีทัพย่อยอีกสองทัพเคลื่อนเข้ามาจากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำนีเปอร์เพื่อให้การสนับสนุน ได้แก่ กองทัพที่เมืองแชร์นีฮิวและกองทัพที่เมืองซูมือ เคลื่อนเข้ามาเพื่อช่วยปิดล้อมเคียฟจากฝั่งตะวันออก[81][82]
ในวันแรกที่รัสเซียเริ่มรุกรานยูเครน รัสเซียสามารถยึดครองเชอร์โนบิลและปรือปิยัจซึ่งเป็นเมืองร้างได้สำเร็จ[83][84] การเคลื่อนทัพของรัสเซียชะลอลงที่เมืองอีวันกิว ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณชานเมืองเคียฟ รัสเซียพยายามที่จะยึดครองเคียฟให้ได้ในเวลาอันสั้น โดยทำการโจมตีสนามบินสองแห่งใกล้เคียฟ และส่งหน่วยรบพิเศษสเปซนาซเข้าไปแทรกซึมเคียฟ แต่ความพยายามดังกล่าวล้มเหลว[85] นอกจากนี้ รัสเซียยังพยายามที่จะลอบสังหารประธานาธิบดียูเครนด้วย โดยส่งกองกำลังทหารรับจ้างและทหารจากเชชเนียเข้าไปปฏิบัติการ แต่ความพยายามดังกล่าวก็ล้มเหลวเช่นกัน โดยยูเครนอ้างว่ามีเจ้าหน้าที่ในหน่วยข่าวกรองของรัสเซียคอยให้ข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการดังกล่าว ทำให้ยูเครนสามารถขัดขวางแผนการได้สำเร็จ[86]
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 กองทัพรัสเซียสามารถเคลื่อนเข้าแคว้นแชร์นีฮิวที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครนและปิดล้อมเมืองแชร์นีฮิวได้สำเร็จ ในวันถัดมา รัสเซียได้บุกเข้าเมืองกอนอตอป และสามารถยึดครองเมืองได้สำเร็จ[87][88]
ในวันเดียวกัน มีการเคลื่อนทัพเข้าแคว้นซูมือ และหน่วยรบของรัสเซียได้เข้าโจมตีเมืองซูมือ ซึ่งอยู่ห่างจากพรมแดนรัสเซีย–ยูเครนแค่ 35 กิโลเมตร แต่การเคลื่อนทัพของรัสเซียในบริเวณนี้ก็หยุดลงเนื่องจากเกิดการสู้รบอย่างหนักในเมืองซูมือ แหล่งข่าวในประเทศยูเครนอ้างว่า ยานหุ้มเกราะของรัสเซียถูกทำลายมากกว่าหนึ่งร้อยคัน และมีทหารนับสิบนายถูกจับได้สำเร็จ[89] ในวันเดียวกัน มีรายงานว่าเมืองออคตือร์กาก็ถูกโจมตีเช่นกัน และมีรายงานว่ากองทัพรัสเซียมีการใช้ระเบิดสุญญากาศเพื่อโจมตีเมือง[90]
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม นายเฟรเดอริก เคแกน นักวิชาการชาวอเมริกัน เขียนวิเคราะห์สถานการณ์ในยูเครนว่า การรุกรานยูเครนของรัสเซียที่เมืองซูมือ “ถือเป็นการรุกรานที่ประสบความสำเร็จและอันตรายมากที่สุดในความพยายามที่จะรุกรานเคียฟ” นายเฟรเดอริกยังให้ความเห็นว่า สภาพทางภูมิศาสตร์ของบริเวณนั้นทำให้กองทัพรัสเซียได้เปรียบ เพราะเป็นพื้นที่โล่ง เรียบ และมีประชากรไม่หนาแน่น กองทัพรัสเซียจึงสามารถเคลื่อนอาวุธและเครื่องจักรกลได้ง่าย ส่วนฝ่ายยูเครนจะหาตำแหน่งป้องกันการรุกรานได้ยาก[91]
ที่ภาคตะวันออกของยูเครน กองทัพรัสเซียพยายามเข้ายึดครองเมืองคาร์กิว ซึ่งอยู่ห่างจากพรมแดนแค่ 35 กิโลเมตร[92][93] ในระหว่างการสู้รบ รถถังของรัสเซียต้องเจอกับการต่อต้านอย่างหนักจากยูเครน และเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ กองทัพรัสเซียก็ทำการยิงขีปนาวุธใส่เมืองคาร์กิว ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน ที่ปรึกษาของประธานาธิบดียูเครนเรียกยุทธการครั้งนี้ว่า “สตาลินกราดแห่งศตวรรษที่ 21”[94]
เช้าวันที่ 25 กุมภาพันธ์ กองทัพรัสเซียทำการเคลื่อนทัพเข้ามาจากสาธารณรัฐประชาชนดอแนตสก์เพื่อเข้าโจมตีเมืองมารีอูปอล แต่เกิดการปะทะกับกองทัพยูเครนที่หมู่บ้านปาฟโลปีล ทำให้กองทัพรัสเซียพ่ายแพ้ไป[95][96][97] ในคืนวันนั้น กองทัพเรือของรัสเซียทำการโจมตีชายฝั่งทะเลอะซอฟ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองมารีอูปอลไปทางตะวันตกประมาณ 70 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ระบุว่า กองทัพรัสเซียอาจทำการเคลื่อนพลนับพันคนขึ้นบกที่ชายฝั่งดังกล่าว[98][99][100] ต่อมาในวันที่ 1 มีนาคม ผู้นำของสาธารณรัฐประชาชนดอแนตสก์ ระบุว่ากองทัพของดอแนตสก์สามารถล้อมเมืองวอลนอวาคาได้สำเร็จ ในวันที่ 2 มีนาคม กองทัพรัสเซียถูกผลักดันออกจากเมืองซีวีโรดอแนตสก์ หลังเกิดการปะทะกันที่เมืองดังกล่าว[101]
จนถึงวันที่ 18 มีนาคม เมืองมารีอูปอลก็ถูกปิดล้อมอย่างสมบูรณ์ เกิดการสู้รบที่ใจกลางเมือง ทำให้ประชาชนอพยพออกจากเมืองได้ยากขึ้น[102] ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม โรงเรียนศิลปะแห่งหนึ่งในเมืองมารีอูปอลซึ่งเป็นที่หลบภัยของผู้คนราว 400 คนก็ถูกวางระเบิดโดยรัสเซีย[103] ในวันเดียวกัน กองทัพรัสเซียก็ทำการปิดล้อมและโจมตีเมืองต่อไป โดยกองทัพรัสเซียต้องการให้มีการยอมแพ้อย่างสมบูรณ์ แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลของยูเครนไม่ยอม[41][104]
การบุกยึดครองแคว้นคูสต์ สิงหาคม 2567
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ (สิงหาคม 2024) |
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ กองกำลังรัสเซียได้โจมตีฐานทัพอากาศชูฮูย[105] ซึ่งเป็นที่จัดเก็บอากาศยานไร้คนขับของยูเครน การโจมตีครั้งนี้สร้างความเสียหายให้กับแหล่งจัดเก็บเชื้อเพลิงและโครงสร้างพื้นฐานของฐานทัพ[106] วันรุ่งขึ้น ฐานทัพอากาศมิลเลอร์โรโวในประเทศรัสเซียถูกกองกำลังทหารยูเครนโจมตีโดยใช้ขีปนาวุธ OTR-21 ทอชกา เจ้าหน้าที่ยูเครนระบุว่าขีปนาวุธทำลายเครื่องบิน ของกองทัพอากาศรัสเซียไปหลายลำ และทำให้เกิดเพลิงไหม้[107] [108] เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ มีรายงานว่ารัสเซียใช้ระบบขีปนาวุธ 9K720 อิสคานเดอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศเบลารุส เพื่อโจมตีท่าอากาศยานจีโทมือร์ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานพลเรือน[109] ระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนหลายแห่งถูกทำลายหรือเสียหายในวันแรกของการรุกรานโดยการโจมตีทางอากาศของรัสเซีย[110]
รายละเอียด | จำนวน | ช่วงเวลา | แหล่งข้อมูล |
---|---|---|---|
พลเรือน | 24,332+ เสียชีวิต (โดยประมาณ)[lower-alpha 4] 2,500–2,700 เสียชีวิต (รายงาน)[111][112] |
24 กุมภาพันธ์ – 23 เมษายน 2022 24 กุมภาพันธ์ – 18 เมษายน 2022 |
รัฐบาลยูเครน |
2,435+ เสียชีวิต, 2,946+ บาดเจ็บ | 24 กุมภาพันธ์ – 21 เมษายน พ.ศ. 2565 | สหประชาชาติ[112] | |
1,252 กุมขัง | 21 กันยายน – 25 กันยายน พ.ศ. 2565 | เดอะนิวยอร์กไทมส์[113] | |
กองทัพยูเครน (กองทัพยูเครน, กองกำลังป้องกันประเทศยูเครน) |
2,500–3,000 เสียชีวิต, 10,000 บาดเจ็บ | 24 กุมภาพันธ์ – 15 เมษายน พ.ศ. 2565 | รัฐบาลยูเครน[114] |
2,000–4,000 เสียชีวิต | 24 กุมภาพันธ์ – 9 มีนาคม พ.ศ. 2565 | ประมาณการโดยสหรัฐ[115] | |
23,367 เสียชีวิต | 24 กุมภาพันธ์ – 16 เมษายน พ.ศ. 2565 | รัฐบาลรัสเซีย[116] | |
กองทัพรัสเซีย | 1,351 เสียชีวิต, 3,825 บาดเจ็บ[lower-alpha 5] | 24 กุมภาพันธ์ – 25 มีนาคม พ.ศ. 2565 | รัฐบาลรัสเซีย[124] |
กองทัพสาธารณรัฐประชาชนดอแนตสก์ | 1,188 เสียชีวิต, 4,956 บาดเจ็บ | 26 กุมภาพันธ์ – 14 เมษายน พ.ศ. 2565 | สาธารณรัฐประชาชนดอแนตสก์[lower-alpha 6] |
กองทัพสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์ | 500–600 เสียชีวิต | 24 กุมภาพันธ์ – 5 เมษายน พ.ศ. 2565 | รัฐบาลรัสเซีย[lower-alpha 7] |
กองกำลังรัสเซียและพันธมิตร (กองทัพรัสเซีย, กองกำลังป้องกันประเทศรัสเซีย, กลุ่มแวกเนอร์, ดอแนตสก์กับลูฮันสก์) |
30,000–40,000 ผู้บาดเจ็บ[lower-alpha 8] | 24 กุมภาพันธ์ – 23 มีนาคม พ.ศ. 2565 | ประมาณการโดยเนโท[129] |
10,000+ เสียชีวิต | 24 กุมภาพันธ์ – 30 มีนาคม พ.ศ. 2565 | ประมาณการโดยสหรัฐ[130] | |
21,000 สูญหาย | 24 กุมภาพันธ์ – 21 เมษายน พ.ศ. 2565 | รัฐบาลยูเครน[131] |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.