Loading AI tools
การแข่งขันฟุตบอล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อีเอฟแอลคัพ 2024 นัดชิงชนะเลิศ เป็นการแข่งขันฟุตบอลของ อีเอฟแอลคัพ ฤดูกาล 2023–24 ระหว่าง เชลซี และลิเวอร์พูล ที่ สนามกีฬาเวมบลีย์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กำหนดแข่งขันในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024[4]
สนามกีฬาเวมบลีย์ จะเป็นเจ้าภาพนัดนี้ | |||||||
รายการ | อีเอฟแอลคัพ ฤดูกาล 2023–24 | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
| |||||||
หลังต่อเวลาพิเศษ | |||||||
วันที่ | 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 | ||||||
สนาม | สนามกีฬาเวมบลีย์, เวมบลีย์ | ||||||
ผู้เล่นยอดเยี่ยม ประจำนัด | เฟอร์จิล ฟัน ไดก์ (ลิเวอร์พูล)[1] | ||||||
ผู้ตัดสิน | คริส คาวานาฟ (แมนเชสเตอร์)[2] | ||||||
ผู้ชม | 88,868 คน[3] | ||||||
ลิเวอร์พูลชนะการแข่งขัน 1–0 หลังต่อเวลาพิเศษ คว้าแชมป์อีเอฟแอลคัพสมัยที่ 10 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของทุกทีมฟุตบอลในอังกฤษ[5]
รอบ | คู่แข่งขัน | สกอร์ |
---|---|---|
2 | เอเอฟซี วิมเบิลดัน (H) | 2–1 |
3 | ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน (H) | 1–0 |
4 | แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (H) | 2-0 |
QF | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด (H) | 1–1 (4–2 ล.) |
SF | มิดเดิลส์เบรอ (A) | 0–1 |
มิดเดิลส์เบรอ (H) | 6–1 | |
สัญลักษณ์: (H) = เหย้า; (A) = เยือน |
ในฐานะหนึ่งสโมสรจากพรีเมียร์ลีกที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับ การแข่งขันยูฟ่า, เชลซีเข้าสู่ถ้วยใบนี้ในรอบสองที่พวกเขาถูกจับสลากเล่นที่บ้านพบกับสโมสรจาก อีเอฟแอลลีกทู เอเอฟซี วิมเบิลดัน. นัดนี้ลงเล่นที่ สแตมฟอร์ดบริดจ์ ในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2023, โดยที่เชลซีชนะ 2–1 ด้วยประตูจาก โนนี มาดูเอเก และ เอนโซ เฟร์นันเดซ โดยฝ่ายหลังทำประตูแรกให้กับสโมสร.[6] ในรอบสาม, พวกเขาถูกจับสลากได้เล่นในบ้านพบกับสโมสรร่วมพรีเมียร์ลีก ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน, ลงเล่นที่สแตมฟอร์ดบริดจ์เมื่อวันที่ 27 กันยายน. นัดนี้จบลงด้วยสกอร์ 1–0, โดยได้ประตูเดียวมาจากกองหน้า นิโคลัส แจ็คสัน ในนาทีที่ 50.[7] ในรอบสี่, เชลซีถูกจับสลากเล่นในบ้านพบกับสโมสรจาก อีเอฟแอลแชมเปียนชิป แบล็กเบิร์นโรเวอส์, กับนัดนี้ที่ลงเล่นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน. แมตช์ดังกล่าวทำให้เชลซีเอาชนะแบล็กเบิร์นไปได้อย่างสบายๆ ด้วยสกอร์ 2–0, โดยได้ประตูมาจากทั้ง เบอนัว บาดียาชีล และ ราฮีม สเตอร์ลิง.[8]
ในรอบก่อนรองชนะเลิศ, เชลซีถูกจับสลากในบ้านเป็นครั้งที่สี่ติดต่อกันพบกับสโมสรในพรีเมียร์ลีกและ คู่ชิงชนะเลิศปี ค.ศ. 2023 นิวคาสเซิลยูไนเต็ด, กับนัดนี้ลงเล่นที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ในวันที่ 19 ธันวาคม. ประตูแรกของนิวคาสเซิลจาก คัลลัม วิลสัน ทำให้พวกเขาพยายามรักษาความเป็นผู้นำ, อย่างไรก็ตามความผิดพลาดในการป้องกันจาก คีแรน ทริปเปียร์ ทำให้ได้ประตูตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากตัวสำรองของเชลซี มือคัยลอ มูดรึก ส่งให้แมตช์นี้ไปถึง การยิงจุดโทษ. เชลซีชนะลูกโทษ 4–2 ด้วยอัตราการแปลง 100% โดย โคล พาลเมอร์, คอนอร์ แกลลาเกอร์, คริสโตเฟอร์ อึนคุนคู และมูดรึกก็ทำประตูทั้งหมดให้เดอะบลูส์. วิลสันและ บรูนู กีมาไรส์ เปลี่ยนจุดโทษให้นิวคาสเซิล, โดยทริปเปียร์ยิงพลาดเป้าและ แมตต์ ริตชี ได้รับการเซฟจุดโทษอย่างเด็ดขาดโดย จอร์เจ เปตรอวิช.[9] ในรอบรองชนะเลิศ, ซึ่งจะลงเล่นกันสองเลก, เชลซีจับสลากพบกับสโมสรจากอีเอฟแอลแชมเปียนชิป มิดเดิลส์เบรอ โดยเลกแรกลงเล่นเป็นทีมเยือนที่ สนามกีฬาริเวอร์ไซด์ เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2024. มิดเดิลส์เบรอทำให้เดอะบลูส์ตกใจ, โดยเอาชนะพวกเขาไปได้ 1–0 ได้ประตูจาก เฮย์เดน แฮ็คนีย์.[10] เลกที่สองจะลงเล่นที่สแตมฟอร์ดบริดจ์เมื่อวันที่ 23 มกราคม, โดยเชลซีชนะ 6–1 (รวมผลสองนัด 6–2) ในแมตช์ที่ต้องชนะสถานเดียว, โดยได้การทำเข้าประตูตัวเองจาก จอนนี ฮาวสัน, ประตูจากเฟอร์นันเดซ, อักเซล ดิซาซี, มาดูเอเก และสองประตูจาก พาลเมอร์ คว้าชัยชนะมาให้กับเชลซี, แม้ว่า มอร์แกน โรเจอร์ส ของมิดเดิ้ลส์เบรอจะได้รับประตูปลอบใจ.[11]
รอบ | คู่แข่งขัน | สกอร์ |
---|---|---|
3 | เลสเตอร์ซิตี (H) | 3–1 |
4 | บอร์นมัท (A) | 2–1 |
QF | เวสต์แฮมยูไนเต็ด (H) | 5–1 |
SF | ฟูลัม (H) | 2–1 |
ฟูลัม (A) | 1–1 | |
สัญลักษณ์: (H) = เหย้า; (A) = เยือน |
ในฐานะหนึ่งสโมสรจากพรีเมียร์ลีกที่มีความเกี่ยวข้องใน ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2023–24, ลิเวอร์พูลเข้าสู่รอบสามโดยพวกเขาถูกจับสลากได้เล่นในบ้านพบกับสโมสรจาก อีเอฟแอลแชมเปียนชิป เลสเตอร์ซิตี. นัดนี้จะลงเล่นที่ แอนฟีลด์ ในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2023, โดยที่ลิเวอร์พูลชนะ 3–1 ด้วยประตูจาก โกดี คักโป, โดมินิก โซโบสลอยี และ ดีโยกู ฌอตา.[12] ในรอบสี่, พวกเขาถูกจับสลากออกไปเยือนพบกับสโมสรร่วมพรีเมียร์ลีก บอร์นมัท, เล่นที่ ดีนคอร์ต เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2023. การแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะ 2–1 สำหรับลิเวอร์พูล, โดย โกดี คักโป และ ดาร์วิน นุญเญซ ต่างก็ทำประตูบนสกอร์ชีตได้ทั้งคู่.[13] ในรอบก่อนรองชนะเลิศ, ลิเวอร์พูลถูกจับสลากได้เล่นในบ้านพบกับสโมสรจากพรีเมียร์ลีก เวสต์แฮมยูไนเต็ด, เล่นที่แอนฟีลด์เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2023. ลิเวอร์พูลสร้างผลงานที่โดดเด่นด้วยชัยชนะ 5–1, โดยได้ประตูมาจาก โดมินิก โซโบสลอยี, เคอร์ติส โจนส์, โกดี คักโป และ มุฮัมมัด เศาะลาห์. โจนส์ยิงได้สองครั้ง, ประตูที่สองของเขาคือประตูที่ 500 ของลิเวอร์พูลใน อีเอฟแอลคัพ.[14] ในรอบรองชนะเลิศ, ซึ่งจะลงเล่นกันสองเลก, ลิเวอร์พูลจับสลากพบกับสโมสรจากพรีเมียร์ลีก ฟูลัม กับเลกแรกลงเล่นที่บ้านที่แอนฟีลด์เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2024. แม้จะตามหลังในครึ่งแรกด้วยประตูจาก วีลียัง, แต่ลิเวอร์พูลก็พลิกกลับมาคว้าชัยชนะ 2–1 หลังจากสองประตูในครึ่งเวลาหลังโดยเคอร์ติส โจนส์ และ โกดี คักโป.[15] เลกที่สองจะลงเล่นที่ เครเวนคอตทิจ ในวันที่ 24 มกราคม, โดยการแข่งขันนัดนี้จบลงด้วยการเสมอกันไป 1–1 หลังจาก อิสซา ดีย็อป ยกเลิกประตูในครึ่งแรกของ ลุยส์ ดิอัซ ส่งผลให้รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูลชนะ 3–2 เพื่อผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศอีเอฟแอลคัพเป็นครั้งที่สองในรอบสามฤดูกาล.[16]
นี่เป็นนัดชิงชนะเลิศลีกคัพครั้งที่ 10 ของเชลซี และเป็นนัดชิงชนะเลิศลีกคัพครั้งที่ 14 ของลิเวอร์พูล ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่ได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศลีกคัพมากที่สุดในรายการนี้[17] นี่เป็นการพบกันครั้งที่สามของทั้งสองฝ่ายในนัดชิงชนะเลิศ โดยเคยพบกันมาก่อนในปี 2005 และในปี 2022 เชลซีได้รับชัยชนะในปี 2005 และลิเวอร์พูลได้รับชัยชนะในปี 2022[18] เดิมเวลาการแข่งขันจะเริ่มต้นเมื่อเวลา 16:30 น. GMT, แต่ถูกเปลี่ยนเป็น 15:00 น. หลังจากที่การแข่งขันถูกระบุว่า "มีความเสี่ยงสูงด้านความปลอดภัย" โดยตำรวจนครบาล[19]
ผู้เล่นตัวจริงของลิเวอร์พูล มุฮัมมัด เศาะลาห์,[20] ดาร์วิน นุญเญซ,[20] โดมินิก โซโบสลอยี,[21] ฌอแอล มาติป, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ [22] and เคอร์ติส โจนส์[23] ทั้งหมดไม่มีชื่อในการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศเนื่องจากอาการบาดเจ็บ เช่นเดียวกับ ดีโยกู ฌอตา,[20] เตียโก อัลกันตารา และ สเตฟาน บัยเชติช[22]
การแข่งขันเริ่มเมื่อเวลา 15:00 น. ต่อหน้าผู้ชมในสนาม 88,868 คน เชลซีเกือบทำประตูแรกได้ในเวลา 20 นาทีแรก หลังจาก โคล พาลเมอร์ ได้โอกาสยิงในระยะเผาขน แต่ คีวิน เคลลิเฮอร์ ป้องกันเอาไว้ได้ ก่อนที่ นิโคลัส แจ็คสัน จะตามมายิงซ้ำ แต่ก็ถูกขัดขวางโดย วาตารุ เอ็นโด ในนาทีที่ 32 พาลเมอร์ส่งบอลทะลุช่องมาให้แจ็คสัน แล้วส่งบอลข้ามไปให้ ราฮีม สเตอร์ลิง จิ้มบอลเข้าตาข่ายประตู อย่างไรก็ตาม การทำประตูถูกระงับเนื่องจากผู้ช่วยผู้ตัดสินบอกว่าเป็นการล้ำหน้า หลังจากนั้นผู้ช่วยผู้ตัดสินใช้วีดิทัศน์ได้ทำการตรวจสอบ จึงตัดสินว่าแจ็คสันอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าตอนที่รับบอล ลิเวอร์พูลเข้าใกล้การทำประตูหลังจาก แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน ทำการเปิดบอลข้ามมาให้ โกดี คักโป ได้โหม่งบอลเข้าไป แต่ติดเสาประตู[5]
ในครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลทำประตูได้ในนาทีที่ 60 หลังจากฟรีคิก เข้าไปในกรอบเขตโทษของเชลซีโดยรอเบิร์ตสัน ก่อนที่บอลจะเข้าไปหา เฟอร์จิล ฟัน ไดก์ ให้ได้โหม่งเข้าเสียบมุมประตูของเชลซี อย่างไรก็ตามการทำประตูได้ถูกระงับโดยผู้ช่วยผู้ตัดสินใช้วีดิทัศน์ หลังจากตัดสินว่าเอ็นโดอยู่ในตำแหน่งลำหน้าขณะที่ขวาง ลีไว โคลวิลล์ กองหลังของเชลซีขณะที่เริ่มเล่น เชลซีเข้าใกล้การทำประตูอีกครั้งในนาทีที่ 76 หลังจากพาลเมอร์เปิดบอลข้ามมาที่กรอบเขตโทษของฝั่งลิเวอร์พูล โดยที่ คอเนอร์ แกลลาเกอร์ พยายามสะบัดบอลเข้าประตูของลิเวอร์พูล อย่างไรก็ตามความพยายามนั้นจบลงด้วยการชนเสา ในช่วงเวลาพิเศษ ฟัน ไดก์ โหม่งบอลมาให้ เจย์เดน แดนน์ส โหม่งเข้าไป แต่ถูก จอร์เจ เปตรอวิช ป้องกันไว้ได้ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ลิเวอร์พูลทำประตูชัยได้อย่างน่าทึ่งหลังจากเตะมุม โดย กอสตัส ซีมีกัส หาทางเปิดบอลไปให้ ฟัน ไดก์ ที่โหม่งบอลผ่านเปตรอวิชและเข้าไปที่ตาข่าย ลิเวอร์พูลได้รับชัยชนะด้วยผล 1-0 หลังจากต่อเวลาพิเศษ ได้คว้าแชมป์อีเอฟแอลคัพ สมัยที่ 10 เป็นครั้งที่สองในสามฤดูกาล[24]
เชลซี | 0–1 (ต่อเวลาพิเศษ) | ลิเวอร์พูล |
---|---|---|
รายงาน |
|
เชลซี
|
ลิเวอร์พูล
|
|
|
ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัด:
ผู้ช่วยผู้ตัดสิน:[2]
|
กฏ-กติกา[25]
|
สถิติ | เชลซี | ลิเวอร์พูล |
---|---|---|
จำนวนยิงทั้งหมด | 19 | 24 |
ยิงเข้ากรอบ | 9 | 11 |
การครองบอล | 46% | 54% |
เตะมุม | 6 | 5 |
ล้ำหน้า | 3 | 2 |
ฟาวล์ | 14 | 21 |
ใบเหลือง | 2 | 5 |
ใบแดง | 0 | 0 |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.