![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/68/Alexius_Salvador_Zika-Virus.jpg/640px-Alexius_Salvador_Zika-Virus.jpg&w=640&q=50)
ไข้ซิกา
From Wikipedia, the free encyclopedia
ไข้ซิกา หรือโรคไวรัสซิกา เป็นโรคติดเชื้ออย่างหนึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสซิกา[1] ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยคล้ายกับไข้เดงกี[1][9] อาการมักคงอยู่ไม่เกินเจ็ดวัน[2] โดยอาการเหล่านี้เช่น ไข้ ตาแดง ปวดข้อ ปวดหัว ผื่นแดง เป็นต้น[1][3][2] ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคนี้[9] ภาวะนี้สัมพันธ์กับการเกิดกลุ่มอาการกิลแลงบาร์เรอีกด้วย[9]
ไข้ซิกา (Zika fever) | |
---|---|
ชื่ออื่น | โรคไวรัสซิกา, ซิกา, การติดเชื้อไวรัสซิกา |
![]() | |
ผื่นที่พบในผู้ป่วยไข้ซิกา | |
การออกเสียง |
|
สาขาวิชา | โรคติดเชื้อ |
อาการ | ไข้, ตาแดง, ปวดข้อ, ปวดศีรษะ, ผื่น[1][2][3] |
ภาวะแทรกซ้อน | ภาวะหัวเล็กเกินในทารก (หากมารดาติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์, กลุ่มอาการกิลแลงบาร์เร[4][5][6] |
ระยะดำเนินโรค | น้อยกว่า 1 สัปดาห์[2] |
สาเหตุ | เชื้อไวรัสซิกา ส่วนใหญ่ติดผ่านพาหะคือยุง[2] |
วิธีวินิจฉัย | การตรวจเลือด ปัสสาวะ หรือน้ำลายเพื่อหาอาร์เอ็นเอของไวรัส หรือตรวจหาแอนติบอดีในเลือด[1][2] |
โรคอื่นที่คล้ายกัน | ชิคุนกุนยา, มาลาเรีย, ไข้เลือดออกเดงกี, โรคฉี่หนู, โรคหัด[7] |
การป้องกัน | การป้องกันไม่ให้ยุงกัด, ถุงยางอนามัย[2][8] |
การรักษา | การรักษาประคับประคอง[2] |
การเสียชีวิต | การติดเชื้อเฉียบพลันไม่ทำให้เสียชีวิต[4] |
ไข้ซิกาติดต่อผ่านทางการถูกยุง Aedes เช่น ยุงลาย กัด[2] เป็นส่วนใหญ่ และยังอาจติดต่อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์และการถ่ายเลือด[2]ได้ด้วย เชื้ออาจติดต่อผ่านทางมารดาไปยังทารกและทำให้ทารกมีศีรษะเล็กได้[1][9] การวินิจฉัยทำได้โดยการตรวจหา RNA ของไวรัสในเลือด ปัสสาวะ หรือน้ำลายจากผู้ป่วย[1][2]
การป้องกันทำได้โดยการลดโอกาสการถูกยุงกัดในพื้นที่ที่มีการระบาด[2] ทำได้โดยการใช้สารไล่แมลง การปกคลุมร่างกาย การใช้มุ้ง และการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงเช่นในน้ำนิ่ง[1] ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ได้ผลดี[2] บุคลากรทางสาธารณสุขเริ่มให้คำแนะนำแก่คู่สามีภรรยาในพื้นที่ระบาดว่าให้ชะลอการมีบุตรออกไปก่อน และแนะนำให้สตรีมีครรภ์งดการเดินทางไปยังพื้นที่ระบาด[2][10] การรักษาทำได้ด้วยวิธีรักษาประคับประคอง ยังไม่มีการรักษาจำเพาะที่มีประโยชน์ ส่วนใหญ่ใช้ยาแก้ปวดลดไข้เข่นพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการ[2] ส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล[9]
ไวรัสนี้ถูกแยกได้สำเร็จครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1947[11] การระบาดในมนุษย์มีบันทึกไว้ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 2007 ในสหพันธรัฐไมโครนีเซีย[2] จนถึงมกราคม ค.ศ. 2016 มีการพบโรคนี้ในกว่า 20 พื้นที่ของสหรัฐอเมริกา[2] นอกจากนี้ยังพบได้ในแอฟริกา เอเชีย และในเขตแปซิฟิก[1] องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การระบาดของโรคนี้เป็นหัวข้อฉุกเฉินนานาชาติทางสุขภาพเมื่อกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 หลังจากมีการระบาดของโรคนี้ในประเทศบราซิลเมื่อ ค.ศ. 2015[12]