กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร
From Wikipedia, the free encyclopedia
กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร[4] หรือ กลุ่มอาการกีแยง-บาร์เร[5] (อังกฤษ: Guillain–Barré syndrome) เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune disorder) อย่างหนึ่งซึ่งเกิดกับระบบประสาทส่วนปลาย ส่วนใหญ่ถูกกระตุ้นโดยการอักเสบติดเชื้อเฉียบพลัน กลุ่มอาการนี้ตั้งชื่อตามแพทย์ชาวฝรั่งเศสชื่อ Guillain, Barré และ Strohl ซึ่งได้อธิบายกลุ่มอาการนี้ไว้ในปี ค.ศ. 1961 บางครั้งเรียกว่าอาการชาแบบแลนดรี (Landry's paralysis) ตามแพทย์ชาวฝรั่งเศสที่ได้อธิบายโรคคล้ายกันนี้ไว้ในปี ค.ศ. 1859 โรคนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มพยาธิสภาพของเส้นประสาทส่วนปลาย (peripheral neuropathy) กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่เมื่อกล่าวถึงกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรจะหมายถึงประเภทที่พบบ่อยที่สุด คือประเภทที่มีพยาธิภาพของเส้นประสาทหลายเส้นแบบทำลายไมอิลินโดยการอักเสบเฉียบพลัน หรือเอไอดีพี (acute inflammatory demyelinating polyneuropathy, AIDP) กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเป็นโรคที่พบน้อยโดยมีอุบัติการณ์อยู่ที่ 1–2 ต่อ 100,000 ประชากร[6] ส่วนใหญ่อาการมักรุนแรงและปรากฏเป็นอาการอ่อนแรงแบบเป็นจากปลายมาหาต้น (ascending paralysis) โดยมีอาการอ่อนแรงของขา ค่อย ๆ ลามมายังแขนและใบหน้าพร้อมกับการหายไปของรีเฟลกซ์เอ็นลึก (deep tendon reflex) หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีด้วยการเปลี่ยนน้ำเลือด (plasmapheresis) หรือการให้อิมมูโนกลอบูลินทางหลอดเลือดดำ (intravenous immunoglobulin) ร่วมกับการรักษาประคับประคอง (supportive treatment) แล้วผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างไรก็ดีหากมีภาวะแทรกซ้อนทางปอดรุนแรงหรือมีความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติแล้วอาจเสียชีวิตได้[7] กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเป็นอัมพาตที่ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บ
กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré syndrome) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Guillain–Barré–Strohl syndrome, Landry's paralysis, postinfectious polyneuritis[1] |
การออกเสียง |
|
สาขาวิชา | ประสาทวิทยา |
อาการ | กล้ามเนื้ออ่อนแรงเริ่มจากเท้าและมือ, มักจะมีอาการจากส่วนล่างขึ้นไปด้านบน[2] |
ภาวะแทรกซ้อน | หายใจลำบาก, มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและความดันโลหิต[1][2] |
การตั้งต้น | เร็ว (ชั่วโมงถึงสัปดาห์)[2] |
สาเหตุ | ไม่ทราบ[2] |
วิธีวินิจฉัย | ขึ้นกับอาการ, ตรวจการชักนำกระแสประสาท, การเจาะเอว[2] |
การรักษา | การดูแลแบบประคับประคอง, อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำ, การแยกส่วนของน้ำเลือด |
พยากรณ์โรค | ใช้เวลาสัปดาห์ถึงปีสำหรับการฟื้นฟู[2] |
ความชุก | 2 ต่อ 100,000 ประชากรต่อปี[2][3] |
การเสียชีวิต | 7.5% ของผู้ที่มีอาการ[1] |