Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บล็อกเชน หรือ ห่วงโซ่หน่วยข้อมูล[1] (อังกฤษ: blockchain[2][3][4] หรือ block chain)[5][6] เป็นรายการระเบียน/บันทึก (record) ที่เพิ่มขึ้น/ยาวขึ้นเรื่อย ๆ โดยแต่ละรายการเรียกว่า บล็อก ซึ่งนำมาเชื่อมต่อเป็นลูกโซ่ (เชน) และตรวจสอบความถูกต้องและรับประกันความปลอดภัยด้วยวิทยาการเข้ารหัสลับ[2][7] บล็อกแต่ละบล็อกปกติจะมีค่าแฮชของบล็อกก่อนหน้าซึ่งสามารถใช้ยืนยันความถูกต้องของบล็อกก่อนหน้า[7][8] มีตราเวลาและข้อมูลธุรกรรม[9][8] บล็อกเชนออกแบบให้เปลี่ยนข้อมูลที่บันทึกแล้วได้ยาก คือมันเป็น "บัญชีแยกประเภท (ledger) แบบกระจายและเปิด ที่สามารถบันทึกธุรกรรมระหว่างบุคคลสองพวกอย่างมีประสิทธิภาพ ในรูปแบบที่ยืนยันได้และถาวร"[10] เมื่อใช้เป็นบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย บล็อกเชนปกติจะจัดการโดยเครือข่ายเพียร์ทูเพียร์ ซึ่งร่วมใช้โพรโทคอลเดียวกันเพื่อการสื่อสารระหว่างสถานี (node) และเพื่อยืนยันความถูกต้องของบล็อกใหม่ ๆ เมื่อบันทึกแล้ว ข้อมูลในบล็อกใดบล็อกหนึ่งจะไม่สามารถเปลี่ยนย้อนหลังโดยไม่เปลี่ยนข้อมูลในบล็อกต่อ ๆ มาทั้งหมดด้วย ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้การร่วมมือจากสถานีโดยมากในเครือข่าย
บล็อกเชนออกแบบมาตั้งแต่ต้นเพื่อให้ปลอดภัย (secure by design) และเป็นตัวอย่างของระบบคอมพิวเตอร์แบบกระจายที่ทนต่อความผิดพร่องแบบไบแซนไทน์ได้สูง ดังนั้น ความเห็นพ้องแบบไม่รวมศูนย์ จึงเกิดได้โดยอาศัยบล็อกเชน[11] ซึ่งอาจทำให้มันเหมาะเพื่อบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ, บันทึกระเบียนการแพทย์[12][13], ในการจัดการบริหารระเบียนแบบอื่น ๆ เช่น การจัดการผู้มีสิทธิเข้าถึงระบบ (identity management)[14][15][16], การประมวลผลธุรกรรม, การสร้างเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของ, การตามรอยการผลิตและขนส่งอาหาร[17], หรือการใช้สิทธิออกเสียง[18]
บุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้ใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ ได้ประดิษฐ์บล็อกเชนขึ้นในปี 2008 (พ.ศ. 2551) เพื่อใช้กับเงินคริปโทสกุลบิตคอยน์ โดยเป็นบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย[2] บล็อกเชนทำให้บิตคอยน์เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกที่แก้ปัญหาการใช้จ่ายสินทรัพย์เกินกว่าครั้งเดียว (double spending problem) ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีบุคคลที่สามซึ่งเชื่อใจหรือมีคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง เป็นการออกแบบซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้แก่โปรแกรมประยุกต์อีกมากมายหลายอย่าง[2][4]
ในกรณีของบิตคอยน์ ผู้ใช้งานจะทำการโดยเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถซื้อขายและยืนยันการใช้จ่ายบิตคอยน์ โดยจะมีการสร้างบล็อกขึ้นใหม่เพื่อเก็บรายการการซื้อขายแลกเปลี่ยน ในอัตราประมาณหนึ่งบล็อกต่อ 10 นาที[19][20] แต่ละบล็อกจะมีจำนวนธุรกรรมเฉลี่ยมากกว่า 500 รายการ[21]
งานวิจัยแรกที่ได้อธิบายโซ่บล็อกที่ทำให้ปลอดภัยด้วยวิทยาการรหัสลับได้ตีพิมพ์ในปี 1991 (โดย Stuart Haber และ W. Scott Stornetta)[22][7] ในปีต่อมา นักวิจัยกลุ่มเดียวกันได้รวมต้นไม้แฮช (Merkle tree) เข้าในแบบ ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพเพราะสามารถรวมเอกสารหลายฉบับเข้าเป็นบล็อกเดียวกัน[7][23]
ในปี 2008 บุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้ใช้นามแฝง ซาโตชิ นากาโมโตะ ได้สร้างแนวคิดในเรื่องบล็อกเชนขึ้น ซึ่งนากาโมโตะนำไปทำให้เกิดผลในปีต่อมา โดยเป็นส่วนโปรแกรมหลักของเงินคริปโทคือบิตคอยน์ คือใช้เป็นบัญชีแยกประเภทสาธารณะเพื่อบันทึกธุรกรรมทั้งหมดภายในเครือข่าย[2] บล็อกเชนทำให้บิตคอยน์เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกที่แก้ปัญหาการใช้จ่ายสินทรัพย์เกินกว่าครั้งเดียว (Double spending problem) ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีบุคคลที่สามซึ่งเชื่อใจหรือคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง และได้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่โปรแกรมประยุกต์อีกมากมายหลายอย่าง[2][4][5]
ในเดือนสิงหาคม 2014 ไฟล์บล็อกเชนของบิตคอยน์ ซึ่งมีระเบียนของธุรกรรมทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นภายในเครือข่าย ได้ถึงขนาด 20 จิกะไบต์ (GB)[24] ในเดือนมกราคม 2015 ขนาดได้ขยายจนเกือบถึง 30 GB และจากเดือนมกราคม 2016 ถึงมกราคม 2017 ขนาดได้เพิ่มจาก 50 GB จนถึง 100 GB และโดยเดือนเมษายน 2018 นี่ได้ถึงขนาด 163 GB แล้ว[25]
เอกสารดั้งเดิมของนากาโมโตะได้ใช้คำว่า "บล็อก" และ "เชน" ต่างหาก ๆ แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนไปตามความนิยมเป็นคำเดียวคือ "บล็อกเชน" โดยปี 2016 ส่วนคำว่า บล็อกเชน 2.0 หมายถึงโปรแกรมใหม่ ๆ ที่ใช้ฐานข้อมูลบล็อกเชนแบบกระจาย ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นในปี 2014[26] นิตยสาร The Economist ได้กล่าวถึงการใช้บล็อกเชนแบบรุ่นสองนี้ว่ามาพร้อมกับ "ภาษาโปรแกรมที่ให้ผู้ใช้เขียนสัญญาสมารต์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น สร้างใบกำกับสินค้าที่จ่ายเองอย่างอัตโนมัติเมื่อการขนส่งเรียบร้อยแล้ว หรือสร้างใบหุ้นซึ่งส่งเงินปันผลให้เจ้าของโดยอัตโนมัติเมื่อกำไรได้ถึงขีดหนึ่งแล้ว"[2] เทคโนโลยีบล็อกเชน 2.0 ได้ก้าวหน้าเกินกว่าการบันทึกธุรกรรม และทำให้สามารถ "แลกเปลี่ยนมูลค่าโดยไม่ต้องมีคนกลางที่มีอำนาจเป็นผู้ตัดสินในเรื่องเงินและข้อมูล" เป็นเทคโนโลยีที่คาดว่า จะทำให้คนที่อยู่นอกระบบเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกได้ ช่วยป้องกันภาวะเฉพาะส่วนตัวของผู้เข้าร่วม ช่วยทำรายได้ให้เจ้าของข้อมูล และช่วยให้ผู้คิดค้นได้ค่าตอบแทนจากทรัพย์สินทางปัญญา เทคโนโลยีบล็อกเชนรุ่นสอง ทำให้สามารถเก็บ "บัตรประจำตัวและบุคลิกภาพอย่างถาวร" ของบุคคล และอำนวยการแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมโดยเป็นโอกาสเปลี่ยนการกระจายความมั่งมี[27] โดยปี 2016 งานอิมพลิเม้นต์ของบล็อกเชน 2.0 ก็ยังต้องใช้ระบบต่างหากที่จินตนาการได้ว่าเป็น "เครื่องออราเคิล"[upper-alpha 1] เพื่อเข้าถึง "ข้อมูลหรือเหตุการณ์ภายนอกที่ขึ้นอยู่กับเวลาหรือภาวะการตลาดที่ (จำเป็นต้อง) มีปฏิสัมพันธ์กับบล็อกเชน"[28]
ในปี 2016 องค์กรรับฝากหลักทรัพย์ของประเทศรัสเซีย (National Settlement Depository) ได้ประกาศโครงการนำร่องที่อาศัยแพล็ตฟอร์ม Nxt blockchain 2.0 ซึ่งจะสำรวจการใช้บล็อกเชนทำระบบลงคะแนนเสียงอัตโนมัติ[29] ในเดือนกรกฎาคม 2016 บริษัทไอบีเอ็มได้เปิดศูนย์วิจัยนวัตกรรมบล็อกเชนในประเทศสิงคโปร์[30] คณะทำงานของสภาเศรษฐกิจโลกได้ประชุมกันในเดือนพฤศจิกายน 2016 เพื่อหารือเรื่องการพัฒนาวิธีการปกครองที่สัมพันธ์กับบล็อกเชน[31] ตามบริษัทให้คำปรึกษาการจัดการบริหาร Accenture ทฤษฎีการแพร่นวัตกรรม (diffusion of innovations) ได้แสดงว่า เพราะบล็อกเชนได้อัตราการยอมรับที่ 13.5% ภายในอุตสาหกรรมบริการทางการเงินในปี 2016 ดังนั้น จึงได้เข้าสู่ระยะกลุ่มนำสมัย (early adopter) แล้ว[32] กลุ่มการค้าอุตสหกรรมได้ร่วมกับจัดงานการประชุม Global Blockchain Forum ในปี 2016 ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มขององค์กรสนับสนุนอเมริกัน Chamber of Digital Commerce[33]
บล็อกเชนเป็นบัญชีแยกประเภทแบบสาธารณะ ไม่รวมศูนย์ และกระจาย เพื่อใช้บันทึกธุรกรรมในระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนมาก ที่ระเบียนจะไม่สามารถเปลี่ยนย้อนหลังโดยไม่เปลี่ยนบล็อกที่สร้างต่อ ๆ มา และไม่ได้รับการร่วมมือจากเครือข่ายโดยมาก[2][34] ซึ่งช่วยให้ผู้มีส่วนร่วมสามารถยืนยันและตรวจสอบธุรกรรมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก[35]
ฐานข้อมูลบล็อกเชนจะจัดการอย่างเป็นอิสระโดยเครือข่ายเพียร์ทูเพียร์ซึ่งให้บริการการตราเวลาแบบกระจาย และยืนยันพิสูจน์โดยการร่วมมือกันของคนจำนวนมากที่ได้แรงจูงใจจากผลประโยชน์ส่วนตัวรวม ๆ กัน[36] ผลก็คือกระแสงานที่ทนทาน ที่ได้ความมั่นใจสูงจากผู้มีส่วนร่วม
การใช้บล็อกเชนได้แก้ปัญหาการสามารถก๊อปปี้ซ้ำอย่างไม่จำกัดซึ่งสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะมันสามารถยืนยันได้ว่า สินทรัพย์แต่ละหน่วยจะเปลี่ยนมือเพียงครั้งเดียว จึงเป็นการแก้ปัญหาการใช้จ่ายสินทรัพย์เกินกว่าครั้งเดียว (Double spending problem) ที่รู้จักกันมานานแล้ว จึงได้รับการยกย่องว่า เป็นโพรโทคอลที่ช่วยให้แลกเปลี่ยนมูลค่าทางเศรษฐกิจได้[26] การแลกเปลี่ยนมูลค่าโดยอาศัยบล็อกเชนสามารถเกิดขึ้นได้เร็วกว่า ปลอดภัยกว่า และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าระบบธรรมดา[37]
บล็อกจะบันทึกกลุ่มธุรกรรมที่ได้ยืนยันพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง โดยค่าแฮชของธุรกรรมจะบันทึกใส่ต้นไม้แฮช (Merkle tree)[2] แต่ละบล็อกจะมีค่าแฮชของบล็อกก่อนหน้าในโซ่ ซึ่งเป็นการเชื่อมบล็อกต่อ ๆ กันเป็นโซ่[2] กระบวนการที่ทำวนซ้ำ เป็นการยืนยันความถูกต้องของบล็อกก่อน ๆ จนกระทั่งถึงบล็อกเริ่มต้น[38]
บางครั้ง บล็อกต่างหาก ๆ อาจทำขึ้นพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้เกิดข้อมูลที่ไม่ตรงกันเพียงชั่วคราว เพราะนอกจากการมีประวัติที่มั่นคงปลอดภัยเนื่องกับค่าแฮช บล็อกเชนยังกำหนดขั้นตอนวิธีเพื่อคัดเลือกบล็อกสายต่าง ๆ เพื่อให้ได้สายที่มีค่าสูงสุด บล็อกที่ไม่รวมเข้าในโซ่จะเรียกว่าบล็อกกำพร้า (orphan block)[38] สถานีเพียร์ที่สนับสนุนฐานข้อมูลเช่นนี้ จะมีสายประวัติที่ต่างกันเป็นบางครั้งบางคราว เพราะต่างก็เก็บสายประวัติที่มีค่าสูงสุดซึ่งตนรู้เป็นฐานข้อมูล แต่เมื่อได้รับสายประวัติที่มีค่าสูงกว่า (ปกติจะเป็นประวัติที่มีแล้วบวกกับบล็อกใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้น) มันก็จะบันทึกบล็อกใหม่หรือบันทึกโซ่บล็อกที่มีค่าสูงกว่าทับฐานข้อมูลของตน แล้วส่งต่อข้อมูลที่ได้ใหม่ไปยังเพียร์อื่น ๆ
จะไม่มีทางรับประกันได้ว่า บล็อกใหม่ ๆ ที่มีจะเป็นส่วนของสายประวัติที่มีค่าสูงสุดตลอดกาลนาน[39] แต่เพราะบล็อกเชนออกแบบให้เพื่อเพิ่มบล็อกใหม่เข้ากับบล็อกเก่า และเพราะมีแรงจูงใจให้ทำการเพื่อเพิ่มบล็อกใหม่แทนที่จะเปลี่ยนบล็อกเก่า[40] โอกาสที่บล็อกหนึ่ง ๆ จะถูกเปลี่ยนหรือแทนที่จะลดลงแบบเลขชี้กำลัง[41] ตามจำนวนบล็อกใหม่ ๆ ที่สร้างขึ้นต่อบล็อกเก่า ซึ่งในที่สุดก็จะมีโอกาสน้อยมาก ๆ[39][42][2]
ยกตัวอย่างเช่น ในบล็อกเชนที่ใช้ระบบพิสูจน์ว่าได้ทำงาน (proof-of-work)[upper-alpha 2] โซ่ที่มีค่ารวมกันที่พิสูจน์ว่าได้ทำงานสูงสุด ก็จะพิจารณาว่าเป็นโซ่ที่ถูกต้องโดยเครือข่าย
"การตราเวลา" (timestamping) ของบล็อกเชนที่ใช้สำหรับบิตคอยน์ เป็นการแก้ปัญหาการใช้จ่ายสินทรัพย์เกินกว่าครั้งเดียว (Double spending problem) โดยไม่จำเป็นต้องมีบุคคลที่สามซึ่งเชื่อใจหรือมีคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง[2][4] คือเป็นระบบตราเวลาแบบกระจายที่ใช้เครือข่ายเพียร์ทูเพียร์ เพื่อสร้างค่าพิสูจน์ลำดับของธุรกรรมโดยการคำนวณ และเป็นระบบที่ปลอดภัยตราบที่สถานีที่ซื่อตรงรวม ๆ กันมีกำลังหน่วยประมวลผลกลางมากกว่ากลุ่มสถานีที่ทำการไม่ชอบ[44]
เครือข่ายจะตราเวลาธุรกรรมต่าง ๆ โดยคำนวณค่าแฮชของพวกมัน สอนเทรดคริปโต เก็บถาวร 2022-02-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ต่อเป็นลูกโซ่ค่าพิสูจน์ว่าได้ทำงาน (proof-of-work)[upper-alpha 2] ให้เป็นโซ่ระเบียนที่เปลี่ยนไม่ได้โดยไม่คำนวณใหม่ซึ่งค่าแฮช/ค่าพิสูจน์ว่าได้ทำงาน[45] คือสถานีหนึ่ง ๆ จะคำนวณค่าแฮชของบล็อกตามหลักเกณฑ์การพิสูจน์ว่าได้ทำงานของบิตคอยน์ แล้วแพร่ค่าที่ได้ไปยังสถานีอื่น ๆ ค่าแฮช/ค่าพิสูจน์ว่าได้ทำงานใหม่/ตราเวลาตามที่ว่า จะเป็นตัวพิสูจน์ว่า ข้อมูลบล็อกจะต้องมีอยู่เพื่อให้คำนวณค่านั้นได้ ค่าแฮชที่คำนวณของบล็อกแต่ละบล็อก จะรวมค่าแฮชของบล็อกก่อนเข้าด้วย ซึ่งเชื่อมบล็อกเข้าเป็นลูกโซ่ซึ่งเท่ากับจัดเรียงลำดับธุรกรรม และทำให้บล็อกก่อน ๆ ไม่สามารถเปลี่ยนข้อมูลได้ โดยไม่คำนวณค่าแฮชของบล็อกนั้น ๆ และบล็อกต่อ ๆ มาทั้งหมดด้วย[43]
การคำนวณค่าแฮชหรือค่าพิสูจน์ว่าได้ทำงาน เป็นการกราดคำนวณหาค่า เช่นด้วยฟังก์ชันแฮช SHA-256 ค่าที่เป็นข้อพิสูจน์ซึ่งใช้ได้จะเริ่มด้วยบิต 0 จำนวนหนึ่ง และการคำนวณโดยเฉลี่ยที่ต้องทำ จะเพิ่มแบบเลขยกกำลังตามจำนวนบิต 0 ที่ต้องการ แต่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้โดยคำนวณค่าแฮชเพียงครั้งเดียวเท่านั้น[43]
การคำนวณค่าพิสูจน์ว่าได้ทำงานยังเป็นตัวตัดสินด้วยว่า โซ่บล็อกไหนเป็นโซ่ที่สถานีส่วนใหญ่ยอมรับ เพราะโซ่ที่ยาวสุด ซึ่งหมายความว่าเป็นโซ่ที่ต้องใช้ทรัพยากรเพื่อคำนวณค่าแฮชสูงสุด จะเป็นโซ่ที่สถานีส่วนมากมีเห็นความเห็นพ้องยอมรับ และถ้าสถานีที่ซื่อตรงต่าง ๆ คุมกำลังหน่วยประมวลผลกลางโดยมาก โซ่ที่ซื่อตรงก็จะงอกเร็วสุด คือเร็วกว่าโซ่อื่น ๆ ที่แข่งขันกันทั้งหมด[43]
เพื่อชดเชยความเร็วของฮาร์แวร์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การหาค่าพิสูจน์ว่าได้ทำงานจะปรับให้ยากขึ้นเรื่อย ๆ สอนเทรด เก็บถาวร 2022-02-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีนโดยมีเป้าหมายให้สามารถคำนวณค่าแฮชได้จำนวนจำกัดต่อ ชม.[43] (10 นาทีต่อบล็อก[19][20])
ให้สังเกตว่า ในส่วนหัวของแต่ละบล็อก จะมีเขตข้อมูลที่เรียกว่า "Timestamp" (ตราเวลา) ซึ่งนิยามว่า เป็นเวลาโดยประมาณเมื่อสร้างบล็อกนั้น ๆ โดยเป็นจำนวนวินาทีจากต้นยุคอ้างอิงของยูนิกซ์ ซึ่งชัดเจนว่า เป็นคนละค่ากับค่าแฮชของบล็อกนี้ และค่าแฮชของบล็อกก่อนซึ่งเก็บในเขตข้อมูลที่เรียกว่า "Previous Block Hash" ของบล็อกนี้[8]
เวลาสร้างบล็อกเฉลี่ย (block time) ก็คือเวลาเฉลี่ยที่เครือข่ายใช้ในการสร้างบล็อกใหม่ต่อกับโซ่[46] บล็อกเชนบางอย่างจะสร้างบล็อกใหม่บ่อยจนถึงทุก ๆ 5 วินาที[47] เมื่อการสร้างบล็อกสำเร็จแล้ว ข้อมูลที่เพิ่มก็จะสามารถยืนยันพิสูจน์ได้ ในระบบเงินคริปโท เวลาสร้างบล็อกเฉลี่ยที่น้อยกว่าจึงหมายความว่าสามารถทำธุรกรรมได้เสร็จเร็วกว่า แต่ก็จะอาจทำให้เกิดการแบ่งโซ่ชั่วคราวบ่อยกว่า[48] เวลาสร้างบล็อกเฉลี่ยของเงินคริปโทสกุล Ethereum ตั้งที่ 14-15 วินาที เทียบกับบิตคอยน์ที่ 10 นาที[20]
hard fork (การแบ่งโซ่ถาวร) หมายถึงการเปลี่ยนกฎ โดยที่ซอฟต์แวร์ที่ยืนยันความถูกต้องของบล็อกด้วยกฎเก่า จะเห็นบล็อกใหม่ที่สร้างด้วยกฎใหม่ว่า ไม่ถูกต้อง ดังนั้นในกรณีนี้ สถานีทั้งหมดที่จะทำงานตามกฎใหม่จะต้องอั๊ปเกรดซอฟต์แวร์ที่ใช้[49] แต่ถ้ามีกลุ่มสถานีที่ยังใช้ซอฟต์แวร์เก่า โดยสถานีอื่นได้เปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์ใหม่ ก็จะเกิดการแยกจากกัน
ยกตัวอย่างเช่น Ethereum ได้เปลี่ยนกฎเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้ลงทุนในองค์กร The DAO ซึ่งถูกแฮ๊ก[50] ในกรณีนี้ การเปลี่ยนกฎได้แยกโซ่เงินสกุลนี้ออกเป็น Ethereum และ Ethereum Classic
ในปี 2014 ชุมชนเงินคริปโท Nxt ได้พิจารณาการแก้คืนระเบียนบล็อกเชนเพื่อแก้ปัญหาการขโมย 50 ล้านเหรียญ NXT จากตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ข้อเสนอนี้ก็ไม่ผ่าน แม้หลังจากนั้น เงินบางส่วนก็ได้คืนหลังจากการเจรจาต่อรองและการจ่ายเงินเรียกค่าไถ่[51]
อีกอย่างหนึ่ง เพื่อป้องกันการแบ่งแยกแบบถาวร สถานีส่วนมากที่ใช้ซอฟต์แวร์ใหม่สามารถกลับมาใช้กฎเก่า ดังที่เกิดกับบิตคอยน์เมื่อแยกโซ่เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2013[52]
เพราะเก็บข้อมูลในเครือข่ายเพียร์ทูเพียร์ บล็อกเชนได้กำจัดความเสี่ยงจำนวนหนึ่งที่เกิดจากการเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์[2] บล็อกเชนที่ไม่รวมศูนย์ อาจใช้การส่งข้อความแบบเฉพาะกิจ (ad-hoc) และเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบกระจาย
เครือข่ายบล็อกเชนแบบเพียร์ทูเพียร์ไม่มีความอ่อนแอที่ศูนย์กลาง ซึ่งนักเลงคอมพิวเตอร์สามารถถือเอาประโยชน์ได้ โดยนัยเดียวกัน เครือข่ายก็ไม่สามารถเกิดความขัดข้องแบบจุดเดียวคือที่ศูนย์ได้ วิธีการรักษาความปลอดภัยรวมการใช้การเข้ารหัสลับแบบกุญแจอสมมาตร (public-key cryptography)[5]: 5
กุญแจสาธารณะ (public key) ซึ่งเป็นตัวเลขดูสุ่ม ๆ ต่อกันยาวเหยียด จะใช้เป็นที่อยู่เพื่อรับเงินสำหรับบล็อกเชน คือโทเค็นที่มีมูลค่าและส่งข้ามเครือข่าย จะบันทึกว่ามีที่อยู่นั้นเป็นเจ้าของ ส่วนกุญแจส่วนตัว (private key) จะเป็นรหัสผ่านที่ให้เจ้าของเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นได้ และทำให้สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ตามที่บล็อกเชนนั้นสนับสนุน ข้อมูลที่เก็บในบล็อกเชนโดยทั่วไปพิจารณาว่าไม่สามารถเสียได้[2]
แม้การมีข้อมูลรวมศูนย์จะคุมได้ง่ายกว่า แต่การลอบเปลี่ยนแปลงจัดการข้อมูลก็เป็นไปได้ด้วย เพราะไม่รวมศูนย์การเก็บข้อมูลของบัญชีแยกประเภทที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ บล็อกเชนจึงโปร่งใสสำหรับทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้อง[53]
สถานี (node) ทุกสถานีในระบบไร้ศูนย์ จะมีก๊อปปี้ของบล็อกเชน คุณภาพข้อมูลจึงมาจากการทำซ้ำข้อมูลเป็นจำนวนมาก[11] และการยืนยันความถูกต้องของข้อมูลโดยการคำนวณ ดังนั้น จึงไม่มีก๊อปปี้ที่จัดว่า เป็นก๊อปปี้หลักหรือก๊อปปี้ทางการ และไม่มีสถานีไหนที่น่าเชื่อถือกว่าสถานีอื่น[5]
ธุรกรรมทั้งหมดจะแพร่สัญญาณไปยังเครือข่าย โดยจะส่งสัญญาณ/ข้อความแบบพยายามดีที่สุด (Best-effort delivery)[upper-alpha 3] สถานีขุดหาเหรียญ (Mining node) จะเป็นผู้ยืนยันความถูกต้องของธุรกรรม[38] โดยรวมธุรกรรมหนึ่ง ๆ ลงในบล็อกที่ตนกำลังสร้าง แล้วจะแพร่สัญญาณคือข้อมูลบล็อกที่ทำเสร็จแล้วไปยังสถานีอื่น ๆ[54]
บล็อกเชนมีวิธีลงตราเวลา (timestamping) ต่าง ๆ กัน เช่น proof-of-work[upper-alpha 2] เพื่อจัดลำดับการเปลี่ยนแปลง[55] วิธีการอื่น ๆ ที่สามารถให้ถึงความเห็นพ้องได้รวมทั้ง proof-of-stake[38]
การเติบโตของบล็อกเชนแบบไร้ศูนย์ มีโอกาสเสี่ยงต่อการรวมศูนย์สถานี เนื่องจากทรัพยากรคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้เพื่อประมวลข้อมูลจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[56]
บล็อกเชนที่เปิดเป็นสาธารณะ จะใช้ได้สะดวกกว่าระเบียนความเป็นเจ้าของธรรมดา ซึ่งแม้จะเปิดให้สาธารณชนดูได้ แต่ก็ยังต้องอาศัยสถานที่เพื่อจะดู เพราะบล็อกเชนรุ่นต้น ๆ สามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องอนุญาต จึงเกิดข้อถกเถียงถึงนิยามว่าอะไรเป็นบล็อกเชน ปัญหาหนึ่งที่ยังไม่ยุติก็คือ ระบบส่วนตัวที่มีผู้พิสูจน์ยืนยันที่ได้อนุญาตหรือมอบหมายจากผู้มีอำนาจศูนย์กลาง ควรจะพิจารณาว่าเป็นบล็อกเชนหรือไม่[57][58][59][60][61] ผู้สนับสนุนการใช้โซ่ส่วนตัวอ้างว่า คำว่า บล็อกเชน อาจหมายถึงโครงสร้างข้อมูลใดก็ได้ที่รวมข้อมูลเข้าเป็นบล็อกที่ตราเวลา บล็อกเชนเช่นนี้สามารถใช้ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลพร้อมกันโดยมีข้อมูลหลายรุ่น (multiversion concurrency control, MVCC) และเป็นฐานข้อมูลแบบกระจาย[62] คือ คล้ายกับที่ MVCC ป้องกันธุรกรรมสองพวกไม่ให้เปลี่ยนเป้าหมายเดียวกันในฐานข้อมูล บล็อกเชนก็ป้องกันธุรกรรมสองพวกไม่ให้ใช้จ่ายทรัพย์สินเดียวกันพร้อมกันภายในบล็อกเชน[63]
ส่วนผู้ต่อต้านอ้างว่า ระบบที่ต้องได้อนุญาตจะเหมือนกับฐานข้อมูลบริษัททั่ว ๆ ไป ไม่สนับสนุนการยืนยันพิสูจน์ข้อมูลโดยไร้ศูนย์ และดังนั้น ระบบเช่นนี้ไม่ได้ป้องกันผู้ดำเนินการจากการลอบเปลี่ยนข้อมูล[57][59] เช่น ผู้สื่อข่าวของนิตยสารคอมพิวเตอร์ Computerworld กล่าวไว้ว่า "การแก้ปัญหาด้วยบล็อกเชนภายในองค์กรจะไม่ใช่อะไรนอกเหนือจากฐานข้อมูลที่ยุ่งยาก"[64] ดังนั้น นักวิเคราะห์ธุรกิจบางท่าน (Don Tapscott และ Alex Tapscott) จึงนิยามบล็อกเชนว่า เป็นบัญชีแยกประเภทหรือฐานข้อมูลแบยกระจายที่เปิดให้เข้าถึงได้ทุกคน[65]
ประโยชน์ดียิ่งของเครือข่ายบล็อกเชนแบบเปิด ไม่ต้องให้อนุญาต หรือเป็นสาธารณะ ก็คือ ไม่จำเป็นต้องป้องกันผู้ปฏิบัติการโดยไม่ชอบ และไม่ต้องควบคุมการเข้าถึง[66] นี่หมายความว่า โปรแกรมสามารถเพิ่มขึ้นภายในเครือข่ายเพื่อใช้บล็อกเชนเป็นชั้นขนส่ง (transport layer) โดยไม่ต้องได้การอนุมัติหรือความเชื่อใจของผู้อื่น[67] บิตคอยน์และเงินคริปโทสกุลอื่น ๆ ปัจจุบันรับประกันบล็อกเชนของตนโดยบังคับให้หน่วยข้อมูลใหม่มีการพิสูจน์ว่าได้ทำงาน[upper-alpha 2] เพื่อหน่วงเวลาการสร้างบล็อกเชน บิตคอยน์ใช้ปัญหา Hashcash ที่พัฒนาขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1990 (โดย Adam Back)[68]
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีบริษัทบริการทางการเงินที่ให้ความสำคัญแก่บล็อกเชนแบบกระจายศูนย์[69] โดยปี 2016 การร่วมลงทุน (venture capital) ในโปรเจ็กต์เกี่ยวกับบล็อกเชนได้ลดลงในสหรัฐอเมริกา แต่กำลังเพิ่มขึ้นในจีน[70] บิตคอยน์และเงินคริปโทอื่น ๆ มากมายใช้บล็อกเชนที่เป็นสาธารณะ โดยเดือนเมษายน 2018 บิตคอยน์มีมูลค่าตามราคาตลาดมากที่สุด
บล็อกเชนที่ต้องได้อนุญาตจะมีชั้นควบคุมการเข้าถึงเพื่อควบคุมว่า ใครสามารถเข้าถึงเครือข่ายได้[71] ไม่เหมือนกับเครือข่ายบล็อกเชนที่เป็นสาธารณะ ผู้เป็นเจ้าของเครือข่ายจะเป็นผู้เช็คผู้ที่จะยืนยันพิสูจน์ธุรกรรมในเครือข่าย เพราะเครือข่ายจะไม่อาศัยสถานีนิรนามเพื่อยืนยันความถูกต้องของธุรกรรม และจะไม่ได้ประโยชน์จากการมีสถานีเพิ่มขึ้น (network effect)[72][73] บล็อกเชนแบบต้องได้อนุญาตยังมีชื่ออื่น ๆ ว่า consortium blockchain หรือ hybrid blockchain[74]
นักข่าวของนิตยสารคอมพิวเตอร์ Computerworld กล่าวว่า "ไม่จำเป็นต้องมีการกระทำโดยไม่ชอบจากเครือข่าย 51% ในบล็อกเชนส่วนตัว เพราะบล็อกเชนส่วนตัวควบคุมทรัพยากรในการสร้างบล็อกใหม่ 100% อยู่แล้ว ถ้าคุณทำการไม่ชอบหรือทำอุปกรณ์การสร้างบล็อกเชนให้เสียหายบนเครื่องบริการของบริษัท คุณก็จะสามารถควบคุมเครือข่ายเท่ากับ 100% และสามารถเปลี่ยนธุรกรรมอย่างไรก็ได้ตามปรารถนา"[64] ซึ่งอาจมีผลเสียอย่างหนักในวิกฤตการณ์ทางการเงินหรือวิกฤติการณ์หนี้สิน เช่นใน วิกฤตการณ์การเงิน พ.ศ. 2550–2551 ที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองได้ตัดสินใจให้ประโยชน์กับคนบางกลุ่มโดยเป็นผลเสียกับกลุ่มอื่น ๆ[75][76] และ "บล็อกเชนของบิตคอยน์ได้การป้องกันจากการพยายามขุดหาเหรียญเป็นกลุ่มอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีโอกาสน้อยมากที่บล็อกเชนส่วนตัวจะพยายามป้องกันระเบียนโดยใช้พลังงานคอมพิวเตอร์เป็นกิกะวัตต์ ซึ่งทั้งใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายสูง"[64]
เขายังกล่าวด้วยว่า "ภายในบล็อกเชนส่วนตัว จะไม่มี 'การแข่งขัน' คือไม่มีแรงจูงใจให้ใช้กำลัง/พลังมากกว่าหรือขุดหาบล็อกให้เร็วกว่าคู่แข่ง ซึ่งก็หมายความว่า การแก้ปัญหาด้วยบล็อกเชนภายในองค์กรจะไม่ใช่อะไรนอกเหนือจากเป็นฐานข้อมูลที่ยุ่งยาก"[64]
การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้มีส่วนร่วมของบล็อกเชน อาจเป็นความท้าทายทางเทคนิคที่ขวางการยอมรับและการใช้บล็อกเชน ซึ่งยังไม่เป็นปัญหาเพราะผู้มีส่วนร่วมใช้บล็อกเชนจนถึงปัจจุบันได้ตกลง (ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยปริยาย) ใช้มาตรฐานข้อมูลอภิพันธุ์ (metadata standard) เดียวกัน การมีข้อมูลอภิพันธุ์มาตรฐาน จะเป็นวิธีที่ดีสุดสำหรับบล็อกเชนแบบต้องได้อนุญาต เช่น การจ่ายและการค้าขายทรัพย์สินที่มีจำนวนธุรกรรมสูงและมีผู้มีส่วนร่วมไม่กี่พวก เพราะมาตรฐานเช่นนี้จะลดค่าใช้จ่ายการดำเนินนงาน เพราะไม่ต้องแปลข้อมูลอย่างยุ่งยากระหว่างผู้มีส่วนร่วม
อย่างไรก็ดี ผู้ชำนาญการได้ชี้ว่า บล็อกเชนเพื่อการค้าที่มีจุดประสงค์ทั่วไป จะต้องมีระบบข้อมูลที่อธิบายตนเอง (self-describing data) เพื่อให้สถานีแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเองได้อย่างอัตโนมัติ[77] ระบบข้อมูลที่อธิบายตนเอง จะช่วยให้ระบบต่างหาก ๆ สามารถประมวลข้อมูลทั้งสองด้านในธุรกรรมได้ง่าย และสนับสนุนบล็อกเชนที่มีลักษณะไร้ศูนย์และเปิด ตามผู้ชำนาญการผู้นี้ โดยใช้ universal data interchange ข้อมูลที่อธิบายตนเองสามารถเพิ่มจำนวนผู้มีส่วนร่วมในบล็อกเชนเพื่อการค้าที่ต้องได้อนุญาต โดยไม่จำเป็นต้องมีบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนน้อยเป็นผู้ควบคุม[77]
ยกตัวอย่างเช่น มันจะโปรโหมตระบบเปิด โดยไม่ต้องใช้บริการสับเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic data interchange, EDI) ที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งก็คือ ไม่จำเป็นต้องแปลข้อมูลขององค์กรต่าง ๆ ให้เข้ากับแบบจำลองข้อมูลของผู้ให้บริการ EDI ข้อมูลที่อธิบายตนเองยังอำนวยการรวมข้อมูลระหว่างบล็อกเชนต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น การเชื่อมข้อมูลจากบล็อกเชนที่ติดตามการส่งยากับบล็อกเชนที่แสดงประวัติคนไข้ จะช่วยให้โรงพยาบาลหรือแพทย์ยืนยันได้ว่า ใบสั่งยามีผลให้คนไข้ได้ยาที่ถูกต้อง[78]
เพื่อให้บัญชีแยกประเภทซึ่งรักษาแบบรวม ๆ โดยชุมชนใช้งานได้ จะต้องมีวิธีรักษาความเที่ยงตรง 3 อย่าง ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปต่างหาก ๆ
เพื่อให้เจ้าของเท่านั้นสามารถใช้สินทรัพย์ที่บันทึกในบัญชี จะต้องมีวิธียืนยันความเป็นเจ้าของโดยอาศัยบัญชีแยกประเภทเท่านั้น ในเรื่องนี้ ธุรกรรมหนึ่ง ๆ ในบัญชีจะมีข้อมูลสามอย่าง คือ กุญแจสาธารณะของบุคคลที่สินทรัพย์ในธุรกรรมมาจาก กุญแจสาธารณะของบุคคลที่สินทรัพย์จะโอนไปยัง และข้อความที่เข้ารหัสเพื่อนุมัติธุรกรรมนี้ ซึ่งเป็นการเข้ารหัสด้วยกุญแจส่วนตัวของเจ้าของสินทรัพย์ ที่สามารถถอดรหัสโดยใช้กุญแจสาธารณะของเจ้าของนั้น ซึ่งบันทึกอยู่ในธุรกรรม เท่านั้น กระบวนการยืนยันเช่นนี้เรียกว่า ลายเซ็นดิจิทัล (digital signature) ซึ่งเป็นเรื่องคล้ายกับกระบวนการยืนยันเว็บไซต์ของโพรโทคอล https ให้สังเกตว่า กุญแจสาธารณะมีบทบาทสองอย่าง คือเป็นเหมือนกับเลขบัญชีเจ้าของ และสามารถใช้ตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลได้ด้วย
เนื่องจากการเข้ารหัสจะทำได้โดยแต่เจ้าของผู้มีกุญแจส่วนตัว และการถอดรหัสสามารถทำได้โดยทุกคนด้วยกุญแจสาธารณะ ทุกคนจึงสามารถเช็คเองได้ว่า คนที่กำลังถ่ายโอนสินทรัพย์จากเลขบัญชีซึ่งก็คือกุญแจสาธารณะ มีกุญแจส่วนตัวจริง ๆ ด้วยหรือไม่
บุคคลที่ต้องการโอนสินทรัพย์จะต้องมีสินทรัพย์ในบัญชีนั้น ๆ ในเรื่องนี้ ธุรกรรมเพื่อโอนสินทรัพย์จากบัญชีนั้น ๆ ต้องอ้างสินทรัพย์ที่ยังไม่ได้ใช้ของบัญชีนั้น ซึ่งเกิดมีขึ้นในอดีต ในระบบที่ไม่มีใครเชื่อใคร ทุกคนจึงจำเป็นต้องมีก๊อปปี้ของบัญชีแยกประเภททั้งหมด เพื่อให้สามารถอ้างอิงได้ว่า สินทรัพย์ที่ว่านี้มีจริง ๆ หรือไม่
การรักษาความเที่ยงตรงของธุรกรรมโดยเป็นลูกโซ่เช่นนี้ เรียกว่า transaction chain
แม้จะมีโซ่ธุรกรรมและลายเซ็นดิจิทัล แต่ก็ยังไม่สามารถบอกลำดับของธุรกรรมต่าง ๆ ได้ ทำให้อาจมีปัญหาการใช้ระบบโดยไม่ชอบ คือ
อีฟสามารถส่งเงินให้บ๊อบโดยระบุธุรกรรมในอดีตที่ได้ทรัพย์จากอะลิซ ซึ่งเธอสามารถส่งไปที่บัญชีของบ๊อบ ผู้ก็จะส่งสินค้าหรือให้บริการตามที่ตกลง เมื่อเธอได้รับสินค้าหรือการบริการแล้ว เธอยังสามารถใช้จ่ายเงินที่ได้จากอะลิซอีก โดยคราวนี้ส่งไปที่บัญชีของตัวเอง แล้วแพร่สัญญาณการโอนมูลค่าใหม่นี้ไปยังเครือข่ายที่เหลือ โดยอ้างว่า ได้ทำธุรกรรมนี้ก่อน แต่เครือข่ายที่เหลือไม่สามารถรู้ได้ว่า ธุรกรรมไหนเกิดขึ้นก่อน ถ้าเครือข่ายยอมรับการโอนมูลค่าที่อีฟส่งไปให้ตัวเอง การจ่ายเงินให้บ๊อบก็จะกลายเป็นธุรกรรมที่ไม่ถูกต้อง เพราะอ้างถึงสินทรัพย์ในธุรกรรมที่ได้ใช้ไปแล้ว
เพื่อป้องกันการใช้ระบบโดยไม่ชอบเช่นนี้ ก็จะต้องมีวิธีรักษาลำดับของธุรกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่บล็อกเชนช่วยได้[80] เพราะธุรกรรมของบล็อกเชนจะรวมกลุ่มเป็นบล็อก ที่สมมุติว่า เกิดขึ้นพร้อมกัน ดังนั้น โซ่ของบล็อกจึงเป็นตัวบอกลำดับธุรกรรม
ในบล็อกเชนของบิตคอยน์ เพื่อจะเพิ่มบล็อกเข้าในโซ่ ผู้บันทึกธุรกรรมจะรวมข้อมูลดังต่อไปนี้คือ[81]
ผู้สร้างบล็อก (สถานี) จะคำนวณค่าแฮชของบล็อกนี้ (ซึ่งแสดง proof-of-work[upper-alpha 2]) โดยมีค่าทั้งสามนี้เป็นข้อมูลขาเข้าของฟังก์ชันแฮช และค่า nonce จะเป็นค่าที่เพิ่มขึ้นจนกระทั่งค่าแฮชที่คำนวณผ่านกฎเกณฑ์ว่าใช้ได้[82] โดยกฎเกณฑ์ของบล็อกเชนจะทำให้ต้องใช้เวลาคำนวณประมาณ 10 นาทีเพื่อหาค่าที่ถูกต้องและใช้ได้[19][20]
เมื่อสถานีคำนวณได้ค่าแฮช มันก็จะแพร่สัญญาณแสดงบล็อกที่มันต้องการเพิ่มเข้าในโซ่ พร้อมกับค่าแฮช (คือ proof-of-work) ของบล็อก เครือข่ายที่เหลือจะตรวจความถูกต้องของข้อมูลในบล็อกแล้วต่อบล็อกใหม่เข้าเป็นลูกโซ่ของบล็อกเชน อย่างไรก็ดี โซ่อาจเกิดมีหลายสาขาเพราะบางส่วนของเครือข่ายอาจจะอยู่แยกออกเป็นระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น แต่ละสถานีก็จะเลือกโซ่ที่ยาวสุดแล้วพยายามเพิ่มบล็อกในสายโซ่นั้นเท่านั้น[83]
การฉ้อฉลดังที่อีฟใช้ตามที่ว่า บัดนี้สามารถป้องกันได้โดยเหตุผลสามอย่าง คือ
สมมุติว่า อีฟต้องการเปลี่ยนบล็อกย้อนหลังกลับไป 6 บล็อกในลูกโซ่ เนื่องจากเหตุผลแรก เธอก็จะต้องคำนวณค่าแฮชของบล็อก 5 บล็อกที่ตามต่อมา หลังจากนั้น เนื่องจากเหตุผลที่สอง เธอก็จะต้องตามให้ทันเครือข่ายที่เหลือโดยเติมโซ่ให้มีบล็อกจำนวนมากกว่าทั้งเครือข่ายที่เหลือรวมกัน และเนื่องจากเหตุผลที่สาม การทำเช่นนี้จะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น บล็อกเชนจึงปลอดภัยเนื่องจากงานที่ต้องทำเพื่อเพิ่มบล็อก กล่าวอีกอย่างก็คือ มีคู่แข่งจำนวนมากที่แข่งขันเพื่อเพิ่มบล็อกต่อไป ทำให้ผู้กระทำผู้เดียวมีโอกาสน้อยมากที่จะแข่งชนะคู่แข่งที่เหลือทั้งหมดโดยเฉพาะเมื่อมีบล็อกต่อ ๆ มาเป็นจำนวนมาก
นี่จึงหมายว่า บล็อกยิ่งลึกเท่าไรในโซ่ก็ยิ่งปลอดภัยขึ้นเท่านั้น เพื่อให้บล็อกเชนสามารถรับประกันความปลอดภัยเช่นนี้ได้ มันจะต้องมีผู้เข้าร่วมคือสถานีเป็นจำนวนมาก เป็นการป้องกันบุคคลเดียวไม่ให้มีพลังการคำนวณโดยเปรียบเทียบมากเกินไป ซึ่งเท่ากับลดอิทธิพลที่แต่ละคน ๆ จะมีต่อบล็อกเชนที่นับว่าถูกต้อง ดังนั้น จึงต้องมีแรงจูงใจให้บุคคลต่าง ๆ พยายามคำนวณค่าแฮชและเพิ่มบล็อก ในระบบบิตคอยน์ปัจจุบัน นี่ทำโดยให้รางวัลเป็นบิตคอยน์แก่ผู้ที่เพิ่มบล็อก
เมื่อสถานีหนึ่งเข้าร่วมเพื่อเป็นผู้เพิ่มบล็อก (ในระบบบิตคอยน์คือเข้าร่วมเป็นผู้ขุดหาเหรียญ) ขั้นตอนแรกที่จะต้องทำก็คือดาวน์โหลดและยืนยันความถูกต้องของบัญชีแยกประเภททั้งหมด (บล็อกเชตของบิตคอยน์โดยเดือนเมษายน 2018 ได้ถึงขนาด 160 GB แล้ว[25]) รวมทั้ง
เมื่อยืนยันสำเร็จแล้ว ก็เพียงแต่ต้องพิสูจน์ยืนยันบล็อกใหม่ ๆ ว่า ผ่านเกณฑ์ 3 อย่างนี้หรือไม่เท่านั้น
เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถใช้ได้ในการต่าง ๆ ปัจจุบันจะใช้โดยหลักเป็นบัญชีแยกประเภทแบบกระจายของเงินคริปโท โดยเด่นที่สุดก็คือบิตคอยน์[84] แม้ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งอินเดีย จีน สหรัฐอเมริกา สวีเดน สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ และสหราชอาณาจักร กำลังศึกษาการออกเงินคริปโทโดยธนาคารกลาง แต่ก็ยังไม่มีธนาคารใดที่ได้ลงมือทำการ[84]
เทคโนโลยีบล็อกเชนมีโอกาสเปลี่ยนการดำเนินงานในระยะยาวของธุรกิจสูง คือ เทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทของบล็อกเชน เป็นนวัตกรรมพื้นฐาน ซึ่งมีโอกาสสร้างรากฐานใหม่ ๆ สำหรับระบบเศรษฐกิจโลกและระเบียบทางสังคมได้มากกว่าเทคโนโลยีแบบ disruptive ซึ่งปกติจะ "โจมตีแบบจำลองการทำธุรกิจธรรมดา ด้วยการแก้ปัญหาที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และเอาชนะบริษัทที่กำลังครองตลาดอยู่ได้อย่างรวดเร็ว"[10] อย่างไรก็ดี ก็ยังมีผลิตภัณฑ์น้อยอย่างที่ใช้การได้โดยปลายปี 2016[70]
แม้บล็อกเชนอาจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพอย่างสำคัญต่อซัพพลายเชนโลก ธุรกรรมทางการเงิน บัญชีแยกประเภทของสินทรัพย์ และเครือข่ายสังคมที่ไร้ศูนย์[10] โดยปี 2016 ผู้สังเกตการณ์บางคนก็ยังไม่มั่นใจ และผู้ชำนาญการบางท่านก็เชื่อว่า เทคโนโลยีนี้โฆษณาเกินเหตุโดยมีข้ออ้างที่ไม่สามารถเป็นจริง[85]
เพื่อลดความเสี่ยง ธุรกิจปกติจะไม่ใช้บล็อกเชนเป็นแกนในการทำธุรกิจ[86] ซึ่งหมายความว่า โปรแกรมที่ใช้บล็อกเชนโดยเฉพาะ ๆ อาจเป็นนวัตกรรมแบบ disruptive เพราะการแก้ปัญหาที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าอาจทำได้ ซึ่งจะสามารถเอาชนะการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ[10]
โพรโทคอลของบล็อกเชน อำนวยให้ธุรกิจสามารถใช้วิธีใหม่ ๆ ในการประมวลผลธุรกรรมแบบดิจิทัล[87] รวมทั้งระบบการจ่ายและเงินดิจิทัล การหาเงินทุนจากมวลชน (crowdfunding) หรืออิมพลิเม้นต์ตลาดที่ใช้พยากรณ์ผล (prediction market) และเครื่องมือในการปกครองทั่วไป[88]
บล็อกเชนลดความจำเป็นต้องมีผู้ให้บริการที่เชื่อใจ (trust service provider) ซึ่งคาดว่า จะมีผลลดทุนที่ติดอยู่กับข้อพิพาท บล็อกเชนมีโอกาสสลดความเสี่ยงทั้งระบบและการฉ้อฉลทางการเงิน ช่วยทำกระบวนการที่ก่อนหน้านี้ใช้เวลามากและต้องทำด้วยมือให้เป็นอัตโนมัติ เช่น การก่อตั้งนิติบุคคล[89] โดยทฤษฎี จะสามารถเก็บภาษี โอนกรรมสิทธิ์ และจัดการความเสี่ยงด้วยบล็อกเชน
เมื่อใช้เป็นบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย บล็อกเชนลดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบพิสูจน์ธุรกรรม และกำจัดการต้องมีบุคคลที่สามที่เชื่อใจ เช่นธนาคาร เพื่อทำธุรกรรมให้สำเร็จ เทคโนโลยีนี้ยังลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับจัดตั้งเครือข่ายเพราะมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจเพื่อก่อตั้งสถานีในเครือข่ายในตัว และดังนั้นจึงอำนวยให้สามารถประยุกต์ใช้ได้อีกหลายอย่าง[35] โดยเริ่มจากโปรแกรมทางการเงิน เทคโนโลยีบล็อกเชนปัจจุบันกำลังขยายใช้ในโปรแกรมประยุกต์ไร้ศูนย์ และในองค์กรที่ทำงานร่วมกันโดยไม่ต้องอาศัยคนกลาง[90]
Emmanuel Noah, CEO of Ghanaian startup BenBen, New York Observer[91]
บริษัทตรวจสอบบัญชีบิกโฟร์ แต่ละบริษัทกำลังตรวจสอบเทคโนโลยีบล็อกเชนโดยประการต่าง ๆ บริษัทอีวายได้สร้างกระเป๋าเงินคริปโทให้แก่พนักงานบริษัทในสวิตเซอร์แลนด์ทุกคน[97] และได้ติดตั้งเครื่องเอทีเอ็มสำหรับบิตคอยน์ในสำนักงานประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และรับบิตคอยน์เพื่องานบริการให้คำแนะนำทุกชนิด[98] ประธานบริหารบริษัทอีวายสวิตเซอร์แลนด์กล่าวว่า "เราไม่ต้องการเพียงแค่พูดเรื่องการเปลี่ยนเป็นระบบดิจิทัล แต่ต้องการผลักดันกระบวนการนี้พร้อมกับพนักงานและลูกค้าของเรา มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราว่า ทุกคนสนับสนุนการถึงเป้าหมายและเตรียมตัวเพื่อการปฏิวัติที่จะเกิดในโลกธุรกิจผ่านบล็อกเชน ผ่านสัญญาสมาร์ต และเงินดิจิทัล"[98] ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ ดีลอยต์ทูชโทมัตสุ และเคพีเอ็มจี ต่างก็กำลังดำเนินการต่าง ๆ กัน และทั้งหมดต่างก็กำลังทดสอบเทคโนโลยีบล็อกเชนส่วนตัว[98]
สัญญาสมาร์ต (smart contract) ที่อาศัยบล็อกเชนเป็นสัญญาที่สามารถทำให้เสร็จสิ้นหรือเป็นบางส่วน โดยไม่ต้องมีเกี่ยวข้องกับบุคคลต่าง ๆ[99] เป้าหมายหลักอย่างหนึ่งของสัญญาประเภทนี้ก็คือ การจ่ายเงินให้กับบุคคลที่ควรจ่ายอัตโนมัติเมื่อข้อแม้ในสัญญาเพื่อให้จ่ายสำเร็จลงแล้ว (automated escrow) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เชื่อว่า บล็อกเชนอาจลดภาวะเสี่ยงภัยทางศีลธรรม (moral hazard)[upper-alpha 4] และอาจทำการใช้สัญญาให้มีประสิทธิภาพมากสุด อย่างไรก็ดี เนื่องจากยังไม่ได้ใช้อย่างกว้างขวาง ผลทางกฎหมายของมันจึงยังไม่ชัดเจน[100]
งานทำให้เกิดผลเกี่ยวกับบล็อกเชนบางอย่าง อาจทำให้สามารถเขียนโปรแกรมทำสัญญาที่จะดำเนินการเมื่อข้อแม้บางอย่างสมบูรณ์แล้ว สัญญาสมาร์ตที่ใช้บล็อกเชน จะทำได้ด้วยคำสั่งในภาษาโปรแกรมที่ต่อยอดได้ (extensible programming) เพื่อกำหนดและดำเนินการข้อตกลง[101] ยกตัวอย่างเช่น Ethereum Solidity เป็นโปรเจ็กต์บล็อกเชนแบบโอเพนซอร์ซที่ออกแบบเพื่อให้ทำเช่นนี้ได้ โดยอิมพลิเม้นต์สมรรถภาพของภาษาโปรแกรมที่มีคุณสมบัติอเนกประสงค์ในการคำนวณ (Turing complete)[upper-alpha 5] เพื่อทำให้เกิดผลสำหรับสัญญาเช่นนี้ได้[102]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
นักวิชาการชาวแคนาดา (Don Tapscott) ได้ทำงานวิจัยสองปีที่ตรวจสอบว่า เทคโนโลยีบล็อกเชนจะสามารถเก็บและถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ในเรื่องของ "เงิน ที่ดิน หลักทรัพย์ ดนตรี ศิลปะ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ทรัพย์สินทางปัญญา และแม้กระทั่งการออกเสียงเลือกตั้ง" ได้อย่างไร[65] นอกจากนั้น ยังมีบริษัทในอุตสาหกรรมการเงินที่กำลังอิมพลิเม้นต์บัญชีแยกประเภทแบบกระจายเพื่อใช้ในธุรกรรมของธนาคาร[111][112][113] ซึ่งตามงานศึกษาเดือนกันยายน 2016 ของไอบีเอ็ม นี่กำลังเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด[114]
ธนาคารสนใจในเทคโนโลยีนี้ก็เพราะมีโอกาสเพิ่มความเร็วการปิดบัญชีกับธนาคารอื่น ๆ ในแต่ละวัน[115] ธนาคารเช่น UBS (สวิตเซอร์แลนด์) กำลังเปิดศูนย์วิจัยใหม่โดยเฉพาะ ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อตรวจดูว่าสามารถใช้ในบริการทางการเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายได้หรือไม่[116][117]
รัสเซียเป็นประเทศแรกที่อิมพลิเม้นต์บล็อกเชนเพื่อใช้การในระดับรัฐบาล คือ ธนาคารรัฐ Sberbank ได้ประกาศเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2017 ว่าเป็นหุ้นส่วนกับ Russia's Federal Antimonopoly Service (FAS) เพื่ออิมพลิเม้นต์การถ่ายโอนและเก็บเอกสารผ่านบล็อกเชน[118]
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ริเริ่มโครงการอินทนนท์ ร่วมกับสถาบันการเงิน 8 แห่ง โดยมี ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารธนชาต, ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น และบริษัท R3 เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้ DLT กับระบบการชำระเงินของประเทศ ในลักษณะ "ลองเพื่อรู้ ดูว่าทำได้" (Proof of Concept) เป็นต้นแบบในการพัฒนาระบบการชำระเงินต้นแบบเพื่อเป็นรากฐานสำหรับการพัฒนาระบบการเงินของไทยในอนาคต[119] และเป็นต้นแบบในการชำระเงินโดยใช้สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency: CBDC)[120]
การใช้การอื่น ๆ เกี่ยวกับธนาคารรวมทั้ง
เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถใช้สร้างบัญชีแยกประเภทที่ถาวร เป็นสาธารณะ และโปร่งใส สำหรับข้อมูลการซื้อขาย เก็บข้อมูลกรรมสิทธิ์ เช่น การลงทะเบียนลิขสิทธิ์[128] และติดตามการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลและการจ่ายค่าทดแทนให้แก่เจ้าของ เช่น ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สาย[129] และนักดนตรี[130]
การออกแบบใช้บล็อกเชนที่ไม่เกี่ยวกับเงินคริปโทโดยตรงที่เด่นรวมทั้ง
ไมโครซอฟท์ วิชวลสตูดิโอกำลังพัฒนาให้ผู้พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ใช้ภาษา Ethereum Solidity ได้[145]
ไอบีเอ็มให้บริการ cloud blockchain service โดยอาศัยโปรเจ็กต์ Hyperledger Fabric ซึ่งเป็นระบบโอเพนซอร์ซ[146][147]
หน่วย Oracle Cloud ของบริษัทออราเคิล คอร์ปอเรชั่นให้บริการ Blockchain Cloud Service โดยอาศัย Hyperledger Fabric และบริษัทก็ได้เข้าร่วมในกลุ่มธุรกิจ Hyperledger ด้วย[148][149]
ในเดือนสิงหาคม 2016 ทีมนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งมิวนิก ได้พิมพ์ผลงานวิจัยว่า บล็อกเชนจะสามารถเปลี่ยนการดำเนินงานของธุรกิจต่าง ๆ ได้อย่างไร พวกเขาได้วิเคราะห์เงินร่วมลงทุนในบริษัทเกี่ยวกับบล็อกเชน และพบว่า 1,550 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 48,252 ล้านบาท) ได้ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับการเงินและประกันภัย ข้อมูลและการสื่อสาร และบริการมืออาชีพ (professional service) โดยมีการลงทุนมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และแคนาดา[150]
ธนาคาร ABN Amro ได้ประกาศโปรเจ็กต์อสังหาริมทรัพย์ที่ช่วยอำนวยการแชร์และบันทึกธุรกรรมทางอสังหาริมทรัพย์ และโปรเจ็กต์ที่สองซึ่งเข้าหุ้นกับท่าเรือเมืองรอตเทอร์ดามเพื่อพัฒนาเครื่องมือทางโลจิสติกส์[151]
ในเดือนกันยายน 2015 มีการประกาศจัดตั้งวารสารวิชาการที่ทบทวนโดยผู้รู้เสมอกัน เพื่อเฉพาะงานวิจัยเกี่ยวกับเงินคริปโทและเทคโนโลยีบล็อกเชน ชื่อว่า Ledger โดยฉบับแรกได้ตีพิมพ์ในเดือนธันวาคม 2016[152][153] วารสารพิมพ์ประเด็นในเรื่องคณิตศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรม กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ และปรัชญาที่เกี่ยวกับเงินคริปโท เช่น บิตคอยน์[154][155]
วารสารสนับสนุนให้ผู้เขียนประทับชื่อแบบดิจิทัลสำหรับค่าแฮชของไฟล์ที่ส่งให้วารสาร ซึ่งก็จะลงตราเวลาใส่เข้ากับบล็อกเชนของบิตคอยน์ต่อไป วารสารยังขอให้ผู้เขียนแสดงที่อยู่บิตคอยน์ส่วนตัวในหน้าแรกของเอกสารอีกด้วย[156]
สภาเศรษฐกิจโลกได้รายงานในเดือนกันยายน 2015 ว่า โดยปี 2025 ข้อมูล 10% ของ GDP ทั่วโลกจะบันทึกลงในเทคโนโลยีบล็อกเชน[157][158]
ต้นปี 2017 ศาสตราจารย์สองท่านแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Marco Iansiti และ Karim R. Lakhani) กล่าวว่าบล็อกเชนไม่ใช่ disruptive technology ที่เพียงแค่ลดค่าใช้จ่ายของการดำเนินการธุรกิจตามปกติ แต่เป็น foundational technology (เทคโนลียีที่เป็นฐาน) ที่ "มีโอกาสสร้างฐานเศรษฐกิจและระบบสังคมใหม่ ๆ ของเรา" แล้วพยากรณ์นอกจากนั้นอีกว่า แม้นวัตกรรมที่เป็นฐานจะมีผลมหาศาล แต่ "มันจะใช้เวลาเป็นทศวรรษ ๆ เพื่อที่บล็อกเชนจะซึมทราบเข้าในโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมของเรา"[10]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.