ดอนัลด์ ทรัมป์
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา / From Wikipedia, the free encyclopedia
ดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์ (อังกฤษ: Donald John Trump;[lower-alpha 1] เกิด 14 มิถุนายน ค.ศ. 1946) เป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 และยังเป็นนักธุรกิจ, พิธีกรรายการโทรทัศน์[3] และนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์หลายเรื่อง และเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ เดอะทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา ทรัมป์ยังเป็นผู้ก่อตั้งทรัมป์เอนเตอร์เทนเมนต์รีสอร์ต ที่มีกิจการกาสิโนและโรงแรมหลายแห่งทั่วโลก[4] และด้วยการใช้ชีวิตที่หรูหรา[5]และการพูดจาที่โผงผางทำให้เขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงและได้รับการจับตามองจากสื่อมากที่สุดคนหนึ่งในโลก[6] อีกทั้งยังส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จในรายการเรียลลิตี้โชว์ทางช่องเอ็นบีซี ภายใต้ชื่อ The Apprentice (ที่ซึ่งเขารับตำแหน่งพิธีกรและผู้อำนวยการสร้างควบคู่กัน)
ดอนัลด์ ทรัมป์ | |
---|---|
ภาพถ่ายทางการ ค.ศ. 2017 | |
ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 45 | |
ดำรงตำแหน่ง 20 มกราคม ค.ศ. 2017 – 20 มกราคม ค.ศ. 2021 (4 ปี 0 วัน) | |
รองประธานาธิบดี | ไมก์ เพนซ์ |
ก่อนหน้า | บารัก โอบามา |
ถัดไป | โจ ไบเดิน |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | ดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์ (1946-06-14) 14 มิถุนายน ค.ศ. 1946 (78 ปี) นครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา |
พรรคการเมือง |
|
คู่สมรส |
|
บุตร |
|
ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย |
วิชาชีพ | นักธุรกิจ พิธีกรรายการโทรทัศน์ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์/รายการโทรทัศน์ นักการเมือง |
ลายมือชื่อ | |
ทรัมป์เกิดและเติบโตในนครนิวยอร์ก เขาเป็นบุตรคนที่ 4 ใน จำนวน 5 คนของเฟรด ทรัมป์ เศรษฐีผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในนครนิวยอร์ก เขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากพ่อของเขาในเป้าหมายของอาชีพการเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์[7] และเมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนธุรกิจวอร์ตันแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในปี 1963 ดอนัลด์ ทรัมป์ได้เข้าร่วมบริษัททรัมป์ออร์กาไนเซชันของผู้เป็นพ่อ เริ่มงานโดยการปรับปรุงโรงแรมคอมมอดอร์เป็นแกรนด์ไฮแอตต์กับครอบครัวพริตซ์เกอร์ เขายังคงดำเนินงานทรัมป์ทาวเวอร์ในนิวยอร์ก และหลายโครงการที่พักอยู่อาศัย ต่อมาทรัมป์ยังขยับขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมการบิน[8] และธุรกิจกาสิโนแอตแลนติกซิตี รวมถึงการซื้อทัชมาฮาลคะซีโน จากครอบครัวครอสบี แต่ก็ประสบกับภาวะล้มละลาย ข่าวส่วนมากในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ของเขามักเกี่ยวกับด้านปัญหาการเงิน
ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 หลังจากฟื้นด้านธุรกิจและชื่อเสียง ในปี 2001 เขาสร้างทรัมป์เวิลด์ทาวเวอร์สำเร็จ เป็นอาคารที่อยู่อาศัย 72 ชั้น อยู่ตรงข้ามสำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ[9] เขายังเริ่มสร้างทรัมป์เพลซ กลุ่มอาคารหลายหลังริมแม่น้ำฮัดสัน นอกจากนี้ทรัมป์ยังเป็นเจ้าของพื้นที่การค้าในทรัมป์อินเตอร์แนชชันแนลโฮเตลแอนด์ทาวเวอร์ อาคาร 44 ชั้น (โรงแรมและอาคารชุดรวมกัน) ทรัมป์เป็นเจ้าของพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ในแมนแฮตตันหลายล้านตารางฟุต[10]จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลสำคัญทางด้านอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาและเป็นคนมีชื่อเสียงสำคัญกับสื่อมวลชน ทรัมป์ยังเป็นเจ้าของกิจการการประกวดนางงามจักรวาล และได้ยึดอาชีพทางธุรกิจรวมทั้งงานบันเทิงมาตลอดหลายสิบปีก่อนที่จะประกาศเจตนารมณ์ของตนเองอย่างชัดเจนต่อสาธารณะว่าเขาจะลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016
ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2016 โดยชนะฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ด้วยวัย 70 ปี ทรัมป์เป็นบุคคลอายุมากที่สุด (ในขณะนั้น) และมีทรัพย์สินมากที่สุดที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เป็นบุคคลแรกที่ไม่เคยรับราชการทหารหรือข้าราชการมาก่อน และเป็นบุคคลที่สี่ที่ได้รับเลือกตั้งโดยไม่ได้คะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งข้างมากทั่วประเทศ ทรัมป์กล่าวข้อความเท็จหรือชักจูงให้เข้าใจผิดหลายครั้งทั้งก่อนดำรงตำแหน่งและในตำแหน่ง ซึ่งมีผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงบันทึกไว้ และสื่ออธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างกว้างขวางว่าไม่เคยมีมาก่อนในการเมืองสหรัฐ ความเห็นและการกระทำหลายอย่างของเขามีลักษณะแบบนิยมเชื้อชาติ
แนวนโยบายของทรัมป์เน้นการเจราความสัมพันธ์สหรัฐ–จีนและความตกลงการค้าเสรีใหม่ เช่น นาฟตาและความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก การบังคับใช้กฎหมายการเข้าเมืองอย่างแข็งขัน การสร้างกำแพงใหม่ตามชายแดนสหรัฐ–เม็กซิโก จุดยืนอื่นของเขาได้แก่การมุ่งอิสระทางพลังงานขณะที่ค้านข้อบังคับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอื่น เช่น แผนพลังงานสะอาดและความตกลงปารีส ปฏิรูปกิจการทหารผ่านศึก แทนที่รัฐบัญญัติการบริบาลที่เสียได้ (Affordable Care Act) การเลิกมาตรฐานการศึกษาคอมมอนคอร์ (Common Core) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การลดความยุ่งยากของประมวลรัษฎากร (ประมวลกฎหมายภาษี) ขณะที่ลดภาษีแก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และกำหนดภาษีนำเข้าต่อบริษัทที่จ้างงานนอกประเทศทำให้เกิดสงครามการค้ากับประเทศจีน ทรัมป์ส่งเสริมแนวนโยบายต่างประเทศที่ไม่แทรกแซงเสียส่วนใหญ่ ขณะที่เพิ่มรายจ่ายทางทหาร "การตรวจสอบภูมิหลังเต็มที่" ของคนเข้าเมืองมุสลิมเพื่อป้องกันการก่อการร้ายอิสลามในประเทศ รับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล และถอนทหารสหรัฐออกจากภาคเหนือของซีเรีย เขาพบกับคิม จ็อง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือสามครั้ง แต่การเจรจาเรื่องลดอาวุธนิวเคลียร์ล้มเหลว นักวิชาการและนักวิจารณ์อธิบายจุดยืนของทรัมป์ว่าเป็นประชานิยม ลัทธิคุ้มครองและชาตินิยม เขาได้รับการวิจารณ์ในกรณีการรับมือการระบาดของไวรัสโคโรนาที่ล่าช้า โดยเพิกเฉยต่อคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขรวมทั้งให้ข้อมูลเท็จในการรักษา ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมาก
ภายหลังทรัมป์ปลดเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการเอฟบีไอในปี 2017 กระทรวงยุติธรรมแต่งตั้งรอเบิร์ต มอลเลอร์เป็นที่ปรึกษาพิเศษในการสืบสวนเรื่องการประสานงานหรือความเชื่อมโยงระหว่างการรณรงค์ทรัมป์และรัฐบาลรัสเซียเกี่ยวกับการแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐของรัสเซียปี 2016 และประเด็นที่เกี่ยวข้อง ผลการสอบสวนระบุว่าทรัมป์และคณะรณรงค์หาเสียงของเขาต้อนรับและส่งเสริมการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้งนั้น แต่ไม่พบหลักฐานเพียงพอตั้งข้อหาสมคบคิดหรือร่วมมือกับรัสเซีย มอลเลอร์ยังสอบสวนทรัมป์ฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ซึ่งรายงานของเขาสรุปโดยไม่ได้ฟ้องคดีอาญาอุกฉกรรจ์หรือว่าเขาพ้นจากความรับผิดในข้อหานั้น หลังทรัมป์ร้องขอให้ยูเครนสอบสวนโจ ไบเดิน คู่แข่งทางการเมืองของเขา สภาผู้แทนราษฎรดำเนินกระบวนพิจารณาและลงมติให้ถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2019 ฐานละเมิดอำนาจและขัดขวางรัฐสภา แต่วุฒิสภาลงคะแนนเสียงว่าทรัมป์ไม่มีความผิดทั้งสองข้อหาในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ต่อมา ใน ค.ศ. 2021 เขาถูกยื่นถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่งเป็นครั้งที่สอง จากการปลุกระดมกลุ่มผู้สนับสนุนในเหตุการณ์จลาจล ณ อาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 ส่งผลให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐที่ถูกยื่นถอดถอนโดยสภาผู้แทนราษฎรถึง 2 ครั้ง
ทรัมป์แพ้การเลือกตั้งให้แก่ไบเดินใน ค.ศ. 2020 เขาถือเป็นประธานาธิบดีคนที่ 6 ที่ไม่สามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้เป็นสมัยที่สอง[11] โดยทรัมป์ปฏิเสธการยอมรับผลการเลือกตั้งและเรียกร้องให้มีการนับคะแนนใหม่ในหลายพื้นที่[12] หลังพ้นจากตำแหน่ง เขายังมีบทบาททางการเมืองในพรรคริพับลิกัน รวมถึงการสนับสนุนการเลือกตั้งในช่วงกลางปี 2022 และในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2022 เขาประกาศลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในการเลือกตั้งปี 2024[13] ต่อมา ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2022 คณะกรรมการสอบสวนเหตุจลาจลวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 ตั้งข้อหาทางอาญาต่อทรัมป์ ฐานมีส่วนร่วมในความพยายามพลิกผลการเลือกตั้งปี 2020 รวมทั้งสนันสนุนการก่อจลาจล และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 คณะลูกขุนใหญ่แห่งแมนแฮตตันได้ตั้งข้อหาต่อทรัมป์ในความผิดฐานปลอมแปลงบันทึกทางธุรกิจมากถึง 34 กระทง รวมถึงความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศและหมิ่นประมาทอดีตคอลัมนิสต์นิตยสารชาวอเมริกันใน ค.ศ. 2024 ส่งผลให้เขาเป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ถูกตั้งข้อหาทางอาญา[14][15] ทรัมป์ได้รับการจัดอันดับโดยนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์บางกลุ่มให้เป็นหนึ่งในประธานาธิบดีสหรัฐที่แย่ที่สุด[16][17] เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2024 ทรัมป์รอดชีวิตจากเหตุลอบสังหารในขณะหาเสียง ณ เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย ในขณะที่ผู้ก่อเหตุได้ถูกวิสามัญฆาตรกรรมโดยเจ้าหน้าที่อารักขา[18]