Loading AI tools
เบญจมฯ สมนามงามสง่า จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ (อังกฤษ: Benchamaracharungsarit School) (อักษรย่อ : บ.ฉ. / BRR) เป็นโรงเรียนรัฐบาลสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่เลขที่ 222 ถนนชุมพล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์เป็นโรงเรียนสหศึกษาระดับมัธยมศึกษา ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2435 เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ Benchamaracharungsarit School | |
---|---|
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ในปี พ.ศ. 2556 | |
เลขที่ 222 ถนนชุมพล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 24000 | |
ข้อมูล | |
ชื่ออื่น | บ.ฉ. / BRR |
ประเภท | โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ |
คำขวัญ | สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี ความพร้อมเพรียงแห่งหมู่คณะนำมาซึ่งความสุข |
สถาปนา | 20 มิถุนายน พ.ศ. 2435 |
ผู้ก่อตั้ง | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ผู้อำนวยการโรงเรียน | นายชัชชัย พุทธสุวรรณ์ |
ระดับชั้น | มัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 |
ภาษาที่ใช้เป็นสื่อการสอน | ภาษาไทย อังกฤษ IEP, แผนอังกฤษ - จีน ภาษาจีน แผนอังกฤษ - จีน |
วิทยาเขต | เบญจมราชรังสฤษฎิ์ ศูนย์บางเตย |
ขนาดวิทยาเขต | 34 ไร่ 82 ตารางวา |
สี | น้ำเงิน-เหลือง |
เพลง | มาร์ชเบญจมราชรังสฤษฎิ์ |
สังกัด | สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (เดิม : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6) |
ศิษย์เก่า | สมาคมศิษย์เก่าเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ฉะเชิงเทรา |
ดอกไม้ | ดอกแก้วเจ้าจอม |
เว็บไซต์ | www |
เดิมโรงเรียนนี้เคยเป็นโรงเรียนประจำมณฑลปราจีนบุรี[1] และใช้ชื่อว่า โรงเรียนเบญจมราชูทิศ[1]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เริ่มก่อตั้งครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2435 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[2]
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในกรุงเทพฯ หลายแห่ง ให้ตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรเป็นแห่งแรกที่วัดมหรรณพาราม เมื่อ พ.ศ. 2427 และจัดตั้งโรงเรียนกระจายไปตามหัวเมืองต่าง ๆ
ต่อมาประกาศตั้งกรมศึกษาธิการขึ้น เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2430 เพื่อให้ดูแลจัดการการศึกษาโดยเฉพาะ และเมื่อมีโรงเรียนเพิ่มมากยิ่งขึ้น จึงฐานะกรมศึกษาธิการเป็นกระทรวงธรรมการ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 และทรงมีพระราชปรารภว่ายังสามารถให้การศึกษาแก่ราษฎรได้อย่างทั่วถึง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศตั้ง “โรงเรียนมูลสามัญศึกษา” ขึ้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2435 ครูผู้สอนในสมัยนั้น ได้แก่พระภิกษุที่อยู่ในวัดและจัดสอนตามหลักสูตรสามัญ แบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ โรงเรียนมูลสามัญชั้นต่ำ โรงเรียนมูลสามัญชั้นสูง
โดยส่วนหนึ่งในประกาศระบุว่า “บรรดาโรงเรียนซึ่งตั้งในพระอารามแลวัดต่าง ๆ ประกาศนี้ ถ้าสอนตามแบบเรียนหลวงแล้ว ให้นับเป็นโรงเรียนหลวงทั้งสิ้น”[3] จากประกาศฉบับนี้มีผลทำการตั้งโรงเรียนขึ้นตามวัดต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร รวมทั้งจังหวัดฉะเชิงเทราด้วย จึงนับว่าการประกาศตั้งโรงเรียนมูลสามัญศึกษาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2435 หมายรวมถึงที่วัดสายชล ณ รังษี (แหลมบน) จึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็ฯโรงเรียนมูลสามัญศึกษาโรงเรียนหนึ่งของเมืองฉะเชิงเทรา โดยใช้ชื่อโรงเรียนตามชื่อวัด ใช้ศาลาการเปรียญของวัดเป็นสถานศึกษาเล่าเรียนเปิดสอนทั้งชั้นมูลและชั้นประถม โรงเรียนวัดสายชล ณ รังษี (แหลมบน) จึงเป็นโรงเรียนหลวงของเมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งขณะนั้นเจ้าคณะจังหวัด คือ ครูญาณรังษีมุนีวงษ์ (พระครูมี) ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส ต่อมามีประชาชนส่งบุตรหลานมาเรียนมากขึ้น จึงใช้โรงทึมที่หลวงอาณัติจีนประชาสร้างขึ้นเพื่อบำเพ็ญกุศลศพของพระวิสูตรจีนชาติแล้วถวายให้วัดเมื่อ พ.ศ. 2438
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปฏิรูปการปกครองพร้อมกันไปด้วย โดยจัดแบ่งหัวเมืองออกเป็นมณฑล (มณฑลเทศาภิบาล) และได้จัดตั้งมณฑลปราจีนขึ้นในปี พ.ศ. 2437 ต่อมามีพระราชปรารภว่า “เมืองฉะเชิงเทรามีราชการมากกว่าเมืองอื่นๆ ทั้งยังมีทางรถไฟ และเป็นเมืองท่ามกลางมณฑล สมควรย้ายที่ว่าการมณฑลมาตั้งที่เมืองฉะเชิงเทราจะเป็นการสะดวกแก่การปกครองและการบังคับบัญชา” จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายที่ว่าการมณฑลมาตั้งทีเมืองฉะเชิงเทราตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2445
จากนั้นทรงมีพระราชประสงค์ที่จะจัดการการศึกษาให้เป็นแบบแผนเดียวกันทั่วทั้งประเทศ จึงทรงมอบให้กระทรวงธรรมการดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ โดยให้มีการศึกษาตาม “โครงการจัดการการศึกษาตามแบบอย่างอังกฤษ พ.ศ. 2441” กล่าวคือแบ่งการศึกษาเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ชั้นมูล ชั้นประถม ชั้นมัธยม และอุดมศึกษา และจัดให้การศึกษาในโรงเรียนเพื่อให้เป็นแบบอย่างเฉพาะในเมืองที่เป็นที่ตั้งมณฑลขึ้นก่อน กระทรวงธรรมการจึงได้ส่ง ขุนวิธานดรุณกิจ ออกมาจัดการการศึกษาในมณฑลปราจีนบุรี ฉะเชิงเทราเป็นคนแรก โดยมีท่านเจ้าคุณทักษิณคณิศร แม่กองการศึกษาและแม่กองสอบไล่มาเป็นประธานร่วมด้วย เมื่อร่วมกันพิจารณากันว่าเห็นพ้องกันว่า “โรงเรียนวัดสายชล ณ รังษี (แหลมบน)” มีความเหมาะสมที่จะเป็นตัวอย่างมากกว่าโรงเรียนวัดอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน จึงแจ้งให้กระทรวงธรรมการทราบ และได้รับเลือกและยกฐานะขึ้นเป็นโรงเรียนรัฐบาลตัวอย่างประจำมณฑลปราจีน เมื่อปี พ.ศ. 2446[4] แบ่งนักเรียนตามประเภทความรู้ได้ 2 ระดับ คือชั้นมูลและชั้นประถม จากนั้นกระทรวงธรรมการส่งครูมาให้ 2 คน คือ ครูมั่ง พระปัญญา และครูต่ำ (ไม่ทราบนามสกุล) จึงได้แยกนักเรียนชั้นประถมลงมาที่โรงทึม และตั้งชื่อใหม่เป็น “โรงเรียนอณัตยาคม” โดยชื่อสกุลของพระวิสูตรจีนชาติ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เจ้าสกุลสืบนับว่า โรงเรียนวัดสายชล ณ รังษี (แหลมบน) เป็นโรงเรียนที่เป็นรากฐานอันสำคัญในด้านการศึกษาของเมืองฉะเชิงเทรา
หลังจากเปิดทำการสอนได้ 2 ปี โรงเรียนอาณัตยาคม กลายเป็นสนามสอบไล่ตามคำสั่งของท่านเจ้าคุณทักษิณคณิศร เจ้าอาวาสวัดบางยี่เรือใต้ คลองบางกอกใหญ่ ธนบุรี ซึ่งเป็นเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรีด้วย ได้มีคำสั่งให้ครูโรงเรียนต่างในจังหวัดฉะเชิงเทรา มาสมทบสอบไล่ที่โรงเรียนอาณัตยาคม และท่านเจ้าคุณทักษิณคณิศรได้พาข้าหลวงและพนักงานสอบไล่มาทำการสอบเมื่อเดือนพฤษภาคมพ.ศ. 2488 โดยมีหลวงบำนาญวรญาณเป็นหัวหน้าคณะสอบ โรงเรียนที่มาสอบไล่ ประกอบไปด้วย
แม้จะเปิดทำการสอน แต่อยู่ได้ไม่นานนักก็จำเป็นต้องย้ายด้วยอุปสรรคทางด้านการคมนาคม
ในปี พ.ศ. 2449 ได้มีการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพมาถึงจังหวัดฉะเชิงเทรา ทำให้มีการวางผังเมืองใหม่ให้สอดรับกับการพัฒนาที่จะตามมา ทำให้กระทรวงธรรมการได้มีคำสั่งย้ายโรงเรียนประจำมณฑลปราจีน มาตั้งที่วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ (วัดเมือง) ในปี พ.ศ. 2450 โดยใช้ศาลาการเปรียญเป็นสถานที่เรียน รวมถึงย้ายครูที่กระทรวงได้ส่งมาประจำก่อนหน้านี้มาประจำที่วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ด้วย ซึ่งนักเรียนบางส่วนได้ย้ายตามมาเรียนยังที่ตั้งแห่งใหม่ แต่บางส่วนยังคงเรียนอยู่ที่ตั้งเดิม จนมีนักเรียนมากขึ้น หลวงพ่อแก้วหรือพระอธิการแก้วซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสขณะนั้นได้ให้ใช้เงินของท่านสร้างเรือนไม้ทรงปั้นหยา 2 ชั้น เพื่อเป็นที่สำหรับเรียนเพิ่มเติม ชั้นบนเป็นของนักเรียนมัธยม ชั้นล่างเป็นของนักเรียนประถม 2 และ 3 ส่วนศาลาการเปรียญเป็นที่เรียนของชั้นมูลและชั้นประถม 1 โรงเรียนได้รับการตั้งชื่อตามวัดคือโรงเรียนปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ มีครูใหญ่คนแรกที่กระทรวงธรรมการส่งมาชื่อว่าแปลก
ต่อมา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑล มีความคิดที่จะหาพื้นที่สำหรับจัดตั้งโรงเรียนที่กว้างขวางและมั่นคงให้เหมาะกับการเรียนการสอนของประชาชน จึงได้มอบหมายให้ขุนวิธานดรุณกิจ เป็นผู้หาเงินสร้างโรงเรียนใหม่ ด้วยการรับบริจาคและเรี่ยไรจากข้าราชการ พ่อค้าและประชาชน จนกระทั่งเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2453 รวบรวมเงินได้ 1,433.66 บาท ก็ยังไม่พอต่อการก่อสร้าง พอดีกับขุนวิธานดรุณกิจ ได้ย้ายไปรับราชการที่อื่น จึงได้มอบหมายให้ขุนบรรหารวรอรรถ มาดำรงตำแหน่งแทน จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2455 รวบรวมเงินได้เพิ่มอีก 2,205.43 บาท รวมกับเงินก้อนแรกเป็นจำนวน 3,639.09 บาท ก็ยังไม่พอเพียงแก่การสร้างอาคารเรียน กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลในขณะนั้นจึงได้โปรดอนุญาตประทานเงินที่เหลือจากการทำสังเค็ด (ของที่ถวายแก่พระสงฆ์เมื่อเวลาปลงศพ) เพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช เป็นเงิน 2,930.32 บาท กับเงินของพระอธิการแก้ว เจ้าอาวาสวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ (เวลามรณภาพแล้ว) ซึ่งเป็นเงินสงฆ์อีก 2,888.82 บาท และได้ประทานกระแสรับสั่งว่ายินดีจะสละทรัพย์ส่วนพระองค์เข้าร่วมสมทบกับเงินที่เหลืออยู่เพื่อให้การก่อสร้างสำเร็จ
ธรรมการมณฑล (ขุนบรรหารวรอรรถ) จึงได้เริ่มประกวดราคาการก่อสร้างในวงเงิน 9,458.23 บาท ซึ่งมีผู้เสนอราคา 9,000 บาท จึงได้เซ็นสัญญาและเริ่มก่อสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2455 ในพื้นที่ที่ได้จัดหาไว้ (ปัจจุบันคือพื้นที่ของสระว่ายน้ำของโรงเรียน) โดยก่อสร้างเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวใต้ถุนเตี้ย ระหว่างก่อสร้างเกิดพายุหนักทำให้โครงสร้างถล่มลงมาทั้งหลัง การก่อสร้างจึงล่าช้า และแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2456 เสด็จในกรม (กรมขุนมรุพงษ์ฯ) จึงได้แจ้งไปทางกระทรวงธรรมการเพื่อนำความกราบขึ้นบังคมทูลพระราชกรุณาขอพระราชทานนามโรงเรียนหลังนี้ และในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2456 กระทรวงธรรมการแจ้งกลับมาว่า ได้นำความกราบขึ้งบังคมทูลแล้ว พระองค์ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามโรงเรียนว่า “เบญจมราชูทิศ”[5]
ต่อมา ขุนบรรหารวรอรรถ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันให้เกิดโรงเรียน เบญจมราชูทิศ ขึ้นมาต้องย้ายไปรับราชการตำแหน่งข้าหลวงตรวจการศึกษาภาคตะวันออกในช่วงต้นปี พ.ศ. 2460 ธรรมการจังหวัด คือ หลวงอำนวยศิลปศาสตร์ จึงได้ขึ้นมารับตำแหน่งธรรมการมณฑล ซึ่งท่านเป็นผู้สนใจงานในด้านการศึกษาเช่นกัน จึงได้พัฒนาการศึกษาในจังหวัดฉะเชิงเทราจนเจริญขึ้นตามลำดับ เป็นเหตุให้โรงเรียนเบญจมราชูทิศที่มีอยู่เดิมไม่เพียงพอ ถึงแม้จะมีโรงเรียนปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์อยู่เดิมแล้วเช่นกัน ธรรมการมณฑลจึงมีความคิดที่จะสร้างโรงเรียนเพิ่มขึ้นอีกแห่งเพื่อไม่ให้นักเรียนเกิดอุปสรรค์จากการเรียนเนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอ จึงนำความขึ้นทูล หม่อมเจ้าธำรงสิริ ศรีธวัช (สมุหเทศาภิบาล) และได้รับความเห็นชอบ และประมูลการรับเหมาก่อสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ได้ในราคา 20,000 บาท ดำเนินการก่อสร้างในด้านตะวันออกของโรงเรียนเบญจมราชูทิศ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2462 (บริเวณสนามฟุตบอลของโรงเรียนในปัจจุบัน) และเปิดอาคารเรียนในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2463 เป็นอาคารเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวมีมุขกลางใต้ถุนสูงโปร่ง มีบันไดขึ้นลงสองข้างมุข หม่อมเจ้าธำรงสิริ ศรีธวัช จึงแจ้งไปยังกระทรวงธรรมการเพื่อนำความกราบขึ้นบังคมทูลขอพระทานนามโรงเรียน ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “ฉะเชิงเทรารังสฤษฎิ์”[4] และได้ฉลองการเปิดโรงเรียนใหม่ โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสด็จมาชักแพรเปิดป้าย
ในปี พ.ศ. 2478 หลวงอาจวิชาสรร ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ และข้าหลวงตรวจการศึกษาธิการ ได้ปรึกษากับนายสุบิน พิมพยะจันทร์ ธรรมการจังหวัด ว่าโรงเรียนทั้งสอง คือ โรงเรียนเบญจมราชูทิศและโรงเรียนฉะเชิงเทรารังสฤษฎิ์ ก่อตั้งมานานพอสมควร ตัวอาคารมีการชำรุดทรุดโทรม ประกอบกับนักเรียนที่มากขึ้นทั้งสองโรงเรียน สมควรจที่จะยุบรวมโรงเรียนทั้งสองและสร้างใหม่ในที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และรวมชื่อโรงเรียนทั้งสองหลังเป็นตั้งใหม่เป็น “เบญจมฉะเชิงเทรา” โดยใช้ชื่อเก่าจากโรงเรียนทั้งสองมารวมกัน
ในวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2479 หลวงอาจวิชาสรร ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งเลขานุการกรมการศาสนา จึงได้มีการแต่งตั้งนายศิริพล (ย้อย) วรสินธุ์ มาดำรงตำแหน่งครูใหญ่แทน จึงได้สานงานต่อกับที่ได้ปรึกษากับนายสุบิน พิมพยะจันทร์ ธรรมการจังหวัด ได้รื้อโรงเรียนทั้งสองหลังลงมาเมื่อ พ.ศ. 2480 เพื่อนำวัสดุต่าง ๆ ไปก่อสร้างร่วมกับตัวโรงเรียนหลังใหม่
ระหว่างนั้นที่ตัวโรงเรียนไม่มีอาคารเรียน โรงเรียนประกอบไปด้วยครูจำนวน 13 คน นักเรียนจำนวน 310 คน โรงเรียนได้รับความเมตตาจาก ร้อยเอกหลวงกำจัดไพริน ผู้บังคับกองพันทหารช่างที่ 2 (ค่ายศรีโสธร) ให้ใช้เรือนนอนทหารจำนวน 1 หลัง เป็นสถานที่สำหรับการเรียนการสอนตลอดปีการศึกษา พ.ศ. 2481 โดยตัวอาคารเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และสามารถย้ายกลับมาเรียนในอาคารเรียนหลังใหม่ได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม พ.ศ. 2481 จากนั้นนายสุบิน พิมพยะจันทร์ ธรรมการจังหวัดได้ทำสัญญากับนายสุวรรณ แสงส่งเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2481 เพื่อกั้นฝาผนังอาคารชั้นล่างด้วยเงินการจรอีก 1,895.00 บาท รวมถึงทาสีอาคารทั้งอาคาร โดยว่าจ้างนายเค็งคุน แซ่อุ๊ย ด้วยเงินการจรอีก 2,650.00 บาท จนกระทั่งตัวอาคารนั้นเสร็จสมบูรณ์ โรงเรียนประกอบไปด้วยอาคารเรียนที่มี 2 ชั้น จำนวน 20 ห้อง มีห้องประชุมอยู่กลางอาคาร
โดยในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2482 หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการได้มาเป็นประธานพิธีชักแพรเปิดป้ายนามโรงเรียน โดยใช้ชื่อเต็มว่า โรงเรียนประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา “เบญจมราชรังสฤษฎิ์” จากนั้นในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2494 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา “เบญจมราชรังสฤษฎิ์” จังหวัดฉะเชิงเทรา[6][7]
ในปี พ.ศ. 2496 โรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายปรับปรุงขององค์การส่งเสริมการศึกษาจังหวัดฉะเชิงเทรา ประกอบไปด้วยวิชาเลือกสำหรับแยกเรียน 4 แผนก ประกอบไปด้วย แผนกวิสามัญ (แผนกหนังสือ) แผนกช่าง แผนกพาณิชย์ และแผนกเกษตร โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศซึ่งประจำองค์การสหประชาชาติ ชื่อว่า ดร.ออสเซี่ยน ฟล้อค (Dr. Ossian Flock) คอยให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยมีชื่อเรียกในยุคนั้นว่า โรงเรียนมัธยมวิสามัญแบบประสม (Comprehensive High School)[8] เป็นโรงเรียนแรกของประเทศไทยที่ได้รับการปรับปรุงทางด้านการศึกษา
จากนั้นในปี พ.ศ. 2501 ได้เปิดให้มีการเรียนการสอนในระดับเตรียมอุดมศึกษา แผนกวิทยาศาสตร์ในรูปแบบสหศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนจากเดิม เป็น "โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์" และใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2511 โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ได้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนมัธยมแบบประสม[8] (ค.ม.ส.) รุ่นที่ 2 เป็นโรงเรียนที่ 7 ของโครงการที่ใช้หลักสูตร ค.ม.ศ. ในระดับ มศ.ต้น และในปี พ.ศ. 2515 เริ่มใช้งานหลักสูตร ค.ม.ส. ในระดับ มศ.ปลาย แผนกทั่วไป รวมถึงเริ่มต้นรับนักเรียนในรูปแบบสหศึกษาตั้งแต่ระดับชั้น มศ.1 เป็นต้นมา
ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ได้เริ่มใช้งาน หลักสูตรมัธยมศึกษาตอลปลาย พ.ศ. 2518 ในชั้น ม.ศ.4 ปี พ.ศ. 2521 เริ่มใช้งาน หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2521 ปี พ.ศ. 2524 เริ่มใช้หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. 2524 ในชั้น ม.4 และปรับเปลี่ยนหลักสูตรตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้ใช้งานจนถึงปัจจุบัน[2]
ตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ประกอบไปด้วย ตราพระเกี้ยวเปล่งรัศมีด้านบน ด้านล่างเป็นวงกลมภายในมีอักษรย่อ บ.ฉ. 5 ด้านล่างมีแพรแถบข้อความชื่อโรงเรียน มีความหมายดังนี้[9]
แต่เดิมโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ใช้อักษรย่อว่า ฉ.ช.1 เนื่องจากเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ตามในประกาศของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับเครื่องแบบนักเรียนเมื่อปี พ.ศ. 2486[10] ก่อนจะปรับมาใช้ บ.ฉ. ซึ่งย่อมาจากเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ฉะเชิงเทรา[11] และใช้มาจนถึงปัจจุบัน
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ได้มีการกำหนดดอกไม้ประจำโรงเรียนขึ้นจากคราวการประชุมหารือร่วมกันกับสมาคมศิษย์เก่า (โดยการนำเสนอจากครูสมเกียรติ เหล่าวิทยากุล และนายศรายุธ อ่อนหวาน) ในปี พ.ศ. 2566 โดยกำหนดให้ดอกแก้วเจ้าจอม เป็นดอกไม้ประจำโรงเรียน เนื่องจากมีชื่อที่เป็นมงคล คือคำว่าเจ้าจอม สื่อความหมายในการรำลึกถึงรัชกาลที่ 5 และมีความหมายว่าไม้แห่งชีวิต จากการสร้างชีวิตด้วยการให้การศึกษากับศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันมาโดยตลอด[12] ซึ่งมีการทำพิธีปลูกต้นแก้วเจ้าจอมในวันสถาปนาโรงเรียนครบรอบ 131 ปี เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2566[13]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ประกอบไปด้วยเครื่องแบบหลัก 2 รูปแบบด้วยกันคือ ชุดนักเรียน และชุดพลศึกษา โดยแบ่งเป็น 2 ระดับชั้น คือ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย
ชุดนักเรียน ปัก ชื่อ – นามสกุล ที่หน้าอกด้านซ้ายด้วยไหมสีน้ำเงิน เหนือชื่อ - นามสกุลปักจุดบอกระดับชั้น 1 - 3 บ่งบอกถึง ม.1 - 3 ตามลำดับ หน้าอกด้านขวาปักอักษรย่อ บ.ฉ. ด้านบน และปักรหัสประจำตัวนักเรียนด้านล่างด้วยไหมสีน้ำเงินเช่นกัน โดยนักเรียนชายใช้เสื้อเชิ้ตคอตั้งแขนสั้นสีขาว กางเกงสีกากีแบบนักเรียนขาสั้น[14] นักเรียนหญิงใช้เสื้อแขนสั้นสีขาวคอปกกะลาสีแบบนักเรียน กระโปรงมีจีบสีกากี
ชุดพลศึกษา เป็นชุดวอร์มเฉพาะของโรงเรียน ประกอบด้วยเสื้อสีเหลือง ปัก ชื่อ - นามสกุล ที่หน้าอกด้านซ้ายด้วยไหมสีน้ำเงิน เหนือชื่อ - นามสกุล ปักจุดบอกระดับชั้น 1 - 3 บ่งบอกถึง ม.1 - 3 ตามลำดับ และกางเกงวอร์มขายาวสีน้ำเงิน ทั้งนักเรียนชายและนักเรียนหญิง
ชุดนักเรียน ปัก ชื่อ – นามสกุล ที่หน้าอกด้านซ้ายด้วยไหมสีน้ำเงิน ปกเสื้อด้านซ้ายปักจุดบอกระดับชั้น 1 - 3 บ่งบอกถึง ม.4 - 6 ตามลำดับ หน้าอกด้านขวาปักตราพระเกี้ยวสัญลักษณ์โรงเรียนด้านบน ด้านล่างปักอักษรย่อ บ.ฉ. ด้วยไหมสีน้ำเงินเช่นกัน โดยนักเรียนชายใช้เสื้อเชิ้ตคอตั้งแขนสั้นสีขาว กางเกงสีกากีแบบนักเรียนขาสั้น[14] นักเรียนหญิงใช้เสื้อสีขาวคอปกแบบนักเรียน กระโปรงมีจีบสีกากี และเก็บชายเสื้อไว้ในกระโปรง
ชุดพลศึกษา เป็นชุดวอร์มเฉพาะของโรงเรียน ประกอบด้วยเสื้อสีน้ำเงน ปัก ชื่อ - นามสกุล ที่หน้าอกด้านซ้ายด้วยไหมสีเหลือง เหนือชื่อ - นามสกุล ปักจุดบอกระดับชั้น 1 - 3 บ่งบอกถึง ม.4 - 6 ตามลำดับ และกางเกงวอร์มขายาวสีน้ำเงิน ทั้งนักเรียนชายและนักเรียนหญิง
สำหรับนักเรียนที่ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการนักเรียน จะประดับเข็มสัญลักษณ์ประจำโรงเรียน
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ประกอบด้วยการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1 - ม.3) และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4 - ม.6) โดยแบ่งเป็นห้องเรียนพิเศษ และห้องเรียนปกติทั้งสองระดับชั้น
ในการมาเรียนในแต่ละวัน จะใช้ระบบเช็คการมาเข้าเรียนด้วยการสแกนลายนิ้วมือ[19] และมีการเปิดเพลง เบญจมราชรังสฤษฎิ์ (เพลงกฤษณ์กังวาน) ระยะเวลาประมาณ 5 นาที[20] พร้อมเสียงบอกระยะเวลาที่เหลือก่อนจะจบเพลง เพื่อเป็นสัญญาณในการเตรียมรวมแถวเพื่อทำกิจกรรมหน้าเสาธง เริ่มใช้งานมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา[20]
ปัจจุบันระเบียบเกี่ยวกับทรงผม โรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนสามารถไว้ผมยาวได้ตามความเหมาะสม โดยนักเรียนหญิงที่ไว้ผมยาวจะต้องใช้โบว์ในการผูกรวบผม
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์มีนักเรียนได้รับรางวัลจากการแข่งขันทางวิชาการ จากโอลิมปิกวิชาการ ทั้งในระดับประเทศ[21] และในระดับนานาชาติ ทั้งเหรียญทอง[22]เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง[23][24] นอกจากนี้โรงเรียนยังได้รับคัดเลือกให้เป็นศูนย์ สอวน. วิชาดาราศาสตร์[25] ซึ่งเป็น 1 ใน 12 แห่งทั่วประเทศ และศูนย์โรงเรียนขยายผล สอวน. กลุ่ม 7 ภาคตะวันออก ศูนย์ สอวน. มหาวิทยาลัยบูรพา ในวิชาฟิสิกส์[26] ร่วมกับโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี
ลูกเสือกองเกียรติยศ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ลูกเสือกองร้อยพิเศษเบญจมราชรังสฤษฎิ์ มีคำขวัญว่า "เกียรติ วินัย หน้าที่ สามัคคี กล้าหาญ มั่นคง ตรงต่อเวลา" เป็นกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเองให้มีความพร้อมในการเป็นผู้นำในการปฏิบัติงานด้านลูกเสือ มีอักษรย่อว่า BRR SCout[27] โดยผู้เข้ารับการฝึกจะได้รับการฝึกทักษะในด้านต่าง ๆ ตามหลักสูตรทางลูกเสือซึ่งจะได้รับเครื่องหมายวิชาพิเศษ โดยจะมีเครื่องหมายแสดงคุณวุฒิทางลูกเสือแสดงถึงความสามารถตามลำดับ อีกทั้งยังมีหน้าที่ปฏิบัติงานจิตอาสาต่าง ๆ ของโรงเรียน[28] และเป็นวิทยากรในการฝึกอบรมลูกเสือ โดยลูกเสือกองร้อยพิเศษเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ได้แข่งขันชนะการประกวดระเบียบแถวลูกเสือ เนตรนารี ระดับจังหวัด ได้รับคัดเลือกไปร่วมแข่งขันระดับประเทศ[29] ในการเดินสวนสนามในพิธีทบทวนคำปฏิญาณและสวนสนามของลูกเสือ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติทุกปี[29]
วงดนตรีโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ฉะเชิงเทรา (BRR Band) มีความโด่ดเด่นในการแสดงศักยภาพทางด้านดนตรีของนักเรียน โดยได้ร่วมแสดงในกิจกรรมทั้งระดับจังหวัด ในงานนมัสการหลวงพ่อโสธร และงานประจำปี จังหวัดฉะเชิงเทราทุก ๆ ปี และได้ร่วมการแข่งขันทั้งในระดับประเทศ[30] และระดับนานาชาติจนได้รับรางวัล อาทิ ชนะเลิศ DRUM BATTLE ในการแข่งขัน 2019 Marching In Okayama[31] ชนะเลิศการแข่งขัน DRUM BATTLE การประกวดวงโยธวาทิตนักเรียน ประจำปี 2563 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี[30]
ทีมกีฬาชักกะเย่อเบญจมราชรังสฤษฎิ์ (ชมรม TUG OF WAR จังหวัดฉะเชิงเทรา) เป็นทีมชักกะเย่อระดับทีมชาติไทย ผ่านการแข่งขันรายการต่าง ๆ ในประเทศไทย และได้รับการคัดเลือกให้ไปแข่งขันระดับนานาชาติในรายการต่าง ๆ เช่น[32] การแข่งขัน Tug of War World Indoor Championships, Netherlands 2016 ได้รับรางวัลอันดับ 4 ของทวีปเอเชีย และอันดับ 3 ของโลก, การแข่งขัน 2022 TWIF WORLD Outdoor Senior, Junior & U23 Outdoor Championship HOLTEN ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์[33]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ มีเนื้อที่ทั้งหมด 33 ไร่ 3 งาน 93 ตารางวา ประกอบด้วยกลุ่มอาคารเรียน ลานกิจกรรม สนามกีฬา และสวนหย่อมสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ มีอาณาเขตติดต่อกับถนนชุมพล ถนนมหาจักรพรรดิ์ และถนนนรกิจ[34]
ปัจจุบันโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ มีอาคารหลักภายในโรงเรียนจำนวนทั้งสิ้น 10 อาคาร ประกอบไปด้วย
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ มีพื้นที่กิจกรรมและสนามกีฬาที่หลากหลาย เช่น
พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจภายในโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ มีกระจายอยู่ทั่วไปโดยรอบบริเวณโรงเรียน โดยพื้นที่หลักประกอบไปด้วย
ประตูทางเข้าโรงเรียนฝั่งถนนชุมพลมีชื่อว่า ประตูฤทธิประศาสน์ มีที่มาจาก นายชูสง่า ฤทธิประศาสน์ ศิษย์เก่าของโรงเรียนซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง ได้บริจาคเงินเพื่อสร้างประตูโรงเรียนเมื่อปี พ.ศ. 2516 จึงได้นำนามสกุลมาตั้งเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึง[39][40]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ประกอบด้วยครูใหญ่และผู้อำนวยการรายนามดังนี้[41]
ลำดับที่ | รายนาม | วาระการดำรงตำแหน่ง |
---|---|---|
1 | นายแปลก | ไม่พบหลักฐาน |
2 | ขุนกิตติวิทย์ (ฮะเซี้ยง ตีระวณิช) | 18 มีนาคม 2455 |
3 | ขุนพูลคุณสมบัติ (สวาสดิ์ คัยนันทน์) | 15 สิงหาคม 2462 |
4 | ขุนอภิรามจรรยา (ลำดวน สมิตัย) | 16 กุมภาพันธ์ 2466 |
5 | นายประเสริฐ (เซ่งฮั้ว ปาณฑุรังคานนท์) | 18 มีนาคม 2470 |
6 | นายสุบิน พิมพะยะจันทร์ | 28 กุมภาพันธ์ 2473 |
7 | หลวงอาจวิชาสรร (ทอง ชัยปาณี) | 1 พฤษภาคม 2477 |
8 | นายศิริพล (ย้อย) วรสินธุ์ | 23 ตุลาคม 2479 |
9 | นายชอบ จุลศรีไกวัล (รักษาการแทน) | 22 พฤศจิกายน 2488 |
10 | นายสุรินทร์ สอนสิริ | 19 เมษายน 2489 |
11 | นายมงคลชัย เหมริด | 1 กันยายน 2490 |
12 | นายเทพ เวชพงศ์ | 12 สิงหาคม 2493 |
13 | นายไพบูลย์ รัตนมังคละ | 10 กุมภาพันธ์ 2496 |
14 | นายชวน สุวรรณรอ | 1 มิถุนายน 2499 |
15 | นายชื้น เรืองเวช | 1 พฤษภาคม 2507 |
16 | นายอุเทน เจริญกูล | 1 ตุลาคม 2509 |
17 | นายเสนาะ จันทร์สุริยา | 1 พฤศจิกายน 2517 |
18 | นายกมล ธิโสภา | 24 กรกฎาคม 2519 |
19 | นายถนอม ทัฬหพงศ์ | 7 มิถุนายน 2520 |
20 | นายจงกล เมธาจารย์ | 27 ตุลาคม 2520 |
21 | นายพัลลภ พัฒนโสภณ | 12 พฤศจิกายน 2522 |
22 | นายสมศักดิ์ ศรีสุวรรณ | 12 พฤศจิกายน 2527 |
23 | นายเผดิม สุวรรณโพธิ์ | 7 ธันวาคม 2530 |
24 | นายอร่าม รังสินธุ์ | 19 ตุลาคม 2533 – 2541 |
25 | นายบุญส่ง ชิตตระกูล | 9 มกราคม 2541 – 9 ธันวาคม 2542 |
26 | นายสมบูรณ์ ธุวสินธุ์ | 20 มกราคม 2543 – 2547 |
27 | นายอำนาจ เดชสุภา | 1 ตุลาคม 2547 – 2557 |
28 | นายชาติชาย ฟักสุวรรณ | 22 มิถุนายน 2558 – 2559 |
29 | ดร.วีระชัย ตนานนท์ชัย | 9 มีนาคม 2560 – 2561 |
30 | นายศักดิ์เดช จุมณี | 18 มีนาคม 2563 – 2564 |
31 | นายชัชชัย พุทธสุวรรณ์ | ปัจจุบัน |
เบญจมราชรังสฤษฎิ์ ศูนย์บางเตย ตั้งอยู่ที่ ตำบลบางเตย อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา
เดิมเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ศูนย์บางเตย คือโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 4 ก่อตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 โดยการประสานงานของผู้อำนวยการสามัญศึกษาจังหวัดในขณะนั้นคือนายประสิทธิ์ แสนสุข บนที่ดินของวัดราษฎร์บำรุงวนาราม (วัดเกาะ) เนื้อที่ประมาณ 34 ไร่ 82 ตารางวา ซึ่งพระครูถาวรพัฒนาคุณ เจ้าอาวาสได้อนุญาตให้ใช้เพื่อเป็นสถานศึกษาของเด็กในพื้นที่ตำบลบางเตย และตำบลใกล้เคียง เพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในการส่งเด็กในพื้นที่เข้าไปเรียนในตัวเมือง ซึ่งห่างจากพื้นที่ประมาณ 13 กิโลเมตร โดยมีผู้บริหารคนแรกคือ นายสุธี ปั้นบัว และกรรมการสถานศึกษาคนแรกคือ ผู้ใหญ่สุขันธ์ โลหิตกุล[42]
ต่อมาโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษ 4 ได้ถูกยุบเลิกตามมติที่ประชุมของกรรมการเขตพื้นที่การศึกษามัธยม เขต 6 ครั้งที่ 3/2556 ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เนื่องจากไม่มีนักเรียนเพียงพอที่จะจัดการเรียนการสอนได้[43] จึงโอนการดูแลทุกอย่างไปอยู่กับโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ โดยคณะกรรมการสภานักเรียน ปีการศึกษา 2555 - 2556 และศิษย์เก่าสภานักเรียน ได้ดำเนินการเข้าปรับปรุงพื้นที่และเตรียมความพร้อมพื้นที่[44] เพื่อเปิดการเรียนการสอนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ระดับชั้นละ 2 ห้องเรียน และพัฒนาพื้นที่สำหรับใช้ดำเนินกิจกรรมนอกห้องเรียน เช่น ค่ายลูกเสือและเนตรนารี ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โดยได้ดำเนินกาารับมอบพื้นที่ ทรัพย์สิน และเอกสารสำคัญอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557[45]
อาคารสถานที่ของโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ศูนย์บางเตย มีเนื้อที่ประมาณ 34 ไร่ 82 ตารางวา[42] ประกอบด้วยอาคารเดิมจากโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 4 ที่ได้รับมอบมาอยู่ในการดูแล และอาคารสถานที่ที่ได้รับการปรับปรุงและสร้างขึ้นมาใหม่ ประกอบไปด้วย
ศูนย์ฝึกอบรมลูกเสือ เนตรนารี และยุวกาชาด "เบญจมธรรมวาที" เป็นพื้นที่ค่ายฝึกลูกเสือภายในพื้นที่ของโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ศูนย์บางเตย ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เหมาะกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในกิจการลูกเสือ โดยเปิดฝึกอบรมให้ทั้งนักเรียนของของโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์เอง และสถานศึกษาอื่น ๆ[46][47]
ชื่อย่อ | ม.น.บ.ฉ. |
---|---|
ก่อตั้ง | 2 มีนาคม พ.ศ. 2535 |
ประเภท | มูลนิธิ |
สํานักงานใหญ่ | โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ถนนชุมพล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 24000 |
ประธานกรรมการ | สุทนต์ พรหมนิยม |
มูลนิธิเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ก่อตั้งขึ้นโดยคณะครูของโรงเรียนในปี พ.ศ. 2535 โดย นายอร่าม รังสินธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนในขณะนั้นได้เป็นผู้ยื่นขอจดจัดตั้งมูลนิธิ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2535 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีความประพฤติที่ดีหรือนักเรียนที่ขาดแคลน ทุนค่าแต่งกาย ทุนค่าอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน และดำเนินการต่าง ๆ ที่เป็นการสนับสนุนการศึกษาและนักเรียนของโรงเรียน โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยคณะกรรมการชุดแรกมี นายอร่าม รังสินธุ์ เป็นประธานกรรมการ และนายบุญส่ง ชิตตระกูล เป็นรองประธานกรรมการ มีเงินทุนเริ่มแรกเป็นเงินสด จำนวน 500,000 บาท[48][49]
ประธานกรรมการคนปัจจุบันคือ นายสุทนต์ พรหมนิยม ได้รับการคัดเลือกจากการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ซึ่งคณะกรรมการแต่ละชุดจะมีวาระในการดำรงตำแหน่งครั้งละ 4 ปี[49]
ปัจจุบันมูลนิธิมีทรัพย์สินมาจาก 3 แหล่งคือ[49]
มูลนิธิได้มีการมอบเงินทุนการศึกษาให้กับนักเรียนของโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์เป็นประจำอยู่ทุก ๆ ปี[50][51] รวมถึงเปิดรับบริจาคในช่วงวันสำคัญต่าง ๆ ของโรงเรียน ซึ่งเงินบริจาคให้กับมูลนิธินั้นสามารถนำไปขอหักลดหย่อนภาษีได้[52]
สมาคมศิษย์เก่าเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ฉะเชิงเทรา เป็นสมาคมที่จัดตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2503 ซึ่งเกิดจากการปรึกษาหารือกันของศิษย์เก่าในขณะนั้นที่ต้องการรวมตัวกันให้เป็นปึกแผ่น โดยได้ปรึกษากันตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2502 เป็นต้นมา แต่ก็ยังไม่เป็นรูปร่างสักที จนกระทั่งครูกฤษณ์ มุสิกุล ได้ยื่นขอจดทะเบียนเป็นสมาคมต่อทางราชการเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2503 โดยมีนายจุมพล พรหมเจริญ (ครูผิน) เป็นผู้ร่างข้อบังคับต่าง ๆ ของสมาคมขึ้นมา โดยมีอาจารย์สุบิน พิมพยะจันทร์ เป็นนายกสมาคมคนแรกในการจดทะเบียน[53]
จากนั้นได้มีการชุมนุมศิษย์เก่าขึ้นในปี พ.ศ. 2504 และได้มีการประชุมสมาคมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ. 2503 โดยคณะกรรมการชุดแรกได้ลาออก เพื่อให้ที่ประชุมได้ลงคะแนนเลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ โดยมีมติเลือก พลตรี ศิริ สิริโยธิน เป็นนายกสมาคมศิษย์เก่า และอาจารย์สุบิน พิมพยะจันทร์ เป็นนายกกิตติมศักดิ์ชุดแรกจากการเลือกตั้ง[53]
สำหรัสมาชิกของสมาคมตามข้อบังคับนั้น ประกอบไปด้วยผู้ที่เคยศึกษาในโรงเรียนซึ่งเป็นชื่อของโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ในอดีตที่เคยมีการเรียนการสอนมา มีสถานะเป็นสมาชิกสามัญ ประกอบไปด้วย[53]
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงคนที่เคยเป็นครู อาจารย์ ผู้บริหาร หรือบุคลากรที่ปฏิบัติงานตาม 7 ข้อที่กล่าวไปข้างต้น[53]
Parents & Teacher Benchamaratcharungsarit Association | |
ชื่อย่อ | ส.ป.ค.บ. / P.T.B.A. |
---|---|
ประเภท | สมาคม |
สํานักงานใหญ่ | 222/42 ถนนชุมพล ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 24000 |
สมาคมผู้ปกครองและครูเบญจมราชรังสฤษฎิ์ เป็นสมาคมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้ในการประสานงานระหว่างครูและผู้ปกครองในการดูแลนักเรียนที่เข้าศึกษาในโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ทั้งในส่วนของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการแก้ไขปัญหาระหว่างครูและผู้ปกครอง การดูแลสวัสดิภาพและความช่วยเหลือต่าง ๆ ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ไม่มีคุณทรัพย์ การต่อต้านยาเสพติดทั้งในและนอกสถานศึกษา และกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการสังคมสงเคราะห์ตามที่กรรมการเห็นชอบ[54]
สำหรับสมาชิกของสมาคมตามข้อบังคับนั้น มี 2 รูปแบบ[55][56] คือ
เนื่องจากโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา ทำให้มีความผูกพันกับหลวงพ่อโสธร (พระพุทธโสธร) ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองประจำจังหวัดเช่นกัน จึงได้มีการจัดทำวัตถุมงคลซึ่งเป็นพระพุทธโสธรในวาระโอกาสต่าง ๆ ของโรงเรียน ดำเนินการโดยสมาคมศิษย์เก่าเบญจมราชรังสฤษฎิ์ ฉะเชิงเทรา และสมาคมผู้ปกครองและครูเบญจมราชรังสฤษฎิ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ระลึกในโอกาสนั้น ๆ และเพื่อนำปัจจัยดังกล่าวมาทะนุบำรุงการศึกษาของโรงเรียน เช่น
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์มีเพลงมาร์ชประจำโรงเรียนคือ มาร์ชเบญจมราชรังสฤษฎิ์ และเพลงที่ใช้สำหรับการรวมแถวเคารพธงชาติ คือ เบญจมราชรังสฤษฎิ์ (เพลงกฤษณ์กังวาน) นอกจากนี้ยังมีบทเพลงที่แต่งขึ้น เพื่อใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบไปด้วย[63]
ลำดับ | ชื่อเพลง | เนื้อเพลง | ทำนอง | ขับร้อง | ยาว |
---|---|---|---|---|---|
1. | "มาร์ชเบญจมราชรังสฤษฎิ์" (มาร์ชเบญจมฯ) | ผอ.พัลลภ พัฒนโสภณ | ผอ.พัลลภ พัฒนโสภณ | ขับร้องหมู่ | 1:55 |
2. | "เบญจมราชรังสฤษฎิ์" (กฤษณ์กังวาน) | อโศก สุขศิริพรฤทธิ์ วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ | ใหญ่ นภายน วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ | ศรีสุดา - อโศก วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ | 2:53 |
3. | "คอยเพื่อน" | ผอ.เผดิม สุวรรณโพธิ์ | ครูสุเทพ สนธิศรี | ครูทักษิณ แสนอิสระ | |
4. | "เบญจมกลองยาว" (2536) | ครูณรงค์ นันทิวิจตร | 2:44 | ||
5. | "เบญจมฯ ออปบิท" | วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ | วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ | 1:21 | |
6. | "เบญจมฯ ซะอย่าง" | 1:23 | |||
7. | "วัดสายชลจนรังสฤษฎิ์" | ผอ.เผดิม สุวรรณโพธิ์ | ผอ.เผดิม สุวรรณโพธิ์ | เรืองศิลป์ จิระวัฒน์ | 3:37 |
8. | "เบญจมาศ" | ผอ.เผดิม สุวรรณโพธิ์ | ผอ.เผดิม สุวรรณโพธิ์ | ครูวิษณุ พุ่มประดิษฐ์ | 2:44 |
9. | "สุขในบ้านเบญจมฯ" | วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ | วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ | 2:26 | |
10. | "มั่นในสัญญา" (2536) | ครูณรงค์ นันทวิจิตร | ครูณรงค์ นันทวิจิตร | ครูเกศสิรี ประเทือง | 3:15 |
11. | "รับขวัญ" | ผอ.เผดิม สุวรรณโพธิ์ | ผอ.เผดิม สุวรรณโพธิ์ | ครูเกศสิรี ประเทือง | 3:22 |
12. | "รอเพื่อน" | ผอ.เผดิม สุวรรณโพธิ์ | ครูสุเทพ สนธิศรี | ครูทักษิณ แสนอิสระ | 2:38 |
13. | "ทำไมรักกันไม่ได้" (2536) | ผอ.เผดิม สุวรรณโพธิ์ | ผอ.เผดิม สุวรรณโพธิ์ | ครูวินัย แถบทอง | 2:45 |
14. | "คืนสู่เหย้า" | วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ | วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ | วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ | 3:59 |
15. | "วัยเรียนวัยรัก" (2536) | ผอ.เผดิม สุวรรณโพธิ์ | ครูสุเทพ สนธิศรี | ครูสุกัลยา ธุปพงษ์ | 2:29 |
16. | "บิดาแห่งเบญจมฯ" | คัดไว้ และยอดนิยม | คัดไว้ และยอดนิยม | เสียงประสาน | 2:20 |
โรงเรียนในจังหวัดฉะเชิงเทราที่ใช้ชื่อเบญจมราชรังสฤษฎิ์เช่นเดียวกัน ตามนโยบายของอธิบดีกรมสามัญศึกษาในสมัยนั้น คือ นายโกวิท วรพิพัฒน์[72][73] ประกอบไปด้วย
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ตั้งอยู่เลขที่ 111 หมู่ 12 ตำบลบางตีนเป็ด อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา[74]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 3 ชนะสงสารวิทยา ตั้งอยู่เลขที่ 64/8 หมู่ 7 ตำบลคลองนครเนื่องเขต อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา[75]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 4 ตั้งอยู่ที่ ตำบลบางเตย อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ปัจจุบันคือ เบญจมราชรังสฤษฎิ์ ศูนย์บางเตย[45]
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 5 ตั้งอยู่เลขที่ 19/1 หมู่ 2 ตำบลบางขวัญ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา[76]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.