Remove ads

เซอร์ แอนดรูว์ บาร์รอน มาร์รี[a] OBE (อังกฤษ: Andrew Barron Murray;[5] เกิด: 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1987) เป็นอดีตนักเทนนิสอาชีพชายชาวสกอตแลนด์[6] และอดีตมือวางอันดับ 1 ของโลก ปัจจุบันเป็นผู้ฝึกสอนเทนนิส เขาชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมในประเภทชายเดี่ยว 3 รายการ (วิมเบิลดัน 2 สมัย ใน ค.ศ. 2013 และ 2016) และ ยูเอสโอเพน 1 สมัย (ค.ศ. 2012) และชนะเลิศการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวโดยสมาคมนักเทนนิสอาชีพรวม 46 รายการ รวมถึงแชมป์เอทีพี มาสเตอร์ 14 สมัย และเอทีพี ไฟนอล 1 สมัย และคว้าเหรียญทองโอลิมปิกฤดูร้อนประเภทชายเดี่ยว 2 สมัย มาร์รีได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักกีฬาจากสหราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล[7][8][9]

ข้อมูลเบื้องต้น ชื่อเต็ม, ประเทศ (กีฬา) ...
เซอร์
แอนดรูว์ มาร์รี
OBE
มาร์รีในปี 2016
ชื่อเต็มแอนดรูว์ บาร์รอน มาร์รี
ประเทศ (กีฬา)สหราชอาณาจักร บริเตนใหญ่
ถิ่นพำนักอ็อกซ์ชอตต์, เซอร์รีย์, อังกฤษ
วันเกิด (1987-05-15) 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1987 (37 ปี)[1]
กลาสโกว์, สกอตแลนด์
ส่วนสูง1.91 m (6 ft 3 in)
เทิร์นโปร2005[2]
การเล่นมือขวา (แบ็กแฮนด์สองมือ)
ผู้ฝึกสอนเจมี เดลกาโด (2016–2021), อิวาน เลนเดิล (2022–ปัจจุบัน)
เงินรางวัล63,195,934 ดอลลาร์สหรัฐ
เว็บไซต์ทางการandymurray.com
เดี่ยว
สถิติอาชีพ717–232 (75.6%)
รายการอาชีพที่ชนะ46 (อันดับที่ 14 ในยุคโอเพน)
อันดับสูงสุด1 (7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016)
อันดับปัจจุบัน50 (14 พฤศจิกายน 2565)[3]
ผลแกรนด์สแลมเดี่ยว
ออสเตรเลียนโอเพนรองชนะเลิศ (2010, 2011, 2013, 2015, 2016)
เฟรนช์โอเพนรองชนะเลิศ (2016)
วิมเบิลดันชนะเลิศ (2013, 2016)
ยูเอสโอเพนชนะเลิศ (2012)
การแข่งขันอื่น ๆ
Tour Finalsชนะเลิศ (2016)
Olympic Gamesเหรียญทอง (2012, 2016)
คู่
สถิติอาชีพ79–78 (50.3%)
รายการอาชีพที่ชนะ3
อันดับสูงสุดอันดับ. 51 (17 ตุลาคม 2011)
อันดับปัจจุบัน139 (12 กรกฎาคม 2564)[4]
ผลแกรนด์สแลมคู่
ออสเตรเลียนโอเพน1R (2006)
เฟรนช์โอเพน2R (2006)
วิมเบิลดัน2R (2019)
ยูเอสโอเพน2R (2008)
การแข่งขันคู่อื่น ๆ
Olympic Games2R (2008)
รายการเหรียญรางวัล
ตัวแทนของ  บริเตนใหญ่
เทนนิส โอลิมปิกฤดูร้อน
เหรียญทอง - ชนะเลิศ2012 Londonชายเดี่ยว
เหรียญทอง - ชนะเลิศ2016 Rio de Janeiroชายเดียว
เหรียญเงิน - รองชนะเลิศ2012 Londonคู่ผสม
ปิด

มาร์รีได้รับการฝึกสอนเทนนิสโดยจูดี มาร์รี และ เจมี มาร์รี มารดาและพี่ชายของเขา มาร์รีย้ายไปบาร์เซโลนาเพื่อฝึกฝนในระดับเยาวชนเมื่ออายุ 15 ปี มาร์รี และ นอวาก จอกอวิช ต่างก็โด่งดังขึ้นมาในยุคที่ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และ ราฟาเอล นาดัล เป็นสองผู้เล่นที่ขับเคี่ยวกันเพื่อแย่งการเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมาร์รีขึ้นสู่ 10 อันดับแรกของโลกได้ใน ค.ศ. 2007 ในวัย 19 ปี ก่อนที่ทั้งมาร์รีและจอกอวิชจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในยอดผู้เล่นของวงการ และได้รับการยกย่องร่วมกับเฟเดอเรอร์และนาดัลให้อยู่ในกลุ่ม Big 4[10] หรือ 4 นักเทนนิสชายที่เก่งที่สุดในช่วงทศวรรษ 2010[b] โดยหากนับตั้งแต่ ค.ศ. 2008–2017 มาร์รีสามารถรักษาอันดับติด 1 ใน 4 อันดับแรกของโลกได้ถึง 8 จาก 9 ปี มาร์รีเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ 11 รายการ โดยแพ้เฟเดอเรอร์และจอกอวิชในการชิงชนะเลิศ 4 ครั้งแรก ก่อนจะคว้าแชมป์ครั้งแรกในยูเอสโอเพน ค.ศ. 2012 โดยเอาชนะจอกอวิช ส่งผลให้เขาเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 35 ปีที่ได้แชมป์แกรนด์สแลม และในปีนั้นเขายังคว้าเหรียญทองประเภทชายเดี่ยวในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 โดยเอาชนะเฟเดอเรอร์[11] และคว้าเหรียญเงินในประเภทคู่ผสมจับคู่กับ ลอรา ร็อบสัน

มาร์รีเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้อีก 6 รายการระหว่าง ค.ศ. 2013–2016 โดยคว้าแชมป์วิมเบิลดันสองสมัยใน ค.ศ. 2013 และ 2016 โดยถือเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 77 ปีที่ได้แชมป์รายการนี้[12] เขายังเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมอีก 4 ครั้ง โดยแพ้จอกอวิชทุกครั้ง และใน ค.ศ. 2016 ถือเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของมาร์รี[13] เขาเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลม 3 รายการ และรายการเอทีพีมาสเตอร์อีก 5 รายการ และคว้าเหรียญทองโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ส่งผลให้เขาเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกประเภทชายเดี่ยว 2 สมัย[14] ก่อนจะปิดท้ายฤดูกาลด้วยแชมป์เอทีพี ไฟนอล ด้วยการชนะจอกอวิช และขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ครั้งแรก[15] ถือเป็นผู้เล่นจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่ครองตำแหน่งอันดับ 1 ได้ในยุคโอเพน[16][c] อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ ค.ศ. 2016 มาร์รีประสบปัญหาการบาดเจ็บ และไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้อีก เขาหลุดจาก 100 อันดับแรกใน ค.ศ. 2018 และแม้จะกลับขึ้นสู่ 50 อันดับแรกใน ค.ศ. 2020 ทว่าฟอร์มการเล่นนับจากนั้นก็ไม่ดีนัก เขาประกาศเลิกเล่นอาชีพใน ค.ศ. 2024 โดยลงแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 เป็นรายการสุดท้าย

เขาได้รับเกียรติให้มีรูปอยู่ในแสตมป์ของรัฐบาลอังกฤษสองครั้ง ครั้งแรกใน ค.ศ. 2012 หลังจากคว้าเหรียญทองโอลิมปิค และครั้งที่สองในปีต่อมาหลังคว้าแชมป์วิมเบิลดันสมัยแรก[17] ซึ่งราชวงศ์อังกฤษยังได้มอบเครื่องอิสริยาภรณ์ของจักรวรรดิบริติชรวมทั้งพระราชทานยศอัศวินให้แก่เขาใน ค.ศ. 2017[18][19] โดยเขาถือเป็นนักเทนนิสคนที่สองที่ได้รับเกียรตินี้ต่อจากเซอร์ นอร์แมน บรูค (ค.ศ. 1939)[20] มาร์รีเป็นผู้เล่นที่เล่นได้ดีในทุกพื้นสนาม มีจุดเด่นในด้านการเล่นเกมป้องกันที่เหนียวแน่นและการรีเทิร์นลูกเสิร์ฟ และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ตีลูกแบคแฮนด์สองมือได้ดีที่สุด[21] ในการแข่งขันนานาชาติ นอกเหนือจากเหรียญทองโอลิมปิก มาร์รีและเจมีพี่ชายของเขาพาทีมสหราชอาณาจักร[d] คว้าแชมป์เดวิส คัพ[e] ได้ใน ค.ศ. 2015[22] มาร์รีมีอุดมการณ์ด้านคตินิยมสิทธิสตรี[23][24] และเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศให้กับเพื่อนร่วมอาชีพ ไม่นานหลังประกาศวางมือจากการเล่นอาชีพ มาร์รีผันตัวไปเป็นผู้ฝึกสอนเทนนิส โดยในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2024 เขาตอบรับการเป็นผู้ฝึกสอนให้แก่คู่แข่งอย่างจอกอวิช โดยจะเริ่มรายการแรกในออสเตรเลียนโอเพน ค.ศ. 2025

Remove ads

ชีวิตส่วนตัว

มาร์รีเกิดที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เขาเริ่มเล่นเทนนิสเมื่ออายุได้สามปี โดยอยู่ในการดูแลของจูดี้ ผู้เป็นมารดา[25] ในวัยเด็กเขาได้รับการฝึกฝนการเล่นฟุตบอลที่โรงเรียนและเคยได้รับการเชิญชวนให้ไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสร กลาสโกว์ เรนเจอร์ แต่เขาเลือกที่จะเป็นนักเทนนิสอาชีพแทน เขาเป็นแฟนฟุตบอลของสโมสรอาร์เซนอล[26] และฮิเบอร์เนียน เขามีพี่ชายหนึ่งคนคือ เจมี มาร์รี ซึ่งเป็นนักเทนนิสอาชีพเช่นเดียวกัน ไอดอลของเขาในกีฬาเทนนิสได้แก่ อานเดร แอกัสซี

มาร์รีเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมดับเบลนและอยู่ในเหตุการณ์สังหารหมู่ "Dunblane Massacre" ในปี 1996 ซึ่งฆาตกรคือ โธมัส ฮามิลตัน ที่ฆ่าตัวตายหลังจากสังหารเหยื่อไป 17 ราย โดยวันนั้นมาร์รีซ่อนตัวอยู่ในห้องเรียนและเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและกลายเป็นประเด็นที่เขาถูกถามบ่อยครั้งในการให้สัมภาษณ์ของเขาจนถึงปัจจุบัน

มาร์รีเข้าพิธีสมรสกับ คิม เซียร์ ภรรยาของเขาในปี 2015 โดยปัจจุบันทั้งคู่มีบุตร-ธิดารวม 4 คน เขาถือเป็นหนึ่งในนักกีฬาระดับโลกที่ออกมาเคลื่อนไหวและเรียกร้องสิทธิมนุษยชนและสนับสนุนด้านสิทธิสตรีทั่วโลก มาร์รีชื่นชอบการรับประทานซูชิหรือข้าวปั้นญี่ปุ่นมากเนื่องจากรสชาติถูกปากและยังเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง โดยทีมงานของเขาจะต้องตระเวนหาซูชิในปริมาณมาก ๆ ให้เขาได้ทานก่อนการแข่งขันทุกครั้ง[27]

Remove ads

การเล่นอาชีพ

ช่วงเริ่มต้น

มาร์รีเริ่มเล่นเทนนิสเมื่ออายุ 5 ปี ก่อนเริ่มเล่นอาชีพอย่างเป็นทางการในปี 2005 ในระดับชาเลนเจอร์ และคว้าแชมป์เอทีพีทัวร์ รายการแรกได้สำเร็จ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2006 ที่ซาน โฮเซ่ ประเทศสหรัฐฯ จากนั้น เขาผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแกรนด์​สแลมเป็นครั้งแรกในศึกยูเอสโอเพน ปี 2008 แต่พ่ายให้กับ โรเจอร์ เฟเดเรอร์ ยอดผู้เล่นสวิตเซอร์แลนด์

Thumb
มาร์รีในการแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนปี 2010

อย่างไรก็ตามเขาสามารถสร้างชื่อเสียงด้วยการคว้าแชมป์ระดับมาสเตอร์ได้อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเข้าชิงแกรนด์สแลมได้เป็นรายการที่สองในออสเตรเลียนโอเพนปี 2010 แต่แพ้เฟเดอเรอร์ไปอีกครั้ง ตามด้วยการแพ้ นอวาก จอกอวิช ในออสเตรเลียนโอเพน 2011 ซึ่งเป็นการเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมรายการที่ 3 ตามด้วยการเข้าชิงแกรนด์สแลมครั้งที่ 4 ในวิมเบิลดันปี 2012 และแพ้เฟเดอเรอร์ไปอีกครั้ง

แชมป์แกรนด์สแลม, เหรียญทองโอลิมปิก และแชมป์เดวิส คัพ (2012–15)

ในช่วงเวลาต่อมาเส้นทางอาชีพของเขาก็ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด เมื่อเขาคว้าเหรียญทองโอลิมปิกให้แก่ทีมสหราชอาณาจักรได้ในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012[28] ก่อนจะคว้าแชมป์แกรนด์สแลมสมัยแรก โดยชนะจอกอวิชในยูเอสโอเพน 2012 โดยมาร์รีเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบกว่า 76 ปี ที่คว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้[29]

ในปี 2013 มาร์รียังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมเป็นครั้งที่ 6 ก่อนจะแพ้จอกอวิชในออสเตรเลียนโอเพนไปอีกครั้ง[30] เขาถือเป็นผู้เล่นคนที่สองในยุคโอเพนต่อจาก สเตฟาน เอ็ดเบิร์ก ที่ได้รองแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนในประเภทชายเดี่ยว 3 สมัย เขาคว้าแชมป์รายการมาสเตอร์ 1000 ที่ไมแอมีได้เป็นสมัยที่สองหลังจากเอาชนะ ดาวิต เฟร์เรร์ และขึ้นสู่มือวางอันดับสองของโลก[31] เขาต้องถอนตัวจากการแข่งขันเฟรนช์โอเพนเนื่องจากบาดเจ็บ[32] ก่อนจะสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์วิมเบิลดันโดยเอาชนะจอกอวิชสามเซตรวด[33] ถือเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 77 ปีที่ชนะเลิศวิมเบิลดันนับตั้งแต่ เฟร็ด เพอร์รี่ ในปี 1936 แต่มาร์รีตกรอบ 8 คนสุดท้ายในยูเอสโอเพนโดยแพ้สตาน วาวรีงกา[34] ก่อนจะลงแข่งขัน เดวิส คัพ ให้กับสหราชอาณาจักร แต่หลังจากนั้นเขาได้ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดบริเวณหลัง[35]

มาร์รีเริ่มต้นฤดูกาล 2014 ในรายการที่โดฮา ประเทศกาตาร์ แต่ตกรอบที่สองโดยแพ้ ฟลอเรียน ไมเออร์ 1–2 เซต[36] เขาผ่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพนก่อนจะแพ้เฟเดอเรอร์ 1–2 เซต[37] และเขาได้หลุดจาก 5 อันดับแรกของโลกเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2008 ต่อมา เขาช่วยทีม เดวิส คัพ ของสหราชอาณาจักรผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศได้ หลังจากลงแข่งขันในประเภทชายเดี่ยวและเอาชนะได้ทั้งสองนัด[38] แต่เขาตกรอบในรายการที่รอตเทอร์ดาม และเม็กซิกันโอเพน และในเดือนมีนาคม มาร์รีได้แยกทางกับ อิวาน เลนเดิล ผู้ฝึกสอนซึ่งได้รับการยกย่องว่ามีส่วนสำคัญในการพัฒนาฟอร์มการเล่นของเขาจนสามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้[39] ตามด้วยการตกรอบก่อนรองชนะเลิศมาสเตอร์ 1000 ที่ไมแอมีโดยแพ้จอกอวิช[40] และสหราชอาณาจักรตกรอบ เดวิส คัพ โดยแพ้อิตาลี[41] และเขาไม่ประสบความสำเร็จในรายการมาสเตอร์ 1000 คอร์ตดินที่มาดริดและกรุงโรม[42]

เข้าสู่แกรนด์สแลมเฟรนช์โอเพน มาร์รีผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ แต่แพ้ ราฟาเอล นาดัล แชมป์ในการแข่งขันครั้งนั้นอย่างขาดลอย 0–3 เซต[43] ภายหลังจบการแข่งขัน มาร์รีได้ว่าจ้างให้ เอมิลี โมเรสโม อดีตนักเทนนิสหญิงชื่อดังชาวฝรั่งเศสเข้ามาเป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่ โดยโมเรสโมถือเป็นผู้ฝึกสอนหญิงคนแรกที่ได้เป็นผู้ฝึกสอนให้แก่นักเทนนิสชายมือวาง 10 อันดับแรกของโลก[44] เขาเริ่มต้นการป้องกันแชมป์วิมเบิลดันในฐานะมือวางอันดับสามของรายการ[45] เอาชนะ ดาวิด กอฟแฟง[46], บลาช โรลา[47], โรแบร์โต เบาติสตา อากุต และ เควิน แอนเดอร์สัน ก่อนจะตกรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยแพ้ กริกอร์ ดีมีตรอฟ[48] ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2008 ที่เขาไม่สามารถผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ และอันดับโลกของเขาตกไปอยู่อันดับ 10 ซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี[49] ตามด้วยการตกรอบมาสเตอร์ 1000 แคนาดาและซินซินแนติ[50] และแพ้จอกอวิชในรอบก่อนรองชนะเลิศยูเอสโอเพน ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 ที่มาร์รีไม่สามารถเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้เลยจากการลงเล่นทั้ง 4 รายการในหนึ่งฤดูกาล และอันดับโลกของเขาหลุดจาก 10 อันดับแรก[51] แต่เขาคว้าแชมป์รายการเอทีพี 250 ที่เชินเจิ้นได้ ก่อนจะแพ้จอกอวิชในการแข่งขันที่ปักกิ่ง[52] และตกรอบที่สามรายการมาสเตอร์ 1000 ที่เซี่ยงไฮ้ แพ้ ดาวิต เฟร์เรร์[53] เขาคว้าแชมป์ที่สองของปี 2014 และแชมป์รายการที่ 30 ในอาชีพได้จากการเอาชนะเฟร์เรร์ที่กรุงเวียนนา[54] ต่อมา เขาคว้าแชมป์ที่บาเลนเซีย โดยเอาชนะ ทอมมี โรเบรโด[55] ตามด้วยการตกรอบก่อนรองชนะเลิศมาสเตอร์ 1000 ที่ปารีส โดยแพ้จอกอวิช[56] เขาปิดท้ายฤดูกาลด้วยการตกรอบแบ่งกลุ่ม เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล[57]

Thumb
มาร์รีคว้าแชมป์วิมเบิลดันปี 2013 ทำให้เขาเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 77 ปีที่คว้าแชมป์วิมเบิลดัน

ในฤดูกาล 2015 มาร์รีเริ่มต้นด้วยการคว้าแชมป์รายการพิเศษที่อาบูดาบี[58] และพาทีมสหราชอาณาจักรลงแข่งขัน ฮอพแมน คัพ แต่ตกรอบแบ่งกลุ่ม[59] เขาเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมออสเตรเลียนโอเพนเป็นครั้งที่ 4 และแพ้จอกอวิชไปอีกครั้ง 1–3 เซต[60] แต่เขากลับขึ้นสู่มือวาง 4 อันดับแรกของโลกเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปี[61] ต่อมาเขาตกรอบในการแข่งขันที่ รอตเทอร์ดาม[62] และตกรอบที่ดูไบ โดยแพ้ดาวรุ่งอย่าง บอร์นา โชริช ทำให้เขาตกลงไปอยู่อันดับ 5 ของโลก[63] ตามด้วยการพาทีมสหราชอาณาจักรผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ (8 ทีมสุดท้าย) สองสมัยติดต่อกัน หลังจากเอาชนะสหรัฐ 3–2 นัด[64]

Thumb
มาร์รีในการแข่งขันออสเตรเลียนโอเพน ค.ศ. 2015

มาร์รีผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศมาสเตอร์ 1000 ที่อินเดียนเวลส์ สหรัฐ และเป็นการคว้าชัยชนะนัดที่ 496 ในประเภทชายเดี่ยว ทำสถิติเป็นผู้เล่นจากสหราชอาณาจักรที่ชนะในการแข่งขันประเภทเดี่ยวมากที่สุดในยุคโอเพน แซงหน้าสถิติเดิมของ ทิม เฮนแมน[65] แต่เขาแพ้จอกอวิชไปอีกครั้งสองเซตรวด[66] ต่อมา เขาเข้าชิงมาสเตอร์ที่ไมแอมี ซึ่งถือเป็นการชนะนัดที่ 500 ในอาชีพ ทำสถิติเป็นผู้เล่นสหราชอาณาจักรคนแรกในประวัติศาสตร์ยุคโอเพนที่ชนะครบ 500 นัด[67] แต่ก็แพ้จอกอวิช 1–2 เซต[68] เขาคว้าแชมป์ในรายการคอร์ตดินที่มิวนิค (บีเอ็มดับเบิลยู โอเพน) ซึ่งเป็นครั้งแรกในอาชีพที่คว้าแชมป์การแข่งขันคอร์ตดิน[69] และคว้าแชมป์มาสเตอร์ 1000 คอร์ตดินที่มาดริดได้โดยเอาชนะผู้เล่นราชาคอร์ตดินอย่างนาดัล ถือเป็นแชมป์รายการมาสเตอร์ 1000 จากคอร์ตดินรายการแรกของเขา และเป็นการชนะนาดัลบนคอร์ตดินเป็นครั้งแรก[70] เขาชนะบนคอร์ตดินติดต่อกัน 15 นัดในทุกรายการ ก่อนที่สถิติจะหยุดลงเมื่อเขาแพ้จอกอวิชในรอบรองชนะเลิศเฟรนช์โอเพนในการแข่งขัน 5 เซต[71]

มาร์รีคว้าแชมป์การแข่งขันรายการ ควีนส์ ที่กรุงลอนดอนเป็นสมัยที่ 4 เอาชนะ เควิน แอนเดอร์สัน[72] และเข้ารอบรองชนะเลิศก่อนจะแพ้เฟเดอเรอร์สามเซตรวด[73] แต่เขาพาทีมสหราชอาณาจักรเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ เดวิส คัพ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1981 หลังจากเอาชนะฝรั่งเศส 3–1[74] แต่เขาตกรอบแรกที่วอชิงตัน ดี.ซี. อย่างเหนือความคาดหมาย[75] แต่แก้ตัวได้ด้วยการคว้าแชมป์มาสเตอร์ 1000 ที่แคนาดา เอาชนะจอกอวิช 2–1 เซต หยุดสถิติเลวร้ายในการแพ้จอกอวิช 8 นัดติดต่อกันทุกรายการ และเขาแซงเฟเดอเรอร์ขึ้นสู่มือวางอันดับสองของโลก แต่เขาก็แพ้เฟเดอเรอร์ในรอบรองชนะเลิศมาสเตอร์ที่ซินซินแนติ และทำได้เพียงเข้ารอบที่ 4 ในยูเอสโอเพน แพ้เควิน แอนเดอร์สัน 1–3 เซต[76] หยุดสถิติเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ (8 คนสุดท้าย) ในการแข่งขันแกรนด์สแลมจำนวน 18 รายการติดต่อกัน แต่สหราชอาณาจักรผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ เดวิส คัพ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1978 หลังจากเอาชนะออสเตรเลีย 3–2 นัด[77]

มาร์รีตกรอบรองชนะเลิศมาสเตอร์ 1000 ที่เซี่ยงไฮ้โดยแพ้จอกอวิช และได้รองแชมป์มาสเตอร์ที่ปารีส โดยแพ้จอกอวิชในรอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง เขาตกรอบแบ่งกลุ่มเอทีพี ไฟนอล ที่ลอนดอนอีกครั้ง แต่จากการที่เฟเดอเรอร์ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ ส่งผลให้มาร์รีจบฤดูกาลด้วยการเป็นมือวางอันดับสองเป็นครั้งแรก และยังพาทีมสหราชอาณาจักรคว้าแชมป์ เดวิส คัพ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1936 และเป็นแชมป์สมัยที่ 10 หลังจากเอาชนะเบลเยียม 3–1 นัด[78]

สร้างประวัติศาสตร์ในโอลิมปิก และฤดูกาลที่ดีที่สุดในอาชีพ (2016)

Thumb
มาร์รีเป็นผู้ถือธงสหราชอาณาจักรในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2016กรุงรีโอเดจาเนโร

ในปี 2016 ถือเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของมาร์รี เขาเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ถึง 3 รายการ โดยแม้จะแพ้จอกอวิชในรอบชิงชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพนและเฟรนช์โอเพน[79] แต่มาร์รีชนะเลิศวิมเบิลดันได้เป็นสมัยที่ 2 และเป็นการชนะเลิศแกรนด์สแลมสมัยที่ 3 ในอาชีพ และในการแข่งขันโอลิมปิก 2016กรุงรีโอเดจาเนโร มาร์รีได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าเหรียญทองในประเภทชายเดี่ยวได้เป็นสมัยที่ 2 ซึ่งเขาถือเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ทำสถิตินี้ได้ มาร์รียังได้รับเกียรติให้เป็นผู้ถือธงชาติสหราชอาณาจักรในพิธีเปิดการแข่งขันอีกด้วย[80][81] นอกจากนี้เขายังคว้าแชมป์รายการมาสเตอร์ 1000 ได้ถึงสามรายการ (กรุงโรม, เซี่ยงไฮ้ และปารีส)

เขาปิดท้ายฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล โดยเอาชนะจอกอวิช ก่อนจะขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกเป็นครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน และด้วยวัย 29 ปี ส่งผลให้เขาเป็นผู้เล่นที่ขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับ 1 ครั้งแรกที่มีอายุมากที่สุดเป็นอันดับสองต่อจาก จอห์น นิวคอมบ์ ชาวออสเตรเลีย (30 ปี, ค.ศ. 1974) และยังสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ชนะเลิศรายการแกรนด์สแลม, รายการมาสเตอร์ 1000, คว้าเหรียญทองโอลิมปิก และจบฤดูกาลด้วยการเป็นมือวางอันดับ 1 ได้ภายในปีเดียวกัน

บาดเจ็บ และช่วงขาลงในอาชีพ (2017–2023)

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2017 มาร์รีคว้าแชมป์แกรนด์สแลมเพิ่มไม่ได้เลย และเสียตำแหน่งอันดับ 1 ให้แก่นาดัลในช่วงกลางปี 2017 โดยเขาเริ่มมีอาการบาดเจ็บสะโพกซึ่งเรื้อรังมานาน และอาการกำเริบขึ้นจนส่งผลต่อการเล่นในวิมเบิลดัน โดยมาร์รีแพ้ให้กับ แซม แควร์รี่ย์ ในรอบ 8 คนสุดท้ายในการแข่งขัน 5 เซต โดยเขามีอาการบาดเจ็บตั้งแต่เซตที่ 3 เขาพลาดลงแข่งขันในรายการที่เหลือ ได้แก่ มาสเตอร์ 1000 สามรายการที่มอนทรีออล, ซินซินแนติ และปารีส รวมทั้งยูเอสโอเพน และเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล

มาร์รีเข้ารับการผ่าตัดสะโพกสองครั้งในปี 2018[82] และ 2019[83] และไม่สามารถเรียกฟอร์มการเล่นที่ดีกลับมาได้อีกเลย[84] เขาประกาศเลิกเล่นหลังจบรายการออสเตรเลียนโอเพนใน ค.ศ.2019 แต่ได้ตัดสินใจลงทำการแข่งขันต่อ แต่ก็ยังกลับมาคว้าแชมป์รายการใดเพิ่มไม่ได้ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2021 เขาถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา ทำให้พลาดลงแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนและได้พักไปอีกหลายเดือนก่อนจะกลับมาอีกครั้งในรายการคอรต์หญ้า "ควีนส์" (Queen’s Club Championships) ณ กรุงลอนดอน[85] แต่ตกรอบที่ 2 โดยแพ้ มัตเตโอ แบร์เรตตีนี เขากลับมาลงแข่งขันแกรนด์สแลมในรอบหนึ่งปีที่วิมเบิลดันในฐานะผู้เล่นที่ได้รับสิทธิ Wild Card (ผู้เล่นที่ไม่ได้รับการจัดอันดับแต่ได้สิทธิลงแข่งขันเป็นกรณีพิเศษ) โดยผ่านเข้าถึงรอบที่สามและแพ้ เดนิส เชโปวาลอฟ[86]

มาร์รีลงแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 ทั้งในประเภทชายเดี่ยวและชายคู่ ก่อนจะถอนตัวในประเภทชายเดี่ยวเนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ยังคงเล่นในประเภทคู่โดยจับคู่กับ โจ ซาลิสบิวรี เข้าถึงรอบ 8 คู่สุดท้าย และแพ้ คู่มาริน ซิลิช และ อีวาน ดอดิก จากโครเอเชีย[87] ต่อมา มาร์รีลงแข่งขันยูเอสโอเพนแต่ตกรอบแรกโดยแพ้ สเตฟาโนส ซิทซีปัส ในการแข่งขัน 5 เซต[88] ตามด้วยการตกรอบที่สามใน โอเพน เดอ แรนส์ ที่ฝรั่งเศส แพ้ โรมัน ซาฟิลิน[89] และเขายังคงลงแข่งที่ฝรั่งเศส รายการต่อมาคือ โมเซลล์ โอเพน แต่ก็แพ้ ฮูแบร์ต ฮูร์กัตช์ ชาวโปแลนด์[90] ต่อมา เขาลงแข่งขันที่แซนดีเอโกโอเพนที่สหรัฐ แต่ก็แพ้ กาสเปอร์ รืด ตามด้วยรายการมาสเตอร์ที่อินเดียนเวลส์ สหรัฐกลางเดือนตุลาคม แต่ไปแพ้ อเล็คซันเดอร์ ซเฟเร็ฟ ในรอบที่ 3 ก่อนจะตกรอบในอีกสี่รายการถัดมาในยูโรเปียนโอเพนที่เบลเยียม, เวียนนาโอเพนที่ออสเตรีย[91], รายการมาสเตอร์ที่ปารีส และสต็อกโฮล์มโอเพนที่สวีเดน[92] เขาปิดท้ายฤดูกาล 2021 ด้วยการคว้ารองแชมป์ที่อาบูดาบี แม้จะเอาชนะ ราฟาเอล นาดัล ได้ในรอบรองชนะเลิศ[93] ทว่าเขาแพ้ อันเดรย์ รูเบลฟ ในรอบชิงชนะเลิศ 2 เซตรวด[94]

เข้าสู่ฤดูกาล 2022 มาร์รีเริ่มต้นด้วยการลงแข่งขันระดับ เอทีพี 250 ที่เมลเบิร์น แต่ตกรอบแรกโดยแพ้ ฟาคันโด บักนิส[95] ตามด้วยการคว้ารองแชมป์รายการ เอทีพี 250 ที่ซิดนีย์ แพ้ อัสลัน คารัตเซฟ ในรอบชิงชนะเลิศ[96] ต่อมา เขาลงแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนโดยได้สิทธิ์ Wild Card โดยผ่านเข้ารอบที่สองและแพ้ ทาโร แดเนียล สามเซตรวด[97] ต่อมา เขาตกรอบที่สองในรายการที่ รอตเทอร์ดาม โดยแพ้ เฟลิกซ์ โอเฌร์ อาลียาซีม[98] เขาตกรอบที่สองในการแข่งขันที่โดฮา โดยแพ้ โรแบร์โต เบาติสตา อากุต ขาดลอย 0–6, 1–6 โดยถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่เขาแพ้คู่แข่งด้วยคะแนนเกม 0 ในเซต นับตั้งแต่แพ้จอกอวิชในรอบชิงชนะเลิศรายการมาสเตอร์ 1000 ที่ไมแอมีในปี 2015[99] ตามด้วยการตกรอบอีกสองรายการในการแข่งขัน เอทีพี 500 ที่ดูไบ และรายการมาสเตอร์ 1000 ที่อินเดียนเวลส์[100][101] มาร์รีลงแข่งขันคอร์ตดินในรายการมาสเตอร์ที่มาดริด โดยผ่านเข้าถึงรอบที่สามซึ่งเขามีกำหนดพบกับจอกอวิช แต่เขาถอนตัวเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ[102] และเขาถอนตัวจากมาสเตอร์ที่กรุงโรม และแกรนด์สแลมแฟรนช์โอเพน และกลับมาลงแข่งขันในฤดูกาลคอร์ตหญ้าที่ชตุทการ์ท โดยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนจะแพ้ มัตเตโอ แบร์เรตตีนี 1–2 เซต แต่เขาได้่ขึ้นสู่อันดับ 47 ของโลกในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 2022 ซึ่งเป็นการกลับสู่ 50 อันดับแรกของโลกเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2018 แต่อาการบาดเจ็บทำให้เขาต้องถอนตัวจากการแข่งขันที่ควีนส์ ณ กรุงลอนดอน ก่อนจะกลับมาลงแข่งวิมเบิลดันและแพ้มือวางอันดับ 20 อย่างจอห์น อิสเนอร์ ในรอบสอง ตามด้วยการตกรอบที่นิวพอร์ต (รัฐโรดไอแลนด์)[103] เขาลงแข่งขันช่วงสุดท้ายของฤดูกาลที่สหรัฐและแคนาดา เริ่มต้นจากการตกรอบแรก ซิตี โอเพน กรุงวอชิงตัน และแพ้เทย์เลอร์ ฟลิตซ์ในรอบแรกรายการมาสเตอร์ที่แคนาดา[104] และตกรอบที่สองในมาสเตอร์ที่ซินซินแนติ โดยแพ้ คาเมอรอน นอร์รี[105] ปิดท้ายฤดูกาลด้วยการเข้าถึงรอบสามในแกรนด์สแลมยูเอสโอเพนโดยแพ้แบร์เรตตีนี

ใน ค.ศ. 2023 มาร์รีลงแข่งขันแกรนด์สแลมออสเตรเลียนโอเพนในฐานะรองแชมป์ 5 สมัย เขาผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 หลังจากเอาชนะคู่แข่งในสองรอบแรกได้แก่ แบเรตตินี จากอิตาลี และ ทานาซี ค็อคคินาคิสจากออสเตรเลีย การแข่งขันกับค็อคคินาคิสใช้เวลาไปถึง 5 ชั่วโมงและ 45 นาที ยาวนานที่สุดในอาชีพของมาร์รี และเป็นนัดการแข่งขันที่ยาวนานเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของรายการ เขาแพ้ต่อ โรแบร์โต เบาติสตา อากุต จากสเปนในรอบที่ 4[106] ต่อมา เขาลงแข่งขัน เอทีพี 500 ที่โดฮา และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแต่แพ้ดานีอิล เมดเวเดฟ สองเซตรวด ตามด้วยการแข่งขันมาสเตอร์ 1000 สองรายการที่สหรัฐได้แก่ อินเดียน เวลส์ และ ไมแอมี แต่ตกรอบที่สามและรอบแรกตามลำดับ[107][108] และตกรอบแรกทั้งสองรายการในฤดูกาลคอร์ตดิน รายการมาสเตอร์ 1000 ที่มงเต-การ์โล และ มาดริด[109][110] เขาลงแข่งขันในระดับชาเลนเจอร์ (รายการสำหรับผู้เล่นอันดับต่ำ) ที่ฝรั่งเศส และคว้าแชมป์รายการแรกได้ตั้งแต่ ค.ศ. 2019 โดยเอาชนะทอมมี พอล ในรอบชิงชนะเลิศ (2–6, 6–1, 6–2) แต่เขาถอนตัวจากแกรนด์สแลมเฟรนช์โอเพนเพื่อเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมสำหรับการลงแข่งวิมเบิลดัน[111] เขาคว้าแชมป์รายการชาเลนเจอร์ได้เป็นรายการที่สองในปีนี้ ในการแข่งขันที่ลอนดอน และยังทำผลงานได้ดีต่อเนื่อง ด้วยการชนะเลิศการแข่งขันที่นอตทิงแฮม มาร์รีลงแข่งขันวิมเบิลดันในปีนี้ 10 ปีหลังจากเขาคว้าแชมป์ที่นี่ได้เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 2013 ก่อนจะตกรอบที่สองโดยแพ้ซิทซีปัส[112] การแข่งขันใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง และ 40 นาที ซึ่งต้องลงแข่งขันกันต่อในวันถัดมา ก่อนที่ซิทซีปัสจะเอาชนะในการแข่งขันห้าเซต (7–6(3), 6–7(2), 4–6, 7–6(3), 6–4) มาร์รีลงแข่งขันแกรนด์สแลมสุดท้ายของปีในยูเอสโอเพน นิวยอร์ก และแพ้ดิมิทรอฟในรอบที่สอง[113]

ปีสุดท้ายในอาชีพ (2024)

มาร์รีลงแข่งขันรายการเอทีพี 500 ที่ดูไบ และทำสถิติชนะครบ 500 นัดบนฮาร์ตคอร์ต (คอนกรีต) ด้วยการเอาชนะ เดนิส ชาโปวาลอฟก่อนที่เขาจะตกรอบที่สอง ต่อมา มาร๋รีได้รับบาดเจ็บข้อเท้าซ้ายในการแข่งขันมาสเตอร์ 1000 ที่ไมแอมี[114] เขาเข้ารับการผ่าตัดและกลับมาลงแข่งขันในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 37 ปี ของเขา ในการแข่งขันระดับชาเลนเจอร์ที่บอร์โด ตามด้วยการตกรอบที่สองในรายการคอร์ตดิน จากนั้น มาร์รีลงแข่งขันแกรนด์สแลมเฟรนช์โอเพนและตกรอบแรกทั้งในประเภทชายเดี่ยวและชายคู่ มาร์รีลงแข่งขันรายการคอร์ตหญ้าที่ควีนส์ คลับ กรุงลอนดอน และคว้าชัยชนะครบ 1,000 นัดในอาชีพ ภายหลังชนะอเล็กซี พอพิรินจากออสเตรเลีย 2–1 เซต อย่างไรก็ตาม เขาได้รับบาดเจ็บซ้ำบริเวณหลังและสะโพกซึ่งเคยเข้ารับการผ่าตัด ส่งผลให้ต้องถอนตัวในเวตแรกจากการแข่งขันรอบที่สองที่พบจอร์แดน ทอมสัน จากออสเตรเลีย[115] มาร์รีถอนตัวจากการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวในแกรนด์สแลมวิมเบิลดัน เนื่องจากปัญหาสภาพร่างกาย และลงแข่งในประเภทคู่ร่วมกับพี่ชายของเขาแทน นี่ถือเป็นการลงแข่งขันรายการวิมเบิลดันครั้งสุดท้ายของเขา ซึ่งเป็นรายการที่เขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้สองสมัย และเป็นการลงแข่งเทนนิสระดับแกรนด์สแลมครั้งสุดท้าย จากการประสบปัญหาการบาดเจ็บเรื้อรัง ส่งผลให้มาร์รีตัดสินใจประกาศเลิกเล่นอาชีพเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2024 โดยลงแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 เป็นรายการสุดท้าย แต่ได้ถอนตัวจากการแข่งขันในประเภทเดี่ยว และจับคู่กับ แดน อีแวนส์[116] ท้้งคู่ผ่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศก่อนจะแพ้คู่ของสหรัฐ โดยทอมมี พอล และ เทย์เลอร์ ฟลิตซ์[117]

Remove ads

รูปแบบการเล่น

Thumb
มาร์รีถือได้ว่าเป็นผู้เล่นที่ตีแบ็กแฮนด์สองมือได้ดีที่สุดคนหนึ่ง

มาร์รีเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีรูปแบบการเล่นที่เน้นตั้งรับได้ดีที่สุดคนหนึ่ง เขามักจะไม่ผลีผลามบุกแต่จะตั้งรับและเน้นการตีโต้อย่างอดทนบริเวณหลังเส้นเบสไลน์เพื่อกดดันให้คู่ต่อสู้ตีพลาดเอง ในขณะเดียวกันก็มักจะฉวยโอกาสขึ้นบุกทำคะแนน เขาเน้นการตีด้วยความแน่นอนและไม่ชอบเล่นลูกที่เสี่ยงต่อการเสียแต้ม[118] มาร์รีเป็นผู้เล่นที่เล่นได้ดีบนทุกพื้นคอร์ต เขามีลูกกราวน์สโตรกที่หนักหน่วงและแม่นยำ[119] มีจุดเด่นคือแบ็กแฮนด์วินเนอร์ที่เฉียบคม และมักจะใช้ลูกแบ็กแฮนด์สไลด์ตีลูกให้เรียบต่ำลึกถึงเส้นเบสไลน์ซึ่งบีบให้คู่แข่งจำเป็นต้องตีงัดกลับขึ้นมาและมักจะไม่พ้นเน็ท ซึ่งจากการที่เขามีสไตล์การเล่นที่เน้นรับและใช้พละกำลังมากจนเกินไปนี้เอง ทำให้ร่างกายช่วงล่างของเขาได้รับผลกระทบ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาบาดเจ็บและเข้ารับการผ่าตัดสะโพกสองครั้ง ลูกเสิร์ฟของเขาถือเป็นจุดอ่อนมาหลายปี โดยเฉพาะเมื่อเขาเสริ์ฟแรกไม่ได้แต้ม และจำเป็นต้องเสริ์ฟลูกที่สอง[120] โดยเปอร์เซนต์การได้แต้มจากเสริ์ฟสองค่อนข้างต่ำหากเทียบกับผู้เล่นระดับโลกคนอื่น ๆ[121]

Remove ads

สถิติโลก

Thumb
มาร์รีคว้าแชมป์แกรนด์สแลมวิมเบิลดันสมัยที่ 2 ได้ในปี 2016

"เซอร์ แอนดี มาร์รี" ครองสถิติโลกในวงการเทนนิส 10 รายการได้แก่:[122]

  • เป็นหนึ่งในสองผู้เล่นชายที่ชนะเลิศรายการแกรนด์สแลม, รายการมาสเตอร์, คว้าเหรียญทองโอลิมปิก และจบฤดูกาลด้วยการเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกได้ภายในปีเดียวกัน (2016) ร่วมกับ ราฟาเอล นาดัล (2008)
  • เป็นผู้เล่นชายคนเดียวที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกในการแข่งขันชายเดี่ยว 2 สมัย (2012 และ 2016)
  • เป็นผู้เล่นคนเดียวที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกในการแข่งขันชายเดี่ยว 2 สมัยติดต่อกัน (2012 และ 2016)
  • เป็นผู้เล่นชายคนเดียวที่ชนะเลิศแกรนด์สแลมยูเอสโอเพน และคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้ในปีเดียวกัน (2012)
  • เป็นผู้เล่นชายคนเดียวที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้ 2 สมัย และชนะเลิศแกรนด์สแลมวิมเบิลดัน
  • เป็นผู้เล่นคนที่ 3 ต่อจาก อานเดร แอกัสซี และ ราฟาเอล นาดัล ที่สามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกและชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ในรายการพื้นคอร์ตสองประเภท (คอร์ตหญ้าในวิมเบิลดัน และฮาร์ดคอร์ตหรือพื้นคอนกรีตในยูเอสโอเพน)
  • เป็นผู้เล่นจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบกว่า 77 ปีที่ชนะเลิศแกรนด์สแลมวิมเบิลดัน (2013)
  • เป็นผู้เล่นที่คว้าตำแหน่งรองชนะเลิศแกรนด์ออสเตรเลียนโอเพนมากที่สุดในยุคโอเพน (5 สมัย)
  • เป็นผู้เล่นจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่ครองตำแหน่งอันดับ 1 ของโลกในยุคโอเพน
  • เป็นผู้เล่นที่ขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับ 1 ของโลกครั้งแรกที่มีอายุมากที่สุดอันดับสอง ในประวัติศาสตร์ต่อจาก จอห์น นิวคอมบ์ ชาวออสเตรเลียในปี 1974
Remove ads

อุปกรณ์แข่งขัน

ในปี 2009 มาร์รีได้เซ็นสัญญาร่วมกับอาดิดาสแบรนด์กีฬาระดับโลกเป็นระยะเวลา 5 ปี ด้วยสัญญามูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงชุดแข่งขันและรองเท้าเทนนิส ต่อมาเขาได้เซ็นสัญญากับ อันเดอร์อาร์เมอร์[123] แบรนด์สัญชาติอเมริกันในเดือนธันวาคมปี 2014 ด้วยสัญญามูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเซ็นสัญากับ Castore แบรนด์ดังจากสหราชอาณาจักรจนกระทั่งถึงช่วงที่เขาประกาศเลิกเล่น (ณ ขณะนั้น) ในรายการออสเตรเลียนโอเพนปี 2019[124] มาร์รีใช้ไม้เทนนิสของ "Head" แบรนด์ของประเทศออสเตรเลีย และมักปรากฏภาพเขาในโฆษณาของแบรนด์

Thumb
มาร์รีในชุดแข่งขันของอาดิดาสในปี 2012
Remove ads

ทรัพย์สิน

มาร์รีทำเงินรางวัลรวมจากการแข่งขันไปทั้งสิ้น 62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ในประเภทชายเดี่ยว โดยเป็นรองเพียงผู้เล่นในกลุ่ม Big 4 ด้วยกันเท่านั้น (นอวาก จอกอวิช, โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และ ราฟาเอล นาดัล เป็นสามผู้เล่นที่ทำเงินรางวัลรวมสูงที่สุด) โดยหากนับรวมกับค่าตอบแทนจากสปอนเซอร์และการโฆษณาสินค้าต่างๆแล้ว มาร์รีมีทรัพย์สินรวม 100 ล้านดอลลาร์[125]

การกุศล

ในการแข่งขันแกรนด์สแลมวิมเบิลดันปี 2016 มาร์รีนำชุดแข่งที่สวมใส่ในการแข่งขันเซ็นชื่อออกประมูลหารายได้ช่วยองค์กรการกุศล แชริตีสตาร์ส (CharityStars) โดยหน่วยงานดังกล่าวซึ่งมาร์รีสนับสนุนมาตั้งแต่ปี 2009 มุ่งเน้นขจัดและรักษาโรคร้ายซึ่งคร่าชีวิตผู้คน 43,800 รายต่อปี โดยผู้เคราะห์ร้ายมักเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ และสตรีมีครรภ์ในทวีปแอฟริกา[126]

ต่อมาในปี 2020 มาร์รีได้ลงแข่งขันเทนนิสรายการ Schroders Battle of the Brits ที่จัดโดยเจมี่ มาร์รี พี่ชายของเขา เพื่อระดมทุนไปมอบให้กับหน่วยงานสาธารณสุขแห่งชาติของอังกฤษ (NHS) โดยการแข่งขันรายการนี้จัดขึ้นที่ศูนย์กีฬาเทนนิสแห่งชาติ ที่กรุงลอนดอน ระหว่างวันที่ 23–28 มิถุนายนและยังมีนักเทนนิสชาวอังกฤษอย่าง ไคล์ เอ็ดมุนด์ และแดน อีแวนส์ เข้าร่วมการแข่งขันและมีการตั้งเป้าว่าจะรวบรวมเงินบริจาคให้ได้ราว 100,000 ปอนด์ (ประมาณ 4 ล้านบาท) เพื่อสมทบทุนให้กับเอ็นเอชเอส

Remove ads

เกียรติประวัติ

  • รางวัลบีบีซี สปอร์ตส์ เพอร์ซันนอลลิตี้ ออฟ เดอะ เยียร์ สาขานักกีฬาดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี (BBC Young Sports Personality of the Year) ปี 2004
  • รางวัล BBC Sports Team of the Year Award ปี 2012 และ 2015
  • รางวัลผู้เล่นที่ชนะเลิศการแข่งขันของเอทีพี ทัวร์ มากที่สุดต่อหนึ่งฤดูกาลในปี 2009 (6 รายการ) และ 2016 (9 รายการ)
  • รางวัล Best ATP World Tour Match of the Year ปี 2010, 2011 และ 2012
  • รางวัล BBC Sports Personality of the Year ปี 2013, 2015 และ 2016
  • รางวัลบุคคลที่มีชื่อเสียง และมีผลงานอันโดดเด่นอย่างเป็นที่ประจักษ์ของประเทศสกอตแลนด์ (The Glenfiddich Spirit of Scotland Awards) ปี 2013
  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของจักรวรรดิบริติชชั้นพลเรือนรวมทั้งได้รับพระราชทานยศ "Sir" หรือยศอัศวินในปี 2017

สถิติอาชีพ

แกรนด์สแลม

เข้าชิงชนะเลิศ 11 รายการ (ชนะเลิศ 3, รองชนะเลิศ 8)

ข้อมูลเพิ่มเติม ผลลัพธ์, ปี ...
ผลลัพธ์ ปี รายการ พื้นสนาม คู่แข่ง ผลการแข่งขัน
รองชนะเลิศ2008ยูเอสโอเพนคอนกรีตสวิตเซอร์แลนด์ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์2–6, 5–7, 2–6
รองชนะเลิศ2010ออสเตรเลียนโอเพนคอนกรีตสวิตเซอร์แลนด์ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์3–6, 4–6, 6–7(11–13)
รองชนะเลิศ2011ออสเตรเลียนโอเพนคอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช4–6, 2–6, 3–6
รองชนะเลิศ2012วิมเบิลดันหญ้าสวิตเซอร์แลนด์ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์6–4, 5–7, 3–6, 4–6
ชนะเลิศ2012ยูเอสโอเพน(1) คอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช7–6(12–10), 7–5, 2–6, 3–6, 6–2
รองชนะเลิศ2013ออสเตรเลียนโอเพนคอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช7–6(7–2), 6–7(3–7), 3–6, 2–6
ชนะเลิศ2013วิมเบิลดัน(1) หญ้าเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช6–4, 7–5, 6–4
รองชนะเลิศ2015ออสเตรเลียนโอเพนคอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช6–7(5–7), 7–6(7–4), 3–6, 0–6
รองชนะเลิศ2016ออสเตรเลียนโอเพนคอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช1–6, 5–7, 6–7(3–7)
รองชนะเลิศ2016เฟรนช์โอเพนดินเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช6–3, 1–6, 2–6, 4–6
ชนะเลิศ2016วิมเบิลดัน (2)หญ้าแคนาดา มิรอส ราวนิค6–4, 7–6(7–3), 7–6(7–2)
ปิด

เอทีพี มาสเตอร์ 1000

รอบชิงชนะเลิศ 21 รายการ (ชนะเลิศ 14 , รองชนะเลิศ 7)

Thumb
มาร์รีชนะเลิศรายการมาสเตอร์ 1000 ครั้งแรกในรายการซินซินแนติ สหรัฐ ปี 2010
ข้อมูลเพิ่มเติม ผลลัพธ์, ปี ...
ผลลัพธ์ ปี รายการ พื้นสนาม คู่แข่ง ผลการแข่งขัน
ชนะเลิศ2008ซินซินแนติคอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช7–6(7–4), 7–6(7–5)
ชนะเลิศ2008มาดริดคอนกรีต (ในร่ม)ฝรั่งเศส ฌีล ซีมง6–4, 7–6(8–6)
รองชนะเลิศ2009อินเดียนเวลส์คอนกรีตสเปน ราฟาเอล นาดัล1–6, 2–6
ชนะเลิศ2009ไมแอมีคอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช6–2, 7–5
ชนะเลิศ2009มอนทรีออลคอนกรีตอาร์เจนตินา ฆวน มาร์ติน เดล ปอร์โต6–7(4–7), 7–6(7–3), 6–1
ชนะเลิศ2010มอนทรีออล (2)คอนกรีตสวิตเซอร์แลนด์ โรเจอร์ เฟเดอรเรอร์7–5, 7–5
ชนะเลิศ2010เซี่ยงไฮ้คอนกรีตสวิตเซอร์แลนด์ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์6–3, 6–2
ชนะเลิศ2011ซินซินแนติ (2)คอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช6–4, 3–0 Ret.
ชนะเลิศ2011เซี่ยงไฮ้ (2)คอนกรีตสเปน ดาวิต เฟร์เรร์7–5, 6–4
รองชนะเลิศ2012ไมแอมีคอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช1–6, 6–7(4–7)
รองชนะเลิศ2012เซี่ยงไฮ้คอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช7–5, 6–7(11–13), 3–6
ชนะเลิศ2013ไมแอมี (2)คอนกรีตสเปน ดาวิต เฟร์เรร์2–6, 6–4, 7–6(7–1)
รองชนะเลิศ2015ไมแอมีคอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช6–7(3–7), 6–4, 0–6
ชนะเลิศ2015มาดริด (2)ดินสเปน ราฟาเอล นาดัล6–3, 6–2
ชนะเลิศ2015มอนทรีออล (3)คอนกรีตเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช6–4, 4–6, 6–3
รองชนะเลิศ2015ปารีสคอนกรีต (ในร่ม)เซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช2–6, 4–6
รองชนะเลิศ2016มาดริดดินเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช2–6, 6–3, 3–6
ชนะเลิศ2016โรมดินเซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช6–3, 6–3
รองชนะเลิศ2016ซินซินแนติคอนกรีตโครเอเชีย มาริน ซิลิช4–6, 5–7
ชนะเลิศ2016เซี่ยงไฮ้ (3)คอนกรีตสเปน โรแบร์โต เบาติสตา อากุต7–6(7–1), 6–1
ชนะเลิศ2016ปารีสคอนกรีต (ในร่ม)สหรัฐอเมริกา จอห์น อิสเนอร์6–3, 6–7(4–7), 6–4
ปิด

เอทีพี ไฟนอล

ประเภทชายเดี่ยว: ชิงชนะเลิศ 1 ครั้ง (แชมป์ 1 สมัย)

ข้อมูลเพิ่มเติม ผลลัพธ์, ปี ...
ผลลัพธ์ ปี รายการ พื้นสนาม คู่แข่ง ผลการแข่งขัน
ชนะเลิศ2016เอทีพี ไฟนอล, ลอนดอนคอนกรีต (ในร่ม)เซอร์เบีย นอวาก จอกอวิช6–3, 6–4
ปิด

กีฬาโอลิมปิก

ประเภทชายเดี่ยว: ชิงชนะเลิศ 2 ครั้ง (คว้าเหรียญทอง 2 สมัย)

ข้อมูลเพิ่มเติม ผลลัพธ์, ปี ...
ผลลัพธ์ ปี รายการ พื้นสนาม คู่แข่ง ผลการแข่งขัน
เหรียญทอง2012 โอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร หญ้า สวิตเซอร์แลนด์ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ชนะ 6–2, 6–1, 6–4
เหรียญทอง2016 โอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ณ กรุงรีโอเดจาเนโร บราซิล คอนกรีต อาร์เจนตินา ฆวน มาร์ติน เดล ปอร์โต ชนะ 7–5, 4–6, 6–2, 7–5
ปิด

ประเภทคู่ผสม: ชิงชนะเลิศ 1 ครั้ง (คว้าเหรียญเงิน 1 สมัย)

ข้อมูลเพิ่มเติม ผลลัพธ์, ปี ...
ผลลัพธ์ ปี รายการ พื้นสนาม ผู้เล่นที่จับคู่ด้วย คู่แข่งรอบชิงเหรียญ ผลการแข่งขัน
เหรียญเงิน2012 โอลิมปิกฤดูร้อน ปี 2012 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร หญ้า สหราชอาณาจักร ลอร่า ร็อบสัน เบลารุส วิคตอเรีย อซาเรนกา
เบลารุส แม็กซ์ เมิร์นยี่
6–2, 3–6, [8–10]
ปิด

การแข่งขันประเภททีม (ทีมสหราชอาณาจักร)

เดวิส คัพ: เข้าชิงชนะเลิศ 1 สมัย (แชมป์ 1 สมัย)

ข้อมูลเพิ่มเติม ผลลัพธ์, ปี ...
ผลลัพธ์ ปี รายการ พื้นสนาม สมาชิกทีม คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ ผลการแข่งขัน
ชนะเลิศ 2015 เดวิส คัพ, เบลเยียม ดิน (ในร่ม) สหราชอาณาจักร เจมี มาร์รี
สหราชอาณาจักร ไคล์ เอ็ดมันด์
สหราชอาณาจักร เจมส์ วอร์ด
เบลเยียม ดาวิด กอฟแฟง
เบลเยียม สตีฟ ดาร์ซิส
เบลเยียม รูเบน เบเมลม็องส์
เบลเยียม คิมเมอร์ ค็อปเปยันส์
3–1
ปิด

ฮอพแมน คัพ: เข้าชิงชนะเลิศ 1 สมัย (รองชนะเลิศ 1 สมัย)

ข้อมูลเพิ่มเติม ผลลัพธ์, ปี ...
ผลลัพธ์ ปี รายการ พื้นสนาม สมาชิกทีม คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ ผลการแข่งขัน
รองชนะเลิศ 2010 ฮอพแมน คัพ, ออสเตรเลีย คอนกรีต (ในร่ม) สหราชอาณาจักร ลอร่า ร็อบสัน สเปน มาเรีย โฮเซ่ มาร์ติเนซ ซานเชซ
สเปน ทอมมี โรเบรโด
1–2 [127]
ปิด

เงินรางวัล

ข้อมูลเพิ่มเติม ปี, รายการ แกรนด์สแลม ...
ปีรายการ
แกรนด์สแลม
รายการ
ATP
รวมเงินรางวัล
($)
อันดับของ
เงินรางวัล
2003 0 0 0 $5,314 599
2004 0 0 0 $10,275 731
2005 0 0 0 $219,490 105
2006 0 1 1 $677,802 26
2007 0 2 2 $880,905 21
2008 0 5 5 $3,705,650 4
2009 0 6 6 $4,421,058 5
2010 0 2 2 $4,046,805 4
2011 0 5 5 $5,180,092 4
2012 1 2 3 $5,708,232 3
2013 1 3 4 $5,416,221 3
2014 0 3 3 $3,918,244 8
2015 0 4 4 $8,175,231 2
2016 1 8 9 $16,349,701 1
2017 0 1 1 $2,092,625 15
2018 0 0 0 $212,866 166
2019 0 1 1 $497,751 118
2020 0 0 0 $249,361 139
2021* 0 0 0 $520,937 97
2022 0 0 0 $5,200 n/a
Career* 3 43 46 $62,319,506 4
ปิด
* ข้อมูลเมื่อ 17 มกราคม ค.ศ. 2022 (2022 -01-17).

เชิงอรรถ

  1. ในสำเนียงบริติช หรือ แอนดี เมอร์รี ในสำเนียงอเมริกัน
  2. ทั้งสี่คนเป็นผู้เล่นชายที่ประสบความสำเร็จที่สุดในทศวรรษ 2010 โดยชนะเลิศการแข่งขันรายการสำคัญได้แก่ แกรนด์สแลมและรายการมาสเตอร์มากที่สุด รวมทั้งทำเงินรางวัลมากที่สุด และทำอันดับอยู่ในสี่อันดับแรกของโลกเป็นส่วนมากในช่วงเวลาดังกล่าว
  3. ยุคโอเพนในการแข่งขันเทนนิสทั่วโลกเริ่มต้นในปี 1968 แต่เริ่มมีการจัดอันดับมือวางผู้เล่นครั้งแรกในปี 1973
  4. ประเทศอังกฤษ, สกอตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ร่วมแข่งขันเทนนิสรายการนานาชาติได้แก่ เดวิสคัพ และกีฬาโอลิมปิก ในนามทีมสหราชอาณาจักร โดยไม่มีการแบ่งแยกประเทศ
  5. การแข่งขันเริ่มขึ้นในปี 1900 เป็นการแข่งขันรายการนานาชาติของทีมชายที่ใหญ่ที่สุดของสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ เปรียบเสมือนการแข่งขันชิงแชมป์โลก ผู้จัดงานได้อธิบายไว้ว่าเป็น "World Cup of Tennis" และผู้ชนะจะเรียกว่าทีมแชมป์โลก

อ้างอิง

Wikiwand in your browser!

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.

Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.

Remove ads