จักรวรรดิออตโตมัน (ตุรกีออตโตมัน: دولت عليه عثمانيه Devlet-i ʿAlīye-i ʿOsmānīye แปลตรงตัว "รัฐออตโตมันอันประเสริฐ"; ตุรกีแบบปัจจุบัน: Osmanlı İmparatorluğu หรือ Osmanlı Devleti; ฝรั่งเศส: Empire ottoman)[16] เป็นรัฐที่ควบคุมยุโรปตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันตก และแอฟริกาเหนือตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 จักรวรรดินี้ก่อตั้งในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอานาโตเลียในเมืองเซอกืต (ปัจจุบันคือจังหวัดบีเลจิค) โดยผู้นำเผ่าเตอร์โกแมน[17][18]สุลต่านออสมันที่ 1[19] หลัง ค.ศ. 1354 พวกออตโตมันได้ข้ามไปยังฝั่งยุโรปและพิชิตคาบสมุทรบอลข่าน, เบย์ลิกออตโตมันจึงเปลี่ยนเป็นจักรวรรดิข้ามทวีป พวกออตโตมันที่นำโดยสุลต่านเมห์เหม็ดผู้พิชิตพิชิตพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลใน ค.ศ. 1453 ทำให้จักรวรรดิไบแซนไทน์สิ้นสุดลง[20] จักรวรรดิออตโตมันเริ่มเสี่อมถอยอย่างช้า ๆ จนกระทั่งล่มสลายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ร่วมกับฝ่ายมหาอำนาจกลางแห่งจักรวรรดิเยอรมัน, จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และราชอาณาจักรบัลแกเรียที่เป็นฝ่ายแพ้สงคราม

ข้อมูลเบื้องต้น รัฐออตโตมันอันประเสริฐ دولت عليه عثمانیهDevlet-i ʿAlīye-i ʿOsmānīye, เมืองหลวง ...
รัฐออตโตมันอันประเสริฐ

دولت عليه عثمانیه
Devlet-i ʿAlīye-i ʿOsmānīye
1299–1922
ธงชาติจักรวรรดิออตโตมัน
ธงชาติ
(ค.ศ. 1844–1922)
ตราแผ่นดิน
(1882–1922)
คำขวัญ: دولت ابد مدت
Devlet-i Ebed-müddet
("รัฐอันเป็นนิรันดร์")
จักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1566 ในช่วงที่สุลัยมานผู้เกรียงไกรสวรรคต
จักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1566 ในช่วงที่สุลัยมานผู้เกรียงไกรสวรรคต
จักรวรรดิออตโตมัน ณ จุดสูงสุดในปี ค.ศ. 1683
จักรวรรดิออตโตมัน ณ จุดสูงสุดในปี ค.ศ. 1683
เมืองหลวง
เมืองใหญ่สุดคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบูล)
ภาษาทั่วไป
  • ตุรกีออตโตมัน (ทางการ)
  • อาหรับ (ภาษาศักดิ์สิทธิ์; ในประชากรที่พูดภาษาอาหรับ)
  • กรีก (สุลต่านบางพระองค์และประชากรที่พูดภาษากรีก)
  • เปอร์เซีย (การทูต, กวี, ประวัติศาสตร์, วรรณกรรม, สอนในโรงเรียนรัฐ)[6][7]
  • ชะกะไต (พระราชกฤษฎีกาในศตวรรษที่ 15)[8]
  • ฝรั่งเศส (ภาษาต่างชาติของผู้มีการศึกษาในสมัยปลายตันซีมัต/จักรวรรดิตอนปลาย)[9]
  • อื่น ๆ
ศาสนา
เดมะนิมชาวออตโตมัน
การปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์
(1299–1876; 1878–1908; 1920–1922)
และรัฐเคาะลีฟะฮ์ (1517–1924[10])
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
(1876–1878; 1908–1920)
สุลต่าน 
 ป. 1299–1323/4 (องค์แรก)
ออสมันที่ 1
 1918–1922 (องค์สุดท้าย)
เมห์เหม็ดที่ 6
เคาะลีฟะฮ์ 
 1517–1520 (องค์แรก)
เซลิมที่ 1[11][note 2]
 1922–1924 (องค์สุดท้าย)
อับดุลเมจิดที่ 2
มหาเสนาบดี 
 1320–1331 (คนแรก)
อาลาเอดดีน พาชา
 1920–1922 (คนสุดท้าย)
อาห์เม็ด เทวฟิก พาชา
สภานิติบัญญัติสมัชชาใหญ่
 สภาบนที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
สภาสำคัญ
 สภาล่างที่ได้รับการเลือกตั้ง
สภาต่ำ
ประวัติศาสตร์ 
 ก่อตั้ง
1299 1299
1402–1413
1453
 รัฐธรรมนูญฉบับแรก
1876–1878
 รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2
1908–1920
 การรุกรานที่ประตูประเสริฐ (Sublime Porte)
23 มกราคม ค.ศ. 1913
1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1922
29 ตุลาคม 1923
 การยุบรัฐเคาะลีฟะฮ์
3 มีนาคม ค.ศ. 1924
พื้นที่
 รวม
[convert: %s]%s (N/A)
1451[12]690,000 ตารางกิโลเมตร (270,000 ตารางไมล์)
1521[12]3,400,000 ตารางกิโลเมตร (1,300,000 ตารางไมล์)
1683[12][13]5,200,000 ตารางกิโลเมตร (2,000,000 ตารางไมล์)
1844[14]2,938,365 ตารางกิโลเมตร (1,134,509 ตารางไมล์)
ประชากร
 1912[15]
24,000,000
จีดีพี (อำนาจซื้อ) N/A (ประมาณ)
 รวม
N/A
สกุลเงินอักเช, พารา, ซุลตานี, กูรุช, ลีรา
ก่อนหน้า
ถัดไป
รัฐสุลต่านรูม
เบย์ลิกแห่งอานาโตเลีย
จักรวรรดิไบแซนไทน์
ราชอาณาจักรบอสเนีย
จักรวรรดิบัลแกเรียที่ 2
รัฐเผด็จการเซอร์เบีย
ราชอาณาจักรฮังการี
ราชอาณาจักรโครเอเชีย
สันนิบาต Lezhë
รัฐสุลต่านมัมลูก
อาณาจักรฮัฟศิด
อักโกยุนลู
คณะอัศวินบริบาลตริโปลี
อาณาจักรตแลมแซน
จักรวรรดิเตรบิซอนด์
รัฐนคร Samtskhe
รัฐเผด็จการโมเรีย
เซตา
รัฐนครเธโอโดโร
ประเทศตุรกี
สาธารณรัฐเฮลเลนิก
เขตอุปราชแห่งคอเคซัส
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
รัฐปฏิวัติเซอร์เบีย
แอลเบเนีย
ราชอาณาจักรโรมาเนีย
ราชรัฐบัลแกเรีย
รูเมเลียตะวันออก
เอมิเรตอะซีร
ราชอาณาจักรฮิญาซ
OETA
อิรักในอาณัติ
แอลจีเรียของฝรั่งเศส
ไซปรัสของบริติช
ตูนีเซียของฝรั่งเศส
ตริโปลิเตเนียของอิตาลี
ไซราเนอิกาของอิตาลี
รัฐชัยค์คูเวต
ราชอาณาจักรเยเมน
รัฐสุลต่านอียิปต์
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของN/A
ปิด

ภายในรัชสมัยสุลัยมานผู้เกรียงไกร จักรวรรดิออตโตมันอยู่ในช่วงสูงสุดในด้านอำนาจและความเจริญ เช่นเดียวกันกับระบบรัฐบาล สังคม และเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาสูงสุด[21] ในช่วงเริ่มต้นของศตวรรษที่ 17 ตัวจักรวรรดิมี 32 จังหวัดและรัฐบริวารจำนวนมาก โดยบางส่วนในเวลาต่อมาถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน ในขณะอีกบางส่วนได้รับสถานะปกครองตนเองเป็นเวลาหลายศตวรรษ[note 5]

หลังตั้งคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคืออิสตันบูล) เป็นเมืองหลวงและควบคุมดินแดนรอบบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน จักรวรรดิออตโตมันกลายเป็นศูนย์กลางด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างตะวันออกและตะวันตกของโลกเป็นเวลา 6 ศตวรรษ เมื่อถึงช่วงระยะเวลาการล่มสลายหลังสุลัยมานผู้เกรียงไกรสวรรคต นักประวัติศาสตร์ด้านวิชาการส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนมุมมองนี้แล้ว[22] ตัวจักรวรรดิยังคงมีเศรษฐกิจ สังคม และการทหารที่ยืดหยุ่นและแข็งแกร่งตลอดศตวรรษที่ 17 และส่วนมากของศตวรรษที่ 18[23] อย่างไรก็ตาม ในช่วงสันติสุขตั้งแต่ ค.ศ. 1740 ถึง 1768 ระบบทหารออตโตมันตกเป็นรองของฝ่ายยุโรป ได้แก่ ฮาพส์บวร์คและรัสเซีย[24] พวกออตโตมันประสบความพ่ายแพ่ทางทหารอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 จนถึงต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งทำให้เกิดการปฏิรูปและการทำให้ทันสมัยที่มีชื่อว่าตันซีมัต ดังนั้น ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 รัฐออตโตมันกลายเป็นรัฐที่มีอำนาจและจัดระเบียบมาก แม้ว่าจะยังคงประสบกับการสูญเสียดินแดนมากกว่าเดิม โดยเฉพาะคาบสมุทรบอลข่าน ซึ่งทำให้เกิดรัฐใหม่ขึ้น[25]

คณะกรรมการสหภาพและความก้าวหน้า (Committee of Union and Progress; CUP) อาจก่อตั้งสมัยรัฐธรรมนูญที่ 2 ผ่านการปฏิรูปยังเติร์กใน ค.ศ. 1908 ทำให้จักรวรรดิเปลี่ยนเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ดำเนินการผ่านการแข่งขันเลือกตั้งหลายพรรค ไม่กี่ปีต่อมา พรรค CUP ได้โค่นรัฐบาลในรัฐประหาร ค.ศ. 1913 ทำให้เกิดการปกครองรัฐเดียว ฝ่าย CUP สร้างพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมันเพื่อหลุดพ้นจากความโดดเดี่ยวทางการทูต (diplomatic isolation) ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียดินแดน และเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในฝ่ายมหาอำนาจกลาง[26] ขณะที่จักรวรรดิสามารถควบคุมขัดแย้งส่วนใหญ่ได้ แต่ยังคงมีปัญหาภายใน โดยเฉพาะกบฏอาหรับในดินแดนของตนที่คาบสมุทรอาหรับ ในช่วงนั้น รัฐบาลออตโตมันได้ดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวอาร์มีเนีย ชาวอัสซีเรีย และชาวกรีก[27] ความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิและการยึดครองดินแดนบางส่วนของฝ่ายสัมพันธมิตรจากผลตามหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้การแบ่งดินแดนและสูญเสียดินแดนในตะวันออกกลางที่แบ่งกันระหว่างสหราชอาณาจักรกับฝรั่งเศส ความสำเร็จในสงครามประกาศอิสรภาพตุรกีที่นำโดยมุสทาฟา เคมัล อาทาทืร์คต่อฝ่ายพันธมิตรที่ครอบครองดินแดนทำให้เกิดสาธารณรัฐตุรกีที่ใจกลางอานาโตเลียกับการเลิกล้มพระมหากษัตริย์ออตโตมัน[28]

ประวัติศาสตร์

ยุคเรืองอำนาจ (ค.ศ. 1299–1453)

ในช่วงที่เซลจุกเติร์กกำลังเสื่อมอำนาจ ชาวเติร์กเผ่าอื่น ๆ ซึ่งได้อพยพตามเซลจุกเติร์กเข้ามายังอนาโตเลียจึงได้ถือโอกาสประกาศตนเป็นเอกราช ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงชาวเติร์กกลุ่มหนึ่งภายใต้การนำของออสมาน เบย์ (Osman Bey) (“เบย์” ในภาษาตุรกีมีความหมายว่า ผู้นำ หรือ เจ้าเมือง) ผู้นำชาวเติร์กเผ่าคายี (Kayi) ซึ่งเป็นสายย่อยของเติร์กเผ่าโอกูซ (Oghuz) บิดาของออสมัน ชื่อ Ertugrul เป็นผู้นำเผ่าคายี ซึ่งเป็นเติร์กกลุ่มหนึ่งที่อพยพเข้าไปอยู่ในเปอร์เซีย ในกลางศตวรรษที่ 13 Ertugrul ได้พาเผ่าของตนอพยพเข้ามายังอนาโตเลีย เพื่อหลบหนีการโจมตีจากพวกมองโกล เมื่ออพยพเข้ามายังอนาโตเลียแล้ว Ertugrul เสียชีวิต ออสมันบุตรชายได้ขึ้นเป็นผู้นำแทน ภายหลังที่อาณาจักรเซลจุกเสื่อมอำนาจ ออสมันได้ถือโอกาสประกาศตนเป็นเอกราชและได้สถาปนาอาณาจักรของตนเอง ขึ้นในภาคตะวันตกของอนาโตเลีย อาณาจักรแห่งนี้ชาวตะวันตกเรียกว่า ออตโตมัน (Ottoman) แต่ในภาษาตุรกีจะเรียกว่า ออ-สมานลึ (Osmanli) ตามพระนามของสุลต่านออสมาน (Osman) ผู้สถาปนาอาณาจักรและราชวงศ์

จักรวรรดิออตโตมันมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองบูร์ซา เดิมชื่อเมืองโพรอุสซา (Proussa) ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 ออสมานได้ยกกำลังมาปิดล้อมเมืองนี้แต่ไม่สามารถยึดเมืองได้ หลังจากที่พยายามปิดล้อมเมืองอยู่นานเกือบ 10 ปี อย่างไรก็ดี ในปี พ.ศ. 1869 (ค.ศ. 1326) ชาวเมืองโพรอุสซา ได้ยอมแพ้ต่อ ออร์ฮัน (Orhan) โอรสของออสมาน ซึ่งได้ขึ้นมาเป็นผู้นำแทนบิดา การเข้ายึดครองเมืองดังกล่าวนี้ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญต่อออตโตมัน ออตโตมันเติร์กซึ่งเดิมเป็นชนเผ่าเร่ร่อนได้ลงหลักปักฐานที่เมืองนี้ พรัอมกับยุติการใช้ชีวิตแบบเร่ร่อน เมืองบูร์ซ่าเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรออตโตมันเติร์ก จนถึงปี พ.ศ. 1905 ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสุลต่านออร์ฮัน เมืองหลวงของออตโตมันก็ถูกย้ายไปเมืองเอดิร์เน (Edirne) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของนครคอนสแตนติโนเปิล

อาณาจักรออตโตมันตั้งประชิดติดกับอาณาจักรไบแซนไทน์ ที่กำลังเสื่อมอำนาจลงตามลำดับ โดยมีดินแดนเหลืออยู่เพียงกรุงคอนสแตนติโนเปิลและอาณาบริเวณโดยรอบเท่านั้น ซึ่งมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากนครเล็ก ๆ ที่ถูกล้อมรอบโดยอาณาจักรออตโตมัน ที่กำลังเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ดีนครรัฐไบแซนไทน์ก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ โดยอาศัยกำแพงเมืองสูงใหญ่เป็นปราการป้องกันตนเอง กำแพงแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิธีโอดอซิอุสที่ 2 (Theodosius II) กำแพงแห่งนี้ได้ปกป้องคุ้มครองนครคอนสแตนติโนเปิลจากการปิดล้อมและโจมตีของออตโตมันเติร์ก ซากของกำแพงในปัจจุบันจัดเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ที่ยังหลงเหลือให้เห็นจนกระทั่งทุกวันนี้และได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก

ในปี พ.ศ. 1933 (ค.ศ. 1390) และ พ.ศ. 1934 สุลต่านไบยัดซึที่ 1 ทรงพยายามปิดล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิลถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถตีเมืองได้สำเร็จ ในปี พ.ศ. 1965 (ค.ศ. 1422) สุลต่านมูราตที่ 2 ได้ทำการปิดล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิลอีกเป็นครั้งที่ 3 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 1996 (ค.ศ. 1453) สุลต่านเมห์เมตที่ 2 ได้เปิดฉากการโจมตีกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งในขณะนั้นมีพลเมืองเหลืออยู่เพียงประมาณ 50,000 คน จากเดิมที่เคยมีมากกว่า 500,000 คน

การผนวกดินแดน (ค.ศ. 1453–1566)

การปิดล้อมทั้งทางบกและทางทะเลของสุลต่านเมห์เมตที่ 2 เริ่มต้นขึ้นในต้นฤดูใบไม้ผลิของปี พ.ศ. 1996 (ค.ศ. 1453) ภายหลังที่ปิดล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ประมาณ 50 วัน กองทหารออตโตมันก็สามารถทะลวงกำแพงเมืองอันสูงใหญ่ของกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 1996 (ค.ศ. 1453) และเข้ายึดกรุงได้ในที่สุด เป็นการปิดฉากอย่างสมบูรณ์ของจักรวรรดิโรมันตะวันออก ซึ่งสามารถยืนหยัดอยู่รอดมาได้ยาวนานถึง 1,123 ปี มีจักรพรรดิปกครองรวมทั้งสิ้น 82 พระองค์จากหลายราชวงศ์ จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 11 จักรพรรดิองค์สุดท้ายของไบแซนไทน์ทรงสิ้นพระชนม์อย่างมีปริศนา ท่ามกลางความสับสนอลหม่านในวันที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลแตก

ความสำเร็จในการโจมตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลในครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชนเชื้อสายเติร์ก ซึ่งได้อพยพเข้าสู่อนาโตเลีย ภายหลังที่สุลต่าน Alparslan ทรงมีชัยชนะเหนือกองทัพจักรพรรดิโรมานุสที่ 6 (Romanus IV) แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ในสมรภูมิ ณ เมืองมาลัซเกิร์ต (Malazgirt)

ในปี พ.ศ. 2244 (ค.ศ. 1701) ชัยชนะของสุลต่าน Alparslan ได้เปิดทางให้ชนเชื้อสายเติร์กจากเอเชียกลางหลั่งไหลเข้าสู่อาณาจักรอนาโตเลีย ในขณะที่ชัยชนะของสุลต่านเมห์เมตที่ 2 ในปี พ.ศ. 1996 ได้เปิดทางให้จักรวรรดิออตโตมันได้ก้าวไปสู่การเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา

ภายหลังที่สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ทรงตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลแตกเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1453 พระองค์ก็ทรงได้รับการขานพระนามว่า ฟาติ เมห์เมต (Fatih Mehmet) “ฟาติ” (Fatih) มีความหมายว่า “ผู้พิชิต” (the conqueror) สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 โปรดให้ย้ายเมืองหลวงของจักรวรรดิจากเมืองเอดิร์เน มายังกรุงคอนสแตนติโนเปิล และได้โปรดให้มีการเปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่เป็น อิสลามบูล (Islambul) ภายหลังที่มีการสถาปนาสาธารณรัฐตุรกีในปี พ.ศ. 2466 นครอิสลามบูลได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “อิสตันบูล” (Istanbul) ในปัจจุบันในระยะเวลาไม่ถึง 100 ปี นับตั้งแต่ที่สุลต่านเมห์เมตที่ 2 ทรงสามารถตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ อาณาจักรออตโตมันได้แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกมุสลิมในเวลาต่อมา จักรวรรดิออตโตมันได้ขยายอำนาจครอบคลุมดินแดนถึง 3 ทวีป ได้แก่ ตะวันออกกลาง (เอเชีย) แอฟริกาเหนือ และยุโรปบอลข่าน

การขยายอาณาเขต และ ปฏิรูป (ค.ศ. 1566–1827)

จักรวรรดิออตโตมันได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยสุลต่านสุไลมาน ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2063 (ค.ศ. 1520) – พ.ศ. 2109 (ค.ศ. 1566) ในรัชสมัยของพระองค์ถือเป็นยุคทองของจักรวรรดิ อาณาเขตได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ทิศตะวันตกจรดดินแดนออสเตรีย

ทิศตะวันออกจรดคาบสมุทรอาเรเบีย ทิศเหนือจรดคาบสมุทรไครเมีย ทิศใต้จรดซูดานในแอฟริกาเหนือ ชาวตะวันตกได้ขนานพระนามของพระองค์ว่า “สุไลมาน ผู้ยิ่งใหญ่” สำหรับชาวตุรกีพระองค์ได้รับสมัญญานามว่า “สุไลมาน ผู้พระราชทานกฎหมาย” เนื่องจากพระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูประบบกฎหมาย สุลต่านสุไลมานสิ้นพระชนม์ในระหว่างทำสงครามที่ฮังการีในปี พ.ศ. 2109 (ค.ศ. 1566) สิริรวมพระชนมายุได้ 74 พรรษา ทรงครองราชย์ยาวนานถึง 46 ปี อดีตอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิออตโตมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยสุลต่านสุไลมานเป็น 1 ใน 3 สิ่งที่ชาวตุรกีภาคภูมิใจเป็นอย่างมากเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติตน

สมัยใหม่ (ค.ศ. 1828–1908)

สิ้นรัชกาลสุลต่านสุไลมาน จักรวรรดิออตโตมันเข้าสู่ยุคเสื่อม ซึ่งกินระยะเวลายาวนานถึง 300 ปี ก่อนที่จะล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สาเหตุที่นำไปสู่ความเสื่อมอำนาจของจักรวรรดิมาจากปัจจัยหลายประการ ที่สำคัญได้แก่ การไร้ความสามารถของสุลต่าน 17 พระองค์ที่ทรงครองราชย์ต่อจากสุลต่านสุไลมานในระหว่างปี พ.ศ. 2099 (ค.ศ. 1566) – พ.ศ. 2332 (ค.ศ. 1789) การแย่งชิงอำนาจในราชสำนักก็เป็นปัจจัยอันหนึ่งที่นำไปสู่การเสื่อมถอยของจักรวรรดิออตโตมัน สมัยสุลต่านเบยาซิต ที่ 1 (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1932 – 1946) โปรดให้จัดการปลงพระชนม์พระอนุชาของพระองค์เอง ทันทีที่ทรงทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระบิดา เพื่อตัดปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติ การกระทำดังกล่าวได้กลายเป็นประเพณีปฏิบัติสืบมาจนถึงรัชสมัยของสุลต่านเมห์เมดที่ 1 ซึ่งขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2148 (ค.ศ. 1605) โปรดให้เปลี่ยนการสำเร็จโทษมาเป็นการกักบริเวณแทน การกักบริเวณดังกล่าวมีผลอย่างมากต่อสุขภาพจิตเจ้าชายรัชทายาท ซึ่งได้รับการทูลเชิญให้ขึ้นครองราชย์ในภายหลัง สุลต่านหลายพระองค์ทรงมีสุขภาพจิตที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากถูกกักบริเวณมาเป็นเวลานาน บางพระองค์ถูกกักบริเวณนานกว่า 20 ปี

ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา พระราชอำนาจของสุลตานได้ลดลงเป็นอย่างมาก ในขณะที่อำนาจของขุนนางภายใต้การนำของอัครมหาเสนาบดีมีมากขึ้น ในยุคนี้การฉ้อราษฎร์บังหลวง การเล่นพรรคเล่นพวกเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ส่งผลให้การเมืองภายในประเทศอ่อนแอ ในทางเศรษฐกิจ จักรวรรดิก็ประสบปัญหาอย่างมากเช่นกัน ในขณะที่ยุโรปประสบความสำเร็จในการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว จักรวรรดิออตโตมันกลับอ่อนแอลงตามลำดับ อย่างไรก็ดี จักรวรรดิก็สามารถประคับประคองตนเองให้อยู่รอดมาได้นานนับร้อยปี เนื่องจากชาติมหาอำนาจในยุโรปไม่ทราบถึงความอ่อนแอภายในจักรวรรดิออตโตมัน

ความพ่ายแพ้ และ การล่มสลาย (ค.ศ. 1908–1922)

การปฏิวัติยังเติร์กโดยบรรดาผู้นำมิลเลตออตโตมันใน ค.ศ. 1908

อย่างไรก็ดีในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชาติมหาอำนาจยุโรปเริ่มตระหนักถึงความอ่อนแอของจักรวรรดิออตโตมันมากขึ้น และเริ่มตั้งคำถามว่า ควรจะดำเนินการอย่างไรกับดินแดนภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน หากจักรวรรดิออตโตมันมีอันต้องล่มสลายไป โดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อดุลยอำนาจในยุโรป

ในศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิออตโตมันได้รับฉายาว่า เป็นคนป่วยแห่งยุโรป ฉายาดังกล่าว พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 แห่งรัสเซีย เป็นผู้ตั้งในเชิงดูหมิ่นเหยียดหยามออตโตมัน ที่ได้เข้าร่วมสงครามไครเมีย (Crimea War) กับอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อต่อต้านรัสเซีย ในปี พ.ศ. 2397 (ค.ศ. 1854)

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเสด็จเยือนจักรวรรดิออตโตมันในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทรงวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนั้น โดยทรงวิเคราะห์ไว้ว่า แม้ว่าจักรวรรดิออตโตมันจะเสื่อมอำนาจ แต่ชาติตะวันตกก็ยังลังเลที่จะเข้ายึดครองดินแดนต่าง ๆ ที่เป็นเมืองขึ้นของเติร์กทั้งหมด เนื่องจากเหตุผล 2 ประการ คือ

  1. หากขับไล่เติร์กออกจากดินแดนที่เติร์กปกครองอยู่ ชาติใดควรจะได้ครอบครองดินแดนเหล่านั้น หากชาติหนึ่งชาติใดได้ดินแดนเหล่านั้นไปย่อมจะทำให้ชาตินั้นมีอำนาจมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อดุลยอำนาจในยุโรป
  2. หากจะขับไล่เติร์กออกไปแล้วให้ดินแดนเหล่านั้นได้รับเอกราช ประเทศตะวันตก ซึ่งส่งกองทัพไปขับไล่เติร์กจะได้อะไรตอบแทน

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเห็นว่า ด้วยเหตุผลดังกล่าว ออตโตมันจึงยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ แม้ว่าจะอ่อนแอลงกว่าในอดีตมาก

หมายเหตุ

  1. ในภาษาตุรกีออตโตมัน ตัวเมืองมีหลายชื่อ เช่น โกสตันตีนีย์เย (قسطنطينيه), เดอร์ซาอาเด็ต (در سعادت) และ อิสตันบูล (استانبول) ชื่ออื่นนอกจาก อิสตันบูล ถูกยกเลิกหลังการประกาศสาธารณรัฐตุรกีใน ค.ศ. 1923[4]และหลังการเปลี่ยนรูปแบบอักษรเป็นอักษรลาตินใน ค.ศ. 1928, รัฐบาลตุรกีใน ค.ศ. 1930 ร้องขอให้สถานทูตและบริษัทต่างประเทศใช้ชื่อ อิสตันบูล และชื่อนั้นกลายเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ[5]
  2. ดำรงตำแหน่งสุลต่านใน ค.ศ. 1512 ถึง 1520
  3. สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 6 สุลต่านองค์สุดท้าย ถูกขับออกจากคอนสแตนติโนเปิลในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1922
  4. สนธิสัญญาแซ็ฟร์ (Treaty of Sèvres; 10 ตุลาคม ค.ศ. 1920) ทำให้เกิดจักรวรรดิออตโตมันขนาดเล็กขึ้น ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1922 สมัชชาใหญ่แห่งชาติตุรกี (Grand National Assembly of Turkey; GNAT) ได้ยุบรัฐสุลต่านและประกาศว่าการกระทำทั้งหมดในสมัยออตโตมันที่คอนสแตนติโนเปิล ไม่มีผลและเป็นโมฆะในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1920 วันที่มีการยึดครองคอนสแตนติโนเปิลภายใต้เงื่อนไขสนธิสัญญาแซ็ฟร์ การรับรู้ของนานาชาติต่อ GNAT และรัฐบาลอังการาเป็นที่ยอมรับผ่านการลงนามในสนธิสัญญาโลซานในวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1923 แล้วออกประกาศเป็นสาธารณรัฐในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1923 ทำให้ประวัติศาสตร์จักรวรรดิออตโตมันสิ้นสุดลง
  5. จักรวรรดิได้ให้อำนาจในดินแดนโพ้นทะเลชั่วคราวผ่านการประกาศความจงรักภักดีต่อสุลต่านและเคาะลีฟะฮ์ออตโตมัน เช่น การประกาศโดยสุลต่านรัฐอาเจะฮ์ใน ค.ศ. 1565 หรือผ่านการเข้าซื้อกิจการชั่วคราวบนเกาะต่าง ๆ เช่น ลันซาโรเตในมหาสมุทรแอตแลนติกใน ค.ศ. 1585 Turkish Navy Official Website: "Atlantik'te Türk Denizciliği"

อ้างอิง

อ่านเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

Wikiwand in your browser!

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.

Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.