Loading AI tools
นิกายในศาสนาอิสลาม จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ชีอะฮ์ (อาหรับ: شِيعَة ชีอะฮ์ จาก ชีอะตุอะลี شِيعَة عَلِيّ "สาวกของอะลี"; شِيعِيّ ชีอีย์ เป็นเอกพจน์ شِيَاع ชิยาอ์ เป็นพหุพจน์[1]) เป็นหนึ่งในสองแขนงของศาสนาอิสลาม โดยถือว่าศาสดามุฮัมมัดแต่งตั้งอะลีเป็นผู้สืบทอดและอิหม่ามหลังจากท่าน[2] สิ่งที่อะลีไม่เหมือนกับสามเคาะลีฟะฮ์คือ เขามาจากบนูฮาชิม ตระกูลเดียวกันกับมุฮัมมัด เป็นลูกพี่ลูกน้อง และเป็นชายคนแรกที่นับถือศาสนาอิสลาม[3]
ชีอะฮ์เป็นนิกายที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับสองของศาสนาอิสลาม โดยในช่วงปลายทศวรรษ 2000 มีประชากรชีอะฮ์อยู่ร้อยละ 10–15% ของมุสลิมทั้งหมด[4] และสำนักชีอะฮ์สิบสองอิมามเป็นสำนักชีอะฮ์ที่นับถือมากที่สุด[5] โดยในปี ค.ศ. 2012 คาดการว่ามีอยู่ร้อยละ 85%[6]
คำว่า ชีอะฮ์ (อาหรับ: شيعة) ตามอักษรหมายถึง "ผู้ติดตาม"[7] และเป็นประโยคสั้นของคำว่า ชีอะตุอะลี (شيعة علي /ˈʃiːʕatu ˈʕaliː/) ซึ่งหมายถึง "ผู้ติดตามของอะลี"[8]
เหตุการณ์ที่ฆอดิรคุมม์ เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 632 ในขณะกลับจากการทำฮัจญ์ ศาสดามุฮัมมัดได้เรียกชาวมุสลิมที่อยู่รอบ ๆ มารวมตัวกันแล้วให้โอวาส ในตอนนั้น มุฮัมมัดชูแขนอะลีแล้วกล่าวว่า "ใครสำคัญไปกว่าตนเอง?" ชาวมุสลิมกล่าวว่า "อัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์"[9]
เหตุการณ์นี้ได้ถูกบันทึกทั้งฝ่ายชีอะฮ์และซุนนี[10][11][12][13]
เมื่อมุฮัมมัดเสียชีวิตในปีค.ศ. 632 และญาติของมุฮัมมัดกำลังจัดงานศพ ในขณะที่เตรียมร่างกายนั้น อะบูบักร์, อุมัร และอบูอุบัยดะฮ์ อิบน์ อัลญัรเราะฮ์พบกับผู้นำแห่งมะดีนะฮ์และเลือกอบูบักร์เป็นเคาะลีฟะฮ์ อะลีปฏิเสธความเป็นเคาะลีฟะฮ์ของอะบูบักร์และไม่ให้สัตยาบันแก่เขา รายงานนี้มีทั้งสายซุนนีและชีอะฮ์
อะลีไม่ได้เป็นเคาะลีฟะฮ์ จนกระทั่งอุสมาน เคาะลีฟะฮ์คนที่สามถูกลอบสังหารในปีค.ศ. 657 และอะลีก็กลายเป็นเคาะลีฟะฮ์คนที่สี่[14] แล้วย้ายเมืองหลวงไปที่กูฟะฮ์ในอิรัก[8]
ในช่วงที่อะลีปกครอง สังคมมุสลิมมักจะมีโต้แย้ง และมีสงครามเกือบบ่อย ซึ่งมีผลทำให้เกิดฟิตนะฮ์ครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองใหญ่ครั้งแรกในรัฐเคาะลีฟะฮ์อิสลาม[14] อะลีปกครองตั้งแต่ปีค.ศ. 656 ถึงค.ศ. 661[14] สิ้นสุดโดยการถูกลอบสังหาร[15] ในตอนที่กำลังละหมาด (สุญูด) และมุอาวิยะฮ์ ศัตรูหลักของอะลี ประกาศตนเองเป็นเคาะลีฟะฮ์[16]
หลังอะลีเสียชีวิต ฮะซัน อิบน์ อะลี ลูกชายคนโตกลายเป็นเคาะลีฟะฮ์แห่งกูฟะฮ์ และหลังจากต่อสู้ระหว่างกูฟะฮ์กับทหารของมุอาวิยะฮ์ ฮะซํนยอมโอนอำนาจให้มุอาวิยะฮ์และทำสนธิสัญญาสันติภาพภาพใต้ข้อเงื่อนไข:[17][18]
ฮะซันเกษียณในมะดีนะฮ์ และในปีค.ศ. 670 เขาถูกฆ่าด้วยยาพิษโดยญะดา บิยต์ อัลอัชอัษ อิบน์ ก็อยส์ ภรรยาของท่าน โดยมุอาวิยะฮ์แอบติดต่อเธอให้ฆ่าฮะซัน เพื่อให้มุอาวิยะฮ์ยกตำแหน่งให้กับยะซีด ลูกชายของตนเอง
ฮุซัยน์ น้องชายของฮะซัน และลูกคนเล็กของอะลี ได้เรียกร้องให้รวมอำนาจเคาะลีฟะฮ์ ในปีค.ศ. 680 มุอาวิยะฮ์เสียชีวิตแล้วยกตำแหน่งให้ยะซีด และทำลายสนธิสัญญาของฮะซัน อิบน์ อะลี ดังนั้น ฮุซัยน์ได้รวบรวมครอบครัวกับผู้ติดตามในมะดีนะฮ์ เดินทางไปที่กูฟะฮ์ แต่ถูกขวางโดยทหารของยะซีด ที่ใกล้กัรบะลา (ปัจจุบันอยู่ในอิรัก) และฮุซัยน์กับครอบครัวและผู้ติดตามอีกประมาณ 72 คนถูกฆ่าในยุทธการที่กัรบะลาอ์
ชีอะฮ์ยกย่องฮุซัยน์เป็นผู้พลีชีพ (ชะฮีด) และนับท่านเป็นอิหม่ามจากอะฮ์ลุลบัยต์[19] ยุทธการที่กัรบะลามักถูกกล่าวเป็นจุกแยกระหว่างซุนนีกับชีอะฮ์ของอิสลาม และในทุก ๆ ปี มุสลิมชีอะฮ์จะร่วมกันรำลึกในวันอาชูรออ์
รายงานจากมุสลิมชีอะฮ์ไว้ว่า การทำสำมะโนมักนำโดยนิกายซุนนี ซึ่งอาจจะทำให้ข้อมูลบางส่วนไม่เป็นจริง เช่น ในค.ศ. 1926 ในช่วงที่ราชวงศ์ซะอูดได้แยกชีอะฮ์ออก[20] ชาวชีอะฮ์มีอยู่ร้อยละ 21% ของประชากรมุสลิมในเอเชียใต้ ถึงแม้ว่าข้อจำกัดนี้จะเป็นอุปสรรคก็ตาม[21] จนกระทั่งมีการสรุปว่ามีอยู่แค่ 15%[22][23][24][25]
ตารางข้างล่างคือรายงานจาก Pew Research Center เรื่อง Mapping the Global Muslim Population ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009[24][25]
ประเทศ | ประชากรชีอะฮ์[24][25] | ร้อยละของมุสลิมที่เป็นชีอะฮ์[24][25] | ร้อยละของชีอะฮ์ทั่วโลก[24][25] | ประมาณต่ำสุด | ประมาณสูงสุด |
---|---|---|---|---|---|
อิหร่าน | 74,000,000–78,000,000 | 90–95 | 37–40 | 78,661,551[26][27] | |
ปากีสถาน | 17,000,000–26,000,000 | 10–15 | 10–15 | 43,250,000[28]–57,666,666[29][30] | |
อินเดีย | 17,000,000–26,000,000 | 10–15 | 9–14 | 40,000,000[31]–50,000,000.[32] | |
อิรัก | 19,000,000–22,000,000 | 65–70 | 11–12 | ||
เยเมน | 8,000,000–10,000,000 | 35–40 | ~5 | ||
ตุรกี | 7,000,000–11,000,000 | 10–15 | 4–6 | 22 ล้าน[26] | |
อาเซอร์ไบจาน | 5,000,000–7,000,000 | 65–75 | 3–4 | 8.16 ล้าน[26] ประชากร 85% ของประเทศ[33] | |
อัฟกานิสถาน | 3,000,000–4,000,000 | 10–15 | ~2 | 6.1 ล้าน[26] ประชากร 15–19% ของประเทศ[34] | |
ซีเรีย | 3,000,000–4,000,000 | 15–20 | ~2 | ||
ซาอุดีอาระเบีย | 2,000,000–4,000,000 | 10–15 | 1–2 | ||
ไนจีเรีย | <4,000,000 | <5 | <2 | 22–25 ล้าน[35][ไม่อยู่ในแหล่งอ้างอิง] | |
บังกลาเทศ | 40,000–50,000 | <1 | <1 | 10,840,000[36] | |
เลบานอน | 1,000,000–2,000,000 | 45–55 | <1 | โดยประมาณ, ไม่มีสำมะโนทางการ[37] 50–55%[38][39][40] | |
แทนซาเนีย | <2,000,000 | <10 | <1 | ||
คูเวต | 500,000–700,000 | 20–25 | <1 | 30–35% ต่อมุสลิม 1.2 ล้านคน (ประชากรในประเทศเท่านั้น)[41][42] | |
เยอรมัน | 400,000–600,000 | 10–15 | <1 | ||
บาห์เรน | 400,000–500,000 | 65–70 | <1 | 100,000 (66%[43] ของประชากร) | 200,000 (70%[44] ของประชากร) |
ทาจิกิสถาน | ~400,000 | ~7 | ~1 | ||
สหรัฐอาหรับเอมิเรต | 300,000–400,000 | 10 | <1 | ||
สหรัฐ | 200,000–400,000 | 10–15 | <1 | ||
โอมาน | 100,000–300,000 | 5–10 | <1 | 948,750[45] | |
สหราชอาณาจักร | 100,000–300,000 | 10–15 | <1 | ||
กาตาร์ | ~100,000 | ~10 | <1 |
มีหลายช่วงที่กลุ่มชีอะฮ์ถูกประหาร[46][47][48][49][50][51]
ในปีค.ศ. 1514 สุลต่านเซลิมที่ 1 ทรงมีรับสั่งให้สังหารชาวชีอะฮ์อนาโตเลีย 40,000 คน[52] รายงานจาก Jalal Al-e-Ahmad "สุลต่านเซลิมที่ 1 ทรงดำเนินไปไกลมาก จนมีการประกาศว่าการฆ่าชีอะฮ์หนึ่งคนมีค่าเท่ากับการฆ่าชาวคริสต์ถึง 70 คน"[53]
ภายใต้การปกครองของซัดดัม ฮุสเซนในประเทศอิรัก มุสลิมชีอะฮ์ส่วนใหญ่มักถูกจำคุก, ทรมาน และถูกฆ่า[54] และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 ทางรัฐบาลมาเลเซียประกาศให้ชีอะฮ์เป็นสังกัดที่ "แปลกแยก" และถูกห้ามไม่ให้เผยแผ่หลักศรัทธาของพวกเขา แต่ยังคงดำเนินตามศาสนพิธีได้ตามที่ส่วนตัว[55][56]
วันทั่วไปที่ฉลองทั้งซุนนีและชีอะฮ์คือ:
วันด้านล่างนี้ เป็นวันสำคัญของชีอะฮ์:
ชีอะฮ์มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สี่แห่ง คือมักกะฮ์ (มัสยิด อัลฮะรอม), มะดีนะฮ์ (มัสยิด อันนะบะวี), เยรูซาเลม (มัสยิด อัลอักซอ) และกูฟะฮ์ (มัสยิดกูฟะฮ์) สำหรับชีอะฮ์แล้ว มัสยิดอิหม่ามฮุซัยน์, มัสยิดอัล อับบาสที่กัรบะลาอ์ และมัสยิดอิหม่ามอะลีที่นาจาฟก็สำคัญเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชีอะฮ์ส่วนใหญ่ในประเทศซาอุดีอาระเบียถูกทำลายโดยอัลอิควาน[61]
ชีอะฮ์สิบสองอิมาม หรือ อิษนาอะชารียะฮ์ เป็นสาขาของชีอะฮ์ที่ใหญ่ที่สุด ชื่อของสาขานี้มาจากกลุ่มของสิบสองอิหม่าม ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ที่ประเทศอิหร่าน (90%),[62] อาเซอร์ไบจาน (85%),[8][63] บาห์เรน (70%), อิรัก (65%), เลบานอน (65% ของมุสลิม)[64][65][66]
ชีอะฮ์สิบสองอิมามมีหลักศรัทธาห้าประการ[67] ซึ่งมีชื่อว่า อุศูลุดดีน โดยเรียงได้ดังนี้:[68][69]
อิสมาอิลีมีชื่อมาจากอิสมาอิล อิบน์ ญะฟัรตามลำดับผู้สืบทอด (อิหม่าม) ของญะอ์ฟัร อัศศอดิก โดยพวกเขาเชื่อว่า มูซา อัล-คอดิม เป็นอิหม่ามคนต่อไป
ปัจจุบัน อิสมาอิลีส่วนใหญ่มักพบอยู่ในสังคมอินโด-อิหร่าน[70] แต่ก็พบในอินเดีย, ปากีสถาน, ซีเรีย, ปาเลสไตน์, ซาอุดีอาระเบีย,[71] เยเมน, จีน,[72] จอร์แดน, อุซเบกิสถาน, ทาจิกิสถาน, อัฟกานิสถาน, แอฟริกาตะวันออก และแอฟริกาใต้ และมีบางส่วนย้ายถิ่นฐานไปที่ยุโรป, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และอเมริกาเหนือ[73]
อิสมาอิลีมี เสาหลัก 7 ประการ:
|
|
|
|
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.