คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ครุยและเข็มวิทยฐานะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Remove ads
Remove ads

ครุยวิทยฐานะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นเสื้อครุยที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติยศสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ต่อมา คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) เมื่อสามารถจัดการเรียนการสอนถึงขั้นปริญญาได้ แต่ในขณะนั้นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนจัดการเรียนการสอนในระดับประกาศนีบัตรเท่านั้นจึงไม่มีการจัดสร้างครุยขึ้น แต่ในเบื้องต้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเข็มที่ทำด้วยเงินล้วนเป็นรูปพระเกี้ยว เรียกว่า เข็มบัณฑิต (เข็มวิทยฐานะ ในปัจจุบัน) เพื่อใช้เป็นเครื่องหมายเพื่อแสดงว่าเป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนตั้งแต่ พ.ศ. 2457 ปัจจุบัน ผู้สำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นยังคงได้รับเข็มวิทยฐานะเพื่อใช้เป็นเครื่องหมายของบัณฑิตสืบมา

เมื่อโรงเรียนข้าราชการพลเรือนได้รับการประดิษฐานขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมีการปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนถึงขั้นปริญญาแล้ว จึงมีการจัดสร้างครุยขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2473 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นครุยผ้าโปร่งขาว มีสำรดติดขอบโดยรอบ รวมทั้งบริเวณแขนและปลายแขน พื้นสำรดนั้นมีสีแตกต่างกันตามชนิดของครุย กล่าวคือ ครุยพระบรมราชูปถัมภก พื้นสำรดสีเหลือง, ครุยประจำตำแหน่งคณาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัย พื้นสำรดสีชมพู, ครุยดุษฎีบัณฑิต พื้นสำรดสีแดง ส่วนครุยมหาบัณฑิตและครุยบัณฑิต พื้นสำรดสีดำ มีพระเกี้ยวติดตามแนวดิ่งกลางสำรดบริเวณหน้าอก สำหรับครุยวิทยฐานะนั้นจะใช้แถบสีตามสีประจำคณะบริเวณตอนกลางสำรดเพื่อระบุคณะที่บัณฑิตสังกัด

ผู้มีสิทธิใช้ครุยสามารถสวมครุยทับเครื่องแบบหรือเครื่องแต่งกายที่สุภาพได้ในงานพระราชพิธี งานรัฐพิธี หรืองานพิธีที่กำหนดให้สวมครุยวิทยฐานะและให้ประดับเข็มวิทยฐานะบนอกเสื้อข้างซ้ายของเครื่องแบบหรือเครื่องแต่งกายที่สุภาพได้ในโอกาสอันสมควร โดยผู้ใดที่ใช้ครุยหรือแสดงด้วยประการใด ๆ ว่าตนมีปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง ประกาศนียบัตรบัณฑิต อนุปริญญา ประกาศนียบัตร หรือมีตำแหน่งใดในมหาวิทยาลัยโดยที่ตนไม่มีสิทธิต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 15,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

ในปี พ.ศ. 2457 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังคงเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ยังไม่มีเครื่องหมายเพื่อแสดงว่าเป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเข็มที่ทำด้วยเงินล้วนเป็นรูปพระเกี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียน เรียกว่า "เข็มโรงเรียนข้าราชการพลเรือน" หรือ "เข็มบัณฑิต" สำหรับประดับที่อกเสื้อ[1] นอกจากนี้ เมื่อโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ สามารถจัดการเรียนการสอนจนถึงชั้นปริญญาได้แล้ว พระองค์ก็มีพระบรมราชานุญาตให้ผู้สำเร็จการศึกษาใช้เสื้อครุยเพื่อเป็นเกียรติยศได้[2] อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ จัดการเรียนการสอนได้เพียงระดับประกาศนียบัตรเท่านั้น จึงไม่มีการจัดสร้างเสื้อครุยและใช้เพียงเข็มบัณฑิตเพื่อแสดงว่าเป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้เท่านั้น

ในเบื้องต้นโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ได้กำหนดเข็มบัณฑิตไว้ 3 อย่าง ได้แก่ เข็มรัฏฐประศาสตรบัณฑิต เข็มเนติบัณฑิต (ภายหลังเปลี่ยนเป็นธรรมศาสตรบัณฑิต เนื่องจากคำว่า "เนติบัณฑิต" ไปพ้องกับ "เนติบัณฑิต" ของเนติบัณฑิตยสภา[3]) และเข็มคุรุบัณฑิต โดยเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินวางศิลาฤกษ์โรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2458 กรรมการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเข็มบัณฑิตทั้ง 3 แด่พระองค์ด้วย[4]

เมื่อ พ.ศ. 2460 โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับการประดิษฐานขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่การจัดการเรียนการสอนยังคงอยู่ในระดับประกาศนียบัตรเท่านั้น ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) ทรงเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการติดต่อขอความร่วมมือจากมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์เพื่อปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อให้สามารถจัดการศึกษาจนถึงระดับปริญญาได้[5]

จนกระทั่ง ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว[6] จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถจัดการศึกษาถึงระดับปริญญาได้เป็นผลสำเร็จ โดยนิสิตที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญารุ่นแรก ได้แก่ บัณฑิตจากคณะแพทยศาสตร์ (เวชชบัณฑิต) เมื่อปี พ.ศ. 2471[5] ด้วยเหตุนี้ จึงมีความคิดที่จะสร้างเสื้อครุยสำหรับบัณฑิตจุฬาฯ ขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เนื่องจากเสื้อครุยเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบเต็มยศซึ่งใช้เฉพาะในพระราชพิธีและมีพระราชกำหนดเสื้อครุย ร.ศ. 130 กำหนดไว้ ดังนั้น ทางมหาวิทยาลัยจึงกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตใช้ครุย พร้อมทั้งได้หารือกับกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงธรรมการเพื่อร่างพระราชกำหนดเสื้อครุยบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้น [7] ในครั้งนั้นได้มีการพิจารณาถึงรูปแบบของครุยวิทยฐานะโดยมีการเลือกแบบไว้ 5 แบบ แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อขอพระบรมราชวินิจฉัยจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยควรใช้ครุยวิทยฐานะแบบใด โดยพระองค์ทรงสั่งการให้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมเสนาบดีสภาและได้พระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยใช้ครุยวิทยฐานะในรูปแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน[8]

ถึงแม้จะมีผู้สำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2471 แล้วก็ตาม แต่การพิจารณาเรื่องเสื้อครุยสำหรับบัณฑิตนั้นได้ดำเนินการพิจารณาเรื่องรูปแบบเสื้อครุย จนกระทั่ง ออกเป็นพระราชกำหนดเสื้อครุยบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ในปี พ.ศ. 2473[9] ดังนั้น บัณฑิตที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งแรกนี้จึงเป็นบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2471 และ 2472[8]

ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น มหาอำมาตย์เอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์ครุยบัณฑิตพิเศษแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นปฐม หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานครุยกิตติมศักดิ์บัณฑิตชั้นโท (มหาบัณฑิต) ทางวิทยาศาสตร์แก่ พระยาภะรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา) อธิการบดี และครุยกิตติมศักดิ์บัณฑิตชั้นเอก (ดุษฎีบัณฑิต) แก่ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ แอลเลอร์ เอลลิส คณบดีคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล (ขณะนั้นยังคงสังกัดอยู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) และพระราชทานปริญญาแก่เวชชบัณฑิตเป็นลำดับต่อมา[8]

Remove ads

ครุย

สรุป
มุมมอง
Thumb
ฉลองพระองค์ครุยพระบรมราชูปถัมภกในรัชกาลที่ 7

ครุยพระบรมราชูปถัมภก

ครุยพระบรมราชูปถัมภก หรือ ครุยบัณฑิตพิเศษ เป็นฉลองพระองค์ครุยสำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นพระบรมราชูปถัมภกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสร้างขึ้นตามพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งโปรดเกล้าฯ สถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ที่ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระบรมราชูปถัมภกแห่งโรงเรียนนี้ นอกจากนี้ การทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์ครุยพระบรมราชูปถัมภกนั้น จะถวายเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลังพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกแล้วเท่านั้น

ครุยพระบรมราชูปถัมภกมีลักษณะเป็นครุยผ้าโปร่งขาว มีสำรดติดขอบรอบแขนและปลายแขน พื้นสำรดใช้สักหลาด "สีเหลือง" เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบรมราชจักรีวงศ์[10] มีขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร มีแถบทองกว้าง 1 เซนติเมตร ทาบทับบนริมทั้ง 2 ข้าง ตอนกลางติดแถบทองกว้าง 5 เซนติเมตร และมีตราพระเกี้ยวเงินติดทับบนสำรดตรงหน้าอกทั้ง 2 ข้าง

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์ครุยพระบรมราชูปถัมภกแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นปฐม เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรก ในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2473 ต่อมาได้ถวายฉลองพระองค์ครุยพระบรมราชูปถัมภกแด่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 และถวายฉลองพระองค์ครุยพระบรมราชูปถัมภกแด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2567[11]

สำหรับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เนื่องจากในรัชสมัยของพระองค์การจัดการเรียนการสอนยังไม่ถึงขั้นปริญญา จึงมีการทูลเกล้าฯ ถวายเข็มบัณฑิตพิเศษของโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ในฐานะพระบรมราชูปถัมภกแทนการถวายฉลองพระองค์ครุยพระบรมราชูปถัมภก ส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลนั้น เนื่องจากพระองค์ยังไม่ได้ทรงรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงไม่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายฉลองพระองค์ครุยพระบรมราชูปถัมภก[4]

ครุยวิทยฐานะ

Thumb
รูปครุยดุษฎีบัณฑิต (บัณฑิตวิทยาลัย) สวมทับเครื่องแบบปกติขาว

ครุยดุษฎีบัณฑิต

ครุยดุษฎีบัณฑิต หรือ ครุยบัณฑิตชั้นเอก เป็นครุยผ้าโปร่งขาว มีสำรดติดขอบรอบแขนและปลายแขน พื้นสำรดทำด้วยสักหลาด "สีแดง" ตามสีพื้นของครุยดุษฎีบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด[12] และเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระบรมราชสมภพในวันอังคาร[10] มีขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร มีแถบทองกว้าง 1 เซนติเมตร ทาบทับบนริมทั้ง 2 ข้าง เว้นระยะไว้ 7.5 มิลลิเมตร มีแถบทองขนาด 5 มิลลิเมตร ทั้งสองข้าง เว้นระยะอีก 7.5 มิลลิเมตร มีแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง ตอนกลางสำรดมีแถบสักหลาดขนาด 1 เซนติเมตร สีตามสีประจำคณะ และมีตราพระเกี้ยวทำด้วยโลหะสีเงิน ขนาดสูง 3.5 เซนติเมตร ติดตามทางดิ่งกลางสำรด บนแถบสักหลาดตอนหน้าอกทั้งสองข้าง[13]

สำหรับการแต่งกายของบัณฑิตชายนั้น ให้ใส่ชุดสากลสีกรมท่า สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวแล้วผูกเนคไทสีกรมท่าที่มีรูปพระเกี้ยวน้อยหลายองค์ สวมถุงเท้าและรองเท้าหุ้มส้นสีดำ สวมครุยวิทยฐานะ ส่วนบัณฑิตหญิงนั้น สวมกระโปรงสีกรมท่าไม่มีลวดลาย ความยาวคลุมเข่า ไม่ผ่าด้านข้างหรือผ่าด้านหน้า สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวมีปกไม่มีลวดลาย สวมถุงน่องใยบัวสีเนื้อและรองเท้าหุ้มส้นสีดำ สวมครุยวิทยฐานะ ถ้าบัณฑิตเป็นข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ให้แต่งแบบปกติขาวสวมครุยวิทยฐานะ ไม่สวมหมวก

ครุยมหาบัณฑิต

ครุยมหาบัณฑิต หรือ ครุยบัณฑิตชั้นโท มีลักษณะเช่นเดียวกับครุยดุษฎีบัณฑิต แต่พื้นสำรดทำด้วยสักหลาด "สีดำ"[13] ตามสีของครุยมหาบัณฑิตและบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด[12] และเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระบรมราชสมภพในวันเสาร์[10] ส่วนการแต่งกายของบัณฑิตชายและหญิงนั้น มีลักษณะเช่นเดียวกับดุษฎีบัณฑิต

ครุยบัณฑิต

ครุยบัณฑิต หรือ ครุยบัณฑิตชั้นตรี มีลักษณะเช่นเดียวกับครุยมหาบัณฑิต แต่ตอนกลางสำรดมีเส้นไหมกลม ขนาด 2 มิลลิเมตร สีตามสีประจำคณะ แทนแถบสักหลาด[13]

สำหรับการแต่งกายของบัณฑิตชาย สวมเครื่องแบบงานพระราชพิธีและรัฐพิธีสำหรับนิสิตชาย กล่าวคือ เสื้อคอปิดสีขาวแบบราชการ แนวอกเสื้อกลัดด้วยดุมโลหะสีเงินรูปพระเกี้ยว 5 ดุม แผงคอทำด้วยผ้าสักหลาดหรือกำมะหยี่ สีตามสีประจำคณะ กางเกงขายาวสีขาว ถุงเท้าและรองเท้าหุ้มส้นสีดำ ส่วนบัณฑิตหญิง สวมเครื่องแบบงานพระราชพิธีและรัฐพิธีสำหรับนิสิตหญิง

ครุยประจำตำแหน่ง

คณาจารย์ประจำ

ครุยคณาจารย์ประจำ เป็นครุยผ้าโปร่งขาว มีสำรดติดขอบ รอบแขนและปลายแขน พื้นสำรดทำด้วยสักหลาด "สีชมพู" มีขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร มีแถบทองกว้าง 1 เซนติเมตร ทาบทับบนริมทั้ง 2 ข้าง เว้นระยะไว้ 7.5 มิลลิเมตร มีแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง เว้นระยะอีก 7.5 มิลลิเมตร มีแถบทองขนาด 1 เซนติเมตร ทั้งสองข้าง ตอนกลางสำรดมีเส้นไหมกลมสีทองขนาด 2 มิลลิเมตร และมีตราพระเกี้ยวทำด้วยโลหะสีเงิน ขนาดสูง 3.5 เซนติเมตร ติดตามทางดิ่งกลางสำรด บนแถบสักหลาดตอนหน้าอกทั้งสองข้าง[13]

คณาจารย์พิเศษ มีสิทธิใช้ครุยแบบเดียวกับคณาจารย์ประจำเฉพาะปีการศึกษาที่ตนได้รับแต่งตั้ง ทั้งนี้คณาจารย์ทั้งประจำและพิเศษหากพ้นตำแหน่งไปแล้วยังคงสามารถใช้ครุยเช่นเดิมในพิธีการซึ่งกำหนดให้สวมครุย[14]

อุปนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย และผู้บริหาร

ครุยประจำตำแหน่งอุปนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัย มีลักษณะเช่นเดียวกับครุยคณาจารย์ประจำ แต่ตราพระเกี้ยวทำด้วยโลหะสีทอง[13]

ครุยประจำตำแหน่งผู้บริหารอื่น ๆ เช่น รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี และหัวหน้าส่วนงานของมหาวิทยาลัย (เช่น คณบดี ผู้อำนวยการ) มีลักษณะเช่นเดียวกับครุยอุปนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัย แต่ตราพระเกี้ยวมีขนาดย่อมกว่า คือสูง 2.2 เซนติเมตร[14]

นายกสภามหาวิทยาลัยและอธิการบดี

ครุยประจำตำแหน่งนายกสภามหาวทยาลัยและอธิการบดี มีลักษณะเช่นเดียวกับครุยประจำตำแหน่งอุปนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัย แต่มีสายสร้อยทำด้วยโลหะสีทอง พร้อมด้วยเครื่องหมายประจำคณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยตามแบบที่สภามหาวิทยาลัยกำหนด ประดับระหว่างตราพระเกี้ยวทั้ง 2 ข้าง[13]

ตัวอย่างแถบสำรด

Remove ads

เข็มวิทยฐานะ

สรุป
มุมมอง
Thumb
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงประดับเข็มโรงเรียนข้าราชการพลเรือน
Thumb
เข็มวิทยฐานะ (บัณฑิตวิทยาลัย) ในปัจจุบัน

เดิมนักเรียนจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นยังไม่มีเครื่องหมายใดที่แสดงว่าเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเข็มรูปพระเกี้ยวทำด้วยโลหะเงินสำหรับประดับเสื้อขึ้น เรียกว่า "เข็มโรงเรียนข้าราชการพลเรือน" หรือ "เข็มบัณฑิต" (เข็มวิทยฐานะ ในปัจจุบัน) โดยผู้มีสิทธิที่จะประดับเข็มนี้ได้ ได้แก่[1]

  • ผู้ที่สอบไล่ได้เป็นบัณฑิต ประดับเข็มไว้บนอกเสื้อข้างซ้าย
  • ผู้ที่ได้รับการโปรดเกล้าให้เป็นบัณฑิตพิเศษ ประดับเข็มไว้บนอกเสื้อข้างซ้าย
  • เจ้าพนักงานประจำโรงเรียนให้ประดับเข็มไว้บนอกเสื้อข้างซ้าย โดยสามารถประดับเข็มได้เฉพาะเมื่ออยู่ในตำแหน่งเจ้าพนักงานเท่านั้น เมื่ออกจากตำแหน่งแล้วไม่สามารถประดับเข็มได้
  • ผู้ที่สอบไล่ได้ประกาศนียบัตรและรับราชการไม่น้อยกว่า 3 ปี ให้ประดับเข็มบนอกข้างขวา[15]

ปัจจุบัน เข็มวิทยฐานะยังคงเป็นตราพระเกี้ยวที่ทำด้วยโลหะสีเงิน มีขนาดสูง 5 เซนติเมตร โดยมีอักษรย่อประจำคณะหรือแผนกวิชาจารึกอยู่ที่ใต้พระเกี้ยว สีอักษรย่อตามสีประจำคณะ[13] ด้านหลังเข็มวิทยฐานะจารึกชื่อ-สกุล ระดับชั้นปริญญาและปีที่สำเร็จการศึกษา (บางปีไม่มีการจารึกด้านหลังเข็ม)

สำหรับการประดับเข็มวิทยฐานะนั้น ผู้ที่ได้รับปริญญาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและผู้ที่ได้รับเข็มโรงเรียนข้าราชการพลเรือนมีสิทธิใช้เข็มวิทยฐานะได้ โดยให้ประดับเข็มวิทยฐานะไว้บนอกเสื้อข้างซ้ายของเครื่องแบบหรือเครื่องแต่งกายที่สุภาพ[16]

แถบสีและอักษรย่อประจำคณะ[17][14]

ข้อมูลเพิ่มเติม คณะ, แถบสีประจำคณะ ...
  1. หลักสูตรซึ่งไม่สังกัดคณะ หรือยังไม่มีประกาศของมหาวิทยาลัยกำหนดสีประจำคณะ ใช้สีเดียวกับสีประจำมหาวิทยาลัย
  2. เคยเป็นสถาบันสมทบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันคือสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย มีสถานะเป็นสถาบันอุดมศึกษาอิสระในกำกับของรัฐ ใช้ครุยวิทยฐานะทำด้วยผ้าพื้นสีแดงชาด
  3. เป็นสถาบันสมทบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Remove ads

การนำมาใช้และบทกำหนดโทษ

สรุป
มุมมอง

ตามข้อบังคับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่าด้วยโอกาสและเงื่อนไขในการใช้ ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2553 ระบุให้ผู้มีสิทธิใช้ครุยวิทยฐานะสวมครุยวิทยฐานะทับเครื่องแบบหรือเครื่องแต่งกายที่สุภาพได้ในงานพระราชพิธี งานรัฐพิธี หรืองานพิธีที่กำหนดให้สวมครุยวิทยฐานะ และให้สวมครุยประจำตำแหน่งทับเครื่องแบบหรือเครื่องแต่งกายที่สุภาพได้ในงานพิธีที่มหาวิทยาลัยกำหนด ส่วนเข็มวิทยฐานะนั้น ให้ผู้มีสิทธิใช้เข็มวิทยฐานะประดับเข็มวิทยฐานะบนอกเสื้อข้างซ้ายของเครื่องแบบหรือเครื่องแต่งกายที่สุภาพได้ในโอกาสอันสมควร[16]

นอกจากนี้ ทางมหาวิทยาลัยได้ขอให้บัณฑิตงดเว้นการประดับดอกไม้บนเสื้อครุย รวมทั้ง งดเว้นการประดับดอกไม้บนศีรษะ คาดสายสะพายข้างหรือสะพายเอวโดยเด็ดขาด เพราะเสื้อครุยจุฬาฯ เป็นเสื้อครุยพระราชทานและมีพระเกี้ยวประดับอยู่ การแต่งกายชุดครุยไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถใดจึงควรกระทำด้วยความสุภาพ[18]

สำหรับบทลงโทษแก่ผู้ใดที่ใช้ครุยพระบรมราชูปถัมภก ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ ครุยประจำตำแหน่ง หรือสิ่งใดที่เลียนแบบสิ่งดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิที่จะใช้ หรือแสดงด้วยประการใด ๆ ว่าตนมีปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง ประกาศนียบัตรบัณฑิต อนุปริญญา ประกาศนียบัตร หรือมีตำแหน่งใดในมหาวิทยาลัยโดยที่ตนไม่มีสิทธิ ถ้าได้กระทำเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิที่จะใช้หรือมีวิทยฐานะ หรือมีตำแหน่งเช่นนั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 15,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ[19]

Remove ads

อ้างอิง

ดูเพิ่ม

Loading content...
Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads