Loading AI tools
นักร้องชาวแคนาดา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เซลีน มารี โกลแด็ต ดียง (อักษรโรมัน: Céline Marie Claudette Dion) หรือ เซลีน ดียง (อักษรโรมัน: Céline Dion; สัทอักษรสากล: ) หรือ เซลีน ดิออน ตามสำเนียงภาษาอังกฤษ (สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งแคนาดา ชั้นจตุรถาภรณ์ (OC), สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งควิเบก ชั้นจตุรถาภรณ์ (OQ) และสมาชิกเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงโดเนอร์แห่งฝรั่งเศส ชั้นเบญจมาภรณ์[1][2]) เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2511 เป็นนักร้อง นักประพันธ์ดนตรี และนักแสดงชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส[3][4] เซลีนเกิดในครอบครัวใหญ่ เริ่มต้นการเป็นนักร้องโดยใช้ภาษาฝรั่งเศส หลังจากที่เรอเน อองเชลีล ผู้จัดการส่วนตัวของเธอ (ต่อมาคือสามี) จำนองบ้านของเขาเพื่อเป็นทุนในการออกอัลบั้ม ลาวัวดูบองดีเยอ อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสชุดแรก[5] ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 เซลีนได้ออกอัลบั้มภาษาอังกฤษอัลบั้มแรกในชื่อว่า ยูนิซัน อันเป็นจุดเริ่มต้นของเธอในวงการเพลงป๊อปสากลในสหรัฐอเมริกา และโลก[6]
เซลีน ดียง CC OQ | |
---|---|
ดียง ใน ค.ศ. 2012 | |
เกิด | เซลีน มารี โกลแด็ต ดียง 30 มีนาคม ค.ศ. 1968 ชาร์เลอมาญ รัฐเกแบ็ก ประเทศแคนาดา |
อาชีพ |
|
ปีปฏิบัติงาน | ค.ศ. 1980–ปัจจุบัน[lower-alpha 1] |
คู่สมรส | เรอเน อองเชลีล (สมรส 1994; เสียชีวิต 2016) |
บุตร | 3 คน |
บิดามารดา |
|
อาชีพทางดนตรี | |
แนวเพลง |
|
เครื่องดนตรี | เสียงร้อง |
ค่ายเพลง | |
เว็บไซต์ | celinedion |
ดนตรีของเซลีนได้รับอิทธิพลในแนวดนตรีหลายแนว ตั้งแต่ป็อปปูลาร์, กอสเปล, บัลลาด, คลาสสิก, อาร์แอนด์บี, แจ๊ซ, ประสานเสียง และร็อก กับทั้งสหภาษาตั้งแต่ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน ภาษาอังกฤษ ภาษาแอฟริกาน และภาษาอิตาลี เซลีนได้รับข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ถึงความสามารถและพลังในการร้องเพลงของเธอ[7][8] ในปี พ.ศ. 2547 เซลีนมียอดขายรวมมากกว่า 175 ล้านชุดทั่วโลก และได้รับรางวัลเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดส สำหรับการก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล[9][10] นอกจากนี้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2550 โซนี่ บีเอ็มจีประกาศว่าเซลีน ดิออนมียอดขายกว่า 200 ล้านชุดทั่วโลก[11]
เซลีน ดิออน เกิดวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2511 ที่ชาร์เลอมาญ เขตชานเมืองทางตะวันออกของเมืองมอนทรีออล รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา[12] เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 14 คน[13] ของนายอาดดีมา ดียง (Adhémar Dion) และนางเทเรส ตองกาย (Thérèse Tanguay) ซึ่งเป็นชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ครอบครัวนี้มีความผูกพันกับเสียงดนตรีเป็นอย่างมาก ดังเห็นได้จากการที่บิดาและมารดาตั้งชื่อเธอว่า "เซลีน" (ฝรั่งเศส: Celine) ตามบทเพลงชื่อ "เซลีน" อันเป็นผลงานการขับร้องโดย Hugues Aufray นักร้องชาวฝรั่งเศส[14] เมื่อครั้งวัยเยาว์เซลีนร่วมร้องเพลงกับพี่น้องของเธอใน Le Vieux Baril บาร์เปียโนอันเป็นกิจการของครอบครัวเธอ และฝันที่จะเป็นนักร้อง[7] โดยในปี พ.ศ. 2537 เซลีนให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร พีเพิล ว่า "ฉันคิดถึงครอบครัวและบ้านของฉัน แต่ฉันไม่เคยเสียใจที่ฉันเสียเวลาช่วงวัยรุ่นไป ฉันมีความฝันเดียว ฉันอยากเป็นนักร้อง"[15]
เมื่ออายุ 12 ปี แม่และพี่ชายของเธอประพันธ์เพลงให้แก่เซลีน ซึ่งเป็นเพลงแรกในชีวิตของเธอ ชื่อ "เซอเนเตเกิงแรฟว์" (ฝรั่งเศส: Ce n'était qu'un rêve, "มันเป็นเพียงแค่ฝัน")[12] ไมเคิล พี่ชายของเธอได้ส่งเพลงนี้ให้แก่เรอเน อองเชลีล[16] หลังจากเรอเนได้ฟังเพลงนี้แล้ว จึงตัดสินใจปั้นนักร้องคนใหม่ขึ้น[12] เขาจำนองบ้านของเขาเพื่อเป็นทุนในการออกอัลบั้มแรกให้แก่เซลีนในชื่อว่า ลาวัวดูบองดีเยอ (ฝรั่งเศส: La voix du bon Dieu) (มีการเล่นคำโดยอาจหมายถึง "เสียงของพระเจ้า" หรือ "วิถีทางแห่งพระเจ้า") ในปี พ.ศ. 2524 ซึ่งกลายเป็นเพลงอันดับ 1 ในท้องถิ่นในเวลานั้น ดนตรีของเธอได้รับความนิยมมากขึ้น เมื่อเธอเข้าร่วมการประกวดการขับร้องเพลงในเทศกาลการขับร้องสากล จัดโดยบริษัท ยามาฮ่า (อังกฤษ: Yamaha World Song Festival) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เธอได้รับรางวัล "ขวัญใจนักดนตรี" จากการลงคะแนนเสียงของคณะดนตรีในวันดังกล่าว (อังกฤษ: Coveted Musician's Award for Top Performer) และได้รับเหรียญทองรางวัล "เพลงยอดเยี่ยม" ในเพลง "แตลมองเชดามูร์ปูร์ตัว" (ฝรั่งเศส: Tellement j'ai d'amour pour toi, "ฉันมีรักมากมายเพื่อคุณ")[16]
ในปี พ.ศ. 2526 เซลีนเป็นนักร้องชาวแคนาดาคนแรกที่ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำของฝรั่งเศสในซิงเกิล "ดามูร์อูดามีตีเย" (ฝรั่งเศส: D'amour ou d'amitié, "รักหรือเพื่อน") เซลีนยังได้รับรางวัลเฟลิกซ์ในสาขา "นักร้องหญิงยอดเยี่ยม" (อังกฤษ: Best Female performer) และ "นักร้องหน้าใหม่แห่งปี" (อังกฤษ: Discovery of the Year)[17][16] นอกจากนี้เซลีนยังประสบความสำเร็จมากขึ้นทั้งในยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย หลังจากเข้าร่วมประกวดร้องเพลงรายการยูโรวิชัน ในปี พ.ศ. 2531 โดยขับร้องเพลง "เนอปาร์เตปาซองมัว" (ฝรั่งเศส: Ne partez pas sans moi, "อย่าไปโดยไม่มีฉัน")[18] อย่างไรก็ตามเธอก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา เหตุผลส่วนหนึ่งคือ เธอร้องเพลงภาษาฝรั่งเศส[19] จนกระทั่งเมื่อเธออายุ 18 ปี เธอเห็นการแสดงของไมเคิล แจ็กสัน เธอบอกกับเรอเนว่าเธออยากเป็นนักร้องดั่งไมเคิล แจ็กสัน[20] เรอเนมั่นใจในความสามารถของเธอ จึงเริ่มเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเธอสู่ความเป็นสากลมากขึ้น[12] เช่น เข้ารับการผ่าตัดทางทันตกรรมเพื่อให้เธอดูดีขึ้น และเรียนภาษาอังกฤษกับ École Berlitz ในปี พ.ศ. 2532[6] ณ จุดนี้เองที่ได้ผันชีวิตของเธอสู่นักร้องระดับสากล
ในปี พ.ศ. 2532 ระหว่างการจัดคอนเสิร์ตทัวร์ แองกอยีโตทัวร์ เสียงของเซลีนได้รับบาดเจ็บ เธอได้ปรึกษา William Gould แพทย์เฉพาะทางโสตศอนาสิกวิทยา[21][22] เขายื่นคำขาดให้เธอเข้ารับการผ่าตัดเส้นเสียงหรือเลือกที่จะงดใช้เสียงตลอด 3 สัปดาห์[21] เซลีนเลือกอย่างหลังและผ่านการฝึกใช้เสียงกับ William Riley[21][22] ทั้ง Gould และ Riley ให้ความเห็นว่า "เธอไม่รู้วิธีการร้องและเธอได้ใช้เสียงเธออย่างเลวร้าย"[21][22]
หลังจากการเรียนภาษาอังกฤษได้ประมาณ 2 ปี เซลีนได้ออกอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษอัลบั้มแรกในชื่อว่า ยูนิซัน (อังกฤษ: Unison) ในปี พ.ศ. 2533[16] ร่วมกับ วิทโท ลุปราโน และเดวิด ฟอสเตอร์ โปรดิวเซอร์ชาวแคนาดา[7] อัลบั้มนี้ได้รับอิทธิพลดนตรีแนวซอฟต์ร็อกจากคริสต์ทศวรรษ 1980 คำวิพากษ์วิจารณ์อัลบั้ม ยูนิซัน มีมากมาย เช่น จิม เฟเบอร์จากนิตยสาร เอ็นเตอร์เทนเมนต์วีคลีย์ กล่าวว่าเสียงของเซลีนนั้น "ไม่ได้ตกแต่ง แต่มีรสนิยม"[23] สตีเฟน เออร์เลน จาก ออลมิวสิก กล่าวว่า "นักร้องชาวอเมริกาอันมีความสามารถได้เกิดขึ้นแล้ว"[24] ซิงเกิลจากอัลบั้มนี้ได้แก่เพลง "(อิฟแดร์วอส) เอนีอาเธอร์เวย์" "เดอะลาสโทไนว์" "ยูนิซัน" และ "แวร์ดัสมายฮาร์ตบีทนาว" อันเป็นเพลงแนวบัลลาดเทมโปซอฟต์ร็อก โดดเด่นด้วยเสียงกีตาร์อิเล็กทริกส์ เพลงนี้เป็นเพลงแรกของเธอที่ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดของสหรัฐอเมริกาโดยขึ้นชาร์ตสูงสุดในอันดับที่ 4[13] อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกที่ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในสหรัฐอเมริกา ยุโรปรวมทั้งในเอเชียด้วย
ในปี พ.ศ. 2534 เซลีนเป็นหนึ่งในนักร้องที่ร่วมร้องเพลง "วอยซ์แดทแคร์" (อังกฤษ: Voices That Care) อันเป็นบทเพลงที่มอบให้แก่กองทหารอเมริกันที่เข้าร่วมสงครามอ่าวเปอร์เซีย แท้จริงแล้ว เซลีนก้าวขึ้นสู่นักร้องระดับสากลอย่างแท้จริงหลังจากการร้องเพลง "บิวตีแอนด์เดอะบีสต์" คู่กับ พีโบ ไบรซัน อันเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์แอนนิเมชัน เรื่อง บิวตีแอนด์เดอะบีสท์ ของวอลท์ดิสนีย์[25] เพลงนี้เป็นแบบอย่างของแนวเพลงที่เซลีนร้องในเวลาต่อมา กล่าวคือ เป็นทำนองสบาย ๆ ในแนวบัลลาดคลาสสิก ซิงเกิลนี้เป็นซิงเกิลที่ 2 ของเธอที่ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ด 10 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกา เพลงนี้ยังได้รับรางวัลออสการ์ สาขา "เพลงยอดเยี่ยม" (อังกฤษ: Best Song) และรางวัลแกรมมี สาขา "เพลงป๊อปร้องคู่หรือกลุ่มยอดเยี่ยม" (อังกฤษ: Best Pop Performance by a Duo or Group with Vocal)[26] "บิวตีแอนด์เดอะบีสต์" เป็นเพลงหนึ่งในอัลบั้ม เซลีนดิออน อัลบั้มที่ใช้ชื่อเดียวกับเธอเอง โดยเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จของเธอ ผลงานเพลงในอัลบั้มนี้เซลีนได้ร่วมงานกับเดวิด ฟอสเตอร์ และไดแอน วาเรน เพลงอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จในอัลบั้มนี้ได้แก่ "อิฟยูอาสก์มีทู" (อังกฤษ: If You Asked Me To) เพลงของแพตติ เลอเบลล์ (อังกฤษ: Patti LaBelle) จากภาพยนตร์เรื่อง Licence to Kill อันออกฉายในปี พ.ศ. 2532 เพลงนี้ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดสูงสุดในอันดับที่ 4 นอกจากนี้ยังมีเพลง "เลิฟแคนมูฟเมาเทนส์" (อังกฤษ: Love Can Move Mountains) และ "น็อตติงโบรกเคนบัตมายฮาร์ต" (อังกฤษ: Nothing Broken But My Heart) โดยก่อนหน้านี้เธอได้ออกอัลบั้ม ดียงชองต์ปลามงดง (ฝรั่งเศส: Dion chante Plamondon) ในปี พ.ศ. 2534 เป็นอัลบั้มเพลงภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงเก่านำมาร้องใหม่ โดยมีเพลงใหม่ 4 เพลงคือ "เดโมกีซอน" (ฝรั่งเศส: Des mots qui sonnent) "เชอด็องซ์ดองมาแต็ต" (ฝรั่งเศส: Je danse dans ma tête) "แกลเกิงเกอแชมแกลเกิงเกอแชม" (ฝรั่งเศส: Quelqu'un que j'aime, quelqu'un qui m'aime) และ "ลามูร์เอ็กซีสต์อ็องกอร์" (ฝรั่งเศส: L'amour existe encore) แต่เดิมออกจำหน่ายในแคนาดา และฝรั่งเศส ในช่วงปี พ.ศ. 2534 - 2535 เท่านั้น ต่อมาได้ออกจำหน่ายทั่วโลกในปี พ.ศ. 2537 มียอดขาย 1.5 ล้านชุดทั่วโลก และเป็นอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสอัลบั้มแรกของเธอที่ออกจำหน่ายทั่วโลก
ในช่วงปี พ.ศ. 2535 อัลบั้ม ยูนิซัน และ เซลีนดิออน รวมทั้งการปรากฏในสื่อต่าง ๆ ทำให้เซลีนเป็นที่รู้จักทั่วอเมริกาเหนือ เธอประสบความสำเร็จในตลาดเพลงภาษาอังกฤษ และมีชื่อเสียงมากขึ้น[19] แต่กระนั้น ขณะที่เธอประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา แฟนเพลงชาวฝรั่งเศสต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าเธอเพิกเฉยต่อพวกเขา[27][26] ต่อมาในงานประกาศรางวัลเฟลิกซ์ เซลีนได้รับรางวัล "ศิลปินอังกฤษแห่งปี" เธอกล่าวปฏิเสธในการรับรางวัลนั้น เธอยืนยันว่าเธอเป็นศิลปินฝรั่งเศส ไม่ใช่ศิลปินอังกฤษ[6] ซึ่งทำให้เธอได้ฐานแฟนเพลงชาวฝรั่งเศสคืนมา นอกจากความสำเร็จด้านดนตรีแล้ว ในด้านชีวิตส่วนตัว เรอเน ผู้จัดการส่วนตัวของเธอ ซึ่งมีอายุมากกว่าเธอ 26 ปี ได้ผันมาเป็นคนรัก อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นี้ยังคงเป็นความลับของทั้งคู่ ด้วยกลัวว่าสาธารณชนจะกล่าวว่าทั้งสองไม่เหมาะสมกัน[28]
ในปี พ.ศ. 2536 เธอประกาศความรู้สึกของเธอกับผู้จัดการส่วนตัวของเธอผ่านคำว่า "เดอะคัลเลอร์ออฟ[เฮอร์]เลิฟ" (สีสันความรัก[ของเธอ]) ที่ออกมาในชื่อของอัลบั้ม เดอะคัลเลอร์ออฟมายเลิฟ (อังกฤษ: The Colour of My Love) อัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษชุดที่ 3 ของเธอ เซลีนกังวลการวิพากษ์วิจารณ์ความสัมพันธ์ระหว่างเธอ และผู้จัดารส่วนตัว แต่แฟนเพลงของเธอกลับให้การตอบรับอย่างดี[7] ท้ายที่สุด เรอเนและเซลีนได้จัดพิธีสมรสอย่างยิ่งใหญ่ที่โบสถ์บาซิลิกา เมืองมอนทรีออล รัฐควิเบก ประเทศแคนาดาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 ซึ่งออกอากาศทางโทรทัศน์ในแคนาดา
สืบเนื่องจากอัลบั้มนี้เซลีนตั้งใจมอบให้แก่ผู้จัดการส่วนตัวของเธอ ทำให้อัลบั้มนี้ประกอบด้วยเพลงแนวความรัก และโรแมนติก[29] อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเท่าที่ผ่านมา ด้วยยอดขายกว่า 6 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา, 2 ล้านชุดในแคนาดา และขึ้นชาร์ตอันดับที่ 1 ในหลายประเทศ นอกจากนี้เพลง "เดอะพาวเวอร์ออฟเลิฟ" (อังกฤษ: The Power of Love) ยังขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา, แคนาดา และออสเตรเลียเป็นเพลงแรก (เดิมเป็นเพลงของเจนนิเฟอร์ รัช ในปี พ.ศ. 2529) เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่เป็นสัญลักษณ์ของเธอถึงช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990[19] ซิงเกิลถัดมาได้แก่ "เว็นไอฟอลอินเลิฟ" (อังกฤษ: When I Fall in Love) ร้องคู่กับคลิฟ กริฟฟิน และเพลง "มิสเล็ด" (อังกฤษ: Misled) ที่ประสบความสำเร็จในชาร์ตของแคนาดา อัลบั้ม เดอะคัลเลอร์ออฟมายเลิฟ เป็นอัลบั้มแรกของเธอที่ได้รับความนิยมในยุโรป โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรในเพลง "ธิงค์ทไวซ์" (อังกฤษ: Think Twice) ซึ่งขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตบริติชเป็นเวลากว่า 5 สัปดาห์ติดต่อกัน อยู่ที่อันดับ 1 รวมทั้งสิ้น 7 สัปดาห์ ซิงเกิลนี้เป็นซิงเกิลที่ 4 ที่ร้องโดยนักร้องหญิงที่มียอดขายเกิน 1 ล้านชุดในสหราชอาณาจักร[30] และอัลบั้มนี้ก็ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว 5 แผ่นซึ่งมียอดขายกว่า 2 ล้านชุด
ถึงแม้เซลีนจะประสบความสำเร็จในอัลบั้มภาษาอังกฤษ แต่เธอก็ยังออกอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสไปพร้อม ๆ กับอัลบั้มภาษาอังกฤษด้วย[31] ซึ่งเพลงเหล่านี้ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จมากกว่าเพลงภาษาอังกฤษของเธอ[27] เช่น อัลบั้ม อาโลแล็งปียา (ฝรั่งเศส: À l'Olympia) โดยบันทึกเสียงระหว่างการแสดงคอนเสิร์ตของเธอที่โรงละครแล็งปียา ปารีส ประเทศฝรั่งเศส อัลบั้มนี้ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2537 และมีการออกซิงเกิลโปรโมตอัลบั้มนี้ คือเพลง "คอลลิงยู" (อังกฤษ: Calling You) ขึ้นชาร์ตฝรั่งเศสอันดับสูงสุดที่ 75
เดอ (ฝรั่งเศส: D'eux หรือ เดอะเฟรนช์อัลบั้ม (อังกฤษ: The French Album) ในสหรัฐอเมริกา ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2538 เป็นอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสที่ขายดีที่สุดตลอดกาล[31] เพลงในอัลบั้มนี้ส่วนใหญ่เป็นผลงานการประพันธ์ของชอง-ชาก โกลด์แมน เพลงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดจากอัลบั้มนี้คือเพลง "ปูร์เกอตูแมมอองกอร์" (ฝรั่งเศส: Pour que tu m'aimes encore) ขึ้นชาร์ต 1 ใน 10 ของสหราชอาณาจักร (เป็นหนึ่งในเพลงภาษาฝรั่งเศสไม่กี่เพลงที่ประสบความสำเร็จในชาร์ตสหราชอาณาจักร) และเพลง "เชอเซปา" (ฝรั่งเศส: Je sais pas) ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในชาร์ตของฝรั่งเศส โดยเพลงเหล่านี้ได้นำมาร้องใหม่เป็นภาษาอังกฤษในชื่อว่า "อิฟแธตส์ว็อตอิตเทกส์" อังกฤษ: If That's What It Takes) " และ "ไอด็อนท์โนว์" (อังกฤษ: I Don't Know) ตามลำดับ โดยบรรจุลงในอัลบั้มภาษาอังกฤษชุดต่อมาที่มีชื่อว่า ฟอลลิงอินทูยู (อังกฤษ: Falling into You)
ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เป็นช่วงของการเปลี่ยนแนวดนตรีของเซลีน จากอิทธิพลของร็อกสู่แนวเพลงป๊อป และโซล (แม้กีตาร์อิเล็กทริกส์ยังคงมีความโดดเด่นในดนตรีของเธอ) เพลงของเธอเริ่มมีความนุ่มนวล และใช้ทำนองที่เบาลง และแต่ละเพลงก็จะมีช่วงสำคัญคือการร้องเสียงสูงเท่าที่เสียงของเธอสามารถร้องได้[32] ดนตรีใหม่นี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิจารณ์หลายคน เช่น แอเรียน เบอร์เกอร์ จากนิตยสาร เอ็นเตอร์เทนเมนท์วีคลีย์ กล่าวว่า "เสียงของเธอผาดโผน" และเป็น "เพลงบัลลาดที่น่าชื่นชม" เป็นผลให้เธอมักถูกเปรียบเทียบกับศิลปินอื่น ๆ อย่างมารายห์ แครี และวิทนีย์ ฮูสตัน[33] นอกจากนี้ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความน่าเบื่อซ้ำซากในแนวดนตรีของเธอ เช่นในอัลบั้ม เดอะคัลเลอร์ออฟมายเลิฟ ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากงานดนตรีของเธอก่อนหน้านี้[34][29] แม้ว่าเสียงยกย่อง และการวิพากษ์วิจารณ์จะเบาบางลง เซลีนยังคงได้รับความนิยมในชาร์ตสากลทั่วโลก และในปี พ.ศ. 2539 เซลีนได้รับรางวัลเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดส ในสาขา "นักร้องหญิงชาวแคนาดาที่มียอดขายทั่วโลกยอดเยี่ยมแห่งปี" (อังกฤษ: World’s Best-selling Canadian Female Recording Artist of the Year) เป็นครั้งที่ 3 และในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เซลีนได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในนักร้องที่มียอดขายสูงสุดในโลก พร้อมกับนักร้องหญิงอย่าง มารายห์ แครี และวิทนีย์ ฮูสตัน[35]
อัลบั้ม ฟอลลิงอินทูยู (อังกฤษ: Falling into You) เป็นอัลบั้มภาษาอังกฤษลำดับที่ 4 ของเธอ ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2539 นับเป็นความสำเร็จของเธอในอีกระดับหนึ่ง อัลบั้มนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและยังแสดงถึงพัฒนาการทางดนตรีของเธออีกด้วย[28] อัลบั้มนี้มีองค์ประกอบหลายส่วน เพื่อให้เข้าถึงแฟนเพลงในกลุ่มที่กว้างขึ้น เช่น ส่วนของดนตรี มีการใช้วงออเคสตราร่วมบรรเลง, เสียงร้องเพลงแบบแอฟริกัน และเสียงแบบแปลก ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีอย่างไวโอลิน, กีตาร์สเปน, ทรอมโบน และแซ็กโซโฟน บรรเลงเพื่อสร้างดนตรีแบบใหม่[36] เพลงจากอัลบั้มนี้มีแนวเพลงหลากหลายแนว เช่น "ฟอลลิงอินทูยู" (อังกฤษ: Falling into You) และ "ริเวอร์ดีปเมาน์เทนไฮ" (เพลงเดิมของทิน่า เทอร์เนอร์) ที่มีเครื่องดนตรีบรรเลงอย่างโดดเด่น, "อิตส์ออลคัมมิงแบ็กทูมีนาว" (อังกฤษ: It's All Coming Back to Me Now) (เพลงเดิมของจิม สเตนแมน), และเพลงเดิมของอีริค คาร์แมน อย่าง "ออลบายมายเซลฟ์" (อังกฤษ: All by Myself) ที่ยังคงคงแบบดนตรีซอฟต์ร็อก แต่เพิ่มการผสมผสานในแนวคลาสสิกด้วยเสียงของเปียโน และซิงเกิลอันดับหนึ่ง "บีคอสยูเลิฟด์มี" (อังกฤษ: Because You Loved Me) ผมงานการประพันธ์ของไดแอน วาเรน เพลงแนวบัลลาดประกอบภาพยนตร์เรื่อง Up Close & Personal ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2539[35]
ฟอลลิงอินทูยู เป็นผลงานของเซลีนที่ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ในด้านดีอย่างมากมาย ในขณะที่แดน เลอรอย กล่าวว่าผลงานนี้ไม่ได้แตกต่างจากอัลบั้มอื่น ๆ ก่อนหน้านี้มากนัก[37] และสตีเฟน โฮลเดน จากนิตยสาร นิวยอร์กไทมส์ และนาคาลี นีโคลส์ จากนิตยสาร ลอสแอนเจลิสไทมส์ กล่าวว่าเพลงในอัลบั้มนี้เป็นเหมือนแบบเดิม ๆ[38][39] คำวิพากษ์วิจารณ์อื่น ๆ เช่น ชัค เอ็ดดี จากนิตยสาร เอ็นเตอร์เทนเม็นท์วีคลีย์, สตีเฟน โทมัส เออร์เลไวน์ จากนิตยสาร เอเอ็มจี และแดเนียล ดัชฮาลส์กล่าวว่าอัลบั้มนี้ "กระตุ้นความสนใจ", "เร่าร้อน", "ทันสมัย", "สง่างาม" และ "เป็นผลงานประณีตยอดเยี่ยม"[40][36] ฟอลลิงอินทูยู เป็นอัลบั้มที่ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด และประสบความสำเร็จสูงสุดเท่าที่ผ่านมา อัลบั้มนี้ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในหลายประเทศและเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล[41] นอกจากนี้ อัลบั้มนี้ยังได้รับรางวัลแกรมมี สาขา "อัลบั้มเพลงป๊อปยอดเยี่ยม" (อังกฤษ: Best Pop Album) และรางวัลเกียรติยศสูงสุดของแกรมมี "อัลบั้มแห่งปี"[42] เธอก็เป็นที่รู้จักของโลกมากขึ้น เมื่อเซลีนได้รับการทาบทามในการร้องเพลง "เดอะพาวเวอร์ออฟเดอะดรีม" ในงานพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิก 1996 ที่เมืองแอตแลนตา[43] นอกจากนี้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2539 เซลีนเริ่มต้นการจัดคอนเสิร์ตทัวร์ฟอลลิงอินทูยู เพื่อสนับสนุนยอดขายของอัลบั้ม ฟอลลิงอินทูยู โดยไปเยือนเมืองสำคัญต่าง ๆ ทั่วโลก
อัลบั้มถัดมาของเซลีนคือ เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ (อังกฤษ: Let's Talk About Love) ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2540[32] บันทึกเสียงที่ลอนดอน, นครนิวยอร์ก, ลอสแอนเจลิส, ซึ่งมีแขกรับเชิญพิเศษมากมายที่มาร่วมร้องในอัลบั้มนี้ อันประกอบด้วย บาร์บรา สตรัยแซนด์ ในเพลง "เทลล์ฮิม" (อังกฤษ: Tell Him), วงบีจีส์ ในเพลง "อิมมอร์ทอลิตี" (อังกฤษ: Immortality), ลูชิอาโน ปาวารอตติ ในเพลง "ไอเฮตยูเด็นไอเลิฟยู" (อังกฤษ: I Hate You Then I Love You)[28][44] นอกจากนี้ยังมีนักดนตรีคนอื่น ๆ ได้ร่วมในผลงานอัลบั้มชุดนี้เช่นกัน เช่น คาโรล์ คิง, เซอร์ จอร์จ มาร์ติน, เจไมกา นักร้องจากไดอาน่าคิงที่เข้ามาสร้างเสียงดนตรีแบบเรกเก้ในเพลง "ทรีตเฮอร์ไลค์อะเลดี" (อังกฤษ: Treat Her Like a Lady) "[45] แม้จะมีศิลปินมากมายร่วมงานในอัลบั้มชุดนี้ แต่อัลบั้มนี้จึงยังคงธีมในเรื่องของ "ความรัก" เหมือนอัลบั้มชุดก่อน ๆ โดยเฉพาะความรักแบบพี่น้อง ในเพลง "แวร์อิสเดอะเลิฟ" (อังกฤษ: Where Is the Love) และ "เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ" (อังกฤษ: Let's Talk About Love)[46] ซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดจากอัลบั้มนี้คือเพลง "มายฮาร์ตวิลโกออน" (อังกฤษ: My Heart Will Go On) ผลงานการประพันธ์ของเจมส์ ฮอร์เนอร์ และอำนวยการผลิตโดยเจมส์ และวอลเตอร์อะฟาแนซิฟ[42] เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง ไททานิก เพลงนี้ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ทั่วโลก และเป็นหนึ่งในเพลงที่เป็นสัญลักษณ์ของเซลีน ดิออน[47] ซิงเกิล "มายฮาร์ตวิลโกออน" และ "ธิงค์ทไวซ์" ทำให้เซลีนเป็นนักร้องหญิงคนเดียวที่สามารถทำยอดขายซิงเกิลในสหราชอาณาจักรได้เกิน 1 ล้านชุด[48] ในการสนับสนุนยอดขายอัลบั้มนี้ เซลีนได้ทัวร์คอนเสิร์ต เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ ในระหว่างปี พ.ศ. 2541 - 2542[49]
เซลีนปิดท้ายในคริสต์ทศวรรษ 1990 กับอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอีก 2 อัลบั้ม คือ ดีสอาร์สเปเชียลไทมส์ (อังกฤษ: These Are Special Times) ออกจำหน่ายในปี พ.ศ. 2541 เป็นเพลงเทศกาลคริสต์มาส และอัลบั้มเพลงฮิตอย่าง ออลเดอะเวย์... อะดิเคดออฟซอง (อังกฤษ: All the Way… A Decade of Song) ในปี พ.ศ. 2542[50] ในอัลบั้ม ดีสอาร์สเปเชียลไทมส์ เซลีนมีส่วนร่วมในการประพันธ์เพลงในอัลบั้มมากขึ้น ในอัลบั้มนี้ประกอบไปด้วยดนตรีแนวคลาสสิกโดยมีวงออร์เคสตราร่วมบรรเลงในทุก ๆ เพลง[51] เพลง "แอมยัวร์แองเจิล" (อังกฤษ: I'm your angel) เป็นผลงานจากการร้องคู่กับอาร์. เคลลี ซึ่งเป็นซิงเกิลที่ 4 ในอัลบั้ม ดีสอาร์สเปเชียลไทมส์ และซิงเกิลสุดท้ายของเธอที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา ในส่วนของอัลบั้ม ออลเดอะเวย์... อะดิเคดออฟซอง เป็นอัลบั้มเพลงฮิตที่นำเพลงเก่ามารวมกับเพลงใหม่ 7 เพลง ซิงเกิลแรกเปิดตัวด้วยเพลง "แดทส์เดอะเวย์อิทอิส" (อังกฤษ: That's the Way It Is), เพลง "เดอะเฟิร์สไทม์เอเวอร์ไอซอยัวร์เฟซ" ซึ่งเดิมขับร้องโดยโรเบอร์ตา เฟลค และเพลง "ออลเดอะเวย์" ร้องคู่กับแฟรงค์ ซินาทรา[50] ในช่วงท้ายคริสต์ทศวรรษที่ 1990 เซลีนมียอดขายอัลบั้มกว่า 100 ล้านชุดทั่วโลก ทำให้เธอได้รับรางวัลจากอุตสาหกรรมดนตรีมากมาย[52] เธอกลายเป็นหนึ่งในดีว่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเพลงร่วมสมัย ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่เธอได้รับการเชื้อเชิญเข้าร่วมการแสดงของสถานีโทรทัศน์ดนตรีวีเอชวัน ในรายการพิเศษ ดีว่าส์ไลฟ์ ในปี พ.ศ. 2541 ร่วมกับ อารีธา แฟรงคลิน, กลอเรีย เอสเตฟาน, ชาเนีย ทเวน และ มารายห์ แครี ซึ่งนั่นทำให้เธอได้รับอิสริยาภรณ์จากบ้านเกิดของเธอ คือ ราชอิสริยาภรณ์แห่งแคนาดาชั้นจตุรถาภรณ์ (OC) และอิสริยาภรณ์แห่งควิเบกชั้นจตุรถาภรณ์ (OQ)[31] ในปีต่อมาเธอได้รับตำแหน่งในหอเกียรติยศการออกกากาศแห่งแคนาดา และได้รับเกียรติในทางเดินแห่งเกียรติยศของแคนาดา[53] นอกจากนี้เธอยังได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขานักร้องหญิงยอดเยี่ยม และรางวัลเพลงแห่งปี สำหรับเพลง "มายฮาร์ตวิลโกออน" (เพลงนี้ได้รับรางวัล 4 รางวัล โดย 2 รางวัลมอบให้แก่ผู้ประพันธ์เพลง)[54]
เมื่อเปรียบเทียบกับอัลบั้มในช่วงแรก ๆ ของเธอ ทั้งคุณภาพและดนตรีในเพลงของเธอได้เปลี่ยนไปอย่างมาก อิทธิพลจากดนตรีแนวซอฟต์ร็อกกลายมาเป็นเพลงในแนวโซล และมีสไตล์เป็นเพลงร่วมสมัยมากขึ้น อย่างไรก็ตามธีมของ "ความรัก" ก็ยังมีให้เห็นในทุก ๆ อัลบั้มของเธอ ซึ่งเป็นสาเหตุให้นักวิจารณ์กล่าวว่าผลงานของเธอซ้ำซาก[55] บทวิจารณ์อัลบั้ม เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ ของร็อบ โอคอนเนอร์กล่าวว่า
สิ่งที่ไม่เคยหยุดทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ ความซ้ำซากอย่างที่สุด, ดนตรีที่ถูกครอบงำด้วยความจำเจมักจะได้รับการสรรเสริญจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทางดนตรีว่าไร้ที่ติ เรือที่จมทำให้ฉันนึกถึงทำนองเพลง ["มายฮาร์ตวิลโกออน"] ที่ไถไปเรื่อย ๆ เป็นเวลา 4 นาทีกว่า ๆ และอัลบั้มนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่มีที่สิ้นสุด มันไม่มีข้อสงสัยเลยหรือว่าทำไมฉันถึงกลัวเวลาไปหาหมอฟัน[56]
นอกจากนี้เซลีนยังได้รับคำวิจารณ์ในเพลง "เดอะเฟิร์สไทม์เอเวอร์ไอซอยัวร์เฟซ" และ "ออลเดอะเวย์" ซึ่งกล่าวไว้ในทางลบว่า "น่าขนลุก" ทั้งแอลลิสสัน สตีวาร์ดจาก เดอะชิกคาโกทรีบูน และเออร์ไวน์จาก ออลมิวสิก[57] แม้ว่าเธอยังคงได้รับการสรรเสริญจากความสามารถในการร้องเพลงของเธอ (เอลิซา การ์ดเนอร์ จาก แอล.เอ.ไทมส์ เรียกเสียงของเธอว่า "เทคนิคที่น่าพิศวง")[58] เสียงของเธอในช่วงแรก ๆ ทำให้ต้องหยุดฟัง และสตีฟ ดอลลาร์ ได้วิจารณ์อัลบั้ม ดีสอาร์สปเชียลไทมส์ ว่า "เสียงของเธอดุจดังมหาบรรพตโอลิมปัสอันไม่มีภูเขาใด หรือระดับใด ๆ สามารถเทียบวัดได้"[59]
ภายหลังการออกอัลบั้มกว่า 13 อัลบั้มในคริสต์ทศวรรษ 1990 เซลีนได้ประกาศระหว่างการออกอัลบั้ม ออลเดอะเวย์... อะดิเคดออฟซอง อัลบั้มล่าสุดของเธอในขณะนั้นว่า เธอต้องการพำนักที่ใดที่หนึ่งเป็นการถาวร และเริ่มต้นใช้ชีวิตครอบครัว[60][61] ซึ่งในขณะนั้นเรอเน สามีของเธอป่วยเป็นโรคมะเร็งที่คอหอย ทำให้เธอเสียกำลังใจอย่างมาก[62] ในขณะนั้น แม้เซลีนจะพักงานจากวงการดนตรี แต่เธอก็ไม่สามารถหนีความเป็นจุดสนใจในวงการได้ ในปี พ.ศ. 2543 เนชันแนลเอ็นไควเรอร์ ตีพิมพ์เรื่องราวเท็จเกี่ยวกับเธอ มีรูปเธอและเรอเน สามีของเธอพร้อมพาดหัวว่า "เซลีน - 'ฉันท้องลูกแฝด!'"[63] เซลีนฟ้องร้องสำนักพิมพ์นิตยสารนี้กว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[64] บรรณาธิการของ เอ็นไควเรอร์ ได้พิมพ์ข้อความขอโทษ และขอถอนคำพูดในนิตยสารฉบับต่อมา และบริจาคเงินแก่สมาคมผู้ป่วยโรคมะเร็งของอเมริกา (อังกฤษ: American Cancer Society) เพื่อเป็นเกียรติแก่เซลีน และสามีของเธอ ในปีต่อมาขณะที่สามีของเธอรักษาอยู่ เซลีนได้ให้กำเนิดบุตรชายในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2544 ที่ฟลอริดา และให้ชื่อว่าเรอเน-ชาลส์[65][66] ภายหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 เซลีนได้กลับสู่วงการดนตรีอีกครั้ง และออกอากาศทางโทรทัศน์ในเพลง "ก็อดเบลสอเมริกา" ในคอนเสิร์ต อเมริกา: อุทิศแก่วีรบุรุษ ชัค เทย์เลอร์จากนิตยสาร บิลบอร์ด ได้กล่าวไว้ว่า "การแสดง...เข้าสู่จิตใจของฉันที่จะเฉลิมฉลองศิลปินของเรา ความสามารถที่ทำให้อารมณ์และจิตวิญญาณหวั่นไหว, ซาบซึ้ง, เต็มไปด้วยความหมาย เติมแต่งด้วยความสง่างาม นี่คือความรู้สึกตอบสนองทางดนตรีที่เธอแบ่งปันกับพวกเราทุกคน ที่ยังค้นหาหนทางแก้ปัญหาความยากลำบากเหล่านั้น"[67]
หลังจากการพักงานด้านดนตรีกว่า 3 ปี เซลีนได้กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม อะนิวเดย์แฮสคัม (อังกฤษ: A New Day Has Come) ออกจำหน่ายในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2545 อัลบั้มนี้เป็นตัวแทนถึงชีวิตส่วนตัวของเซลีนได้มากที่สุด และแสดงให้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของเซลีนอย่างเพลง "อะนิวเดย์แฮสคัม", "แอมอะไลฟ์" และ "กู๊ดบาย (เดอะแซดเดสเวิร์ด)" เป็นการเปลี่ยนแปลงที่แสดงถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้นของเธอในฐานะเป็น "แม่" ซึ่งเธอได้กล่าวไว้ว่า "การเป็นแม่ทำให้คุณเติบโตขึ้น"[68] เธอกล่าวว่า "วันใหม่ที่มาถึง (A New Day Has Come) สำหรับเรอเน และฉัน คือลูกของเรา มันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำให้แก่ลูกของเรา... เพลง ["อะนิวเดย์แฮสคัม"] เป็นตัวแทนถึงความรู้สึกของฉันในตอนนี้ และเป็นตัวแทนของทั้งอัลบั้ม"[69] อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จเชิงธุรกิจอย่างสูง แต่กลับได้รับข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย โดยมีนักวิจารณ์ได้ให้ความเห็นไว้ว่าอัลบั้มนี้ "ลืมไปได้เลย" และเนื้อเพลงนั้นก็ "ไร้ความมีชีวิตชีวา"[70] ทั้งร็อบ เชฟฟิลด์ จากนิตยสาร โรลลิงสโตน และเคน ทักเกอร์ จากนิตยสาร เอ็นเตอร์เทนเมนท์วีคลีย์ ได้วิจารณ์เกี่ยวกับเพลงของเซลีนไว้ว่าไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยจากการที่เธอได้พัก และจัดประเภทเพลงของเธอว่า ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่น่าสนใจ คุณภาพปานกลาง[71][72] ซาล ซินควิมานิ จากนิตยสาร สแลนท์ เรียกอัลบั้มเธอว่า "เป็นอัลบั้มที่ยืดยาด, เพลงป๊อปที่เหนอะหนะ"[73]
หลังจากการวาดจินตนาการจากประสบการณ์ส่วนตัว เซลีนได้ออกอัลบั้ม วันฮาร์ต (อังกฤษ: One Heart) ในปี พ.ศ. 2546 อันเป็นตัวแทนของความรู้สึกปิติในชีวิตของเธอ[74] อัลบั้มนี้เพลงส่วนใหญ่ประกอบด้วยเพลงเต้น เปลี่ยนแนวจากการร้องเสียงสูง ๆ สู่แนวเพลงบัลลาดที่น่าตื่นเต้นซึ่งเธอได้ผสมผสานมันด้วยตัวเอง อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จในระดับปานกลาง และสามารถบอกเป็นนัยได้ถึงความไม่สามารถที่จะเอาชนะกำแพงของความคิดใหม่ ๆ ของเธอ คำพูดอย่าง "คิดแล้วว่าเป็นแบบนี้" และ "พื้น ๆ ธรรมดา" สามารถพบได้ในบทวิจารณ์ทั่วไป[75][76] อัลบั้มนี้เปิดตัวด้วยซิงเกิล "ไอโดรฟออลไนต์" เพลงเดิมของรอย ออร์บิสัน เป็นเพลงธีมแคมเปญของไครส์เลอร์ (อังกฤษ: Chrysler)[77] ซึ่งเป็นเพลงที่ผสมผสานแนวแดนซ์-ป๊อป, ร็อกแอนด์โรลล์เข้าด้วยกัน ทำให้หวนนึกถึงผลงานเพลงของแชร์ ช่วงคริสต์ทศววรษ 1980 อย่างไรก็ตามเพลงนี้ได้ยกเลิกจากแคมเปญดังกล่าวไป ขณะที่เซลีนพยายามที่จะทำให้ผู้สนับสนุนพอใจ[78] กลางคริสต์ทศววรษ 2000 แนวดนตรีของเซลีนเปลี่ยนไปสู่ลักษณะความเป็นแม่ซึ่งพบได้ในอัลบั้ม มิราเคิล ในปี พ.ศ. 2547 มิราเคิล เป็นโครงการที่รวมรวมสื่อภาพ และเสียงผสมผสานกัน โดยได้ช่างภาพชื่อดังอย่างแอน เกดเดสมาร่วมงาน ในธีมที่จะผสานทารก และแม่ อัลบั้มนี้ซึมซาบแนวเพลงกล่อมเด็กอย่าง lullabies และเพลงแนวรัก, แรงบันดาลใจ โดยนำเพลง 2 เพลงที่เคยได้รับความนิยมมาร้องใหม่ เพลง "ว็อตอะวันเดอร์ฟูลเวิลด์" (อังกฤษ: What a Wonderful World) เพลงเดิมของหลุยส์ อาร์มสตรอง และเพลง "บิวตีฟูลบอย" ของจอห์น เลนนอน อัลบั้ม มิราเคิล ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากชาร์ลส์ เทย์เลอร์ จากนิตยสาร บิลบอร์ด ซึ่งกล่าวไว้ว่าซิงเกิล "บิวตี้ฟูลบอย" เป็น "อัญมณีที่ไม่เคยนึกถึง" และเรียกเซลีนว่า "ศิลปินอมตะ และมีความสามารถรอบตัว",[79] ชัค อาร์โนลด์ จากนิตยสาร พีเพิล กล่าวว่าอัลบั้มละเอียดอ่อนในด้านจิตใจมากเกินไป[80] ขณะที่แนนซี มิลเลอร์จากนิตยสาร เอ็นเตอร์เทนเมนท์วีคลีย์ แสดงความคิดเห็นไว้ว่า "การกระทำของแม่ทั้งหมดในโลกก็เป็นเพียงแค่การฉวยโอกาส"[81]
อัลบั้มภาษาฝรั่งเศส อวีนฟีย์เอกาตร์ตีป (ฝรั่งเศส: 1 fille & 4 types, 1 สาว 4 ชาย) ออกจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2546 เป็นผลงานชุดที่ 2 ตั้งแต่เธอกลับมาสู่วงการดนตรีอีกครั้ง อัลบั้มนี้แสดงถึงว่าเซลีนพยายามที่จะแสดงภาพลักษณ์ความเป็น "ดีว่า" อัลบั้มนี้มีผู้ร่วมงานมากมาย เช่น ชอง-ชาก โกลด์แมน, ชีลดา อาร์เซล, เอริก บองซี และชาก เวอเนอรูโซ ซึ่งเธอเคยร่วมงานมาแล้วในอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสที่เคยได้รับความนิยมของเธอ ซีลซูฟฟีเซแดมเม และเดอ อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแห่งความกดดันโดยตัวของเซลีนเอง ภาพปกอัลบั้มแสดงถึงความผ่อนคลาย และเรียบง่ายของเซลีน ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพปกที่ผ่านมาของเธอ อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จในด้านการวิพากษ์วิจารณ์: สตีเฟน เออร์ไวน์ จาก ออลมิวสิก กล่าว่าอัลบั้มนี้ "กลับไปสู่เพลงป๊อปที่เรียบง่ายที่ไม่ค่อยพบในช่วงเวลาหนึ่ง"[82]
แม้ว่าอัลบั้มของเธอค่อนข้างประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นสัญญาณในด้านลบ ซึ่งเห็นได้จากคำวิพากษ์วิจารณ์แง่ลบต่าง ๆ ในอัลบั้ม เดอะคอลเลคเตอส์ซีรีส์ ชุดที่ 1 (อังกฤษ: The Collector's Series, Volume One) ออกจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2543 และอัลบั้ม วันฮาร์ต ออกจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2546 ด้วยเสน่ห์ของเซลีนในอัลบั้มหลัง ๆ ได้ลดลง เนื่องจากธีมที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น เพลงของเธอได้รับการเปิดในวิทยุน้อยลง และความนิยมในเพลงแนวบัลลาดอย่างเซลีน, มารายห์ และวิทนีย์น้อยลง ปัจจุบันแนวเพลงฮิปฮอป, เทมโป ได้รับความนิยมมากขึ้น[83] อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2547 เซลีนมียอดจำหน่ายอัลบั้มของเธอรวมกว่า 175 ล้านชุด และได้รับรางวัลชอปาร์ดไดมอนด์ (อังกฤษ: Chopard Diamond Award) จากเวิลด์ มิวสิก อวอร์ดสสำหรับยอดขายของเธอ และเป็นศิลปินที่เป็นตัวแทนของ "ยอดขายมากกว่า 100 ล้านชุดในชีวิตดนตรี"[84]
ช่วงต้นปี พ.ศ. 2545 เซลีนได้ประกาศลงนามในการแสดงที่มีชื่อว่า อะนิวเดย์... (อังกฤษ: A New Day...) โดยเปิดการแสดงที่โรงแรมซีซ่าร์พาเลซ ลาสเวกัส เป็นเวลา 3 ปี รวมจำนวนการแสดงกว่า 600 รอบ 5 วันต่อสัปดาห์[85] ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็น "หนึ่งในการตัดสินใจด้านธุรกิจที่ชาญฉลาดในรอบปีโดยศิลปินเพียงคนเดียว"[86] เซลีนได้รับแรงบันดาลการแสดงชุดนี้จากการไปชมการแสดงชุด โอ อันเป็นผลงานการสร้างสรรค์โดยฟรังโก ดรากอน (ฝรั่งเศส: Franco Dragone) ระหว่างการพักจากงานดนตรีของเธอ การแสดงเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2546 ในโรงละครโคลอสเซียม จำนวน 4, 000 ที่นั่งซึ่งออกแบบเพื่อการแสดงนี้โดยเฉพาะ[85] การแสดงนี้สร้างสรรค์โดยฟรังโก ดรากอน โดยผสมผสานระหว่างการเต้น, ดนตรี และแสงสี ในการแสดงเซลีนร้องเพลงยอดนิยมของเธอ พร้อมกับขบวนนักเต้นและอุปกรณ์พิเศษมากมาย ไมค์ เวเธอร์ฟอร์ด นักวิจารณ์รู้สึกว่าในตอนแรก เซลีนไม่ผ่อนคลายเท่าที่ควร ในตอนนั้นมันยากที่จะหานักร้องที่ร้องเพลงท่ามกลางเวทีที่ประดับสิ่งตกแต่งมากมาย พร้อมขบวนนักเต้น อย่างไรก็ตาม เขาได้ให้ความเห็นว่า การแสดงสามารถให้ความสุขได้ง่ายมากขึ้น เนื่องจากเซลีนพัฒนาการวางตัวบนเวที และเสื้อผ้าที่เรียบง่ายมากขึ้น[47]
การแสดงนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี แม้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงราคาบัตรเข้าชมที่แพงเกินไป แต่การแสดงขายบัตรหมดเกือบทุกรอบตั้งแต่เปิดการแสดงเมื่อปี พ.ศ. 2546 การแสดงชุดนี้ออกแบบท่าเต้นโดยเมีย ไมเคิล นักออกแบบท่าเต้นที่มีชื่อเสียงระดับโลก จากรายงานของ โพลสตาร์ เซลีนมียอดจำหน่ายบัตร 322, 000 ใบ ทำรายได้กว่า 43.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปี พ.ศ. 2548 และในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548 บัตรเข้าชมขายหมด 315 รอบจาก 384 รอบ[87] นอกจากนี้ในช่วงท้ายปี พ.ศ. 2548 เซลีนทำรายได้มากกว่า 76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดการแสดงที่ทำรายได้สูงสุดประจำปี 2005 ในอันดับที่ 6[88] อะนิวเดย์... เป็นคอนเสิร์ตทัวร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับที่ 6 ในสหรัฐอเมริกา[89] สืบเนื่องจากความสำเร็จของการแสดง เซลีนได้เซ็นสัญญาขยายระยะเวลาการแสดงถึงท้ายปี พ.ศ. 2550 จนเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2550 ได้ประกาศว่าการแสดงรอบสุดท้ายจะจัดขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2550 โดยบัตรการแสดงช่วงหลังเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 ได้ขายหมดตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม[90] ในส่วนของสื่อบันทึกการแสดง ได้ออกจำหน่ายในชื่อว่า ไลฟ์อินลาสเวกัส - อะนิวเดย์... ในรูปแบบดีวีดี และบลูเรย์ ออกจำหน่ายในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ในยุโรป และวันรุ่งขึ้นในอเมริกาเหนือ[91] ส่วนในประเทศไทยได้ออกจำหน่ายในรูปแบบดีวีดีในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551[92]
หลังจากที่เซลีนได้ออกอัลบั้มรวมเพลงฮิตภาษาฝรั่งเศส องเนอชองช์ปา (ฝรั่งเศส: On Ne Change Pas) เมื่อ พ.ศ. 2548 แล้ว เซลีนได้พักงานด้านการออกอัลบั้มในปี พ.ศ. 2549 จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2550 ได้ออกอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสชุดล่าสุดในชื่อว่า แดล (ฝรั่งเศส: D'elles, "พวกหล่อนเหล่านั้น") ขึ้นชาร์ตอัลบั้มแคนาดาอันดับ 1 ด้วยยอดจำหน่ายกว่า 72, 000 ชุดในสัปดาห์แรก นับเป็นอัลบั้มอันดับหนึ่งอัลบั้มที่ 10 ของเธอในยุคซาวด์สแกน และเป็นอัลบั้มที่ 8 ที่เปิดตัวในชาร์ตในอันดับที่หนึ่ง อัลบั้มนี้ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว 2 แผ่นจากประเทศแคนาดา และมียอดการส่งออกอัลบั้มไปยังทั่วโลกกว่าอีก 5 แสนชุดในสัปดาห์แรก[93] แดล ยังขึ้นชาร์ตอันดับที่หนึ่งในฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม พร้อมทั้งเพลง "เอซีลนองแรสเตกวีน (เชอเซอเรแซลเลอ-ลา)" ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มดังกล่าวเปิดตัวในอันดับที่หนึ่งในชาร์ตซิงเกิลประเทศฝรั่งเศส ในปีเดียวกัน เธอยังได้ออกจำหน่ายอัลบั้มภาษาอังกฤษชุด เทกกิงแชนเซส ออกจำหน่ายในยุโรปเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน อเมริกาเหนือวันที่ 13 พฤศจิกายน[94] และในประเทศไทยวันที่ 15 พฤศจิกายน นับเป็นสตูดิโออัลบั้มภาษาอังกฤษแรกของเธอภายหลังอออัลบั้ม วันฮาร์ต ในปี พ.ศ. 2546 อัลบั้มดังกล่าวมีการผสมผสานแนวเพลงป๊อป อาร์แอนด์บี และร็อก[95] ซึ่งเป็นผลงานร่วมกับจอห์น แชงค์ส, เบ็น มูดดี (อดีตสมาชิกวงอีวาเนสเซนซ์), คริสเตียน ลันดิน, เพียร์ อสตรอม, ลินดา เพอร์รี, เน-โย่ นอกจากนี้ยังขับร้องเพลง "อะเวิลด์ทูบีลีฟอิน" ร่วมกับยูนะ อิโตะ นักร้องชาวญี่ปุ่น[96][97] เซลีนกล่าวว่า "ฉันคิดว่าอัลบั้มนี้เป็นตัวแทนของพัฒนาการทางการร้องเพลงของฉัน... ฉันรู้สึกเข้มแข็งกว่าเดิมและอาจกล้าหาญขึ้นกว่าในอดีต ฉันแค่รู้สึกรักในดนตรีและชีวิตของฉันมากที่สุดในชีวิตของฉัน"[98] นอกจากนี้เธอยังจัดคอนเสิร์ตทัวร์เทกกิงแชนเซสเพื่อประชาสัมพันธ์อัลบั้มดังกล่าว เริ่มต้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ในแอฟริกาใต้ โดยเปิดการแสดงทั่วโลกใน 5 ทวีปกว่า 132 รอบการแสดง[99]
วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เซลีน ดิออนได้รับเบญจมาภรณ์เลชียงโดเนอร์อันเป็นเครื่องอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสจากนายนีโกลา ซาร์โกซี ประธานาธิบดี ณ พระราชวังเอลีเซ (ฝรั่งเศส: Palais de l’Élysée, /ปาเลเดอเลลีเซ/)[2], ในวันที่ 21 สิงหาคม ปีเดียวกันนั้น เซลีน ดิออน ได้รับการประสาทปริญญาสังคีตศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยลาวาล (ฝรั่งเศส: Université Laval)[100]
คอนเสิร์ตทัวร์เทกกิงแชนเซสประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา ขึ้นอันดับหนึ่งในบ็อกสกอร์ของนิตยสาร บิลบอร์ด โดยมียอดจำหน่ายตั๋วหมดทุกใบทุกรอบในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เซลีนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจูโน่ในปี พ.ศ. 2551 ประกอบไปด้วยรางวัลศิลปินแห่งปี, อัลบั้มป๊อปแห่งปี (เทกกิงแชนเซส), อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสแห่งปี (แดล), อัลบั้มแห่งปี (แดล และ เทกกิงแชนเซส)[101] ในปีต่อมาเธอยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจูโน่อีก 3 รางวัลคือ รางวัลแฟนช็อยส์, รางวัลเพลงแห่งปี ("เทกกิงแชนเซส") และ มิวสิกดีวีดีแห่งปี (ไลฟ์อินลาสเวกัส - อะนิวเดย์...)[102]
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 เซลีนได้แสดงคอนเสิร์ตสาธารณะเฉลิมฉลองครบรอบ 400 ปีเมืองควิเบกซึ่งขับร้องเพลงภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด[103] ณ แปลนออฟอับราฮัม ควิเบกซิตี้ ประเทศแคนาดา[104] โดยมีผู้ชมทั้ง ณ บริเวณการแสดงและผ่านทางโทรทัศน์ประมาณ 490, 000 คน โดยเรียกคอนเสิร์ตดังกล่าวว่า เซลีนซูร์เลแปลน โดยออกจำหน่ายดีวีดีและบลูเรย์คอนเสิร์ตดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 พฤศจกายน พ.ศ. 2551ในแคนาดา และวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ในฝรั่งเศส[105] ปลายเดือนตุลาคมในปีเดียวกันเซลีนได้ออกจำหน่ายอัลบั้มรวมเพลงฮิต มายเลิฟ: เอสเซนเชียลคอลเลกชัน[106] ซึ่งออกจำหน่ายใน 2 รูปแบบคือซีดีแผ่นเดียวและสองแผ่น โดยในรูปแบบหลังได้ใช้ชื่อว่า มายเลิฟ: อัลติเมตเอสเซนเชียลคอลเลกชัน
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552 เซลีนได้รับการจัดอันดับเป็นศิลปินแห่งทศวรรษลำดับที่ 20 ของอเมริกา และเป็นศิลปินหญิงแห่งทศวรรษของอเมริกาในอันดับที่ 2 ด้วยยอดจำหน่ายอัลบั้มรวมทั้งทศวรรษกว่า 17.57 ล้านชุด[107] ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 นิสตยสารฟอร์บส รายงานว่าเซลีนทำรายได้ในช่วงปี พ.ศ. 2551 รวมกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นอับดับที่ 2 รองจาก มาดอนน่า นอกจากนี้เธอยังวางแผนกลับไปแสดง ณ ลาสเวกัสในปี พ.ศ. 2553[108] ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เซลีนแถลงการแท้งบุตรของเธอตั้งแต่ขั้นตอนการปฏิสนธิ[109][110]
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 โพลล์สตาร์ประกาศว่าเซลีนเป็นศิลปินเดี่ยวที่มียอดจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตสูงสุดในทศวรรษและเป็นอันดับที่สองเมื่อนับศิลปินประเภทวง โดยเป็นรองเพียงวงเดฟแมทธิวส์แบนด์[111] เซลีนทำรายได้กว่า 522.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการแสดงชุด อะนิวเดย์... ที่ซีซาร์พาเลส[111]
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 โฆษกส่วนตัวของเซลีนได้ประกาศว่าเธอกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง[112][113] และยังกล่าวด้วยว่าจะคลอดบุตรในราวเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 อย่างไรก็ดีในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ได้ประกาศว่าการตั้งครรภ์ของเธอประสบความล้มเหลว แต่เธอยังคงพยายามในการมีบุตรคนที่สองด้วยวิธีเด็กหลอดแก้ว[114][115] อย่างไรก็ดีภายหลังการทำเด็กหลอดแก้วถึง 6 ครั้ง จึงได้มีการประกาศในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ว่าเธอตั้งครรภ์บุตรแฝด[116] ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 มีการประกาศว่าเซลีนและเรอเนคาดว่าจะได้บุตรชายแฝด และคาดว่าจะให้กำเนิดในราวเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553[117][118] ต่อมาในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ได้ประกาศว่าเซลีนเข้าตรวจ ณ ศูนย์การแพทย์เซนต์แมรี ใน หาดเวสต์ปาล์ม รัฐฟลอริดา ว่า[119][120] "เพื่อป้องกันบุตรของเธอคลอดก่อนกำหนดซึ่งเป็นมาตรฐานการดูแลทางคลินิกทั่วไปของผู้ที่มีบุตรแฝด"[121] ต่อมาในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เซลีนได้ให้กำเนิดบุตรชายแฝดด้วยวิธีการผ่าตัด ณ ศูนย์การแพทย์เซนต์แมรี[122]
ยูเอสเอทูเดย์ ประกาศว่าเซลีนจะออกฉายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับ คอนเสิร์ตทัวร์เทกกิงแชนเซส โดยใช้ชื่อว่า เซลีน: ธรูดิอายส์ออฟเดอะเวิลด์ และจะออกฉายในโรงภาพยนตร์ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553[123] ภาพยนตร์สารคดีชุดนี้ประกอบด้วยเบื้องหลังการแสดงทั้งบนเวทีและนอกเวที พร้อมด้วยวิดีโอพิเศษเกี่ยวกับครอบครัวของเธอขณะที่ท่องเที่ยวไปกับเธอ[123] ออกจำหน่ายโดยโซนีพิกเจอร์สโดยเครือบริษัทย่อยฮอตทิกเก็ต[123]
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 เดอะลอสแองเจิลลิสไทมส์ ตีพิมพ์รายชื่อผู้ที่มีรายได้สูงสุดประจำปี และเปิดเผยว่าเซลีน ดิออนอยู่ในอันดับสูงสุดตลอดกว่าทศวรรษ ด้วยรายได้กว่า 747.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี พ.ศ. 2543 - 2552 (ค.ศ. 2000 - 2009)[124] ซึ่งมีรายได้ส่วนใหญ๋มาจากการจำหน่วยบัตรชมคอนเสิร์ตกว่า 522.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[125]
อนึ่ง ผลการสำรวจของ แฮร์ริสโพล ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 ปรากฏว่า เซลีนเป็นนักร้องซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ชนะ วงยูทู, เอลวิส เพรสลีย์ และ เดอะบีตเทิลส์ โดยมีองค์ประกอบเป็นปัจจัยทางเพศ, กลุ่มการเมือง, ภูมิศาสตร์ และรายได้ ของผู้แสดงความคิดเห็น[126] นอกจากนี้ นิตยสาร เดอะไฟแนนเชียล ยังเปิดเผยผลสำรวจว่า เซลีนเป็นนักร้องผู้ได้รับความนิยมมากที่สุดท่ามกลางหมู่ประชากรเพศหญิง, ผู้นิยมประชาธิปไตย และผู้พำนักในภาคตะวันออก และภาคใต้ ของ สหรัฐอเมริกา รวมถึงผู้มีรายได้ระหว่าง US$35k and US$74.9k.[127][128]
หนังสือพิมพ์พื้นเมืองของมอนทรีออล Le Journal de Quebec ประกาศว่าเซลีนได้รับการยกย่องให้เป็น "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ในจังหวัดบ้านเกิดของเธอในควิเบก เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552[129] โดยทำการสำรวจทางออนไลน์สอบถามไปยังผู้อ่านเพื่อลงคะแนนให้แก่ผู้ที่พวกเขาคิดว่าสมควรได้รับรางวัลดังกล่าว[129]
ในงานประกาศผลรางวัลแกรมมีครั้งที่ 52 เซลีนได้ร่วมแสดงกับสโมกีย์ โรบินสัน, อัชเชอร์, เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน และแคร์รี อันเดอร์วูดเพื่อุทิศให้แก่ไมเคิล แจ็กสัน[130] โดยศิลปินทั้งห้าคนร่วมร้องเพลง "เอิร์ธซอง" ของไมเคิลหน้าจอยักษ์ 3 มิติ[131]
ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553 เซลีนจะออกจำหน่ายอัลบั้มบันทึกการแสดงสด เทกกิงแชนเซสเวิลด์ทัวร์: เดอะคอนเสิร์ต ในรูปแบบซีดีและดีวีดี และวีดิทัศน์ภาพยนตร์เรื่อง เซลีน: ธรูดิอายส์ออฟเดอะเวิลด์ ในรูปแบบดีวีดีและบลูเรย์ ทั้งสองยังประกอบด้วยฉบับดีลักซ์และบุกเล็ต 52 หน้าพร้อมโปสการ์ด[132][133]
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2553 เซลีนได้ออกซิงเกิล "โวเลอร์" (ฝรั่งเศส: Voler) ผลงานเพลงซึ่งขับร้องร่วมกับ Michel Sardou ซึ่งบรรจุในอัลบั้มเพลงของ Sardou[134] นอกจากนี้เธอยังประกาศในเดือนตุลาคมปีเดียวกันว่าเธอได้ประพันธ์เพลงใหม่ให้แก่มาร์ด กูเปร นักร้องชาวแคนาดา ชื่อว่า "Entre deux mondes"[135]
จากบทสัมภาษณ์ใน นิตยสารพีเพิล ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เซลีนประกาศว่าเธอจะกลับไปแสดงยังซีซาร์สพาเลสในนครลาสเวกัสในการแสดงชุด เซลีน เป็นการแสดงทั้งสิ้น 3 ปี โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554[136] เธอกล่าวว่าการแสดงชุดนี้จะรวม "ทุกเพลงของฉันที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีที่ทุกคนอยากได้ยิน" รวมไปถึงเพลงที่คัดสรรจากภาพยนตร์คลาสสิกของฮอลลีวูด[137] เซลีนประกาศว่าเธอกำลังทำงานในสองอัลบั้มใหม่ทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษโดยร่วมกับเอ. อาร์. ราห์แมน ผู้ได้รับรางวัลอะคาเดมีสาขาดนตรี ซึ่งประพันธ์เพลงใหม่ให้เธอสองเพลง[138][139]
การเตรียมการในการกลับมาของเธอสู่ลาสเวกัส ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เซลีนได้ให้บทสัมภาษณ์พิเศษในรายการ เดอะโอปราห์วินฟรีย์โชว์ ขณะการแสดงในฤดูกาลสุดท้ายซึ่งเป็นครั้งที่ 27 ในการเยือนรายการดังกล่าว[140] และกล่าวถึงการแสดงที่ซีซาร์พาเลซของเธอรวมถึงครอบครัวของเธอ[141] นอกจากนี้เธอยังร่วมแสดงในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 81 ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 6 โดยขับร้องเพลง "สไมล์" ในช่วงรำลึกศิลปินในอดีต[142] ในวันที่ 4 กันยายน เซลีนร่วมในงาน เอ็มดีเอเลเบอร์เทเลธอน 2011 (2011 MDA Labor Telethon) โดยเปิดคลิปที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ในเพลง "โอเพนอาร์มส" จากการแสดงที่ลาสเวกัสของเธอ[143] ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554 OWN Network ได้ปฐมทัศน์สารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเซลีนตั้งแต่ก่อนการคลอดบุตรชายแฝดของเธอรวมไปถึงขั้นตอนการผลิตการแสดงที่ลาสเวกัสในชื่อ "Celine: 3 Boys and a New Show" หรือ "เซลีน: บุตรชาย 3 คนกับการแสดงชุดใหม่"[144] สารคดีดังกล่าวได้รับการจัดอันดับที่สองของ OWN ในแคนาดา ในเดือนตุลาคม FlightNetwork.com ได้จัดทำผลสำรวจสอบถามผู้ร่วมสัมภาษณ์ 780 คน ว่าผู้มีชื่อเสียงคนใดที่คุณอยากนั่งข้าง ๆ ตอนอยู่บนเครื่องบิน โดยเซลีนได้รับเลือกสูงสุดในร้อยละ 23.7[145] เช่นเดียวกับในเดือนกันยายน เซลีนได้ออกจำหน่ายน้ำหอมลำดับที่ 14 ชื่อ "ซิกเนเจอร์" (Signature)[146] ในวันที่ 15 กันยายน เซลีนปรากฏในคอนเสิร์ต คอนแชร์โต: วันไนต์อินเซ็นทรัลปาร์ค ของอานเดรอา โบเชลลี ณ เซ็นทรัลปาร์ค นิวยอร์ก[147] ในปี พ.ศ. 2555 เซลีนได้แสดงในงานเทศกาลแจ็สแอนด์บลูส์ประจำปี ค.ศ. 2012 ในจาไมกา[148]
ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 เซลีนเข้าบันทึกเสียงสำหรับอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษชุดใหม่ของเธอ[149] อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสใช้ชื่อว่า ซ็องซาต็องดร์ ออกจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555[150] ส่วนอัลบั้มภาษาอังกฤษเลื่อนกำหนดการออกจำหน่ายเป็นวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556[151] ในชื่อ เลิฟด์มีแบ็กทูไลฟ์ ซึงเธอได้ร่วมงานกับนักประพันธ์เพลงและโปรดิวเซอร์ที่หลากหลาย และได้บันทึกเสียงร่วมกับเน-โยและสตีวี วันเดอร์[152] โดยออกซิงเกิลแรกเพลง "เลิฟด์มีแบ็กทูไลฟ์" เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556[153] จากความสำเร็จของอัลบั้ม ซ็องซาต็องดร์ เซลีนจึงได้จัดทัวร์คอนเสิร์ต ซ็องซาต็องดร์ทัวร์ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ในประเทศเบลเยียมและฝรั่งเศส[154]
เซลีนพบเรอเน อองเชลลีล สามีและผู้จัดการส่วนตัวของเธอครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 เมื่อเธออายุได้ 12 ปี และเรอเนอายุ 38 ปี ภายหลังที่เธอและมารดาส่งเดโมเทปในเพลงที่พวกเขาประพันธ์กันเอง ทั้งสองเริ่มต้นความสัมพันธ์ในปี พ.ศ. 2530 หมั้นในปี พ.ศ. 2534 จนกระทั่งเข้าพิธีสมรสในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2537 ณ โบสถ์นอร์ต-เดม บาซิลิกา ในเมืองมอนทรีออล รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา ทั้งสองจัดพิธีสมรสกันอีกครั้งในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2543 ณ เมืองลาสเวกัส เซลีนนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2543 เซลีนเข้ารับการผ่าตัด ณ คลินิกกำเนิดบุตรในนิวยอร์กเพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ ต่อมาเธอตัดสินใจใช้วิธีเด็กหลอดแก้วแทนจนกระทั่งให้กำเนิดบุตรคนแรกในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2544 ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 เรอเนประกาศว่าเซลีนตั้งครรภ์แฝดคู่ได้ 14 สัปดาห์แล้ว ภายหลังการทดลองเด็กหลอดแก้วกว่า 6 ครั้ง ในวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เซลีนได้ให้กำเนิดบุตรแฝดชายของเธอในเวลา 11:11 น. และ 11:12 น. ตามลำดับ ณ ศูนย์การแพทย์เซนต์แมรี ณ เวสค์ปาล์มบีช รัฐฟลอริด้า[155] แฝดทั้งสองได้ชื่อว่า "เอ็ดดี" ตามเอ็ดดี มาร์เนย์ นักประพันธ์เพลงคนโปรดของเซลีน และ "เนลสัน "ตามเนลสัน เมดัลลา อดีตประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้[156] เซลีนปรากฏในภาพปกนิตยสาร พิเพิล ในฉบับวนที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553 พร้อมบุตรแฝดทั้งสองของเธอ[157] เซลีนถ่ายแบบพร้อมบุตรชายแรกเกิดของเธอบนปกนิตยสาร เฮลโล! ของแคนาดาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553[158]
ในวัยเยาว์ เซลีนเติบโตขึ้นด้วยเสียงเพลงจากศิลปินต่าง ๆ เช่น อารีธา แฟรงคลิน, ไมเคิล แจ็กสัน, คาโรล์ คิง, แอน มัวเรย์, บาร์บรา สตรัยแซนด์ และวงบีจีส์ ซึ่งในภายหลังได้ร่วมงานดนตรีกับเธอด้วย ระหว่างที่เธอเล่นที่บาร์เปียโนของพ่อแม่ร่วมกับพี่น้องของเธอ เธอได้ร้องเพลงหลายเพลงของ Ginette Reno และนักร้องชื่อดังชาวควิเบกอีกหลายคน เธอยังชื่นชอบผลงานของ เอดิต เพียฟ, เซอร์เอลตัน จอห์น และลูชิอาโน ปาวารอตติ นักร้องโอเปร่า และนักร้องแนวโซลอีกหลายคนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960, 1970, 1980 รวมทั้งโรเบอร์ตา เฟลค, เอตตา เจมส์ และแพตตี ลาเบลล์ ซึ่งเธอได้นำเพลงของนักร้องเหล่านี้มาร้องใหม่ในภายหลัง ทักษะภาษาอังกฤษของเธอได้รับอิทธิพลหลากหลายแนวเพลง ทั้งป๊อป, ร็อก, กอสเปล, อาร์แอนด์บี และโซล เนื้อเพลงของเธอมุ่งประเด็นในเรื่องของความยากจน, ความอดอยากของโลก, ลักษณะของจิตวิญญาณ ด้วยความรักและโรแมนติก[29][46] ภายหลังที่เธอให้กำเนิบุตรชาย แนวเพลงของเธอได้เปลี่ยนไปเน้นความสัมพันธ์ และความรักแบบพี่น้อง เซลีนต้องเผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ที่กล่าวว่าเพลงของเธอนั้นมักจะเป็นแนวป๊อป และโซล ซึ่งอ่อนไหวมากเกินไป[6][55][56] เคธ แฮร์ริส จากนิตยสาร โรลล์ลิงสโตน ได้กล่าวไว้ว่า "อารมณ์เพลงของเซลีนนั้นมีลวดลาย และความท้าทายมากกว่าความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย และสันโดษ... [เธอ]ยืนอยู่บนจุกสุดท้ายของโซ่แห่งการเปลี่ยนตำแหน่งระหว่างอาธีรา, วิทนีย์ และมารายห์... เซลีนยืนอยู่บนสัญลักษณ์ของความรู้สึกแนวเพลงป๊อป ยิ่งใหญ่ยิ่งดี มากเกินไปแต่ไม่เคยพอ ยิ่งแบ่งอารมณ์เพลงยิ่งทำให้รู้สึกถึงอารมณ์อันแท้จริง"[159] อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสของเซลีนเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง ดนตรีมีแนวโน้มที่ลึกขึ้น และหลากหลายมากกว่าเพลงในภาษาอังกฤษ ผลลัพธ์ก็คือความสำเร็จ และมีชื่อเสียงมากกว่าอัลบั้มภาษาอังกฤษ[160][27]
เซลีนได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลในโลก[161][27][6] และจากบางแหล่งข้อมูล เธอมีความสามารถร้องเพลงได้ 5 อ็อกเตฟ[162] ในการนับถอยหลัง "22 เสียงสุดยอดทางดนตรี" โดยนิตยสาร เบล็นเดอร์ และ เอ็มทีวี เธอได้อันดับที่ 9 (อันดับที่ 6 ในผู้หญิง) และอยู่ในอันดับที่ 4 ในนิตยสาร โคฟ (อังกฤษ: Cove') ในรายชื่อ "100 ศิลปินป๊อปที่โดดเด่นที่สุด"[8][163][164] ในผลงานแรกของเธอ นักวิจารณ์หลายคนต้อนรับเธอด้วยการวิจารณ์เสียงของเธอ และยกย่องความเชี่ยวชาญ, ความเข้มของการร้องเพลง ชาร์ลส์ อเล็กซานเดอร์ จากนิตยสาร ไทม์ กล่าวว่า "เสียงของเธอผ่านไปอย่างราบเรียบอย่างง่ายดาย จากเสียงกระซิบลึก ๆ สู่เสียงสูง เสียงหวาน ๆ ของเธอประกอบด้วยพลังและความสง่างาม"[19] แม้ว่าเซลีนมีความก้าวหน้าทางดนตรี แต่การร้องของเธอมีความใกล้เคียงกับเพลงร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทนีย์ ฮูสตัน และมารายห์ แครี[165] และเธอได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องของการร้องเพลงที่เกินไป และขาดอารมณ์ร่วม ซึ่งพบได้ในผลงานช่วงแรก ๆ ของเธอ[59][39] นักวิจารณ์คนหนึ่งได้กล่าวว่าอารมณ์ของเธอ "เหมือนได้รับการฝึกมา โดยปราศจากความรักในเสียงของเธอ" และกล่าวว่าเธอ "ใช้เสียงมากกว่าหัวใจ"
นักวิจารณ์หลายคนกล่าวว่าเซลีนมีส่วนร่วมในงานด้านการสร้างเพลงของเธอน้อยมาก ซึ่งทำให้ผลงานของเธอมีมากเกินไป[162] และไม่เป็นตัวของเธอ[27] นอกจากนี้ ขณะที่เธอเติบโตมากับครอบครัวที่พี่น้องเป็นนักดนตรีทั้งหมด แต่เธอไม่เคยได้เรียนวิธีการเล่นเครื่องดนตรีอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม เธอช่วยในการประพันธ์เพลงภาษาฝรั่งเศสในช่วงแรก ๆ ของเธอ และพยายามที่จะมีส่วนร่วมในงานด้านการผลิต และบันทึกเสียงในอัลบั้มของเธอ ในอัลบั้มภาษาอังกฤษอัลบั้มแรกของเธอ ซึ่งเธอบันทึกเสียงในช่วงที่เธอยังไม่แตกฉานทางภาษาอังกฤษมากนัก เป็นผลให้เธอไม่สามารถแสดงความสามารถของเธอออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเธอควรนำความสร้างสรรค์ใส่เข้าไปมากกว่านี้[27] ต่อมาเธอได้ออกอัลบั้มภาษาอังกฤษลำดับที่ 2 เซลีนดิออน เธอมีส่วนร่วมในงานการสร้างและบันทึกเสียงมากขึ้น ด้วยความหวังที่จะลบล้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์เดิม ๆ ให้หมดไป เธอกล่าวว่า "ในอัลบั้มที่ 2 ฉันมีทางเลือกที่จะกลัวอีกครั้ง และไม่มีความสุข 100% หรือว่าเลิกหวาดกลัว และเป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้ม นี่คืออัลบั้มของฉัน"[27] เธอร่วมงานด้านการสร้างและการบันทึกเสียงในอัลบั้มชุดต่อ ๆ มา ช่วยประพันธ์เพลงในบางเพลง เช่น ในเพลงของอัลบั้ม เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ และ ดีสอาร์สเปเชียลไทม์[166]
แม้เธอจะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังคงเป็นประเด็นของสื่อมวลชนในการเขียนเรื่องล้อเลียน และเรื่องตลก เธอมักถูกเลียนแบบในรายการโทรทัศน์ต่าง ๆ เช่น MADtv, แซทเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ และ เซาท์ปาร์ค ในเรื่องของการออกเสียงของเธอ, ความอนุรักษนิยม และการเคลื่อนไหวของเธอบนเวที เธอยังถูกเลียนแบบในรายการ รอยัลคะเนเดียนแอร์ฟารส์ และ ดีสอาวร์แฮสทเวนตีทูมินิทส์ อย่างไรก็ตาม เซลีนได้กล่าวว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรจากการล้อเลียนดังกล่าว และเธอรู้สึกยินดีที่มีคนเลียนแบบเธอ[68] เธอเชิญ Ana Gasteyer ผู้เขียนล้อเลียนเธอในเอสเอ็นแอลบนเวทีการแสดงของเธอครั้งหนึ่ง เซลีน ดิออน เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสื่อมวลชนน้อยครั้งมาก อย่างไรก็ดี ใน พ.ศ. 2548 หลังจากเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนแคทรินาพัดถล่มสหรัฐอเมริกา เซลีนได้วิจารณ์รัฐบาลแห่งรัฐลุยเซียนาผ่านทางรายการแลร์รีคิงไลฟ์ (อังกฤษ: Larry King Live) ถึงความล่าช้าในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุดังกล่าว เซลีนร้องไห้น้ำตานองใบหน้าและกล่าวว่า "เราต้องไปที่นั่นในทันใด เพื่อช่วยผู้คนที่เหลือรอดอยู่ คราวที่ส่งกองรบไปสังหารผู้คนในตะวันออกกลางนั้นกลับทำได้ในไม่กี่วินาที แต่เหตุใดคราวที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นการรีบด่วนภายในประเทศกลับทำได้ช้า"[167] ภายหลังเซลีนแถลงว่า "ตอนที่ฉันให้สัมภาษณ์ในรายการแลร์รีคิงไลฟ์ซึ่งเป็นรายการสำคัญขนาดนั้น ฉันรู้สึกตกเป็นเป้าสายตาซึ่งเป็นช่วงที่ค่อนจะวางตัวลำบากนัก ฉันย่อมมีความคิดความเห็นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ก็เป็นไปตามประสานักร้อง เพราะฉันไม่ใช่นักการเมือง"[168]
นอกจากการร้องเพลงแล้ว เซลีนยังได้เปิดแฟรนไชส์ร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อว่า "Nickels Grill" ในปี พ.ศ. 2533 และในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2547 สายการบินแห่งชาติแคนาดาได้เลือกเซลีน ดิออน เป็นพรีเซ็นเตอร์โปรโมตแคมเปญเที่ยวบินพิเศษ และเครื่องบินใหม่ของสายการบิน โดยเลือกเพลง "ยูแอนด์ไอ" (อังกฤษ: You and I) ซึ่งเป็นผลงานการขับร้องของเซลีน เป็นเพลงหลักในการโปรโมตครั้งนี้[169] นอกจากนี้เซลีนยังออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำหอมและแว่นตา โดยเซ็นสัญญากับบริษัทโคตี้ จำกัด ในด้านการดูแลการผลิต[170][171][172] และล่าสุดเซลีนได้ออกจำหน่ายน้ำหอมชื่อ "เซลีนดิออน" รุ่นเซนเซชันแนล (อังกฤษ: Sensational) และในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เซลีนเตรียมออกจำหน่ายน้ำหอมรุ่นใหม่ลำดับที่ 6 ในชื่อว่า ชิก[173] น้ำหอมตราเซลีน ดิออน ได้รับรางวัลมากมาย เช่น รายวัล FiFi 2 รางวัล[174][175] โดยตั้งแต่เริ่มการจำหน่ายน้ำหอมของเธอตั้งแต่ พ.ศ. 2545 น้ำหอมของเธอทำรายได้กว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[176]
เซลีนได้ให้ความช่วยเหลือมูลนิธิ, องค์กรการกุศลทั่วโลก โดยเฉพาะกองทุนเพื่อผู้ป่วยโรคซิสติก ไฟโบรสิสของแคนาดา (อังกฤษ: Canadian Cystic Fibrosis Foundation (CCFF)) ตั้งแต่ พ.ศ. 2525[177] โดยได้รับแรงบันดาลใจจากคาเรน หลานสาวของเธอที่เสียชีวิตด้วยโรคซิสติก ไฟโบรสิสตั้งแต่อายุ 16 ปี ในปี พ.ศ. 2546 เซลีนได้เข้าร่วมในโครงการจัดคอนเสิร์ตวันเด็กโลก (อังกฤษ: World Children's Day) ร่วมกับจอช โกรแบน และ Yolanda Adams มีผู้ร่วมสนับสนุนเช่น แม็คโดนัลด์ รายได้จากการจัดงานครั้งนี้ได้บริจาคแก่มูลนิธิเด็กกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงองค์กรเกี่ยวกับสุขภาพของเด็ก นอกจากนี้เซลีนยังเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของมูลนิธิ T.J. Martell กองทุนของเจ้าหญิงไดอาน่าแห่งเวลส์ และกองทุนด้านสุขภาพและการศึกษาอีกมากมาย เซลีนร่วมบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา และยังเคยจัดรายการการกุศลหาทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดียเมื่อปลายปี พ.ศ. 2547 ซึ่งมียอดบริจาครวมกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[178] และล่าสุดหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวนของจีนเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 เซลีนบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุนเพื่อเด็กและเยาวชนของจีน พร้อมสาสน์แสดงความเสียใจอีกด้วย[179]
เซลีน ดิออน มีผลงานด้านดนตรีมากมาย ด้านล่างนี้เป็นผลงานของเซลีน ดิออน ในขณะที่สังกัดค่ายโซนีมิวสิกที่บันทึกในห้องบันทึกเสียง ผลงานของเซลีน ดิออนดูได้ที่ ผลงานอัลบั้มเพลงของเซลีน ดิออน และ ผลงานซิงเกิลของเซลีน ดิออน
อัลบั้มภาษาอังกฤษที่บันทึกในห้องบันทึกเสียง
|
อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสที่บันทึกในห้องบันทึกเสียง
|
ปี | ซิงเกิล | อันดับสูงสุด | |||
---|---|---|---|---|---|
แคนาดา | สหรัฐอเมริกา | สหราชอาณาจักร | ฝรั่งเศส | ||
2533 | "แวร์ดัสมายฮาร์ตบีตนาว" | 6 | 4 | 72 | 20 |
2535 | "อิฟยูอาสกต์มีทู" | 3 | 4 | 57 | — |
"บิวตีแอนด์เดอะบีสต์ " | 2 | 9 | 9 | — | |
2536 | "เดอะพาวเวอร์ออฟเลิฟ" | 1 | 1 | 4 | 3 |
"เอิงการ์ซงปาก็อมเลโซตร์ (ซิกกี)" | — | — | — | 1 | |
2537 | "ธิงทไวซ์" | 13 | 95 | 1 | -- |
2538 | "ปูร์เกอตูแมมอองกอร์" | -- | -- | 7 | 1 |
"เชอเซปา" | — | — | — | 1 | |
2539 | "บีคอสยูเลิฟด์มี" | 1 | 1 | 5 | 19 |
"อิตส์ออลคัมมิงแบ็กทูมีนาว" | 2 | 2 | 3 | 13 | |
2540 | "ออลบายมายเซลฟ์" | — | 4 | 6 | 5 |
"เทลล์ฮิม" | 12 | — | 3 | 4 | |
2541 | "เดอะรีซัน" | — | — | 11 | 1 |
"มายฮาร์ตวิลโกออน" | 1 | 1 | 1 | 1 | |
"อิมมอร์ทอลิตี" | — | — | 5 | 15 | |
"แอมยัวร์แองเจิล" (ร้องกับ R. Kelly) | 37 | 1 | 3 | 97 | |
"ซีลซูฟฟีเซแดมเม " | — | — | — | 4 | |
2543 | "ไอว็อนต์ยูทูนีดมี" | 1 | — | — | — |
2544 | "ซูเลอวอง" (คู่กับ การู) | 14 | — | — | 1 |
2545 | "อะนิวเดย์แฮสคัม" | 2 | 22 | 7 | 23 |
2546 | "ไอโดรฟออลไนต์" | 1 | 45 | 27 | 22 |
"ตูลอร์เดซอม" | 2 | — | — | 3 | |
2548 | "เชอเนอวูอูบลีปา" | 1 | — | — | 2 |
2550 | "เอซีลนองแรสเตกวีน (เชอเซอเรแซล-ลา)" | — | — | — | 1 |
ซิงเกิลอันดับ 1 | 8 | 5 | 4 | 8 |
ปี (พ.ศ.) | ชื่อทัวร์ | รูปแบบ/ชื่อสื่อบันทึกการแสดง |
---|---|---|
2526-2527 | คอนเสิร์ตทัวร์เลเชอแมงเดอมาแมซง Les chemins de ma maison tournée |
ไม่มี |
2528 | คอนเสิร์ตทัวร์เซปูร์ตัว C'est pour toi tournée |
ไวนิล เซลีน ดิออน อองกงแซร์ |
2531 | คอนเสิร์ตทัวร์แองกอญีโต Incognito tournée |
ไม่มี |
2533-2534 | คอนเสิร์ตทัวร์ยูนิซัน Unison Tour |
วิดีโอ ยูนิซัน |
2535-2536 | คอนเสิร์ตทัวร์เซลีนดิออน Celine Dion Tour |
ไม่มี |
2537-2538 | คอนเสิร์ตทัวร์เดอะคัลเลอร์ออฟมายเลิฟ The Colour of My Love Tour |
ดีวีดี, วีซีดี, วิดีโอ เดอะคัลเลอร์ออฟมายเลิฟคอนเสิร์ต; ซีดี อาโลแล็งปียา |
2538 | คอนเสิร์ตทัวร์เดอ D'eux Tour |
ดีวีดี, วิดีโอ ไลฟ์อาปารี; ซีดี ไลฟ์อาปารี |
2539-2540 | คอนเสิร์ตทัวร์ฟอลลิงอินทูยู Falling into You Tour |
ดีวีดี, วีซีดี, วิดีโอไลฟ์อินเมมฟิส |
2541-2542 | คอนเสิร์ตทัวร์เล็ตส์ทอล์กอะเบาต์เลิฟ Let's Talk About Love Tour |
ดีวีดี, วีซีดี โอเกอร์ดูสตาด ; ซีดี โอเกอร์ดูสตาด |
2546– 2550 | อะนิวเดย์... A New Day... |
ดีวีดี, บลูเรย์ ไลฟ์อินลาสเวกัส - อะนิวเดย์...; ซีดี อะนิวเดย์... ไลฟ์อินลาสเวกัส |
2551-2552 | คอนเสิร์ตทัวร์เทกกิงแชนเซส Taking Chances Tour |
ดีวีดี, บลูเรย์ เซลีนซูร์เลแปลน; ดีวีดี, บลูเรย์ เซลีน: ธรูดิอายส์ออฟเดอะเวิลด์; ดีวีดี/ซีดี เทกกิงแชนเซสเวิลด์ทัวร์: เดอะคอนเสิร์ต |
2554-2557 | เซลีน Celine |
ไม่มี |
2556 | ซ็องซาต็องดร์ทัวร์ Sans attendre Tour |
ดีวีดี, บลูเรย์, ซีดี เซลีน... อูว์นเซิลฟัว / ไลฟ์ 2013 |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.