เหตุโจมตีทางอากาศที่ท่าอากาศยานนานาชาติแบกแดด พ.ศ. 2563
From Wikipedia, the free encyclopedia
เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2563 ท่ามกลางความตึงเครียดที่กำลังเพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน สหรัฐได้ปฏิบัติการการโจมตีด้วยอากาศยานไร้คนขับใส่ขบวนรถขบวนหนึ่งขณะกำลังเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติแบกแดดในอิรัก มีผู้โดยสารหลายคนอยู่ในขบวนรถดังกล่าว รวมถึงกอเซม โซเลย์มอนี นายพลและผู้บัญชาการกองกำลังโกดส์แห่งกองพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และอะบู มะฮ์ดี อัลมุฮันดิส รองผู้บัญชาการกองกำลังระดมพลประชาชน กองกำลังติดอาวุธอิรักซึ่งมีความใกล้ชิดกับอิหร่าน
เหตุโจมตีทางอากาศที่ท่าอากาศยานนานาชาติแบกแดด พ.ศ. 2563 | |
---|---|
ส่วนหนึ่งของ การแทรกแซงทางทหารที่นำโดยสหรัฐในในอิรัก (ปฏิบัติการแก้ปัญหาที่ต้นตอ) และวิกฤตการณ์อ่าวเปอร์เซีย พ.ศ. 2562–2563 | |
ชนิด | การโจมตีด้วยอากาศยานไร้คนขับ[1] |
ตำแหน่ง | ใกล้ท่าอากาศยานนานาชาติแบกแดด แบกแดด อิรัก 33°15′29″N 44°15′22″E |
ผู้บังคับบัญชา | ดอนัลด์ ทรัมป์ |
เป้าหมาย | กองกำลังโกดส์ กองกำลังระดมพลประชาชน |
วันที่ | 3 มกราคม 2563 (2020-01-03) ประมาณ 1 นาฬิกา ตามเวลาท้องถิ่น[2] (UTC+3) |
ผู้ลงมือ | สหรัฐ |
ผลลัพธ์ | การเสียชีวิตของกอเซม โซเลย์มอนี และอะบู มะฮ์ดี อัลมุฮันดิส |
ผู้สูญเสีย | ผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 คน[3] |
การโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐถอนตัวจากความตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านใน พ.ศ. 2561[4] และหลังวิกฤตการณ์อ่าวเปอร์เซียระหว่าง พ.ศ. 2562–2563 ในสัปดาห์ก่อนการโจมตี ฐานทัพอากาศอิรักแห่งหนึ่งถูกโจมตี ส่งผลให้พลเรือนซึ่งเป็นผู้รับเหมารายหนึ่งของสหรัฐเสียชีวิต สหรัฐตอบโต้ด้วยการสังหารนักรบอาสาสมัครชีอะฮ์ที่อิหร่านหนุนหลัง 25 นาย ไม่กี่วันต่อมาด้านนอกของสถานทูตสหรัฐในอิรักก็ถูกผู้ประท้วงชาวชีอะฮ์ทำลายเพื่อเป็นการตอบโต้ สหรัฐกล่าวหาอิหร่านและพันธมิตรที่ไม่ใช่รัฐของอิหร่านว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้[5][6]
การโจมตีทางอากาศดังกล่าวทำให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับอิหร่านเพิ่มขึ้นอย่างมาก อะลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านให้คำมั่นว่าจะแก้แค้นสหรัฐอย่างรุนแรง[7] ในขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐกล่าวว่าพวกเขาจะดำเนินการต่อกองกำลังกึ่งทหารใด ๆ ก็ตามที่อิหร่านสนับสนุนในอิรัก หากมีสิ่งบ่งชี้ว่ากองกำลังเหล่านี้กำลังวางแผนโจมตีสหรัฐ[8]
สมาชิกพรรคริพับลิกันในสหรัฐส่วนใหญ่สนับสนุนการโจมตี เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล[9][10][11] ในขณะที่สมาชิกพรรคเดโมแครตในสหรัฐรับรู้ว่าโซเลย์มอนีมีส่วนร่วมในการสังหารทหารอเมริกันไปเป็นจำนวนมาก แต่ตั้งคำถามถึงความรอบคอบในการโจมตีแบบยั่วยุซึ่งจะเพิ่มความตึงเครียดในตะวันออกกลางเช่นนี้[12] ซีเรียออกมาประณามเหตุโจมตี[9][13] รัสเซียเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะเพิ่มความตึงเครียดในตะวันออกกลาง[14] ส่วนจีน อินเดีย ปากีสถาน ฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักรเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้นและการเจรจาทางการทูต[9][10][15][16]