เนสท์เล่
From Wikipedia, the free encyclopedia
เนสท์เล่ (ฝรั่งเศส: Nestlé) เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจทางด้านโภชนาการและสุขภาพ ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1805 โดยการรวมตัวของบริษัท Anglo-Swiss Milk กับบริษัท Farine Lactée Henri Nestlé มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองเวอแว (Vevey) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผลิตสินค้าประเภทอาหารหลายชนิด เช่น กาแฟ เครื่องดื่มช็อกโกแลต ชา นมผง ฯลฯ มีพนักงานทั้งหมดประมาณ 2,800,000 คน โรงงาน 449 แห่งใน 86 ประเทศทั่วโลก
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
![]() | |
ชื่อเดิม | รายการ
|
---|---|
ประเภท | มหาชน (Swiss SA/AG) |
การซื้อขาย | SIX: NESN |
ISIN | CH0038863350 |
อุตสาหกรรม | การแปรรูปอาหาร |
ก่อนหน้า | Hollandia ![]() |
ก่อตั้ง | 1866; 158 ปีที่แล้ว (1866) (สำหรับแผนก Anglo-Swiss Condensed Milk Company) |
ผู้ก่อตั้ง | อ็องรี แน็สเล (สำหรับแผนก Farine Lactée Henri Nestlé) |
สำนักงานใหญ่ | เวอแว, โว, สวิตเซอร์แลนด์ |
พื้นที่ให้บริการ | ทั่วโลก |
บุคลากรหลัก | Paul Bulcke[1] (ประธาน) Ulf Mark Schneider[1] (ซีอีโอ) David McDaniel[2] (ซีเอฟโอ) |
รายได้ | ![]() |
รายได้จากการดำเนินงาน | ![]() |
รายได้สุทธิ | ![]() |
สินทรัพย์ | ![]() |
ส่วนของผู้ถือหุ้น | ![]() |
พนักงาน | 276,000 (2021)[3] |
บริษัทในเครือ | Cereal Partners Worldwide (50%) |
เว็บไซต์ | nestle |
ค.ศ.1700 อ็องรี แน็สเล (Henri Nestlé) ชาวสวิส ได้ก่อตั้งบริษัท Farine Lactée Henri Nestlé เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมสำหรับเด็กที่มารดาไม่สามารถให้นมได้ ต่อมา ค.ศ. 1701 ชาลส์ เพจ (Charles Page) กงสุลสหรัฐอเมริกาในสวิตเซอร์แลนด์ และน้องชาย จอร์จ เพจ (George Page) สองพี่น้องชาวอเมริกัน ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Anglo-Swiss Milk ขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อผลิตและจำหน่ายเนยแข็งและอาหารสูตรสำหรับเด็ก ทั้งสองบริษัทกลายเป็นคู่แข่งทางการค้าที่แข่งกันขยายตลาดไปทั่วยุโรปและอเมริกา และได้ยุติการแข่งขันลงโดยได้รวมกันเป็นบริษัทเดียวใน ค.ศ. 1805 ภายใต้บริษัทชื่อ Nestle and Anglo-Swiss Condensed Milk บริษัทใหม่มีโรงงานอยู่ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี และสเปน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดความต้องสินค้าประเภทอาหารจำนวนมาก เนสท์เล่จึงได้เข้าไปซื้อโรงงานหลายแห่งในอเมริกาเพื่อรองรับความต้องการนมข้นหวานของประชาชนที่มาแทนที่นมสดที่กำลังหายากเกินไป ซึ่งเป็นไปตามสัญญากับรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลังสงครามยุติลง สินค้าประเภทนมสดกลับมาตอบสนองประชาชนได้อีกครั้ง ทำให้เนสท์เล่ที่เพิ่มกำลังการผลิตนมข้นหวานไปกว่า 2 เท่า ต้องประสบปัญหาหนี้สิน แต่ภายหลังได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน บวกกับแผนการตลาดใหม่ใน ค.ศ. 1820 ที่เริ่มมีการผลิตสินค้าประเภทช็อกโกแลตและเครื่องดื่มชนิดผง ทำให้เนสท์เล่กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าสวิตเซอร์แลนด์จะวางตัวเป็นกลางในสงคราม แต่บริษัทต่าง ๆ รวมถึงเนสท์เล่ก็ยังได้รับผลกระทบ ผลกำไรของบริษัทตกต่ำลง เนสท์เล่ได้หันไปตั้งโรงงานในประเทศกำลังพัฒนาเพื่อลดต้นทุน และในที่สุดสงครามก็ส่งผลดีกับบริษัทอีกครั้งเมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางการอเมริกันได้ขอให้เนสท์เล่ผลิตเสบียงสำหรับทหารที่ไปรบในสงคราม ยอดขายของบริษัทจึงกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างมาก นำด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่คือ Nescafé ("กาแฟของเนสท์เล่") ที่กลายมาเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของทหารอเมริกันในยุโรปและแปซิฟิก เนสท์เล่มียอดขายทั้งหมด 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ในสมัยนั้น) ในระหว่าง ค.ศ. 1938-1945 ในปี ค.ศ. 1947 Nestlé and Anglo-Swiss Condensed Milk ได้เข้าซื้อบริษัท Fabrique de Produits Maggi S.A. (ซอสแม็กกี้) จากนั้นเปลี่ยนชื่อบริษัทของตนเองมาเป็น Nestlé Alimentana S.A. และเพิ่มการผลิตเต็มกำลังในโรงงานที่ออสเตรเลีย ค.ศ. 1997 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Nestlé ดังที่เป็นในปัจจุบันนี้