Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ (อาหรับ: فوزية بنت فؤاد الأول; เปอร์เซีย: فوزیه فؤاد; ประสูติ: 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 — สิ้นพระชนม์: 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2013) เจ้าหญิงแห่งอียิปต์และอดีตสมเด็จพระราชินีในโมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี ชาห์อิหร่าน
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ | |
---|---|
เจ้าหญิงแห่งอียิปต์ เจ้าหญิงแห่งอิหร่าน | |
ประสูติ | 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 อะเล็กซานเดรีย รัฐสุลต่านอียิปต์[1] |
สิ้นพระชนม์ | 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 ปี) อะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ | (91
พระสวามี |
|
พระบุตร |
|
ราชวงศ์ | มุฮัมมัดอะลี (ประสูติ) ปาห์ลาวี (เสกสมรส) |
พระบิดา | พระเจ้าฟุอาดที่ 1 |
พระมารดา | สมเด็จพระราชินีนาซลี |
หลังจากการเสกสมรสอีกครั้งใน ค.ศ. 1949 พระองค์ได้ใช้พระนามว่า เฟาซียะห์ ชีรีน เรื่อยมาจนถึงการโค่นล้มพระราชวงศ์ในอียิปต์ในเหตุการณ์ปฏิวัติอียิปต์ใน ค.ศ. 1952 แม้พระองค์จะถูกถอดออกจากฐานันดรศักดิ์แล้ว แต่พระองค์ยังเป็นคนในพระราชวงศ์มฮัมมัดอะลีที่อาวุโสคนหนึ่งในราชวงศ์
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ประสูติเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921[2] ที่พระราชวังราส เอล-ติน ที่เมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ เป็นพระธิดาในพระเจ้าฟุอาดที่ 1 กับสมเด็จพระราชินีนาซลีแห่งอียิปต์ ซึ่งพระมารดาของพระองค์สืบเชื้อสายมาจากสุลัยมาน พาชา ทหารชาวฝรั่งเศสของนโปเลียนที่หันมานับถือศาสนาอิสลาม นอกจากนี้พระปัยกาฝ่ายพระชนนีของพระองค์ก็สืบเชื้อสายมาจากตุรกี[3] และพระองค์ยังมีเชื้อสายกรีกจากทางพระมารดาอีกด้วย พระองค์จึงมีเชื้อสายแอลเบเนีย, ฝรั่งเศส, กรีก และตุรกี[4]
เจ้าหญิงเฟาซียะห์มีพระเชษฐาคือพระเจ้าฟารุกที่ 1 แห่งอียิปต์ และมีพระขนิษฐาได้แก่ เจ้าหญิงฟัยซะฮ์, เจ้าหญิงฟัยกะฮ์ และเจ้าหญิงฟัตฮียะฮ์ ทั้งยังมีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีต่างมารดาด้วย 2 พระองค์ คือ เจ้าชายอิสมาอีล และเจ้าหญิงเฟากียะฮ์
พระองค์เข้ารับการศึกษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์[2] สามารถตรัสภาษาอาหรับ อังกฤษ และฝรั่งเศส[5] ขณะที่ยังพระองค์ยังเป็นดรุณีแรกรุ่น พระองค์ที่เป็นสตรีที่ทรงพระสิริโฉมมากจนถือเป็น "หนึ่งในสตรีที่สวยที่สุดในโลก" ในขณะนั้น[6] ได้รับการยกย่องว่า "มีความงามดุจเทพธิดาวีนัส"[7] ทั้งยังได้รับการเปรียบเทียบว่ามีพระพักตร์คล้ายนักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นคือ เฮดี ลามาร์ และวิเวียน ลีห์[8]
พระองค์ได้เข้าพระราชพิธีหมั้นกับมกุฎราชกุมารโมฮัมหมัด เรซาแห่งอิหร่านในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1938[9][10] ทั้งสองพบกันในพระราชพิธีหมั้นเพียงครั้งเดียวก่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรส[11] พระราชพิธีอภิเษกสมรสถูกจัดขึ้นที่พระราชวังอับดีน กรุงไคโรในวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1939[12][13] หลังจากการฮันนีมูน ทั้งสองก็จัดพิธีอภิเษกสมรสอีกครั้งที่พระราชวังหินอ่อนในเตหะราน[11] ซึ่งจัดตามพระราชประสงค์ของชาห์เรซา[14][15] การอภิเษกสมรสของทั้งสองถูกจัดขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญระหว่างเจ้าหญิงที่เป็นสุหนี่กับมกุฎราชกุมารที่เป็นชีอะห์[13][16]
สองปีต่อมาพระสวามีได้ขึ้นครองราชสมบัติ เจ้าหญิงเฟาซียะห์จึงกลายเป็น สมเด็จพระราชินีแห่งอิหร่าน พระราชินีเฟาซียะห์ทรงเป็นนางแบบให้เซซิล บีตัน ถ่ายพระฉายาลักษณ์เพื่อตีพิมพ์ลงในนิตยสารไลฟ์ (Life) โดยนายเซซิล บีตันได้กล่าวชื่นชมพระราชินีองค์นี้ว่าทรงเป็น "เทพธิดาวีนัสแห่งเอเชีย" ทั้งยังเสริมว่า "มีพระพักตร์รูปหัวใจคมซีดเผือดผิดปกติ แต่มีดวงพระเนตรสีฟ้าอันเฉียบคม"[12]
หลังจากการอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์ก็มีพระธิดาด้วยกัน 1 พระองค์[17] คือ เจ้าหญิงชาห์นาซ[1][18] แต่ชีวิตสมรสของทั้งสองไม่ราบรื่นนัก พระราชินีเฟาซียะห์เสด็จกลับกรุงไคโรราวเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945[19] และทำการหย่าร้างในอียิปต์ ทรงให้เหตุผลว่าเตหะรานนั้นด้อยพัฒนาตรงกันข้ามกับไคโรที่แลดูทันสมัยและเป็นสากล[20][21]
นอกจากนี้พระราชินีเฟาซียะห์ยังทรงมีช่วงเวลาที่น่าลำบากจากความไม่ซื่อสัตย์ของชาห์ พระองค์จึงเข้าพบจิตแพทย์อเมริกันที่แบกแดดไม่นานนักก่อนที่จะเสด็จออกจากเตหะราน[19] ตรงกันข้ามรายงานของซีไอเออ้างว่าพระราชินีทรงเยาะเย้ยและละอายพระทัยเกี่ยวกับการหย่อนสมรรถภาพทางเพศของชาห์จนนำไปสู่การหย่าร้าง[21] ขณะที่บันทึกของเจ้าหญิงอัชราฟ พระขนิษฐาฝาแฝดของชาห์ได้ให้ข้อมูลว่า พระราชินีมิได้รับสั่งเรื่องการหย่ากับชาห์เลย[11]
ต่อมาทั้งสองพระองค์ได้หย่ากันที่อียิปต์เมื่อ ค.ศ. 1945 นั้นมิได้รับการยอมรับในประเทศอิหร่านนานหลายปี แต่อย่างไรก็ดีทั้งสองพระองค์ก็ได้ทำการหย่ากันอย่างเป็นทางการในอิหร่านเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 พระราชินีเฟาซียะห์ได้กลับมาใช้พระอิสริยยศเดิมคือ เจ้าหญิงแห่งอียิปต์ ส่วนพระราชธิดานั้นตกอยู่ในการดูแลของชาห์[23]
ทั้งนี้ทางสำนักพระราชวังได้ให้เหตุผลว่า "ด้วยสภาวะอากาศของเปอร์เซียทำให้สุขภาพของราชินีเฟาซียะห์ทรุดโทรม ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับพระขนิษฐากษัตริย์อียิปต์ที่ต้องการจะหย่า" และชาห์ก็ออกมาประกาศว่า "ไม่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีที่มีอยู่ระหว่างอียิปต์กับอิหร่าน"[24]
ดังนั้นสมเด็จพระราชินีเฟาซียะห์จึงกลับมาดำรงพระยศเป็นเจ้าแห่งอียิปต์และซูดานตามเดิม ส่วนพระเชษฐาของเจ้าหญิงเฟาซียะห์คือพระเจ้าฟารุกที่ 1 แห่งอียิปต์ ก็ได้ทำการหย่าร้างกับสมเด็จพระราชินีฟารีดาในสัปดาห์เดียวกัน[23][25] ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวเป็นที่สนใจของโลกตะวันตกอย่างมาก[26]
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ได้สมรสอีกครั้งเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1949 กับพันเอกอิสมาอีล ฮุซัยน์ ชีรีน เบย์ (ค.ศ. 1919-1994)[1] ที่ถูกจัดขึ้นที่พระราชวังคุบบา อิสมาอีลซึ่งเป็นพระญาติห่าง ๆ ของพระองค์ เป็นบุตรคนโตของฮุซัยน์ ชีรีน กับเจ้าหญิงอามีนะห์ บีห์รุซ[27][28] ขณะนั้นเขาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือของอียิปต์ หลังจากการสมรสทั้งสองได้พำนักในที่ดินส่วนพระองค์ที่มาอ์ดีในกรุงไคโร[28][29] และพำนักที่บ้านอีกแห่งในอะเล็กซานเดรีย[30]
ทั้งคู่มีบุตร-ธิดา 2 คน[31] คือ นาดียะห์ (ค.ศ. 1950-2009) และฮุซัยน์ (เกิด ค.ศ. 1955)[1]
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ทรงให้ประสูติกาลพระโอรส-ธิดา รวมกัน 1 พระองค์ กับอีก 2 คน โดยเป็นชาย 1 คน และหญิง 2 คน ซึ่งเป็นบุตรจากการสมรสครั้งแรก 1 พระองค์ และจากการสมรสครั้งที่สองอีก 2 คน คือ
ในปลายชนม์พระองค์ประทับอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งในปี ค.ศ. 2004 ได้มีการเผยแพร่พระฉายาลักษณ์ล่าสุดของพระองค์คู่กับอาร์เดชีร์ ซาเฮดี อดีตพระชามาดา[36] มีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับข่าวการสิ้นพระชนม์เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 ที่เกิดการสับสนในเรื่องพระนามที่เหมือนกันของพระองค์กับพระภาติยะ คือ เจ้าหญิงเฟาซียะห์ (ค.ศ. 1940-2005) ซึ่งเป็นพระธิดาของพระเชษฐาคือพระเจ้าฟารุกที่ 1 แห่งอียิปต์[36]
เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ได้เสด็จกลับมาประทับในเมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ก่อนสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 ขณะมีพระชนมายุ 91 พรรษา[37] พระราชพิธีศพถูกจัดขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 3 กรกฎาคมที่มัสยิดซาเยดา กรุงไคโร[38] และฝังพระศพที่ไคโรเคียงข้างกับอิสมาอีล พระภัสดาคนที่สอง[12]
มีการตั้งนามเมืองแห่งหนึ่งในอียิปต์ว่า เฟาซียะห์บัด (Fawziabad) เมื่อปี ค.ศ. 1939 เพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์[5] และช่วงปี ค.ศ. 1950 มีถนนย่านมาอ์ดีในกรุงไคโรชื่อ อามีราเฟาซียะห์ (Amira Fawzia) แต่ในปี ค.ศ. 1956 ได้เปลี่ยนชื่อถนนเป็น มุสตาฟาญามาล (Mustafa Kamel)[39]
เรื่องราวของเจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ได้ถูกถ่ายทอดเรื่องราวลงในหนังสือ ฟอว์ซียา...วีนัสแห่งลุ่มน้ำไนล์ ในเรื่องราวของหญิงงามดุจเทพธิดาวีนัส ที่ได้เป็นพระมเหสีพระองค์แรกของพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน แต่พระสิริโฉม และฐานะอันสูงส่งของพระองค์ก็มิได้ทำให้พระองค์ทรงมีความสุขเลย แต่กลับต้องตกอยู่ภายใต้ความโศกเศร้าเสียใจ[7]
พงศาวลีในเจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
[40]
|
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.