Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อาการท้องผูก[8] (อังกฤษ: constipation) หมายถึงการถ่ายอุจจาระไม่บ่อยหรือยาก[2] อุจจาระบ่อยครั้งจะแข็งและแห้ง[4] อาการอื่น ๆ ที่อาจมีรวมปวดท้อง ท้องขึ้น (bloating) และรู้สึกเหมือนกับว่ายังถ่ายไม่หมด[3] ภาวะแทรกซ้อนรวมทั้งโรคริดสีดวงทวาร แผลทวารหนัก (anal fissure) และอุจจาระอัดแน่น (fecal impaction)[4] ความถี่การถ่ายอุจจาระปกติของผู้ใหญ่อยู่ระหว่าง 3 ครั้งต่อวัน จนถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์[4] ส่วนทารกบ่อยครั้งจะถ่าย 3-4 ครั้งต่อวัน และเด็กเล็ก ๆ ปกติจะถ่าย 2-3 ครั้งต่อวัน[9]
อาการท้องผูก (Constipation) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Costiveness[1], dyschezia[2] |
ภาพเอ็กซเรย์แสดงอาการท้องผูกในเด็ก วงกลมแสดงอุจจาระ (อุจจาระสีขาวล้อมรอบด้วยแก๊สลำไส้สีดำ) | |
สาขาวิชา | วิทยาทางเดินอาหาร |
อาการ | ถ่ายไม่บ่อยหรือยาก ปวดท้อง ท้องขึ้น[3][2] |
ภาวะแทรกซ้อน | ริดสีดวงทวารหนัก แผลทวารหนัก อุจจาระอัดแน่น[4] |
สาเหตุ | อุจจาระเคลื่อนไปได้ช้าในลำไส้ใหญ่, กลุ่มอาการลำไส้ไวเกินต่อการกระตุ้น (IBS), celiac disease[upper-alpha 1], การแพ้กลูเตน (NCGS)[upper-alpha 2], ความผิดปกติของฐานเชิงกราน (pelvic floor disorders)[4][5][6] |
ปัจจัยเสี่ยง | ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์, โรคเบาหวาน, โรคพาร์คินสัน, โรคเกี่ยวกับกลูเตน, มะเร็งลำไส้ใหญ่, diverticulitis[upper-alpha 3], โรคลำไส้อักเสบ (IBD), ยาบางชนิด[4][5][6] |
การรักษา | ดื่มน้ำให้พอ ทานใยอาหารเพิ่ม ออกกำลังกาย[4] |
ยา | ยาระบายแบบเพิ่มเนื้ออุจจาระ, แบบเพิ่มน้ำ (osmotic agent), แบบทำอุจจาระให้นิ่ม, หรือแบบหล่อลื่น[4] |
ความชุก | 2-30%[7] |
ท้องผูกมีเหตุหลายอย่าง[4] เหตุสามัญรวมทั้งอุจจาระเคลื่อนไปในลำไส้ใหญ่ช้าเกินไป, กลุ่มอาการลำไส้ไวเกินต่อการกระตุ้น, และความผิดปกติของฐานเชิงกราน (pelvic floor disorders)[4] โรคที่เป็นมูลฐานของอาการรวมทั้งภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์, โรคเบาหวาน, โรคพาร์คินสัน, celiac disease[upper-alpha 1], การแพ้กลูเตน (NCGS)[upper-alpha 2], มะเร็งลำไส้ใหญ่, diverticulitis[upper-alpha 3], และโรคลำไส้อักเสบ (IBD)[4][17][5][6] ยาที่ทำให้ท้องผูกรวมทั้งโอปิออยด์ ยาลดกรดบางชนิด แคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ และ anticholinergics[4] ในบรรดาคนไข้ที่ทานยาโอปิออยด์ ประมาณ 90% จะท้องผูก[18] ท้องผูกน่าเป็นห่วงยิ่งขึ้นถ้าน้ำหนักลดหรือโลหิตจาง, มีเลือดในอุจจาระ, ครอบครัวมีประวัติโรคลำไส้อักเสบ (IBD) หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่, หรือเป็นอาการที่เกิดขึ้นใหม่ในผู้สูงอายุ[19]
การรักษาจะขึ้นอยู่กับเหตุและระยะเวลาที่เป็นมาแล้ว[4] พฤติกรรมที่อาจช่วยรวมทั้งการดื่มน้ำให้เพียงพอ ทานใยอาหารเพิ่ม และออกกำลังกาย[4] ถ้านี่ยังไม่ได้ผล ก็แนะนำให้ใช้ยาระบายต่าง ๆ ทั้งแบบเพิ่มเนื้ออุจจาระ, แบบเพิ่มน้ำ (osmotic agent), แบบทำอุจจาระให้นิ่ม, หรือแบบหล่อลื่น[4] ส่วนยาระบายแบบ stimulant ที่กระตุ้นเยื่อเมือกลำไส้หรือข่ายประสาทลำไส้ เปลี่ยนการหลั่งน้ำและอิเล็กโทรไลต์ และเปลี่ยนการบีบตัวของลำไส้ จะเก็บไว้ใช้เป็นอย่างสุดท้ายถ้าอย่างอื่นไม่ได้ผล[4] การรักษาอย่างอื่นรวมทั้ง biofeedback (การวัดการตอบสนองทางสรีรภาพด้วยเครื่องมือโดยมีจุดประสงค์เพื่อจะควบคุมการตอบสนองเช่นนั้น ๆ) หรือในกรณีที่น้อยมาก การผ่าตัด[4]
ในกลุ่มประชากรทั่วไป อัตราการท้องผูกอยู่ที่ 2-30%[7] ส่วนสำหรับผู้สูงอายุในบ้านคนชรา อัตราจะอยู่ที่ 50-75%[18]
ท้องผูกเป็นอาการแต่ไม่ใช่โรค บ่อยครั้งที่สุดพิจารณาว่า เป็นการถ่ายไม่บ่อยพอ คือถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่ออาทิตย์[20][21] อย่างไรก็ดี คนที่มีอาการอาจมีปัญหาอื่น ๆ รวมทั้ง[3][22]
เกณฑ์วิธีคือ Rome Criteria เป็นอาการต่าง ๆ ที่ช่วยวินิจฉัยอาการท้องผูกในคนกลุ่มอายุต่าง ๆ ให้เป็นมาตรฐาน และช่วยให้แพทย์วินิจฉัยอาการได้ตามมาตรฐาน
เหตุของอาการท้องผูกอาจแบ่งออก (1) เป็นแต่กำเนิด (2) ปฐมภูมิ (3) ทุติยภูมิ[2] แบบที่สามัญที่สุดก็คือปฐมภูมิ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต[23] เหตุยังสามารถแบ่งตามอายุเช่นในเด็ก และผู้ใหญ่
ท้องผูกปฐมภูมิหรือท้องผูกโดยหน้าที่ (functional constipation) เป็นอาการที่นานกว่า 6 เดือนโดยไม่มีเหตุต่าง ๆ รวมทั้งผลข้างเคียงของยา หรือผลของโรคอื่น ๆ[2][24] ไม่มีการปวดท้อง และดังนั้นจึงต่างกับกลุ่มอาการลำไส้ไวเกินต่อการกระตุ้น[2] เป็นอาการท้องผูกแบบสามัญที่สุด และบ่อยครั้งเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง[23][25]
ในผู้ใหญ่ เหตุหลัก ๆ ก็คือ การทานอาหาร เช่น ไม่ได้ใยอาหารและน้ำพอ หรือเกิดจากพฤติกรรม เช่น อยู่เฉย ๆ มากเกินไป ในผู้สูงอายุ เหตุสามัญที่อ้างรวมทั้งการทานใยอาหารไม่เพียงพอ ทานน้ำไม่เพียงพอ อยู่เฉย ๆ มากเกินไป ผลข้างเคียงของยา ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ขวางทางอุจจาระ[26] อย่างไรก็ดี หลักฐานว่าเป็นปัจจัยเหล่านี้จริง ๆ ก็อ่อนมาก[26]
เหตุทุติยภูมิรวมทั้งผลข้างเคียงของยาเช่น สารฝิ่น, โรคต่อมไร้ท่อและโรคทางเมแทบอลิซึม เช่น ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ และสิ่งที่ขวางทางอุจจาระ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่[25] celiac disease[upper-alpha 1] และการแพ้กลูเตน (NCGS)[upper-alpha 2] ก็อาจมีอาการท้องผูกด้วย[5][27][6]
กระเพาะปัสสาวะเลื่อนเข้าไปในช่องคลอด (cystocele)[upper-alpha 4] อาจเกิดโดยเป็นผลของท้องผูกเรื้อรัง[28]
ท้องผูกอาจมีเหตุจากหรือแย่ลงเพราะอาหารที่มีใยอาหารน้อย การทานน้ำน้อย หรือการควบคุมอาหาร[22][29] อาหารที่มีใยอาหารสูงจะช่วยลดเวลาการดำเนินผ่านลำไส้ใหญ่ และเพิ่มเนื้ออุจจาระโดยทำให้มันนิ่มไปด้วยพร้อม ๆ กัน ดังนั้น อาหารที่มีใยอาหารต่ำอาจนำไปสู่อาการท้องผูกปฐมภูมิ[25]
ยาหลายอย่างมีผลข้างเคียงเป็นอาการท้องผูก รวมทั้ง (แต่ไม่จำกัดแค่) โอปิออยด์, ยาขับปัสสาวะ, ยาแก้ซึมเศร้า, สารต้านฮิสตามีน, ยาแก้เกร็ง, ยากันชัก, ยาแก้ซึมเศร้าแบบ tricyclic, ยาปรับการเต้นหัวใจ (antiarrythmic), beta-adrenoceptor antagonists, ยาแก้ท้องร่วง, 5-HT3 receptor antagonist เช่น ondansetron, และยาลดกรดที่เป็นอะลูมิเนียม[22][30] แคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์บางชนิด เช่น nifedipine และ verapamil สามารถทำให้ท้องผูกมากเนื่องจากการเคลื่อนไหวเอง (motility) ที่ผิดปกติของลำไส้ใหญ่ที่ไส้ตรงและไส้คด (rectosigmoid colon)[31] อาหารเสริมเช่นแคลเซียมและธาตุเหล็กก็มีผลข้างเคียงเด่นอย่างหนึ่งเป็นอาการท้องผูก
ปัญหาทางเมแทบอลิซึมและต่อมไร้ท่อที่อาจทำให้ท้องผูกรวมทั้งภาวะแคลเซียมสูงเกินในเลือด, ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์, ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงเกินในเลือด (hyperparathyroidism), porphyria[upper-alpha 5], โรคไตเรื้อรัง, pan-hypopituitarism, โรคเบาหวาน, และซิสติก ไฟโบรซิส[22][23] อาการท้องผูกยังสามัญในบุคคลที่มีโรคกล้ามเนื้อเจริญผิดเพี้ยน (muscular dystrophy) และ myotonic dystrophy[upper-alpha 6][22] โรคทั้งกายที่อาจมีอาการท้องผูกรวมทั้ง celiac disease[upper-alpha 1] และโรคหนังแข็ง[5][27][36]
อาการท้องผูกยังเกิดพร้อมกับปัญหาทางกายภาพ (ไม่ว่าจะโดยเชิงกล โดยโครงสร้าง หรือโดยกายวิภาค) เพราะสร้างรอยโรคซึ่งกินเนื้อที่ในลำไส้ใหญ่และขวางทางเดินของอุจจาระ ปัญหาเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่, ลำไส้ตีบ, ไส้ตรงยื่นย้อย, ความเสียหายของหูรูดทวารหนัก, สภาวะวิรูปที่ส่วนต่าง ๆ, หรือการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ หลังจากผ่าตัด ก้อนเนื้อนอกลำไส้ เช่น มะเร็งในที่อื่น ๆ ก็อาจทำให้ท้องผูกเพราะกดลำไส้[37]
อาการท้องผูกยังมีเหตุทางประสาท รวมทั้ง anismus[upper-alpha 7], ฝีเย็บย้อย (descending perineum syndrome)[upper-alpha 8], และ Hirschsprung's disease (HD)[upper-alpha 9][7] ในทารก HD เป็นความผิดปกติที่สามัญที่สุดเมื่อท้องผูก แต่ anismus ก็เกิดในคนหมู่น้อยที่ท้องผูกอย่างเรื้อรัง หรืออุจจาระถูกขวาง[40]
รอยโรคที่ไขสันหลังและความผิดปกติทางประสาท เช่น โรคพาร์คินสัน และการทำหน้าที่ผิดปกติของฐานเชิงกราน (pelvic floor dysfunction)[23] ก็สามารถทำให้ท้องผูกได้เหมือนกัน
การกลั้นอุจจาระไว้ก็เป็นเหตุที่สามัญของท้องผูก[22] เหตุผลที่อั้นไว้ก็อาจจะเป็นเพราะกลัวเจ็บ ไม่อยากใช้ห้องน้ำสาธารณะ หรือขี้เกียจ[22] ถ้าเด็กอั้นอุจจาระไว้ การให้กำลังใจ ให้น้ำดื่ม ให้ใยอาหาร และให้ยาระบาย อาจช่วยแก้ปัญหา[41] การแก้ปัญหาตั้งแต่เนิ่นเป็นเรื่องสำคัญเพราะนี่อาจก่อแผลที่ทวารหนัก (anal fissure)[42]
ความผิดปกติแต่กำเนิดอาจมีผลเป็นอาการท้องผูกในเด็ก โดยรวม ๆ แล้วนี่เป็นเหตุไม่สามัญของอาการ ชนิดที่เป็นเหตุสามัญที่สุดก็คือ Hirschsprung’s disease (HD)[upper-alpha 9][43] ยังมีความผิดปกติทางโครงสร้างอื่น ๆ ที่ทำให้ท้องผูก รวมทั้งการย้ายที่ของทวารหนักมาทางด้านหน้า ทวารหนักไม่มีช่อง ลำไส้ตีบ และ small left colon syndrome[44]
การวินิจฉัยมักจะทำอาศัยคำบอกอาการของคนไข้ อุจจาระที่ถ่ายยาก แข็งมาก หรือเป็นเม็ดแข็ง ๆ เล็ก ๆ (คล้ายกับขี้กระต่าย) จัดว่าเป็นท้องผูก แม้จะถ่ายเช่นนี้ทุกวัน แต่อาการท้องผูกโดยปกติก็จะนิยามว่า เป็นการถ่ายอุจจาระ 3 ครั้งหรือน้อยกว่าต่ออาทิตย์[20] อาการอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับท้องผูกรวมทั้งท้องขึ้น ท้องพอง ปวดท้อง ปวดศีรษะ ล้า หมดแรง หรือรู้สึกว่าถ่ายไม่หมด[45] แม้แพทย์อาจจะวินิจฉัยว่าท้องผูก แต่ปกติก็จัดเป็นอาการที่จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุ
แพทย์จะแยกแยะอาการแบบฉับพลัน (เป็นแล้วหลายวันถึงหลายอาทิตย์) หรือแบบเรื้อรัง (เป็นเดือน ๆ จนถึงปี ๆ) เพราะข้อมูลนี้จะเปลี่ยนการวินิจฉัยแยกโรค อาการอื่น ๆ ที่เป็นร่วมกันก็จะช่วยให้แพทย์กำหนดเหตุของอาการได้ คนไข้มักกล่าวถึงอาการท้องผูกว่า ถ่ายยาก อุจจาระแข็งเป็นก้อน ๆ หรือแข็งไปทั่ว และต้องเบ่งมากเมื่อถ่าย อาการท้องขึ้น (bloating) ท้องพอง (abdominal distension) และปวดท้องมักจะมีพร้อมกับท้องผูก[46] ท้องผูกเรื้อรัง (มีอาการอย่างน้อย 3 ครั้งต่อเดือนมากกว่า 3 เดือน) ที่สัมพันธ์กับความไม่สบายท้องมักจะวินิจฉัยเป็นกลุ่มอาการลำไส้ไวเกินต่อการกระตุ้น (IBS) เมื่อไม่พบสาเหตุอื่น ๆ[47]
การทานอาหารที่ไม่ถูกสุขภาพ การผ่าตัดในอดีต หรือยาบางชนิดอาจมีบทบาทต่ออาการ โรคที่สัมพันธ์กับท้องผูกรวมทั้งภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ มะเร็งบางอย่าง และ IBS การทานอาหารที่มีใยอาหารน้อย ดื่มน้ำไม่พอ การอยู่เฉย ๆ เกินไป หรือยา ก็ล้วนแต่อาจมีบทบาทต่อท้องผูก[22][29] เมื่อแพทย์กำหนดว่าเป็นท้องผูกตามอาการดังที่กล่าวแล้ว ก็อาจพยายามหาเหตุต่อไป
การแยกเหตุที่เบากับเหตุที่หนักอาจทำได้ส่วนหนึ่งตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น แพทย์อาจสงสัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ถ้าคนไข้มีประวัติมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว เป็นไข้ น้ำหนักลด และเลือดออกทางทวารหนัก[20] อาการน่าเป็นห่วงอื่น ๆ รวมทั้งประวัติ IBS ส่วนตัวหรือของครอบครัว การเริ่มมีอาการหลังอายุ 50 ปี การเปลี่ยนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของอุจจาระ คลื่นไส้ อาเจียน และอาการทางประสาท เช่น อ่อนแรง ชา และมีปัญหาถ่ายปัสสาวะ[46]
การตรวจร่างกายอย่างน้อยควรจะมีการตรวจท้องและตรวจไส้ตรง เพราะการตรวจท้องอาจพบก้อนในท้องถ้ามีอุจจาระมากและอาจพบจุดที่ท้องไม่สบาย การตรวจไส้ตรงจะทำให้รู้ถึงความตึงแน่นของหูรูดทวารหนัก และเพื่อดูว่า ไส้ตรงส่วนล่างมีอุจจาระหรือไม่ อีกทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสม่ำเสมอของอุจจาระ ว่ามีริดสีดวง มีเลือด และมีความผิดปกติต่าง ๆ ที่ฝีเย็บร่วมทั้งติ่งเนื้อ แผล หรือหูด หรือไม่[29][22][20] ข้อมูลที่ได้อาจช่วยแนะว่าควรจะตรวจวินิจฉัยเพิ่มขึ้นหรือไม่
ท้องผูกโดยหน้าที่ (functional constipation) คือไม่มีเหตุทางกาย เป็นเรื่องสามัญ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจเพิ่ม (diagnostic testing) การถ่ายภาพหรือการทดสอบทางแล็บอื่น ๆ ปกติจะแนะนำสำหรับคนไข้ที่มีอาการน่าเป็นห่วง[20] การทดสอบในแล็บที่ใช้จะขึ้นอยู่กับเหตุของอาการท้องผูกที่สงสัย ซึ่งอาจรวมการตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ (CBC) การตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ การตรวจเลือดรวมทั้งระดับแคลเซียม โพแทสเซียมเป็นต้น[22][20] การถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์ที่ท้อง (AXR) โดยทั่วไปจะทำเมื่อสงสัยการอุดตันในลำไส้ หรืออุจจาระอัดแน่นในลำไส้ใหญ่ และอาจยืนยันหรือกันเหตุอื่น ๆ ที่มีอาการคล้าย ๆ กัน[29][22] การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) อาจทำถ้าสงสัยความผิดปกติในลำไส้ใหญ่เช่นเนื้องอก[20] การตรวจที่แพทย์ไม่ค่อยสั่งรวมทั้งการบีบตัวของไส้ตรงและทวารหนัก (anorectal manometry), การบันทึกคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก (sphincter electromyography), และ defecography (การดูภาพรังสีบนจอเมื่อถ่ายอุจจาระ)[22]
ลำดับคลื่นความดันแผ่กระจาย (propagating pressure wave sequence, PS) ของลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นตัวการค่อย ๆ ขยับสิ่งที่อยู่ลำไส้ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการถ่ายอุจจาระปกติ ความบกพร่องในความถี่ ความแรง และส่วนลำไส้ที่เกิด PS ล้วนแต่เป็นหตุให้เกิดการถ่ายผิดปกติอย่างรุนแรง (severe defecatory dysfunction, SDD) วิธีการที่ช่วยบรรเทารูปแบบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติเยี่ยงนี้อาจช่วยแก้ปัญหา งานปี 2007 ได้ลองใช้การบำบัดใหม่ที่เรียกว่า การกระตุ้นประสาทใต้กระเบนเหน็บ (sacral nerve stimulation, SNS) เพื่อรักษาท้องผูกแบบรุนแรง[48]
เกณฑ์ Rome III เพื่อวินิจฉัยท้องผูกโดยหน้าที่ต้องรวมอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 2 อย่างและต้องมีใน 3 เดือนที่ผ่านมา อีกทั้งอาการได้เริ่มขึ้นอย่างน้อย 6 เดือนก่อนจะวินิจฉัย[20]
ท้องผูกป้องกันได้ง่ายกว่ารักษา เมื่อท้องผูกบรรเทาแล้ว การดูแลไม่ให้เกิดโรคอีกก็คือให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานน้ำให้เพียงพอ และทานอาหารมีใยอาหารสูง[22]
มีเหตุจำกัดจำนวนหนึ่งที่จำเป็นต้องรีบรักษา ไม่เช่นนั้นจะมีผลรุนแรง[3] ท้องผูกควรรักษาที่เหตุถ้ารู้ องค์การอนามัยสหราชอาณาจักรคือ NICE ได้แยกท้องผูกในผู้ใหญ่ออกเป็นสองหมวด คือ แบบเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ และที่เกิดจากยาฝิ่น[49]
สำหรับท้องผูกเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ การรักษาหลักก็โดยดื่มน้ำเพิ่มและทานใยอาหารเพิ่ม ไม่ว่าจะโดยเปลี่ยนอาหารหรือทานอาหารเสริม[23] การใช้ยาระบายเป็นปกติไม่แนะนำ เพราะอาจจะกลายเป็นต้องใช้ยาเพื่อจะถ่าย การสวนทวารสามารถใช้กระตุ้นการถ่าย การสวนทวารแบบใช้น้ำมาก[50] อาจใช้เพื่อล้างอุจจาระจากลำไส้ใหญ่ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้[51][52] อย่างไรก็ดี การสวนทวารหนักแบบใช้น้ำน้อยปกติจะช่วยระบายอุจจาระในไส้ตรงเท่านั้น ไม่ได้กำจัดอุจจาระที่อยู่ในลำไส้[53]
อาหารเสริมที่มีใยอาหารแบบละลายได้เช่น ซิลเลียม (psyllium) โดยทั่วไปจัดเป็นการรักษาอันดับแรกสำหรับท้องผูกเรื้อรัง เทียบกับใยอาหารที่ละลายไม่ได้เช่น รำข้าว ผลข้างเคียงของใยอาหารเสริมรวมทั้งท้องขึ้น (bloating) ท้องอืด ท้องร่วง และการดูดซึมธาตุเหล็ก แคลเซียม และยาบางอย่างได้ผิดปกติ อย่างไรก็ดี คนไข้ที่ท้องผูกเนื่องจากยาฝิ่นปกติจะไม่ได้ประโยชน์จากใยอาหารเสริม[42]
เมื่อใช้ยาระบาย แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ หรือโพลีเอทิลีนไกลคอล (polyethylene glycol) แนะนำเป็นอันดับแรกเพราะราคาถูกและปลอดภัย[3] ยาแบบกระตุ้น (stimulant) ควรใช้ต่อเมื่อนี่ไม่ได้ผล[23] ในท้องผูกเรื้อรัง โพลีเอทิลีนไกลคอลดูเหมือนจะได้ผลดีกว่าแล็กทูโลส[54] ยาเพิ่มการบีบตัวของลำไส้ (prokinetic) อาจช่วยปรับการบีบตัว (motility) ของทางเดินอาหาร
ยังมียาใหม่ ๆ ที่ได้ผลดีสำหรับท้องผูกเรื้อรัง รวมทั้ง prucalopride[55] และ lubiprostone[56] ส่วนยาเพิ่มการบีบตัวของทางเดินอาหารส่วนบน คือ cisapride มีขายอย่างแพร่หลายในประเทศกำลังพัฒนา แต่ได้เลิกขายในประเทศตะวันตกโดยมากแล้ว เพราะไม่มีหลักฐานว่ามีประโยชน์แก่ท้องผูก และอาจสร้างปัญหาหัวใจเสียจังหวะและทำให้ถึงตายได้[57]
ท้องผูกที่ดื้อวิธีรักษาที่กล่าวมาแล้วอาจจะต้องใช้กายช่วย เช่น การเอาอุจจาระที่อัดแน่นออกด้วยมือ การออกกำลังกายสม่ำเสมอก็อาจช่วยทำให้ท้องผูกเรื้อรังดีขึ้นด้วย[58]
ในกรณีที่รักษาไม่หาย หัตถการบางอย่างอาจช่วยบรรเทาอาการ การกระตุ้นประสาทใต้กระเบนเหน็บ (sacral nerve stimulation) พบว่ามีประสิทธิผลในกรณีส่วนน้อยจำนวนหนึ่ง การตัดลำไส้ใหญ่ (colectomy) เปิดช่องระหว่างลำไส้เล็กส่วนปลายกับไส้ตรง (ileorectal anastomosis) จะทำกับแต่คนไข้ที่รู้ว่าอุจจาระผ่านลำไส้ใหญ่ไปได้ช้า และได้รักษาความผิดปกติในการถ่ายอุจจาระไปแล้ว หรือว่าไม่มีโรคเช่นนั้น[3] แต่เพราะนี่เป็นการผ่าตัดใหญ่ ผลข้างเคียงอาจรวมการปวดท้องมาก การอุดตันในลำไส้เล็ก และการติดเชื้อหลังผ่าตัด นอกจากนั้น ยังมีอัตราความสำเร็จที่ต่าง ๆ กัน โดยขึ้นอยู่กับกรณีคนไข้เป็นอย่างยิ่ง[42]
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากท้องผูกรวมทั้งโรคริดสีดวงทวาร แผลทวารหนัก (anal fissure) ไส้ตรงปลิ้น และอุจจาระอัดแน่น[22][29][59][60] การเบ่งถ่ายอุจจาระอาจทำให้เป็นริดสีดวงทวารหนัก ในระยะหลัง ๆ ของอาการท้องผูก ท้องเองอาจจะป่อง แข็ง และกดเจ็บโดยกระจายไปทั่ว กรณีที่รุนแรง (เช่น เมื่ออุจจาระอัดแน่น หรือเป็น "ท้องผูกแบบร้าย") อาจมีอาการของการอุดตันในลำไส้ (เวียนศีรษะ อาเจียน ท้องกดเจ็บ) และอาการอุจจาระรด (encopresis) ที่อุจจาระนิ่มจะไหลอ้อมอุจจาระแข็งในลำไส้ใหญ่แล้วไหลออกจากทวารหนักแบบกลั้นไม่ได้
อาการท้องผูกเป็นความผิดปกติทางเดินอาหารเรื้อรังซึ่งสามัญที่สุดในผู้ใหญ่ คือเกิดกับประชากร 2-20% โดยขึ้นอยู่กับนิยามที่ใช้[23][61] มันสามัญกว่าในหญิง ผู้สูงอายุ และเด็ก[61] โดยเฉพาะท้องผูกที่ไม่มีสาเหตุ ซึ่งเกิดในหญิงมากกว่าชาย[62] เหตุผลที่เกิดในผู้สูงอายุมากกว่าเชื่อว่า เพราะมีปัญหาสุขภาพต่าง ๆ มากขึ้นเหตุสูงอายุและออกกำลังน้อยลง[24]
ตั้งแต่สมัยโบราณ สังคมต่าง ๆ ได้บันทึกความเห็นของแพทย์ว่าควรจะรักษาอาการท้องผูกในคนไข้อย่างไร[64] หมอในเวลาต่าง ๆ และในที่ต่าง ๆ ได้อ้างว่า ท้องผูกมีเหตุทางการแพทย์หรือเหตุทางสังคมต่าง ๆ นา ๆ[64] และได้รักษาด้วยวิธีที่สมเหตุผลหรือไม่สมเหตุสมผล (เช่น ด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Spatula Mundani[upper-alpha 10])[64]
ต่อมาหลังจากเกิดทฤษฎีการเกิดโรคเหตุเชื้อโรค แนวคิดของการทำพิษให้ตนเอง (auto-intoxication) ก็กลายเป็นเรื่องนิยมในความคิดชนตะวันตก[64] การสวนทวารจึงกลายเป็นวิธีการรักษา "ทางวิทยาศาสตร์" และการล้างลำไส้ใหญ่ซึ่งเคยเป็นวิธีการแพทย์ทางเลือกก็กลายเป็นเรื่องสามัญในการแพทย์หลัก[64] ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1700 ยังมีแนวคิดยอดนิยมในชาวตะวันตกว่า คนที่ท้องผูกมีปัญหาทางศีลธรรมในเรื่องการกินไม่เลือกและเกียจคร้าน[65]
เด็กประมาณ 3% ท้องผูก โดยทั้งหญิงทั้งชายเท่ากัน[44] ท้องผูกเป็นเหตุให้ไปหากุมารแพทย์ทั่วไปประมาณ 5% และกุมารแพทย์ทางเดินอาหาร 25% ดังนั้น อาการนี้จึงเป็นภาระแก่ระบบสาธารณสุขออย่างสำคัญ[9]
แม้จะกำหนดช่วงอายุที่เกิดท้องผูกมากที่สุดได้ยาก แต่เด็กบ่อยครั้งจะท้องผูกเมื่อชีวิตเปลี่ยนไป ตัวอย่างรวมทั้งการฝึกใช้ส้วม การเริ่มหรือการย้ายโรงเรียน และการเปลี่ยนอาหาร[9] โดยเฉพาะในทารก การเปลี่ยนสูตรนมหรือการเปลี่ยนจากให้นมแม่ไปเป็นนมกระป๋องอาจเป็นเหตุให้ท้องผูก ยังดีว่า กรณีท้องผูกโดยมากไม่ใช่โรคจริง ๆ และการรักษาก็คือแค่บรรเทาอาการเท่านั้น[44]
6 อาทิตย์หลังการตั้งครรภ์จัดเป็นระยะหลังคลอด (postpartum stage)[66] ในช่วงเวลานี้ หญิงจะเสี่ยงท้องผูกมากขึ้น งานศึกษาหลายงานได้ประเมินความชุกของท้องผูกที่ราว ๆ 25% ใน 3 เดือนแรก[67] ท้องผูกอาจทำให้หญิงไม่สบายเพิ่ม เพราะกำลังฟื้นสภาพจากการคลอดลูกโดยเฉพาะถ้าฝีเย็บฉีกหรือถ้าต้องผ่าขยายปากช่องคลอดเมื่อคลอดลูก[68]
ปัจจัยเสี่ยงต่อการท้องผูกในกลุ่มนี้รวมทั้ง[68]
โรคริดสีดวงทวารเป็นเรื่องสามัญเมื่อมีครรภ์ และอาจแย่ลงเมื่อท้องผูก ดังนั้น อะไรที่ทำให้เจ็บเมื่อถ่ายอุจจาระ (รวมทั้งริดสีดวง ฝีเย็บฉีก และแผลที่ผ่าขยายช่องคลอด) อาจทำให้ท้องผูกเพราะคนไข้อาจกลั้นอุจจาระเพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บ[68] กล้ามเนื้อฐานเชิงกรานมีบทบาทสำคัญในการถ่ายอุจจาระ ดังนั้น เมื่อกล้ามเนื้อบาดเจ็บเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงดังที่ว่าบางอย่าง (เช่น เด็กตัวโต การคลอดระยะสองยาวนาน การใช้คีมช่วยคลอด) จะมีผลให้ท้องผูก[68] หญิงบางครั้งยังได้รับสวนทวารในช่วงการคลอด ที่อาจเปลี่ยนกระบวนการขับถ่ายของลำไส้หลังจากคลอดบุตรแล้ว[66] อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่มีหลักฐานพอสรุปประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาระบายสำหรับคนไข้กลุ่มนี้[68]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.