สงครามสามสิบปี
From Wikipedia, the free encyclopedia
สงครามสามสิบปี (อังกฤษ: Thirty Years' War) (ค.ศ. 1618 - ค.ศ. 1648) เป็นการสู้รบโดยส่วนใหญ่ในเยอรมนีและยุโรปกลางยุคปัจจุบัน ถือว่าเป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่มีการทำลายล้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป มีการคิดประมาณโดยรวมของการเสียชีวิตของทหารและพลเรือน จำนวนระหว่าง 4.5 ถึง 8 ล้านคน ในขณะที่ได้มีการเสนอว่า มีจำนวนประชากรที่เสียชีวิตลงถึง 60% ในบางพื้นที่ของเยอรมนี ความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องประกอบไปด้วยสงครามแปดสิบปี สงครามการสืบราชบังลังก์แมนเทียน (War of the Mantuan Succession) สงครามฝรั่งเศส-สเปน และสงครามฟื้นฟูโปรตุเกส
สงครามสามสิบปี | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
แผนที่ยุโรปในปี ค.ศ. 1648 หลังจากสัญญาสงบศึกเวสต์เฟเลีย แสดงรัฐเยอรมันเล็ก ๆ ภายในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสีเทา | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
รัฐโปรเตสแตนท์และพันธมิตร
สวีเดน (ตั้งแต่ 1630) สนับสนุนโดย |
รัฐโรมันคาทอลิกและพันธมิตร จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
จักรวรรดิสเปน สนับสนุนโดย | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
เอิร์ลแห่งเลเวน |
Johann Tserclaes, Count of Tilly † | ||||||
กำลัง | |||||||
~495,000, ทหาร 150,000 สวีเดน, 20,000 เดนมาร์ก, 75,000 ดัตช์, ~100,000 เยอรมัน, 150,000 ฝรั่งเศส, 6,000 ทรานซิลเวเนียและ 20-30,000 ฮังการี[7] |
~450,000, 300,000 สเปน, ~100-200,000 เยอรมัน, ราว 20,000 ฮังการีและทหารม้าโครเอเชีย[8] |
จนถึงศตวรรษที่ 20 สงครามได้ถูกมองว่าเป็นความต่อเนื่องของความขัดแย้งทางศาสนาของเยอรมันที่ถูกจุดฉนวนโดยการปฏิรูปทางศาสนา ในปี ค.ศ. 1938 นักประวัติศาสตร์ที่ชื่อ C. V. Wedgwood ได้โต้แย้งว่า ตัวขับเคลื่อนหลักคือการแข่งขันที่มีมายาวนานจากการครอบงำยุโรป ระหว่างราชวงศ์ฮาพส์บวร์คในออสเตรียและสเปน และราชวงศ์บูร์บงแห่งฝรั่งเศส มุมมองของเธอได้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในปัจจุบัน ด้วยข้อจำกัดบางอย่าง[9]
การสู้รบสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ช่วงแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1618 ถึง ค.ศ. 1635 ส่วนใหญ่เป็นการสู้รบระหว่างจักรพรรดิแฟร์ดีนันท์ที่ 2 และเยอรมันที่เป็นศัตรูของพระองค์ โดยมีอำนาจจากภายนอกที่มีบทบาทในการสนับสนุน ช่วงหลังปี ค.ศ. 1635 การสู้รบในเยอรมนีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสู้รบในยุโรปที่กว้างขว้างออกไป โดยมีสวีเดนและฝรั่งเศสอยู่ฝ่ายหนึ่ง ส่วนจักรพรรดิและพันธมิตรของพระองค์ก็อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง ความขัดแย้งได้สิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพเว็สท์ฟาเลิน ปี ค.ศ. 1648[10]
เมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1555 สนธิสัญญาสันติภาพเอาคส์บวร์คได้แบ่งแยกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ออกมาเป็นรัฐที่นับถือนิกายลูเทอแรนและรัฐที่นับถือนิกายคาทอลิก การย้ายถิ่นฐานครั้งนี้ได้ค่อย ๆ ถูกทำลายโดยการขยายตัวของพวกนับถือนิกายโปรเตสแตนต์ที่เกินขอบเขตตามที่ตกลงกันไว้ และการเติบโตของลัทธิคาลวิน คำสอนนิกายโปรเตสแตนต์ที่ไม่เป็นที่ยอมรับโดยเอาคส์บวร์ค ผลลัพธ์ที่ตามมาคือข้อพิพาทต่าง ๆ สำหรับการควบคุมทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1618 เมื่อขุนนางโบฮีเมียที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์เป็นส่วนใหญ่ได้ทำการปลดแฟร์ดีนันท์ที่ 2 ที่นับถือนิกายคาทอลิก ในฐานะกษัตริย์แห่งโบฮีเมีย พวกเขาได้เสนอมอบมงกุฎให้กับฟรีดริชที่ 5 ผู้คัดเลือกแห่งพาลาทิเนตที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ และการยอมรับของพระองค์ได้นำไปสู่การลุกฮือในโบฮีเมีย ปี ค.ศ. 1618
ในปี ค.ศ. 1620 แฟร์ดีนันท์ได้เข้ายึดครองโบฮีเมียกลับคืนมา แต่เมื่อฟรีดริชได้ปฏิเสธที่จะสละมงกุฎ การสู้รบก็ได้ขยายไปสู่ดินแดนบรรพบุรุษของพระองค์ที่พาลาทิเนต ซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อสงครามแปดสิบปีในสาธารณรัฐดัตช์และสเปน ในปี ค.ศ. 1623 กองทัพจักรวรรดิสเปนได้เอาชนะต่อฟรีดริช ซึ่งทรัพย์สินของพระองค์ถูกปล้นและถูกขับไล่เนรเทศ การปลดเจ้าชายที่มีสายเลือดบรรพบุรุษของแฟร์ดีนันท์และความมุ่งมั่นที่จะอ้างสิทธ์อำนาจของจักรวรรดิขึ้นมาอีกครั้ง ที่จะคุกคามต่อการปกครองตนเองของรัฐอื่น ๆ และผู้ปกครองภายในจักรวรรดิ พวกเขารวมถึงคริสเตียนที่ 4 แห่งเดนมาร์ก ซึ่งเป็นดยุกแห่งโฮลสไตน์ และในปี ค.ศ. 1625 พระองค์ได้เข้าแทรกแซงในเยอรมนีตอนเหนือจนถูกบังคับให้ถอนตัวในปี ค.ศ. 1629
ในตอนนี้ แฟร์ดีนันท์ได้ออกคำสั่งของการชดใช้(Edict of Restitution) ซึ่งได้กำหนดให้ส่งคืนทรัพย์สินทั้งหมดที่นำออกมาจากศาสนจักรคาทอลิก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1555 การนำไปปฏิบัติจะเป็นการบ่อนทำลายต่อผู้ปกครองที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ทั่วเยอรมนีทางตอนเหนือและตอนกลาง รวมถึงกุสตาวัส อโดฟัส แห่งสวีเดน ที่คอยรุกรานจักรวรรดิในปี ค.ศ. 1630 โดยได้รับการหนุนหลังจากฝรั่งเศส ในช่วงสี่ปีต่อมา สวีเดนและเยอรมันที่เป็นพันธมิตรของพวกเขาได้มีชัยชนะเหนือกองทัพจักรวรรดิหลายครั้ง แม้ว่ากุสตาวัสจะเสียชีวิตลงที่ Lützen ในปี ค.ศ.1632 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับที่เนิร์ดลิงเงินในปี ค.ศ. 1634 เยอรมัน พันธมิตรของสวีเดนได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพปราก ปี ค.ศ. 1635 กับแฟร์ดีนันท์ พระองค์ได้ถอดถอนคำสั่งและให้การรับรองว่าผู้ปกครองเยอรมันจะมีอำนาจปกครองตนเองทางการเมืองและศาสนา ในทางกลับกัน พวกเขาจะต้องละทิ้งการเป็นพันธมิตรกับมหาอำนาจภายนอก เช่น สวีเดน และตกลงที่จะรวบรวมกองกำลังของพวกเขาให้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพจักรวรรดิ
สวีเดนได้เริ่มทำการเจรจาสันติภาพกับจักรพรรดิ จนกระทั่งความเกรงกลัวว่าอำนาจของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ฝรั่งเศสเข้าแทรกแซงโดยตรงในความขัดแย้ง ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1635 พวกเขาได้ตกลงเป็นพันธมิตรเชิงป้องกันกับสวีเดนในการต่อต้านแฟร์ดีนันท์ จากนั้นจึงประกาศสงครามกับสเปนในเดือนพฤษภาคม แม้ว่าสงครามฝรั่งเศส-สเปนจะยังดำเนินต่อไปจนถึงปี ค.ศ. 1659 การสู้รบในเยอรมนีสิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพ ปี ค.ศ. 1648 ซึ่งบทบัญญัติหลัก ได้แก่ การให้สัตยาบันของเงื่อนไขปรากโดยแฟร์ดีนันท์และให้การยอมรับความเป็นเอกราชของดัตช์โดยสเปน ด้วยการทำให้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คอ่อนแอลง เมื่อเทียบกับฝรั่งเศสและพันธมิตร ความขัดแย้งได้เปลี่ยนดุลอำนาจของยุโรปและเป็นเวทีสำหรับสงครามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14