การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
สงครามระหว่างอาณาจักรอยุธยาและราชวงศ์โก้นบอง (พ.ศ. 2307 - พ.ศ. 2310) / From Wikipedia, the free encyclopedia
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองหรือ สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เป็นความขัดแย้งทางทหารครั้งที่สองระหว่างราชวงศ์โก้นบองแห่งพม่า กับราชวงศ์บ้านพลูหลวงแห่งอยุธยาในการทัพครั้งนี้ กรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นราชธานีคนไทยเกือบสี่ศตวรรษได้เสียแก่พม่าและถึงกาลสิ้นสุดลงไปด้วย เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310[I]
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามพม่า–สยาม | |||||||||
แผนที่คร่าว ๆ แสดงเส้นทางการเคลื่อนทัพของพม่าจนถึงกรุงศรีอยุธยา:
| |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
อาณาจักรโก้นบอง (พม่า) |
ร่วมรบ: บริษัทอินเดียตะวันออก[3] | ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
พระเจ้ามังระ กองทัพฝ่ายใต้: มังมหานรธา เนเมียวคุงนะรัต แมงยีกามะนีจันทา แมงยีชัยสู เมฆราโบ เตนจ้ามี่นคอง กองทัพฝ่ายเหนือ: เนเมียวสีหบดี ฉับกุงโบ แนกวนจอโบ โป่มะยุง่วน สิริราชสงคราม นันทอุเทนจอดิน |
พระเจ้าเอกทัศ วิลเลียม พอว์นีย์ (William Powney) | ||||||||
หน่วยที่เกี่ยวข้อง | |||||||||
กองทัพแห่งอาณาจักรพม่า ประกอบด้วย: | กองทัพแห่งอาณาจักรสยาม | ||||||||
กำลัง | |||||||||
การรุกรานครั้งแรก:[IV]
|
การป้องกันเริ่มต้น:[III]
| ||||||||
ความสูญเสีย | |||||||||
ทหารเสียชีวิตประมาณ 3,000-4,000 นาย[V] | ทหารและพลเรือนเสียชีวิตประมาณ 200,000 คน[V] |
พม่าราชวงศ์โก้นบองเรืองอำนาจขึ้น ภายใต้การนำของพระเจ้าอลองพญาปฐมกษัตริย์ราชวงศ์คองบอง ในปลายปีพ.ศ. 2302 พระเจ้าอลองพญายกทัพพม่าจำนวน 40,000 คน เข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยา โดยมีเจ้าชายมังระราชบุตรของพระเจ้าอลองพญาเป็นทัพหน้า นำไปสู่สงครามพระเจ้าอลองพญา ทัพพม่าเข้าโจมตีอยุธยาในช่วงต้นปีพ.ศ. 2303 ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาใช้ยุทธศาสตร์ตั้งรับภายในพระนคร อาศัยความแข็งแรงมั่นคงของกำแพงเมืองในการป้องกันพม่า จนในที่สุดเมื่อฤดูฝนมาถึง ทัพพม่าและพระเจ้าอลองพญาจำต้องถอยทัพกลับ ยุทธศาสตร์ตั้งรับของกรุงศรีอยุธยาสามารถต้านทัพพม่าได้เป็นครั้งสุดท้าย พระเจ้าอลองพญาสิ้นพระชนม์ระหว่างทางเสด็จกลับพม่า[8] ในการรุกรานของพระเจ้าอลองพญานี้ ฝ่ายพม่าโดยเฉพาะเจ้าชายมังระ มีโอกาสเรียนรู้สภาพภูมิประเทศและยุทธศาสตร์ของฝ่ายสยาม และได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดข้อปรับปรุงของฝ่ายพม่าเอง เมื่อเจ้าชายมังระขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้ามังระในพ.ศ. 2306 พระเจ้ามังระจึงมีปณิธานในการสานต่อภารกิจการพิชิตกรุงศรีอยุธยาที่พระบิดาคือพระเจ้าอลองพญาได้ริเริ่มไว้
พม่ายึดเมืองเชียงใหม่ได้ในพ.ศ. 2306 ปีต่อมาพ.ศ. 2307 พระเจ้ามังระทรงส่งเนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพ ยกทัพ 20,000 คน[9] ไปปราบกบฏในล้านนา และเพื่อยกลงไปโจมตีกรุงศรีอยุธยาต่อไป ต่อมาในปลายปีเดียวกัน พระเจ้ามังระทรงส่งมังมหานรธายกทัพจำนวน 20,000 คน[9] เข้าโจมตีสยามจากทางเมืองทวายอีกทาง เป็นการโจมตีกระหนาบกรุงศรีอยุธยาสองด้าน ทั้งจากทางล้านนาทางเหนือ และจากทางทวายทางทิศตะวันตก ด้วยภาวะว่างเว้นจากการรุกรานจากภายนอกเป็นเวลานาน ทำให้ระบบการป้องกันอาณาจักรของอยุธยาเสื่อมถอยลง เนเมียวสีหบดีพิชิตเมืองหลวงพระบางได้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2308 ทำให้อาณาจักรหลวงพระบาง และอาณาจักรเวียงจันทน์ ตกเป็นเมืองขึ้นประเทศราชของพม่า การที่พม่าสามารถยึดครองล้านนาและล้านช้างได้ ทำให้พม่าสามารถโอบล้อมเขตแดนทางทิศเหนือของสยามได้ และเข้าถึงทรัพยากรกำลังพลได้จำนวนมาก
ในช่วงต้นปีพ.ศ. 2308 มังมหานรธาที่ทวายส่งทัพหน้าเข้าโจมตีพิชิตหัวเมืองภาคตะวันตกของสยาม ได้แก่ เพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี และชุมพร ส่วนเนเมียวสีหบดียกทัพผสมพม่าและล้านนาลงมาจากทางเหนือ ในช่วงกลางปีเดือนสิงหาคม[10] เข้าโจมตีหัวเมืองเหนือได้แก่ สุโขทัย สววรคโลก ลงไปจนถึงนครสวรรค์และอ่างทอง กรุงศรีอยุธยาเรียกกองกำลังจากหัวเมืองต่างๆ เข้ามาป้องกันพระนคร ทำให้หัวเมืองรอบนอกไม่สามารถป้องกันตนเองและเสียให้แก่พม่า ในช่วงปลายปีเดือนตุลาคม มังมหานรธายกทัพจากทวายเข้ามาโจมตีลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เมืองธนบุรีและนนทบุรี ราชสำนักอยุธยาร้องขอให้นายวิลเลียม โพว์นีย์ (William Powney) หรือฝรั่ง"อะลังกะปูนี"[11] นำกองเรืออังกฤษเข้าช่วยรบกับพม่า ในการรบที่นนทบุรี ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2308 แต่พ่ายแพ่ให้แก่พม่า
ทัพฝ่ายเหนือของเนเมียวสีหบดี และทัพฝ่ายตะวันตกของมังมหานรธา เข้ามาถึงที่ชานกรุงศรีอยุธยาพร้อมกันในต้นปี พ.ศ. 2309 เดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ โดยเนเมียวสีหบดีตั้งทัพที่ปากน้ำประสบทางเหนือของกรุงฯ ในขณะที่มังมหานรธาตั้งที่สีกุกทางตะวันตก สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงส่งทัพนำโดยเจ้าพระยาพระคลังฯ พระยาเพชรบุรี (เรือง) และพระยาตาก ออกไปต้านทัพพม่าที่ปากน้ำประสบและวัดภูเขาทองแต่ไม่สำเร็จ ในขณะที่พม่ากำลังล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น เกิดวีรกรรมของชาวบ้านบางระจัน ต่อสู้กับกองกำลังพม่าในพื้นที่วิเศษชัยชาญที่ยกมาทางอุทัยธานี[12] ค่ายบางระจันตั้งอยู่นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนมิถุนายน เป็นเวลาห้าเดือน[12] จึงเสียให้แก่พม่า
พม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่เป็นเวลาสิบสี่เดือน นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2309 จนถึง เดือนเมษายน พ.ศ. 2310 ฝ่ายสยามกรุงศรีอยุธยาเมื่อไม่สามารถขับไล่พม่าออกไปได้ จึงหวนสู่ยุทธศาสตร์ดั้งเดิมคือการตั้งรับภายในกำแพงพระนคร อาศัยความแข็งแรงของกำแพงกรุงฯซึ่งได้รับการเสริมสร้างโดยวิศวกรฝรั่งเศสในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ในระยะแรกอยุธยามีเสบียงอาหารอย่างล้นเหลือ[13] และคาดว่าพม่าจะถอยกลับไปเองเมื่อฤดูฝนมาถึง แต่พม่าไม่ถอยกลับในฤดูฝน พระเจ้ามังระได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดจากสงครามพระเจ้าอลองพญา ได้คิดค้นและปรับปรุงยุทธศาสตร์ใหม่ โดยที่พม่าจะไม่ถอยกลับในฤดูฝนแต่จะตั้งมั่นที่ชานกรุงเพื่อบีบบังคับให้อยุธยาพ่ายแพ้ ทัพพม่ากระชับพื้นที่ประชิดอยุธยาในเดือนกันยายน โดยที่เนเมียวสีหบดีตั้งที่โพธิ์สามต้น มังมหานรธาตั้งที่วัดภูเขาทอง จนถึงปลายปีพ.ศ. 2309 ฝ่ายสยามกรุงศรีอยุธยาเข้าสู่ภาวะขับขันและเสบียงถอดถอย
พระยาตาก ขุนนางกรุงศรีอยุธยาเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว นำกองกำลังชาวสยามและชาวจีน ฝ่าวงล้อมพม่าจากกรุงศรีอยุธยาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2310 ประมาณสามเดือนก่อนเสียกรุงฯ ไปตั้งหลักที่หัวเมืองชายทะเลตะวันออก ในขณะเดียวกันนั้นเกิดสงครามจีน-พม่า อันมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างพม่าและจีนราชวงศ์ชิงเกี่ยวกับอิทธิพลในหัวเมืองไทใหญ่ หยางอิงจวี ส่งทัพจีนเข้าโจมตีพม่าโดยตรงในปลายปี พ.ศ. 2309 เป็นเหตุให้พระเจ้ามังระมีราชโองการมายังแม่ทัพที่อยุธยาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2310[9] เร่งรัดให้มังมหานรธาและเนเมียวสีหบดีหักตีกรุงศรีอยุธยาให้ได้โดยเร็ว เพื่อผันกำลังไปสู้รบกับจีน มังมหานรธาจึงให้สร้างป้อมล้อมกรุงจำนวน 27 ป้อม[10] ในเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม พ.ศ. 2310 พระเจ้าเอกทัศน์ทรงส่งกองกำลังจีนอาสาคลองสวนพลู และกองกำลังชาวคริสเตียนโปรตุเกส ออกไปสู้รบกับพม่าเป็นการป้องกันด่านสุดท้าย ซึ่งพ่ายแพ้ให้แก่พม่าอีกเช่นกัน มังมหานรธาถึงแก่กรรมในเดือนมีนาคม เป็นเหตุให้เนเมียวสีหดีขึ้นเป็นผู้บัญชาการทัพพม่าโดยสิทธิ์ขาดแต่ผู้เดียว[8]
เนเมียวสีหบดีคิดค้นแผนการขุดอุโมงค์ลอดกำแพงกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายพม่าเริ่มตั้งป้อมขุดอุโมงค์ที่หัวรอในเดือนมีนาคม จนกระทั่งในต้นเดือนเมษายน ฝ่ายพม่าจุดไฟเผารากกำแพงกรุงศรีอยุธยาที่บริเวณหัวรอ ทำให้กำแพงเมืองที่หัวรอทรุดพังทลายลง เป็นโอกาสให้ทัพพม่าสามารถเข้ายึดพิชิตกรุงศรีอยุธยาได้ในที่สุด ในวันอังคารขึ้น 9 ค่ำ เดือนห้า หรือวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ทัพฝ่ายพม่าสังหารชาวกรุงฯ เผาทำลายปราสาทพระราชวัง วัดวาอารามและบ้านเรือนของราษฎร ปล้นทรัพย์สินกลับไป พระเจ้าเอกทัศน์สวรรคตโดยการต้องปืน (ตามพงศาวดารพม่า)[9] หรือการอดพระกระยาหาร (ตามพงศาวดารไทย)[12] ฝ่ายพม่ากวาดต้อนชาวกรุงศรีอยุธยาจำนวน 30,000 คน พร้อมทั้งเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ศิลปินช่างฝีมือ และสมบัติทางวัฒนธรรมต่างๆ กลับไปพม่า เนเมียวสีหบดียึดครองกรุงศรีอยุธยาอยู่เป็นเวลาสองเดือน ก่อนที่จะถอยทัพกลับพม่าในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2310 โดยวางกองกำลังที่มีจำนวนไม่มากไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้น นำโดยสุกี้พระนายกอง ในขณะที่ภูมิภาคอื่นๆของสยาม แตกแยกออกเป็นชุมนุมตามท้องที่ต่างๆ
เมื่อฝ่ายพม่าผันกำลังส่วนใหญ่ไปสู้รบกับจีน ทำให้ฝ่ายสยามมีโอกาสในการฟื้นฟูกลับตั้งตัวขึ้นใหม่ พระยาตากขุนนางเชื้อสายจีน ยกทัพกองกำลังชาวสยามและจีนจากจันทบุรี เข้ายึดเมืองธนบุรีและกรุงศรีอยุธยา ตีค่ายโพธิ์สามต้นของสุกี้พระนายกองแตกยึดได้ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2310 เพียงเจ็ดเดือนหลังจากการเสียกรุงฯ กรุงศรีอยุธยาอยู่ในสภาพปรักหักพังและมีกำลังไม่เพียงพอใช้ป้องกันทัพพม่า[14] สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยาไปที่กรุงธนบุรี ทรงปราบดาภิเษกและก่อตั้งอาณาจักรธนบุรี เมืองอยุธยายังคงดำรงอยู่ในยุคสมัยต่อมาในฐานะหัวเมือง มีการรื้อนำอิฐไปก่อสร้างกรุงเทพมหานคร[15]และมีการขุดสมบัติอยุธยาอย่างกว้างขวาง หลังจากที่เสร็จสิ้นสงครามกับจีนแล้วในพ.ศ. 2312 ฝ่ายพม่าพระเจ้ามังระส่งทัพเข้ารุกรานสยามอีกครั้งในสงครามอะแซหวุ่นกี้ พ.ศ. 2318 แต่ครั้งนี้ฝ่ายสยามกรุงธนบุรีสามารถต้านทานการรุกรานของพม่าได้ สงครามเก้าทัพในสมัยต่อมาเป็นการรุกรานของพม่าครั้งใหญ่ครั้งสุดท้าย ฝ่ายสยามสูญเสียหัวเมืองมะริดและตะนาวศรีให้แก่พม่าเป็นการถาวร แลกเปลี่ยนกับการที่สยามได้ครอบครัวหัวเมืองล้านนาจากพม่า