สงครามจีน–พม่า
From Wikipedia, the free encyclopedia
สงครามจีน–พม่า (พม่า: တရုတ်-မြန်မာ စစ်, จีน: 中緬戰爭, 清緬戰爭) หรือ การบุกพม่าของราชวงศ์ชิง หรือ การทัพพม่าแห่งราชวงศ์ชิง (อังกฤษ: Qing invasions of Burma, Myanmar campaign of the Qing Dynasty)[9] เป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างราชวงศ์ชิงของจีนและราชวงศ์โก้นบองของพม่า จีนภายใต้จักรพรรดิเฉียนหลงเปิดการรุกรานพม่า 4 ครั้งระหว่างปี 2308 ถึง 2312 ซึ่งถือเป็น 1 ใน สิบการทัพใหญ่ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม สงครามที่คร่าชีวิตทหารจีนไปกว่า 70,000 นายและผู้บังคับบัญชา 4 นาย[10] ได้รับการอธิบายว่าเป็น "สงครามชายแดนที่หายนะที่สุดที่ราชวงศ์ชิงเคยเผชิญมา"[9] และเป็นสงครามที่ "รับประกันเอกราชของพม่า"[11]
บทความนี้ต้องการตรวจสอบความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ โปรดเพิ่มพารามิเตอร์ reason หรือ talk ลงในแม่แบบนี้เพื่ออธิบายปัญหาของบทความ |
สงครามจีน–พม่า | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สิบการทัพใหญ่ | |||||||
สงครามจีน-พม่า ซึ่งกินระยะเวลาถึง 4 ปี | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
ราชวงศ์ชิง | ราชวงศ์โก้นบอง | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
จักรพรรดิเฉียนหลง |
พระเจ้ามังระ | ||||||
หน่วยที่เกี่ยวข้อง | |||||||
กองทัพแปดกองธง มองโกล กองทัพไทใหญ่ | กองทัพอาณาจักรพม่า | ||||||
ทหารเกณฑ์ชาวพม่าและไทใหญ่ | |||||||
กำลัง | |||||||
ครั้งที่ 1
ทั้งหมด: ทหารราบ 5,000, ทหารม้า 1,000[note 1]
ครั้งที่ 2
ครั้งที่ 3
ครั้งที่ 4
|
ครั้งที่ 1 ทั้งหมด: ไม่ทราบ
ครั้งที่ 2
ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
'ครั้งที่ 2: ~20,000 | ไม่ทราบจำนวน แต่น้อย |
การสงครามครั้งนี้เริ่มขึ้นในระหว่างการทำสงครามของอาณาจักรโก้นบองกับอาณาจักรอยุธยา และยาวไปจนถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ใน พ.ศ. 2310 ในพงศาวดารพม่าระบุว่า พระเจ้ามังระมีพระราชสาส์นให้นายทหารและแม่ทัพในสงครามคราวนี่เร่งรีบกระทำการ และรีบเดินทางกลับอังวะเพื่อที่จะเตรียมการรับสงครามคราวนี้[ต้องการอ้างอิง]
เหตุแห่งสงครามมาจากความขัดแย้งระหว่างพม่ากับจีนในเรื่องหัวเมืองไทใหญ่ ซึ่งกองทัพพม่าได้ยกเข้าดินแดนไทใหญ่และรุกคืบไปเรื่อยๆ ทำให้พวกเจ้าฟ้าไทใหญ่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากจีน ซึ่งทั้งสองมีพรมแดนติดต่อกันระหว่างจีนกับพม่าทางมณฑลยูนนานในปัจจุบัน ซึ่งเคยมีปัญหามาก่อนตั้งแต่ยุคพระเจ้าบุเรงนองแห่งราชวงศ์ตองอู โดยในครั้งนี้ราชวงศ์ชิงซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิเฉียนหลง ได้ส่งกองทหารจากแปดกองธงอันเกรียงไกรเข้าทำลายพม่าแต่ก็ต้องผิดหวังทุกครั้ง โดยในระหว่างสงคราม หลิวเจ้าแม่ทัพกองธงเขียว (บุกครั้งที่ 1) หยางอิงจวี่แห่งกองธงเขียว (บุกครั้งที่ 2) รวมถึงพระนัดดาหมิงรุ่ยแห่งกองธงเหลือง (ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้) ขุนพลเอกแห่งราชวงศ์ชิงผู้พิชิตมองโกลและเติร์ก (บุกครั้งที่ 3) ต้องฆ่าตัวตายหนีความอัปยศเพราะความพ่ายแพ้ โดยในการบุกครั้งที่ 4 จักรพรรดิเฉียนหลงได้เรียกเสนาบดีระดับสูงให้มารวมตัวกันครั้งใหญ่ที่สุดในยุคของพระองค์ ประกอบด้วยองค์มนตรีฟู่เหิงแห่งกองธงเหลืองขลิบซึ่งเป็นลุงของหมิงรุ่ยผู้มีประสบการณ์ในการรบกับมองโกลมาแล้วอย่างโชกโชน พร้อมด้วยเสนาบดีอีกหลายนายเช่น เสนาบดีกรมกลาโหมอากุ้ยแห่งกองธงขาว(ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นบิดาบุญธรรมของจักรพรรดิเจี่ยชิ่งเช่นเดียวกับฟู่เหิง) [12] แม่ทัพใหญ่อาหลีกุ่น รวมทั้งเอ้อหนิงสมุหเทศาภิบาลมณฑลยูนนานและกุ้ยโจว (ภายหลังได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม) ให้เตรียมการบุกพม่าเป็นครั้งที่ 4 และทำพิธีส่งกองทัพนี้อย่างยิ่งใหญ่โดยจักพรรดิเฉียนหลงเป็นประธานในพิธี กองทัพนี้ประกอบไปด้วยกำลังพลจากทั้งแปดกองธงและกองธงเขียว ในครั้งนี้กองทัพต้าชิงสามารถรุกเข้าไปในดินแดนของพม่าได้ลึกพอสมควร แต่กองทัพของเนเมียวสีหบดีก็กลับมาได้ทัน สงครามเป็นไปอย่างดุเดือดสุดท้ายกองทัพพม่าสามารถล้อมกองทัพต้าชิงเอาไว้ได้ แต่อะแซหวุ่นกี้ได้ตัดสินใจยุติสงครามที่เปล่าประโยชน์ครั้งนี้ลง ด้วยการบีบให้กองทัพต้าชิงซึ่งติดอยู่ในวงล้อมตัดสินใจเจรจา
สงครามสิ้นสุดลงด้วยการเจรจาและบรรลุสนธิสัญญาก้องโตน โดยยึดเอาแนวเขตพรมแดนเดิม[13] โดยทั้งสองฝ่ายต่างอ้างชัยชนะในสงครามครั้งนี้ และสงครามครั้งนี้ยังทำให้พระเกียรติยศของพระเจ้ามังระเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลังจากก่อนหน้านี้กองทัพของพระองค์ก็สามารถพิชิตอยุธยาได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน รวมถึงอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพฝ่ายพม่าเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา ก่อนที่จะมีบทบาทสำคัญต่อมาอีกหลายครั้งในภายหลังทั้งทางด้านการเมืองและการศึกสงคราม