การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย
การระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศไทย / From Wikipedia, the free encyclopedia
การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย ดำเนินอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม ปี พ.ศ. 2563 และเป็นส่วนหนึ่งของการระบาดทั่วโลกของโควิด-19 โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่พบผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 รายแรกนอกประเทศจีน[2] การคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศพบผู้ป่วยประปรายตลอดเดือน ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากหรือเป็นผู้พำนักอยู่ในประเทศจีนแทบทั้งสิ้น จนเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 ถึงมีรายงานว่าพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการแพร่เชื้อในประเทศเป็นครั้งแรก[3] จำนวนผู้ป่วยยังมีน้อยตลอดเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2563 โดยมีผู้ป่วยยืนยัน 40 รายเมื่อสิ้นเดือน แต่จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากในกลางเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งมีการระบุสาเหตุจากกลุ่มการแพร่เชื้อจากหลายกลุ่ม ซึ่งกลุ่มใหญ่สุดเกิดขึ้นในการแข่งขันชกมวยไทย ณ สนามมวยเวทีลุมพินี เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2563[4] ผู้ป่วยยืนยันแล้วเพิ่มเกิน 100 คนต่อวัน ในอีก 1 สัปดาห์ต่อมา
การระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย | |
---|---|
ความชุกของผู้ติดเชื้อยืนยันต่อประชากรแสนคนรายจังหวัด | |
จำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมแยกรายจังหวัด | |
โรค | โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 |
สถานที่ | ประเทศไทย |
การระบาดครั้งแรก | อู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน |
ผู้ป่วยต้นปัญหา | ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ |
วันแรกมาถึง | 13 มกราคม 2563 (4 ปี 4 เดือน 18 วัน) |
ผู้ป่วยยืนยันสะสม | 4,692,636 คน[1] |
หาย | 4,692,636 คน[1] |
เสียชีวิต | 34,586 คน[1] |
ddc |
การตอบสนองของรัฐบาลต่อการระบาดเริ่มจากการคัดกรองและการติดตามการสัมผัส มีการคัดกรองโควิดตามท่าอากาศยานนานาชาติ ตลอดจนที่โรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่มีประวัติเดินทางหรือสัมผัส[5] มีการสอบสวนโรคกรณีที่เกิดกลุ่มการระบาด กระทรวงศึกษาธิการเน้นการเฝ้าระวังตนเอง การรักษาความสะอาดโดยเฉพาะการล้างมือ และการเลี่ยงฝูงชน (หรือใส่หน้ากากอนามัยแทน)[6] แม้บุคคลที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยงสูงจะได้รับคำแนะนำให้กักตนเอง แต่ยังไม่มีคำสั่งจำกัดการเดินทางจนวันที่ 5 มีนาคม 2563[7] และวันที่ 19 มีนาคม 2563 มีประกาศเพิ่มเติมให้ต้องมีเอกสารการแพทย์รับรองการเดินทางระหว่างประเทศและคนต่างด้าวต้องมีประกันสุขภาพ[8][9] ปลายเดือนมีนาคม 2563 สถานที่สาธารณะและธุรกิจห้างร้านได้รับคำสั่งให้ปิดในกรุงเทพมหานคร และอีกหลายจังหวัด[10] นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน มีผลวันที่ 26 มีนาคม[11] และมีประกาศห้ามออกนอกเคหะสถานยามวิกาล ตั้งแต่คืนวันที่ 3 เมษายน 2563[12] พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินยังสั่งงดจำหน่ายสุราชั่วคราวและให้ประชาชนชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด ซึ่งยกเลิกเป็นส่วนใหญ่ในเดือนกรกฎาคมและเปิดสถานศึกษาในช่วงสิงหาคม 2563 อย่างไรก็ดี รัฐบาลยังไม่ยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อมาพบการระบาดของโรครอบใหม่ในจังหวัดสมุทรสาครประมาณกลางเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งสงสัยว่ามาจากแรงงานต่างด้าวที่มีการลักลอบพาเข้าประเทศ ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 20 เดือนเมษายน 2564 พบการระบาดใหม่โดยมีคลัสเตอร์ที่ย่านทองหล่อและนราธิวาส
รัฐบาลถูกวิจารณ์อย่างหนักจากการรับมือวิกฤตการณ์ในหลาย ๆ ด้าน ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 หลังเกิดความกังวลต่อการกักตุนและโก่งราคาขายหน้ากากอนามัย รัฐบาลเข้าควบคุมราคาและแทรกแซงการจัดจำหน่าย[13] แต่ยังไม่สามารถป้องกันการขาดแคลนตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ได้ และเกิดกรณีอื้อฉาวจากกรณีที่ประชาชนสงสัยว่ามีการฉ้อราษฎร์บังหลวงและการลักเอาจากคลัง[14][15][16] นอกจากนี้ รัฐบาลยังถูกวิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายข้อกำหนดการเดินทางระหว่างประเทศและการกักโรค ลงมือไม่เด็ดขาดและล่าช้า และการสื่อสารแบบกลับไปกลับมา[17][18] การสั่งปิดธุรกิจห้างร้านในกรุงเทพมหานครโดยพลัน ทำให้คนงานหลายหมื่นคนเดินทางกลับภูมิลำเนา ยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อเข้าไปอีก สะท้อนภาพความล้มเหลวของการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ[19] อีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยค่อนข้างประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคระบาด โดยมีปัจจัยเกื้อหนุนได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขที่ทนทาน[20][21] ในการระบาดระลอกหลัง ไม่มีมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศแต่ใช้วิธีกำหนดมาตรการตามพื้นที่เสี่ยง พร้อมกับมีมาตรการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจลดลงมาก
แผนการกระจายวัคซีนในประเทศเน้นการนำเข้าวัคซีนซิโนแวคและใช้วัคซีนแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศเป็นหลัก ทางการสั่งซื้อวัคซีนในเดือนพฤศจิกายน 2563 แต่ถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องราคา การห้ามเอกชนนำเข้าวัคซีนและความเกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและเครือเจริญโภคภัณฑ์[22][23][24] นอกจากนี้ การกระจายวัคซีนโดยไม่คำนึงถึงลำดับความเร่งด่วนรวมถึงการเลือกปฏิบัติ การกระจายวัคซีนล่าช้า ความแคลงใจต่อประสิทธิภาพ ผลข้างเคียงของวัคซีนซิโนแวค และการสั่งห้ามนำเข้าวัคซีนยี่ห้ออื่นทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างมาก จนมาถึงเดือนมิถุนายน 2564 จึงเริ่มมีการอนุญาตให้นำเข้าวัคซีนยี่ห้ออื่นผ่านหน่วยงานของรัฐ ส่วนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมหิดลกำลังวิจัยวัคซีนในประเทศ ปัจจุบันยังมีคำสั่งซื้อวัคซีนอีกหลายยี่ห้อแต่จะเข้าประเทศในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564
โรคระบาดทำให้เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการท่องเที่ยวที่มีความสำคัญ กองทุนการเงินระหว่างประเทศทำนายว่าจีดีพีของไทยจะหดตัวลงร้อยละ 6.7[25] ในปี 2563 ปรับลดจากเดิมขยายตัวร้อยละ 2.5 รัฐบาลประกาศมาตรการช่วยเหลือหลายอย่าง รวมทั้งการกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท แต่มีผู้ได้รับการช่วยเหลือจำนวนน้อย[26]
ภายหลังการแพร่ระบาดใหญ่เริ่มอ่อนแรงลง รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจออกประกาศให้โควิด-19 ถือเป็นโรคประจำถิ่นในประเทศตั้งแต่เดือนกรกฎาคมพ.ศ. 2565 ก่อนตัดสินใจประกาศปรับเข้าสู่ระยะเฝ้าระวังที่ไม่เป็นอันตรายโดยให้มีผลตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นผลให้คณะรัฐมนตรีประกาศยุติบทบาทหน้าที่ของ คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลง พร้อมกับการประกาศยุติการใช้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ที่ใช้ในการควบคุมโรคติดต่อลงพร้อมกัน