เศรษฐกิจไทย
From Wikipedia, the free encyclopedia
เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจกำลังพัฒนาแบบผสมและเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่[23] เมื่อปี 2561 มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในรูปตัวเงิน (ราคาตลาด) เป็นอันดับที่ 25 ของโลก มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (พีพีพี) เป็นอันดับที่ 20 ของโลก นับว่าใหญ่สุดเป็นอันดับสองของอาเซียน มีอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.1%[24]
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
เนื้อหาในบทความนี้ล้าสมัย โปรดปรับปรุงข้อมูลให้เป็นไปตามเหตุการณ์ปัจจุบันหรือล่าสุด ดูหน้าอภิปรายประกอบ |
เศรษฐกิจไทย | |
---|---|
กรุงเทพมหานคร ศูนย์กลางพาณิชย์ของไทย | |
อันดับทางเศรษฐกิจ | 20 (PPP) (IMF, 2561) 25 (ราคาตลาด) (IMF, 2561) |
สกุลเงิน | บาท |
ปีงบประมาณ | 1 ตุลาคม – 30 กันยายน |
ภาคีการค้า | WTO, APEC, IOR-ARC, ASEAN |
สถิติ | |
จีดีพี | |
จีดีพีเติบโต |
|
จีดีพีต่อหัว | |
ภาคจีดีพี | |
เงินเฟ้อ (CPI) | ทั่วไป −1.1% (2020 est.)[2] |
ประชากรยากจน | |
จีนี | 36.4 medium (2018)[7] |
แรงงาน | |
ว่างงาน | 1.1% (2020 est.)[2] |
อุตสาหกรรมหลัก | ยานยนต์และชิ้นส่วน (11%), บริการทางการเงิน (9%), เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ (8%), การท่องเที่ยว (6%), ปูนซีเมนต์, auto manufacturing, อุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเบา, เครื่องใช้ในครัวเรือน, คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน, เฟอร์นิเจอร์, พลาสติก, สิ่งทอและเสื้อผ้า, การแปรรูปเกษตร, เครื่องดื่ม, ยาสูบ |
อันดับความคล่องในการทำธุรกิจ | 21st (very easy, 2020)[10] |
การค้า | |
มูลค่าส่งออก | $236.69 พันล้าน (2017)[11][12][13] |
สินค้าส่งออก | คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน (23%), เครื่องใช้ไฟฟ้า (19%), อาหารและไม้ (14%), ผลิตภัณฑ์เคมีและพลาสติก (14%), ยานยนต์และชิ้นส่วน (12%), หินและแก้ว (7%), สิ่งทอ, เสื้อผ้า และ เฟอร์นิเจอร์ (4%) |
ประเทศส่งออกหลัก |
|
มูลค่านำเข้า | $222.76 billion (2017)[11][12][13] |
สินค้านำเข้า | สินค้าทุน และ สินค้าขั้นกลาง, วัตถุดิบ, เครื่องอุปโภคบริโภค, น้ำมันดิบ |
ประเทศนำเข้าหลัก |
|
FDI | $205.5 พันล้าน (2017 est.)[15] |
หนี้ต่างประเทศ | $163.402.95 billion (Q1 2019)[16] |
การคลังรัฐบาล | |
หนี้สาธารณะ | 60.81% (เมษายน 2565)[17] |
รายรับ | THB 2.829 ล้านล้าน (ปีงบประมาณ 2564)[18] |
รายจ่าย | THB 3.012 ล้านล้าน (ปีงบประมาณ 2564)[19] |
ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ | None |
ทุนสำรอง | US$266.09 พันล้าน (net amount, June 2020)[22] |
แหล่งข้อมูลหลัก: CIA World Fact Book หน่วยทั้งหมด หากไม่ระบุ ถือว่าเป็นดอลลาร์สหรัฐ |
ภาคอุตสาหกรรมและบริการเป็นภาคหลักในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย โดยภาคอุตสาหกรรมเป็นสัดส่วน 39.2% ของจีดีพี ภาคเกษตรกรรมเป็นสัดส่วน 8.4% ของจีดีพี น้อยกว่าภาคการขนส่งและการค้า ตลอดจนการสื่อสาร ซึ่งเป็นสัดส่วน 13.4% และ 9.8% ของจีดีพีตามลำดับ ภาคก่อสร้างและเหมืองแร่เป็นสัดส่วน 4.3% ของจีดีพี ภาคอื่น (ซึ่งรวมภาคการเงิน การศึกษา โรงแรมและร้านอาหาร) เป็นสัดส่วน 24.9% ของจีดีพี[4] โทรคมนาคมและการค้าบริการกำลังกำเนิดเป็นศูนย์กลางการขยายอุตสาหกรรมและการแข่งขันทางเศรษฐกิจ[25][26]
ในปี 2551 ประเทศไทยส่งข้าวออกคิดเป็นประมาณ 33% ของการค้าข้าวทั่วโลก[27] ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางรายใหญ่ที่สุดของโลก[28] และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก[29] ในปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกเป็นอันดับที่ 21 ของโลก และมีมูลค่าการนำเข้าเป็นอันดับที่ 25 ของโลก ประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ออสเตรเลีย ฮ่องกงและเกาหลีใต้[30]
ธนาคารโลกรับรองประเทศไทยว่าเป็น "นิยายความสำเร็จการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่ง" (one of the great development success stories) จากตัวชี้วัดทางสังคมและการพัฒนา[31] แม้รายได้มวลรวมประชาชาติ (GNI) ต่อหัวต่ำ คือ 5,210 ดอลล่าร์สหรัฐ[32] และมีดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) อยู่ที่อันดับที่ 89 แต่ประชากรที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนลดลงจาก 65.26% ในปี 2531 เหลือ 8.6% ในปี 2559 ตามเส้นฐานความยากจนใหม่ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)[33] ในไตรมาสแรกของปี 2556 อัตราว่างงานของไทยอยู่ที่ 0.7% ซึ่งน้อยเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากประเทศกัมพูชา โมนาโกและกาตาร์[34]
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 ค่าแรงขั้นต่ำทางการทุกจังหวัดเป็น 300 บาท[35] ความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทยถือว่าสูงสุดประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครัวเรือนที่รวยที่สุด 20% มีรายได้ครัวเรือนเกินครึ่ง ดัชนีจีนีของรายได้ครัวเรือนอยู่ที่ 0.51 ครอบครัวรายได้น้อยและยากจนกระจุกอยู่ในภาคเกษตรกรรมอย่างมาก[36]