เซ็นทรัลเวิลด์
ศูนย์การค้าในประเทศไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เซ็นทรัลเวิลด์ (อังกฤษ: CentralWorld เขียนในรูปแบบ: centralwOrld) เดิมชื่อ เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมแบบผสมใจกลางกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของย่านการค้าราชประสงค์ ระหว่างถนนพระรามที่ 1 และถนนราชดำริ ในพื้นที่แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน โครงการประกอบด้วยศูนย์การค้า โรงแรม และอาคารสำนักงาน โดยเป็นศูนย์การค้าที่มีพื้นที่รวมใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีพื้นที่ขายมากเป็นอันดับ 4 ของไทย และมีพื้นที่ชั้น 1 มากเป็นอันดับ 4 ของโลก[1]
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
ที่ตั้ง | 4, 4/1-4/2, 4/4 ถนนราชดำริ; 999/9, 999/99 ถนนพระรามที่ 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร |
---|---|
พิกัด | 13.746534°N 100.539220°E |
เปิดให้บริการ | 3 ธันวาคม พ.ศ. 2532 (เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์) 23 ธันวาคม พ.ศ. 2545 (เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซา) 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 (เซ็นทรัลเวิลด์) |
ชื่อเดิม | ศูนย์การค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (พ.ศ. 2532 - พ.ศ. 2545) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซา (พ.ศ. 2545 - พ.ศ. 2550) |
ผู้พัฒนา | บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) |
ผู้บริหารงาน | บริษัท เซ็นทรัลเวิลด์ จำกัด |
เจ้าของ | กองทุนรวมธุรกิจไทย 4 (TBF4) บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลเวิลด์ จำกัด กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซีพีเอ็น คอมเมอร์เชียล โกรท |
พื้นที่ชั้นขายปลีก | 850,000 ตารางเมตร |
ที่จอดรถ | 7,000 คัน |
ขนส่งมวลชน | สถานีสยาม, สถานีชิดลม สถานีสยาม ท่าประตูน้ำ |
เว็บไซต์ | www |
ประวัติ
พื้นที่ของศูนย์การค้าเป็นที่ตั้งเดิมของพระราชวังปทุมวัน และต่อมาเป็นวังเพ็ชรบูรณ์ วังที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย โดยเมื่อปี พ.ศ. 2466 เจ้าของวังสิ้นพระชนม์ และหลังจากนั้น 9 ปี คือในปี พ.ศ. 2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง วังหลายแห่งถูกคณะราษฎรเข้ายึดครองและตกเป็นสมบัติของรัฐ รวมถึงวังเพ็ชรบูรณ์ด้วย แต่อยู่ในกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด[2][3] ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 บริษัท วังเพชรบูรณ์ จำกัด โดยนายอุเทน เตชะไพบูลย์ ได้ขอเช่าที่ดินผืนนี้เพื่อก่อสร้างศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในชื่อ เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
นับตั้งแต่ทำสัญญาเช่า บจก.วังเพชรบูรณ์ ประสบความล่าช้าในการก่อสร้างเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งต้องเลื่อนไปเปิดดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2532 โดยประกอบด้วยตัวอาเขตและห้างสรรพสินค้าเซน ก่อนที่ห้างสรรพสินค้าอิเซตันจะเข้ามาเปิดดำเนินการใน พ.ศ. 2535 และเริ่มดำเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยายเพิ่มเติมเพื่อให้โครงการแล้วเสร็จตามสัญญาที่ทำไว้ร่วมกับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ แต่ในปลายปี พ.ศ. 2545 บจก.วังเพชรบูรณ์ ประสบปัญหาทางการเงินและไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างโรงแรมและอาคารสำนักงานให้แล้วเสร็จตามกำหนด สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จึงได้ยกเลิกสัญญาเช่าและเปิดโอกาสให้บริษัทอื่นเข้ามาประมูลเพื่อบริหารศูนย์การค้า รวมทั้งพัฒนาพื้นที่และต่อเติมอาคารให้แล้วเสร็จตามข้อตกลงในคู่สัญญา โดยสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้เปิดประมูลและปรับโครงสร้างจากเดิมด้วยวิธีการเปลี่ยนถ่ายสัญญาไปเป็นบริษัทที่ชนะการประมูล โดยมีผู้เข้าร่วมการประมูลครั้งนี้เป็น 2 ธุรกิจค้าปลีกหลักของไทยคือกลุ่มเซ็นทรัลและกลุ่มเดอะมอลล์ และเป็นกลุ่มเซ็นทรัลที่ชนะการประมูลดังกล่าว ส่วนกลุ่มเดอะมอลล์ได้หันไปร่วมมือกับสยามพิวรรธน์ เพื่อพัฒนาศูนย์การค้าสยามพารากอน ในพื้นที่เดิมของโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัลที่อยู่ใกล้เคียง
ปัจจุบันโครงการนี้บริหารงานโดย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาโครงการของกลุ่มเซ็นทรัล โดยในระยะแรกเป็นการปรับปรุงและต่อเติมอาคารสำนักงานในสมัยเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่ยังไม่แล้วเสร็จให้เสร็จสมบูรณ์ จากนั้นจึงเริ่มปรับปรุงศูนย์การค้าโดยเปลี่ยนชื่อจากเดิม เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (อังกฤษ: World Trade Center) เป็น เซ็นทรัลเวิลด์ พลาซา (อังกฤษ: Central World Plaza) และสร้างทางเดินเชื่อม "เซ็นทรัลเวิลด์สกายวอล์ก" ซึ่งเป็นทางเชื่อมลอยฟ้าจากสถานีสยาม ซึ่งเป็นจุดตัดของรถไฟฟ้าบีทีเอสสายหลักทั้ง 2 สาย คือสายสุขุมวิทและสายสีลม ร่วมกับกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับลูกค้าจากย่านสยามที่อยู่ใกล้เคียง และคาดว่าจะมาใช้บริการเพิ่มขึ้นในอนาคต และยังได้ร่วมทุนกับกลุ่มผู้ประกอบการย่านการค้าบริเวณแยกราชประสงค์ เพื่อสร้างทางเดินเชื่อม "ราชประสงค์สกายวอล์ก" จากสถานีชิดลมของสายสุขุมวิท มาจนถึงโครงสร้างเดิมที่ได้ก่อสร้างไว้บริเวณด้านหน้าศูนย์การค้าเกษรพลาซา ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2548[4]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2549 บริษัทได้มีการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบทั้งหมด ต่อเติมโครงสร้างที่เหลือจากชั้นบนให้เป็นพื้นที่สำหรับลานกิจกรรม ก่อสร้างอาคารเซนเวิลด์ รวมทั้งภัตตาคารและส่วนโรงแรมซึ่งต่อเติมไปจากช่วงอิเซตัน และครั้งนี้ได้มีเปลี่ยนชื่อศูนย์การค้าอีกครั้งโดยให้ชื่อสั้นลงและตัดคำว่าพลาซ่าออกเหลือ เซ็นทรัลเวิลด์ (อังกฤษ: CentralWorld) โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดศูนย์การค้าด้วยพระองค์เองเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
การจัดสรรพื้นที่
ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ประกอบด้วยอาคารทั้งหมด 7 หลัง และแบ่งพื้นที่ออกเป็นทั้งหมด 10 โซน โดยมีพื้นที่สำคัญดังต่อไปนี้
ห้างสรรพสินค้า
เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งอยู่บริเวณโซน A ของอาคาร โดยเป็นห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลสาขาหลักและสาขาใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีพื้นที่รวม 50,000 ตารางเมตร เดิมคือห้างสรรพสินค้าเซน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาขาของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลมาตลอด แต่มีคอนเซปต์เป้นห้างสรรพสินค้าสำหรับวัยรุ่น และยังเป็นที่ตั้งของร้านมูจิ สาขาเรือธงของประเทศไทย คาเฟ่ % อะราบิกา สาขาที่สองในกรุงเทพมหานคร จุดบริการของไทยทิคเก็ตเมเจอร์ และจุดบริการสำหรับลูกค้าบัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน นอกจากนี้ยังมีอาคาร "เซ็นทรัล ทาวเวอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์" (อาคารเซน เวิลด์ เดิม) ที่สร้างต่อเติมจากอาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล รวมพื้นที่ทั้งหมด 20 ชั้น ก่อนหน้านี้เซ็นทรัลเวิลด์ยังเป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าอิเซตัน ห้างสรรพสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นสาขาแรกและสาขาเดียวในประเทศไทยที่เปิดทำการเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2535 จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563[5]
ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหาร
เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นที่ตั้งของ ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ ซูเปอร์มาร์เก็ตระดับบนของกลุ่มเซ็นทรัล และเป็นฟู้ดสโตร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริหารงานโดย บจก. เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ภายในเป็นที่ตั้งของร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ "ท็อปส์ ไวน์ เซลลาร์" ร้านอาหาร "ท็อปส์ อีทเทอรี่" และร้านกาแฟ "ปีเตอร์ คอฟฟี" โดย Peter Weckström นอกจากนี้ยังมีศูนย์อาหาร "ฟู้ดเวิลด์" และ "ลิฟวิ่ง เฮาส์ โค-ลิฟวิ่งแอนด์อีตติ้ง สเปซ" บริเวณชั้น 7, ศูนย์อาหาร "ฮักไทย" และ "ตลาดจริงใจ" บริเวณชั้น 1 รวมถึงร้านอาหารต่าง ๆ กระจายตัวภายในศูนย์การค้า
ร้านค้าในศูนย์การค้า
เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นที่ตั้งของร้านค้าสาขาเรือธง ทั้งที่อยู่ในกลุ่มเซ็นทรัล ได้แก่ ซูเปอร์สปอร์ต, เพาเวอร์บาย และธิงค์สเปซ บีทูเอส ในชื่อ เพาเวอร์บาย x บีทูเอส ธิงค์สเปซ และนอกกลุ่มเซ็นทรัล อาทิ ยูนิโคล่ เอชแอนด์เอ็ม อาดิดาส คิโนะคูนิยะ และนิโตริ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีลานไอซ์สเก็ต "เดอะ ริงก์" สถานออกกำลังกาย "โซน บาย ฟิตเนส เฟิร์ส" ร้านสตาร์บัคส์ รีเซิร์ฟ คอนเซปต์ สโตร์ และแอปเปิลสโตร์[6][7] ซึ่งแต่ละร้านมีขนาดพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
โรงภาพยนตร์
เซ็นทรัลเวิลด์ มีโรงภาพยนตร์ประกอบกิจการหนึ่งแห่ง คือ เอสเอฟเวิลด์ ซีเนม่า เป็นโรงภาพยนตร์ที่บริหารงานโดยเอสเอฟ ซีเนม่า และเป็นสาขาเรือธงของบริษัท ภายในประกอบด้วยโรงภาพยนตร์ย่อย 15 โรง โดยมีโรง "เวิลด์แมกซ์ สกรีนส์" เป็นโรงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของกลุ่มเอสเอฟ ซีเนม่า นอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนตร์สี่มิติ "เอ็มเอ็กซ์โฟร์ดี บาย ซีพี" (ทุนร่วมกับเจริญโภคภัณฑ์อาหาร) เป็นแห่งแรกของประเทศไทยและโรง "ซิกม่า ซีเนสเตเดียม บาย ซีทู"[8] (ทุนร่วมกับ ซี ดริ้ง) ที่มีระบบการฉายแบบเลเซอร์ด้วยเครื่องฉาย 4K RGB Pure Laser ของคริสตี้ (Christie) และระบบเสียงดอลบี แอทมอส[9]
ก่อนหน้านี้ยังมีโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ อีกจำนวน 8 โรง ที่เปิดทำการมาตั้งแต่สมัยศูนย์การค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในปี พ.ศ. 2543 [10] แต่ปิดตัวลงหลังการเปิดตัวของเอสเอฟเวิลด์ ซีเนม่า ได้หนึ่งปี เนื่องจากยอดผู้เข้าชมภาพยนตร์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ศูนย์การเรียนรู้
ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์การเรียนรู้ขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยเป็นที่ทำการหลักของ สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ หรือไทยแลนด์ โนวเลดจ์ พาร์ค (ทีเคพาร์ค) โดย สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ สบร. นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ศูนย์การเรียนรู้แบบองค์รวมสองแห่ง ได้แก่ "จีเนียส แพลเน็ต" แหล่งรวมสถาบันกวดวิชา ซึ่งพัฒนาจากพื้นที่ "เอเชียน เซนเซส" เดิม และ "แฟมิลี่ แพลเน็ต" แหล่งรวมศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กและครอบครัว ซึ่งพัฒนาจากพื้นที่เดิมในโซน F2 และยังมีสถาบันกวดวิชา โรงเรียนสอนภาษา และโรงเรียนการโรงแรมเปิดทำการภายในอาคารสำนักงานทั้งอาคารดิ ออฟฟิสเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ และอาคารเซ็นทรัล ทาวเวอร์
กรูฟ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
กรูฟ เป็นอาคารความสูง 2 ชั้น สร้างบนพื้นที่ติดถนนพระรามที่ 1 ซึ่งเดิมเป็นลานกิจกรรมกลางแจ้งหน้าอาคารสำนักงาน จุดเด่นคือเป็นอาคารที่มีการต่อพื้นที่สองส่วนเข้าด้วยกัน คือพื้นที่แบบปิดและพื้นที่แบบเปิด ซึ่งพื้นที่แบบปิด เป็นที่ตั้งของร้านค้าแนวฮิปชิค ส่วนหนึ่งเป็นร้านจากศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซีที่มาเปิดทำการ และพื้นที่แบบเปิด เป็นที่ตั้งของร้านอาหารแนวฮิปชิค ผับ บาร์ อาคารนี้เป็นอาคารเดียวในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ที่เปิดทำการจนถึงเวลา 01.00 น. ของวันถัดไป เป็นอาคารส่วนหน้าสุดที่ติดจากสกายวอล์คไปยังรถไฟฟ้าบีทีเอสสองจุด และยังเป็นต้นแบบของอาคารศูนย์การค้า เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ ด้วย
พื้นที่จัดกิจกรรม
เซ็นทรัลเวิลด์มีพื้นที่ลานกิจกรรมออกเป็นหลายส่วน ได้แก่
- เซ็นทรัลเวิลด์สแควร์ ลานกลางแจ้งพื้นที่ 8,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่หน้าอาคารศูนย์การค้า ฝั่งติดกับถนนราชดำริ
- คราฟต์สตูดิโอ พื้นที่จัดกิจกรรมเชิงการเรียนรู้ ตั้งอยู่ชั้น 5-6 โซน A
- เฮาส์ ออฟ อีเวนต์ พื้นที่จัดกิจกรรมของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ตั้งอยู่ชั้น 8 อาคารฝั่งห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล
- เซ็นทรัลเวิลด์ไลฟ์ (ช่วงปี พ.ศ. 2557 - 2563 มีการร่วมทุนกับจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ในชื่อ "จีเอ็มเอ็มไลฟ์เฮาส์") หอประชุมขนาดใหญ่และโรงมหรสพอเนกประสงค์ ประกอบด้วยโถงประชุมสำหรับจัดแสดงคอนเสิร์ต ทำกิจกรรม พื้นที่รวม 4,500 ตารางเมตร ความจุสูงสุด 3,000 ที่นั่ง ตั้งอยู่ชั้น 8 โซน A
- เซ็นทรัลเวิลด์พัลส์ พื้นที่จัดกิจกรรมและนิทรรศการ ตั้งอยู่ชั้น 8 โซน I
- บางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ ศูนย์ประชุมและโรงมหรสพอเนกประสงค์ บริหารงานโดยเครือโรงแรมเซ็นทารา ประกอบด้วยโถงประชุมหลัก ความจุสูงสุด 7,000 ที่นั่ง ห้องเวิลด์บอลรูม ห้องประชุมเอ็ม 23 และห้องประชุมย่อยโลตัสสวีทอีก 17 ห้อง ตั้งอยู่ชั้น 23M โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ หรือชั้น 10 โซน D
- ลานกิจกรรมภายในศูนย์การค้า ประกอบด้วย ลานกิจกรรมชั้น 1 จำนวน 5 จุด (ลาน A1, B1, C1, E1 และ G1), ลานกิจกรรมชั้น 3 จำนวน 2 จุด (ลาน A3 และ E3), ลานกิจกรรมชั้น 6 จำนวน 1 จุด (B6) และลานกิจกรรมชั้น 7 จำนวน 1 จุด (ลาน C7)
เทวรูป
บริเวณลานเซ็นทรัลเวิลด์สแควร์ด้านหน้าอาคารโซน I เป็นที่ตั้งของเทวรูปพระตรีมูรติ ซึ่งย้ายมาจากลานหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลที่ปัจจุบันคือแอปเปิลสโตร์ และพระพิฆเนศ
โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นโรงแรมระดับห้าดาว ความสูง 55 ชั้น ประกอบด้วยห้องพัก จำนวน 505 ห้อง ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้า ห้องอาหาร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตัวอาคารเป็นอาคารทรงกระบอกสองอันมาผสานต่อกัน และมีจุดเด่นคือมีพื้นที่ไขว้ออกมานอกอาคารสลับกันไปตามแต่ละความสูง และชั้นเพดานเปิดโล่งพร้อมติดตั้งสถาปัตยกรรมโค้งสูงนับเป็นยอดสูงสุดของอาคารหลังนี้
อาคารสำนักงาน เซ็นทรัลเวิลด์ ออฟฟิสเศส
เซ็นทรัลเวิลด์ ออฟฟิสเศส เป็นอาคารสำนักงานอัจฉริยะอาคารแรกในประเทศไทย ตัวอาคารมีความสูง 45 ชั้น มีระบบการจัดการการจราจรในแนวตั้งด้วยลิฟท์โดยสารความเร็วสูง และระบบคีย์การ์ดที่ลิฟท์ อาคารดังกล่าวเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเซ็นทรัลพัฒนา ซึ่งได้ย้ายออกมาจากอาคารสำนักงานที่เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าวเดิม นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทในกลุ่มเซ็นทรัลบางส่วน และสำนักงานสาขาประเทศไทยของบริษัทข้ามชาติต่าง ๆ
รางวัล
- Best of the Best Awards ประจำปี 2010 จากสมาคมศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (International Council of Shopping Centers : ICSC) ถือเป็นรางวัลระดับโลก[11]
- Thailand Energy Awards ประจำปี 2011 ประเภทอาคารควบคุมดีเด่น โดยกระทรวงพลังงาน
- Asean Energy Award ประจำปี 2011 ประเภท Asean Best Practices for Energy Management in Large Building Category : Winner
- สมาคมศูนย์การค้านานาชาติ (ICSC) มอบรางวัลห้างสรรพสินค้าดีเด่นระดับโลก ด้านการออกแบบและพัฒนา เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
- Building of the Year ประจำปี 2021 (แอปเปิลสโตร์)[12]
เหตุการณ์และกรณีอื้อฉาว
ความเสียหายที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553 กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แดงทั้งแผ่นดิน เริ่มใช้พื้นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ เป็นสถานที่จัดกิจกรรมการชุมนุมทางการเมือง จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าสลายการชุมนุม จนทำให้แกนนำต้องประกาศยุติการชุมนุม และเข้ารายงานตัวกับตำรวจ หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุจลาจลขึ้นทั่วกรุงเทพมหานคร ลุกลามไปสู่ปริมณฑลและต่างจังหวัด โดยจุดหนึ่งที่มีการลอบวางเพลิง และเข้าทุบทำลายอาคารคือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์[13][14] ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ด้วยสาเหตุข้างต้น จึงส่งผลให้เซ็นทรัลเวิลด์เกิดเพลิงไหม้ในบริเวณพื้นที่ห้างสรรพสินค้าเซน หลังเพลิงไหม้ได้ลุกขึ้นนานเกินกว่า 10 ชั่วโมง จนกระทั่งเวลา 01.00 น. เพลิงไหม้เริ่มส่งผลให้ส่วนของห้างสรรพสินค้าเซนทรุดตัวลงจนด้านหน้า (บริเวณป้ายโลโก้เซ็นทรัลเวิลด์) ถล่มลงมา และเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงได้ในเวลา 02.00 น. วันที่ 20 พฤษภาคม[15]
หลังจากนั้นเซ็นทรัลพัฒนาได้เข้ามาสำรวจสภาพของศูนย์การค้าที่คงเหลืออยู่ในวันถัดมา พบว่าเพลิงไหม้ได้ทำลายตัวอาคารประมาณหนึ่งในสาม โดยส่วนของห้างสรรพสินค้าเซน ได้รับความเสียหายมากที่สุด ส่วนโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ อาคารสำนักงาน และอาคารอิเซตัน ไม่ได้รับความเสียหาย ซึ่งต่อมาเซ็นทรัลพัฒนาได้แถลงข่าวชี้แจงว่า การซ่อมแซมจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างสมบูรณ์ ประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 หลังจากนั้นไม่นานส่วนของห้างสรรพสินค้าอิเซตัน ก็สามารถเปิดให้บริการตามปกติได้ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ส่วนศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ได้เปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553 โดยจะปรับภูมิทัศน์ใหม่ ให้เป็นสวนใจกลางเมือง เสริมเทคโนโลยี ที่สามารถเปลี่ยนสีสันของแต่ละโซน ได้ตามช่วงเวลาของวัน และเพิ่ม "เดอะริงก์" ลานสเก็ตน้ำแข็งในร่มขนาดใหญ่ บริเวณหน้าบีทูเอส ส่วนของห้างสรรพสินค้าเซนได้เปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้เซ็นทรัลพัฒนาต้องสูญเสียรายได้บางส่วน ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการเช่าพื้นที่ที่จำเป็นต้องละเว้นให้กับร้านค้าผู้เช่า เนื่องจากไม่สามารถเปิดทำการได้ตามปกติ รวมถึงรายได้สัมพัทธ์รายการอื่นๆ เป็นต้น นอกจากนี้บริษัท ยังต้องบันทึกค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมโครงการทั้งหมดเอง โดยระหว่างนั้นเซ็นทรัลพัฒนาได้แจ้งไปยังบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน เพื่อขอเบิกค่าสินไหมทดแทนกรณีที่อาคารถูกเพลิงไหม้ แต่เทเวศประกันภัยกลับแจ้งว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุก่อการร้ายจึงไม่ได้เข้าเงื่อนไขการเบิกสินไหมทดแทน ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเซ็นทรัลพัฒนาก็ได้ดำเนินการฟ้องร้องเทเวศประกันภัยต่อศาลฎีการ่วมกับ กองทุนรวมธุรกิจไทยสี่ (ในฐานะโจทย์คนที่หนึ่ง) บริษัท เซ็นทรัลเวิลด์ จำกัด (ในฐานะโจทย์คนที่สาม) และบริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด (ในฐานะโจทย์คนที่สี่) ในเวลาต่อมา[16] รวมถึงได้ยื่นฟ้องร้องเอาผิดกลุ่มคนเสื้อแดงในข้อหาบุกรุกและทำลายทรัพย์สินกับศาลอาญาด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 ศาลได้มีคำสั่งตัดสินเกี่ยวกับสองคดีที่เซ็นทรัลพัฒนายื่นฟ้องร้องไป โดยคดีแรกที่ได้รับการตัดสินก็คือคดีการเบิกสินไหมทดแทน โดยศาลแพ่งตัดสินว่าให้เทเวศประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับเซ็นทรัลพัฒนาเป็นจำนวนเงิน 2,719 ล้านบาทสำหรับค่าความเสียหายของทรัพย์สิน รวมถึงค่าชดเชยทดแทนกรณีเหตุธุรกิจหยุดชะงักอีก 989 ล้านบาท โดยให้จ่ายรวมดอกเบี้ยอีก 7.5% ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554 ไปจนกว่าจะชำระครบทั้งหมด พร้อมทั้งจ่ายค่าทนายและค่าดำเนินการทั้งหมดให้แก่เซ็นทรัลพัฒนาอีก 60,000 บาทด้วย[17] แต่อย่างไรเสีย เทเวศประกันภัย กลับยื่นอุทธรณ์คดีโดยชี้แจงถึงเหตุที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้เพราะเงื่อนไขไม่ตรงกับกรมธรรม์ที่เซ็นทรัลพัฒนาได้ทำไว้ ศาลอุทธรณ์จึงมีคำสั่งพิพากษากลับให้เทเวศประกันภัยไม่ต้องดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับเซ็นทรัลพัฒนา ทั้งนี้เซ็นทรัลพัฒนาได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่ากองทุนรวมธุรกิจไทยสี่ได้ทำกรมธรรม์คุ้มครองในกรณีการก่อการร้ายเอาไว้อีกกรมธรรม์หนึ่งกับ บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทจะดำเนินการเบิกสินไหมทดแทนจากกรมธรรม์นี้แทนเป็นจำนวนเงิน 3,500 ล้านบาท และไทยเศรษฐกิจประกันภัย ได้ดำเนินการจ่ายสินไหมทดแทนเรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560
ส่วนคดีความที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษที่ 4 ได้ยื่นฟ้องกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ศาลอาญาได้ตัดสินว่าจำเลยทั้งสองนั้นไม่มีความผิดเพราะศาลเห็นว่าในหลักฐานจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลที่ถือถังดับเพลิง ไม่ใช่อุปกรณ์วางเพลิง ถึงแม้ว่าจากหลักฐานจะมีภาพถ่ายของยามรักษาความปลอดภัยของศูนย์การค้าที่สามารถจับภาพของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บุกทำลายเข้ามาเข้ามาพร้อมโยนขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่บรรจุน้ำมันก๊าซพร้อมจุดไฟเอาไว้ได้ แต่ศาลวินิจฉัยว่าพยานที่เห็นเหตุการณ์นั้น อยู่ไกลจากตัวจำเลยที่ 1 ไปเกินกว่า 30 เมตร ศาลจึงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมดไป[18]
เหตุนั่งร้านถล่มเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ในระหว่างการซ่อมแซมห้างสรรพสินค้าเซนนั้น ได้เกิดเหตุนั่งร้านที่ใช้ค้ำยันเพดานชั้น 7 ได้เกิดทรุดตัวลงและถล่มลงมา ส่งผลให้คนงานเสียชีวิต 2 คน และ ได้รับบาดเจ็บ 6 คน และยังมีถังแก๊สที่ใช้ในการเชื่อมเหล็กได้ถูกแผ่นปูนตกลงมาใส่ ได้เกิดความเสียหายและมีแก๊สรั่วออกมา จึงทำให้ต้องรีบตัดกระแสไฟฟ้า ก่อนใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำเพื่อให้แก๊สเจือจาง สาเหตุนั้นเกิดจากบริเวณระหว่างนั่งร้านชั้น 1 กับชั้น 2 ซึ่งใช้เป็นที่พักของอิฐก่อสร้าง รวมถึงนั่งร้านได้ถูกใช้งานเป็นที่ขนแผ่นพื้นคอนกรีต จึงไม่สามารถแบกรับน้ำหนักเอาไว้ได้ส่งผลให้นั่งร้านพังถล่มลงมาจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บดังกล่าว จากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้การซ่อมแซมห้างสรรพสินค้าเซนต้องระงับการซ่อมแซมไปเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับการออกแบบของแบบแปลนนั่งร้าน[19]
เพลิงไหม้อาคารเซนเวิลด์ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ห้างสรรพสินค้าเซนที่ยังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม จุดเกิดเหตุอยู่บนชั้น 11 ของอาคารเซนเวิลด์ โดยมีกลุ่มควันโพยพุ่งออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าหน้าดับเพลิงใช้เวลาเพียง 15 นาทีจึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ โดยตัวอาคารได้รับความเสียหายที่ส่วนฝ้าเพดานและช่องแอร์ ได้ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายกินพื้นที่ประมาณ 15 ตารางเมตร ในเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต โดยสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้นั้นคาดว่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ในขณะที่เกิดเหตุการณ์นั้นศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ยังคงเปิดให้บริการตามปกติอยู่ และไม่ได้กระทบกับผู้ที่ใช้บริการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์[20]
เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองของ กปปส. มกราคม - กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
เมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557 คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือ กปปส. ได้เริ่มปักหลักชุมนุมใหญ่ในกรุงเทพมหานครชั้นในเป็นจำนวนกว่า 9 จุด เพื่อเป็นการขัดขวางไม่ให้ข้าราชการและตำรวจสามารถเดินทางไปทำงานได้ตามปกติ โดยจุดหนึ่งที่มีการตั้งเวทีใหญ่ก็คือบริเวณแยกราชประสงค์ ซึ่งหลังจากที่เริ่มมีการตั้งเวทีการชุมนุม เซ็นทรัลพัฒนาก็ได้ส่งจดหมายด่วนถึงร้านค้าเช่าว่าจะขอปิดศูนย์การค้าเร็วกว่าปกติ ก็คือเวลา 10.00-18.00 น. โดยใช้เวลานี้เท่ากันทั้งอาคารศูนย์การค้าหลักและอาคารกรูฟ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ในช่วงอาทิตย์แรกของการชุมนุม แต่หลังจากนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเวลาเปิด-ปิดศูนย์การค้าเป็น 10.00 - 20.00/21.00 น. ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในแต่ละวัน ก่อนที่จะกลับมาเปิดให้บริการตามปกติในช่วงอาทิตย์ที่สามของการชุมนุม แต่ภายหลังที่เกิดเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มผู้ชุมนุม เซ็นทรัลพัฒนาก็ใช้เวลาในการเปิดปิดศูนย์การค้าเป็นเวลา 10.00-19.00 น. อีกครั้ง และจะประเมินสถานการณ์รายวันต่อไป
จากเหตุการณ์นี้ทำให้เซ็นทรัลเวิลด์ต้องปิดกั้นพื้นที่บริเวณศูนย์การค้าบางส่วน และไม่อนุญาตให้รถยนต์ผ่านเข้า-ออกบริเวณถนนพระรามที่ 1 ทุกกรณี ซึ่งรถที่จะเข้า-ออกศูนย์การค้า จะต้องใช้ทางเลี่ยงด้านหลังสยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ สยามเซ็นเตอร์ และสยามพารากอน ในการเดินทางเข้ามาแทน แต่ภายหลังกลุ่มผู้ชุมนุมก็มีการเปิดเส้นทางให้รถยนต์สามารถเข้า-ออกศูนย์การค้าได้จากฝั่งถนนราชดำริตามปกติ อีกทั้งเหตุการณ์นี้ทำให้การตกแต่งภายในของอาคารกรูฟ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงการก่อสร้างศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากลำเลียงวัสดุก่อสร้างเข้ามาไม่ได้อีกด้วย แต่พอกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศยุติการชุมนุมในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เซ็นทรัลเวิลด์ก็กลับมาเปิดให้บริการตามปกติอีกครั้งตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น. สำหรับอาคารศูนย์การค้า และเวลา 10.00-01.00 น. สำหรับอาคารกรูฟ
ผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้เซ็นทรัลพัฒนาต้องปรับลดค่าเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าอีกครั้ง นับเป็นการปรับลดราคาเช่าพื้นที่เป็นครั้งที่สองหลังจากไม่ได้ปรับลดอีกตั้งแต่เหตุชุมนุม พ.ศ. 2553 และทำให้เซ็นทรัลพัฒนาต้องสูญเสียรายได้ไปกว่าร้อยล้านบาทภายในระยะเวลา 2 เดือนที่ กปปส. ใช้พื้นที่บริเวณศูนย์การค้าเป็นที่ชุมนุม
เหตุเพลิงไหม้เซ็นทรัลเวิลด์ 10 เมษายน พ.ศ. 2562
เมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. ของวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ บริเวณโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์[21][22][23][24] โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และเจ้าหน้าที่สายด่วน 199 ได้รับแจ้งเมื่อเวลา 17.49 น. จึงเดินทางไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงบรรทัดทอง สถานีดับเพลิงพญาไท และสถานีดับเพลิงคลองเตย เพื่อระดมเจ้าหน้าที่ให้ได้มากที่สุดในทันที โดยเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ สภาพอาคารยังมีเปลวไฟและควันดำพุ่งออกมาจากบริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้กันประชาชนที่อพยพออกมาให้ออกนอกพื้นที่ และสั่งห้ามเคลื่อนย้ายยานพาหนะทุกชนิดออกจากศูนย์การค้า ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงได้ในเวลา 18.45 น. ก่อนเข้าสู่สถานการณ์ปกติในเวลา 21.00 น. เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ผู้ได้รับบาดเจ็บ 16 ราย และเสียชีวิต 3 ราย โดยเป็นพนักงานของ บริษัท เซ็นทรัลเวิลด์ จำกัด 2 ราย ได้แก่[25]นายศักดิ์ชัย เจริญลาภ และนายอาทิตย์ คำสาย และประชาชนทั่วไปหนึ่งราย และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ต้องปิดทำการในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562 เป็นเวลา 1 วัน เพื่อระบายควันออกจากพื้นที่ ก่อนเปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2562
ต่อมา บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ได้ออกหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงสาเหตุที่แท้จริงของเพลิงไหม้ในครั้งนี้ โดยสาเหตุและต้นเพลิงอยู่ภายในบริเวณภายในห้องเครื่องชั้น B2 ของอาคารสำนักงาน โดยเหตุเกิดบริเวณบ่อดักไขมันของศูนย์การค้าที่เกิดความร้อนสะสมถึง 800 องศา เมื่อมีความร้อนสูงบวกกับสภาพอากาศภายนอกที่ร้อนจัด จึงเกิดประกายไฟอันเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ในครั้งนี้ เพลิงไหม้สร้างความเสียหายบริเวณห้องเครื่องอย่างหนัก ก่อนกลุ่มควัน ประกายไฟและความร้อนจะลามขึ้นไปยังชั้น 8 อย่างรวดเร็วผ่านช่องลมระบายควัน แต่จากความร้อนที่สูงมากจึงทำให้ช่องลมเกิดการละลายจนถล่มลงมา ก่อให้เกิดกลุ่มควันหนาแน่นบริเวณห้องเครื่องชั้น 8 ก่อนเพลิงไหม้ซ้ำอีกครั้งในบริเวณสำนักงานและห้องเก็บเอกสาร และกลุ่มควันบางส่วนได้ลอยเข้าไปในศูนย์การค้าและตัวโรงภาพยนตร์เอสเอฟเวิลด์ ซีเนม่า[26] อย่างไรก็ตามส่วนของโรงแรมไม่ได้รับความเสียหายในครั้งนี้ และแขกที่เข้าพักรวมถึงพนักงานทุกคนปลอดภัยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น[27] ในส่วนของกรณีสัญญาณเตือนภัยที่ถูกสังคมออนไลน์ร้องเรียน เซ็นทรัลพัฒนาได้ชี้แจงว่าเนื่องจากเซ็นทรัลเวิลด์เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ จึงได้วางระบบป้องกันอัคคีภัยให้แจ้งเตือนเป็นโซน ๆ แทนการวางระบบให้เตือนพร้อมกันทั้งศูนย์ฯ เพื่อป้องกันความตื่นตระหนกตกใจของประชาชนที่จะเพิ่มความลำบากในการอพยพ[28] และในระหว่างที่เกิดเหตุ เชียร์ - ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ ได้อธิบายถึงวิธีการที่ทางศูนย์ฯ ใช้ว่า ทางห้างใช้วิธีการแชร์โค้ดลับภายในซึ่งรู้กันทั้งหมดในการพูดคุยกัน ตนรู้เรื่องอีกทีคือมีกลุ่มควันลอยมาจากทางศูนย์อาหารฟู้ดเวิลด์ และเริ่มมีประชาชนวิ่งหนีมาจากทางดังกล่าว พนักงานทั้งหมดจึงได้เริ่มทำหน้าที่อพยพคนออกจากห้างให้เร็วที่สุด[29]
เหตุทำร้ายร่างกาย 19 เมษายน พ.ศ. 2565
วันที่ 19 เมษายน 2565 เกิดเหตุชายใช้มีดคัตเตอร์ฟันลูกค้าของศูนย์การค้าได้รับบาดเจ็บ 2 คน ด้านเซ็นทรัลเวิลด์แจ้งว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้ในเวลา 5 นาที[30]
เหตุเพลิงไหม้อาคารกรูฟ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2565
เมื่อเวลาประมาณ 15:30 น. ของวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2565 มีรายงานสัญญาณแจ้งเตือนเพลิงไหม้ดังบริเวณอาคารอี และอาคารเอ ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และมีรายงานจากประชาชนทางสื่อสังคมออนไลน์และทวิตเตอร์เป็นจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันได้รับแจ้งในเวลา 16:23 น. และมีประชาชนแตกตื่นวิ่งหนีออกจากศูนย์การค้าเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ศูนย์การค้าแจ้งว่าพบเพลิงไหม้บริเวณใต้บันไดเลื่อนภายในอาคารกรูฟ โซนอินดอร์ ชั้น 1 (บริเวณหน้าร้านคาร์มาคาร์เม็ต) ถนนพระรามที่ 1 เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ของศูนย์การค้าสามารถควบคุมเหตุการณ์เบื้องต้นได้ และอยู่ในระหว่างการระบายควันออกจากตัวอาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสันนิษฐานเบื้องต้นว่าเหตุน่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร และบริเวณใต้บันไดเลื่อนมีการจัดแสดงสิ่งประดิษฐ์ประจำเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นวัสดุติดไฟได้ เลยทำให้เหตุการณ์และความเสียหายออกมาค่อนข้างรุนแรง
ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และศูนย์การค้าในบริเวณอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาคารกรูฟ รวมถึงโรงแรมเซ็นทารา และโรงภาพยนตร์เอสเอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ
รางวัล
ปี | รางวัล | สาขา | ผล |
---|---|---|---|
2566 | Thailand Zocial Awards 2023[31] | Best Brand Performance on Social Media กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้า | ชนะ |
ดูเพิ่ม
- วังเพ็ชรบูรณ์
- ราชดำริ อาเขต
- ไทยไดมารู
- อิเซตัน
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.